ในหนังสือยอห์นบทที่ 6 สิ่งที่สำคัญ เราเห็นมีหลายจุด ก็คือข้อที่ 2 คนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อบรรดาคนป่วย
สำหรับการอัศจรรย์ คือเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์ธรรมดาปกติทั่วไปทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่คนเราส่วนมากจะเห่อกัน ใครทำการอัศจรรย์ได้ ใครทำปฏิหาริย์ได้ ใครทำอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ ได้ คนก็จะเห่อกันไป ไปดู ไปติดตาม และปรากฏว่าตอนนั้นมีคนเป็นอันมากที่มาหาพระเยซู เพื่อขอการรักษาและคนเป็นอันมากก็มาดูการรักษาของพระเยซู
และเมื่อเป็นคริสเตียน ปัญหาก็เกิดขึ้น คริสเตียนปกติถ้าเป็นเด็กฝ่ายวิญญาณ ก็จะชอบตื่นเต้น แสวงหาการสัมผัส ฤทธิ์เดช ฝัน เครื่องหมายหรือหมายสำคัญต่างๆ และอีกอย่างหนึ่งที่เขาแสวงหา ก็คือพระพร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาแสวงหา มากกว่าที่จะใส่ใจในพระเยซูที่เป็นบุคคล
แต่สำหรับคริสเตียนระดับหนุ่มและระดับพ่อ เราขอบพระคุณพระเยซู ที่พระองค์ให้พวกเราผ่านสิ่งนี้ไปได้แล้ว คือเราจะไม่ใส่ใจในการอัศจรรย์ การสัมผัส ฤทธิ์เดช ฝัน เครื่องหมายต่างๆ หมายสำคัญต่างๆ และพระพร และความรู้ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า การก่อสร้างชีวิตขึ้นบนรากฐานของทุกสิ่งที่ไม่ใช่บนพระเยซู
การก่อรากฐานชีวิตขึ้นบนพระเยซู ผลที่ได้รับ ก็คือทองคำ เงิน เพชรพลอย การก่อสร้างชีวิตบนรากฐานบนพระเยซู ก็คือการมีพระเยซูเป็นหลักในชีวิต สร้างความสัมพันธ์ สร้างความผูกพันใกล้ชิด อีกครั้งนะครับขอใช้คำนี้ สนิทในพระเยซู เรียกว่าการสร้างรากฐานชีวิตและการรับใช้บน ทองคำ เงิน และเพชรพลอย
เพราะฉะนั้นเราจำกันดีนะครับ ที่พระเยซูตรัสว่า ถ้าขาดจากเรา ไม่สนิทในเรา ก็คือมันจะเกิดผลเองไม่ได้ คริสเตียนทุกวันนี้เกิดผลเอง และเกิดผลไม่ได้ คือพระเจ้าไม่นับ มันเกิดได้ มันเป็นได้ มันทำได้ความดีก็มีเยอะ ผลงานก็มีเยอะ สร้างโบสถ์มาหลายหลังก็มีเยอะ ประกาศคนเชื่อเป็นร้อยเป็นพันก็มีเยอะ แต่สิ่งเหล่านี้พระเยซูเรียกว่า ถวายเกียรติแด่พระเจ้าไม่ได้ เนื่องจากว่าเขาไม่ได้สนิทไม่ได้ก่อสร้างชีวิตและการรับใช้ บนพระเยซู
เราขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงเปิดตาเราให้ได้รู้ แล้ววันนี้เราทำทุกสิ่ง เราก่อสร้างชีวิตของเราบนพระเยซู และรากฐานของเราบนพระเยซู เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำก็ออกมาจากสติปัญญาของพระบิดา ก็คือทองคำ และเราทำโดยพระเยซูที่ทำแทนเรา ก็คือเงิน และผลชีวิตของเราทุกสิ่งที่ออกมา ก็คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียกว่าเพชรพลอย
พระเจ้ามีบำเหน็จมากมายเตรียมไว้ให้เรา เมื่อถึงเวลากำหนด และสิ่งเหล่านี้ที่เราทำ ชีวิตของเรา การรับใช้ของเรา ก็จะผ่านไฟแห่งการทดลองไปได้ เพราะฉะนั้นเราขอบพระคุณพระเยซู และอธิษฐานเผื่อพี่น้องที่ก่อสร้างชีวิตและการรับใช้อยู่บนสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ การอัศจรรย์ ฤทธิ์เดช ไฟแห่งพระวิญญาณ อะไรก็แล้วแต่ เราจะเห็นว่ามีกลุ่มไฟ กลุ่มแบ๊บติส ที่แสวงหาใส่ใจในเรื่องความรู้ คือเขารู้เยอะมาก อะไรก็รู้ๆ ไปหมด เรียนรู้กันเยอะมาก ผลิตหนังสือที่เกี่ยวกับความรู้ประวัติศาสตร์ความรู้การแปลพระคัมภีร์ ถูกบ้าง ผิดบ้าง คือมันเยอะมาก เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าหลายคริสตจักรทุกวันนี้ ผู้เชื่อมากมายก่อสร้างชีวิตและการรับใช้ อยู่บนสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่พระเยซู
และสรุปการก่อสร้างชีวิตและการรับใช้บนพระเยซู ก็คือการสนิทในพระคริสต์ในแต่ละวัน ผูกพัน บอกรักพระเยซู อย่าให้พระเยซูห่างไปจากเรา เราจะทำอะไรก็พระเยซูคิดแทนข้าพระองค์ด้วย ตัดสินใจแทนด้วย แม้ว่าสติปัญญาของอาดัมบางคนก็ฉลาดนะ และบางคนก็ฉลาดมากๆ ด้วย แต่เราปฏิเสธเมื่อเรามาเชื่อพระเยซู และเราก่อชีวิตและการรับใช้ขึ้นบนพระเยซู ก็คือเราทิ้งทั้งหมดเลย เราดูเหมือนว่าจะฉลาด เราดูเหมือนว่ามันจะดี แต่เราปฏิเสธมัน ไม่ใช้มัน เนื่องจากว่าคำว่าฉลาดของมนุษย์พระเจ้าเรียกว่าโง่
...
- เขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป (โรม 1:22)
- เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่ากำลังของมนุษย์
(1 โครินธ์ 1:25)
...
เพราะฉะนั้นการแสวงหาอะไร ใส่ใจที่อะไรเราก็ได้ตั้งรากฐานอยู่บนสิ่งนั้น เปาโลเตือนให้ผู้เชื่อก่อสร้างรากฐานชีวิตและการรับใช้อยู่บนพระคริสต์ อยู่ในหนังสือ 1 โครินธ์ 3:12-15
ที่นี้เราจะช่วยเหลือพี่น้องยังไง และพี่น้องที่พึ่งกลับใจต้อนรับพระเยซู และมาอยู่ร่วมกับพวกเราในกลุ่มของพวกเรา เราจะช่วยเหลือเขายังไง การช่วยเหลือคริสเตียนที่ยังเด็ก ที่วางรากฐานอยู่บนสิ่งต่างๆ คือเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราพยายามช่วยตอนแรกจะไม่ได้ เขาจะตื่นเต้น เห็นการอัศจรรย์ก็ดีใจ ร้อง โธ่.. แบบมันตื่นเต้นมาก เหมือนกับเราที่เมื่อก่อนเห็นพระเจ้าสัมผัสนิดนึงก็ดีใจร้องไห้ แบบคือปลื้มมากๆ เลย
เราเคยมีอาการนี้ใช่ไหม เราก็สอนที่เราไปโบสถ์ เราได้เห็นการสัมผัสของพระวิญญาณ พระเจ้าแตะที่ไหล่บ้างที่ศีรษะบ้าง หรือบางคนก็ขนลุก หรือมีอะไรที่มันเกิดขึ้นภายในเรา มีสันติสุขมากๆ ก็นั่งร้องห่มร้องไห้ ก็ดีใจ อันนี้เรียกว่าเป็นอาการของเด็ก ชีวิตคริสเตียนเด็กที่ทำกันอยู่ หรือบางคนเน้นที่การเรียนรู้ ได้เรียนอะไรเยอะแยะมากมายแล้วก็ดีใจตื่นเต้นขอบพระคุณพระเจ้าใหญ่เลย
แต่สำหรับพวกเรา การได้อยู่ใกล้ชิดพระเยซูเป็นเรื่องใหญ่มาก สิ่งที่สำคัญที่สุดเรารู้ว่าพระเยซูอยู่ในเรา และพระเยซูรักเรามาก และพระเยซูทำกิจในเรา เราอยู่ใต้ร่มพระคุณของพระเยซู
...
สรุปการช่วยเหลือพวกเขา ก็คือปล่อยเขาไป ปล่อยเขาไปก่อน แล้วหลังจากนั้นเราค่อยๆสอน ค่อยๆสอน เราจำกันได้ใช่ไหม เรื่องเด็กผู้หญิงจับชายเสื้อเศรษฐี
เพราะฉะนั้นเราสอนเขานะครับ คือความรู้ก็ดี การอัศจรรย์ก็ดี การ ปาฏิหาริย์ต่างๆ ก็ดี พระพรที่พระเจ้าอวยพรชีวิตเราให้เจริญมั่งคั่งขึ้นได้ก็ดี
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเท่ากับการ ได้สนิทในพระเยซู
เมื่อเราสนิทในพระเยซู การช่วยเหลือก็มา
เมื่อเราสนิทในพระเยซู พระพรก็มา
เมื่อเราสนิทในพระเยซู การดูแล เลี้ยงดูก็มา
เมื่อเราสนิทในพระเยซู เราก็ได้ทุกสิ่ง อย่าไปวิ่งหาให้มันเหนื่อยเลยครับ เรามาหาพระเยซูแล้วเราได้ทุกสิ่งเลย
นี่นะครับคือสิ่งที่เราจะสอนเขา สอนให้เขาเข้าใจ แต่เขาต้องมีประสบการณ์ เขาต้องมีประสบการณ์เอง เขาต้องไปเจอกับตัวเองก่อน คือตอนแรกไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้หรอก คือมันก็ต้องตื่นเต้นดีใจเห็นการอัศจรรย์เพราะว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับคริสเตียนใหม่หรือคริสเตียนเด็ก
แล้วข้อที่ 3-5 พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับกับเหล่าสาวกของพระองค์ที่นั่น ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสสกาซึ่งเป็นเทศกาลเลี้ยงของพวกยิวแล้ว เมื่อพระเยซูทรงเงยพระพักตร์ ทอดพระเนตรและเห็นคนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้..
ฟังดีๆ นะครับ เราจะซื้ออาหารที่ไหน ให้คนเรานี้กินได้
เรื่องการช่วยเหลือด้านฝ่ายร่างกายเป็นสิ่งที่คู่เคียง เคียงคู่ไปกับการช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณ หรือเรียกว่าข่าวประเสริฐ งานหลักสำหรับพวกเราคริสเตียน ก็คือช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณ ก็คือประกาศข่าวประเสริฐ ช่วยให้วิญญาณของเขาได้รอด และการช่วยเหลือฝ่ายร่างกาย ก็คืองานรอง อันนี้เคียงคู่กัน อย่าลืม..!!
...
พี่น้องบางคนถามผมว่า ประกาศข่าวประเสริฐแล้วไม่ช่วยเหลือคน ไม่ช่วยเหลือคนยากจนขัดสนเหรอ เราทำครับเพราะว่าอะไร? เพราะว่าพระเยซูทำ เราก็ทำ เอเมน
...
อย่าลืมนะครับพวกเราทำทุกสิ่งตามพระคัมภีร์ แต่ว่า... แต่ว่าพระเจ้ามีวิธีทางของพระองค์ ซึ่งไม่เหมือนทางมนุษย์อาดัม พระเยซูถามเรานะครับ "เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้" ความหมายคือ...เราจะทำยังไงกับคริสตจักรของพวกเรา กลุ่มพวกเราจะทำยังไง เงินก็ไม่มี จะทำยังไงดี กลุ้มใจ ไม่สบายใจ กระวนกระวาย กังวล แต่อย่าลืมนะครับใครก่อตั้งคริสตจักร (พระเยซู)
...
จำกันได้นะครับผมใช้คำนี้บ่อยมาก
"เมื่อพระเยซูมีปัญญาก่อสร้างคริสตจักรของพระองค์ ก่อตั้งคริสตจักรของพระองค์ พระองค์ก็มีปัญญาดูแลเลี้ยงดูคริสตจักรของพระองค์เหมือนกัน"
ไม่เหมือนพ่อแม่ของมนุษย์ พ่อแม่มนุษย์บางครั้งก็ทิ้งลูก บางครั้งก็ไม่รักลูก บางครั้งก็เลี้ยงดูลูกไม่ดีพอ
แต่อย่าลืมนะครับ พระเจ้าเป็นพระเจ้า และพระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าเป็นผู้ที่ชอบธรรม เที่ยงธรรม พระองค์รับผิดชอบทุกสิ่งที่พระองค์ก่อขึ้น เพราะฉะนั้นคริสตจักรพระเยซูก่อขึ้น พระเยซูก็เลี้ยงดูได้สิ เอเมนไหมครับ
เราไม่ต้องไปดิ้นรน ไม่ต้องไปร้อนรน ไม่ต้องไปกะเสือกกระสน บอกว่าต้องช่วยคนนี้ ต้องทำอันนี้ ต้องรับใช้ตรงนี้ ต้องประกาศข่าวประเสริฐ ต้องทำๆๆๆๆ สุดท้ายเราตกขอบกลายเป็นคริสเตียนศาสนาโดยไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้นเรื่องการช่วยเหลือ เรื่องการรับใช้ เรื่องการปรนนิบัติพระเจ้า เรื่องการใช้ของประทานที่เป็นคนต้นเรือน ทุกสิ่ง อยู่ที่คำๆ เดียว คือวางใจในพระเยซู
ถ้าหากพี่น้องไม่เข้าใจคำว่า การวางใจในพระเยซู คืออะไร ไปค้นหาคลิปที่แนะนำเกี่ยวกับ เรื่องวางใจในพระเยซู (คลิปคือมีบางคนโยนเก้าอี้ให้ผม) ตรงนั้นนะครับคือความหมายของคำว่า วางใจในพระเยซู จริงๆ
คือเมื่อวางใจในพระเยซู เราไม่ต้องคิด ไม่ต้องกังวลอีก คือยกให้ก็ยกให้ไปเลย คือผมเอามือถือให้ใครบางคน คือให้เขาไปแล้ว ก็คือมอบให้เขาไป ไม่ต้องไปคิดถึงมัน ไม่ต้องไปเป็นห่วงมัน ไม่ต้องไปกระวนกระวาย ไปคิดหาอะไรอีกแล้ว เพราะว่าเรามอบสิ่งเหล่านั้นให้คนอื่นไปแล้ว เมื่อเราวางใจในพระเยซู เราก็มอบปัญหา มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้พระเยซูเป็นคนจัดการ
เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว วางใจ เมื่อเราทำแบบนี้ได้ เมื่อเราเข้าใจความหมายของคำว่า วางใจในพระเยซูจริงๆ ทุกสิ่งพระเยซูจะทำให้เกิดผล
พระเยซูบอกว่ายังไง "เอามา ท่านมีอะไร เอามา" ความหมายก็คือ เรามีเท่าไหร่ เล็กๆ น้อยๆ เราก็ยื่นให้พระเยซู เราก็นำมาช่วยเหลือพี่น้อง แล้วพระเยซูจะทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดผลขึ้น เพราะว่าเราเอาให้พี่น้องแล้วเราไม่เสียดาย เราไม่บ่น แต่เราขอบพระคุณ
เอาสิ่งเล็กน้อยมา แล้วขอบพระคุณ เมื่อเราขอบพระคุณ แล้วเอาสิ่งเล็กน้อยมา พระเยซูจะทำให้มันยิ่งใหญ่ขึ้น ให้มันมีมากขึ้นจนเหลือ 12 กระบุง การที่เราจะรอคอยและวางใจในพระเจ้าให้ถูกทาง ถูกวิธี การช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้ามันเกินคุ้ม ไม่ใช่ที่เราพึ่งสติปัญญาของเราเอง ความคิดของเราเองเราก็ไปทำ สุดท้ายก็ขัดๆ สนๆ ขาดๆ คือไม่พอ แล้วก็ต้องมีการทำงานที่หนักมากเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ
เพราะฉะนั้นผมอยากหนุนใจพวกเรา คริสตจักรเป็นของพระเยซู แล้วการช่วยเหลือก็ต้องมาจากพระเยซู ทุกสิ่งก็ต้องมาจากพระเยซู หน้าที่ของเรา คือวางใจในพระองค์ในทุกเรื่อง
...
และสำหรับเรื่องการช่วยเหลือ ผมอยากหนุนใจพี่น้องบางท่านที่ยังไม่เข้าใจ การช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณ เราอธิษฐานเผื่อคนในครอบครัวของเรา เเละก็พี่น้องในคริสตจักรของเรา จากนั้นก็คนที่ไม่เชื่อ เช่นเดียวกันการช่วยเหลือฝ่ายร่างกาย เราจะช่วยคนเราต้องคิดถึงครอบครัวเราก่อน อันนี้พระเยซูสั่งนะครับ เราต้องคิดถึงครอบครัวเราก่อน จากนั้นก็ครอบครัวพี่น้องผู้เชื่อในคริสตจักรของเรา และหลังจากนั้นก็คือกลุ่มผู้เชื่อที่ไม่ได้อยู่กับพวกเรา แต่!...แต่เราสนับสนุนพี่น้องหรือคริสตจักรหรือพระกาย ที่เรียกว่าพระกายเที่ยงแท้ หรือเชื่อถูก สอนถูก แปลถูก ทำทุกสิ่งถูก นมัสการถูก อธิษฐานถูก อ่านพระคัมภีร์ถูก รับใช้ถูก ทุกสิ่งถูกหมด อันนี้เราสนับสนุนเขา
แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่สอนผิดผสมเชื้อยีสต์ เอาคำสอนฟาริสีและธรรมอาจารย์มาสอน แล้วก็มีเชื้อของกษัตริย์เฮโรด ก็คือความหยิ่งผยองพองตัว อันนี้เราจะไม่สนับสนุนและไม่ยุ่งเกี่ยว พระเจ้ามีวิธีทางที่จะดูแลเขาดูแล้ว อย่าลืมนะครับถ้าไม่มีคุณเขาก็อยู่ได้ ถ้าไม่มีคุณเขาก็ไปได้ เขาก็รอดได้ อย่าคิดนะว่าถ้าไม่มีคุณแล้วเขาจะอยู่ไม่ได้ อันนั้นเราคิดผิดนะครับ
...
เพราะฉะนั้นพระเจ้าให้เราอยู่ในคริสตจักรของเรา ดูแลคริสตจักรของเรา ดูแลครอบครัวเรา ดูแลคนที่อยู่ใกล้รอบตัวเรา
เพราะฉะนั้นกลุ่มอื่น คริสตจักรอื่น เขาก็มีการดูแลของเขาอยู่แล้วที่พระเจ้าก็ใส่ใจอยู่
มีบางคนมาขอยืมเงินจากผมนะครับ แล้วปรากฏว่าคือผมก็เป็นคนที่ชอบเห็นใจ แล้วก็ชอบให้ยืม แต่ปรากฏว่าเวลาผ่านไปหลายปี ผมรู้สึกว่า เออ.. ที่ประเทศลาว คือถ้าให้ยืม ก็เหมือนไม่ได้ให้ยืมแหละ เหมือนขอ เงินให้ หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี ผมก็รู้สึกว่าถ้าให้ยืมก็คือมันจะไม่ได้คืน ไม่ได้กลับคืนมา ผมก็เลยถ้าเห็นว่าจะปฏิเสธได้ ผมก็ต้องปฏิเสธ ก็มีหลายคนมาอ้างมาให้เหตุผล มันต้องตายแล้วนะ ต้องไปโรงพยาบาล ต้องใช้ยา ต้องใช้เงินเยอะ ต้องนู่นนี่นั่น หรือว่าเขาจะมายึดทรัพย์ ยึดบ้าน ยึดรถ ยึดที่ดิน ไม่ไหวแล้วจะตายแล้ว
แล้วปรากฏว่าผมก็อธิษฐาน อธิษฐานแล้วก็รู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้สัมผัส แล้วพระเจ้าไม่ได้อยากให้ ผมก็ไม่ให้ ผมบอกว่าขอโทษคือให้ไม่ได้ ตอนนี้ก็มีทรัพย์เท่านี้ คือไม่สะดวกขอโทษนะครับ ปรากฏว่าเวลาผ่านไปเขาก็ไม่ตายนะ พี่น้องรู้สึกไหมว่ามีคนมายืมตังค์เรา เขาบอกว่าเขาจะตาย แต่สุดท้ายเขาตายไหม? เขาก็มีทางหลีกเลี่ยง เขาก็มีทาง เขาก็มีทางออกของเขา เพราะฉะนั้นเราอธิษฐานเผื่อเขา การช่วยเหลืออะไรใครก็ตามเราไม่ต้องไปกะเสือกกะสน ดิ้นรนต้องช่วยให้ได้ ถ้าไม่มีฉันเธอต้องตาย อันนี้ไม่ใช่แล้วครับ มันเป็นความคิดของมนุษย์อาดัมเรา
เพราะฉะนั้นการช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า
1. เราต้องเรียนรู้การวางใจ
2. ก็คือเราต้องรอคอย อาจจะช้านิดนึงนะครับ แต่เมื่อพระเจ้าช่วย ก็คือมันจะเหลือ 12 กระบุง 12 กระบุง
...
เราขอบคุณพระเยซูสำหรับเรื่องนี้ ซึ่งพอดีเป็นจังหวะที่เหมาะสำหรับช่วงที่เราก็มีเรื่องการช่วยเหลือพี่น้องเข้ามา เพราะฉะนั้นสำหรับผมเอง ผมอยากบอกพี่น้องหลายคนเลยนะครับ ในที่นี้นะครับว่า ผมเป็นคนที่ชอบเมตตาคนมากๆ เห็นใจคนมากๆ ผมเป็นคนที่ใจอ่อนด้วย แล้วเป็นคนที่มีความรักสูง เพราะฉะนั้นใครมาขอ ใครมายืม ผมจะให้ แล้วก็ให้เยอะด้วย แต่ทีนี้เมื่อเราเรียนรู้การวางใจในพระเจ้า และเมื่อเราได้เรียนรู้นะครับว่าการใช้สติปัญญาของมนุษย์อาดัม มันเป็น ไม้ฟาง หญ้าแห้ง มันผ่านไฟแห่งการทดลองและรับบำเหน็จไม่ได้
เพราะฉะนั้นเราจึงเปลี่ยน เปลี่ยนความคิดของเราให้พระเจ้าชำระเรา ให้ช่วยถูกวิธี เป็นเวลาของพระเจ้า และเป็นตามน้ำพระทัย และเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
...
มีพี่น้องบางท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมหนังสือกิจการ เป็นการเริ่มต้นชีวิตคริสตจักร เป็นการเริ่มต้นการรับใช้ ก่อตั้งคริสตจักรขึ้นมามากมายโดยสาวกทั้งหลาย แล้วทำไมไม่พูดถึงเรื่องการเงิน เราแปลกใจกันไหม เปาโลไม่เคยพูดนะว่า เรื่องทรัพย์สิน เรื่องทรัพย์ เรื่องคลัง การถวายทรัพย์ต้องเป็นแบบนี้นะ ต้องมีกฎแบบนั้นนะ หรือต้องทำแบบนี้นะ ไม่มีนะครับ เราสังเกตดูใช่ไหมครับ อันนี้นะครับคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ให้เขียน ไม่อนุญาตให้ใครเขียนทั้งนั้น เนื่องจากว่าเรื่องการเงิน เรื่องทรัพย์สิน มันเป็นเรื่องของการวางใจในพระเจ้า
เพราะฉะนั้นถ้าหากเราวางใจในพระเจ้า ไม่ต้องเขียน ไม่ต้องพูดถึง พระเจ้าจะจัดการเอง คุณวางใจในพระเจ้าถูกวิธีไหม คุณรู้จักคำว่า วางใจในพระเจ้าจริงๆ หรือยัง ฉะนั้นขอให้เราเรียนรู้วันนี้นะครับ สิ่งที่สำคัญขอให้เราเรียนรู้ ไปค้นหาความหมายของคำว่า วางใจในพระเจ้า คืออะไรกันแน่
เราจำกันได้นะครับ เหตุการณ์ที่หมู่บ้านคานา ที่พระเยซูถูกเชิญไปงานแต่งงาน งานเลี้ยงแต่งงาน แล้วปรากฏว่า คือพระเยซูจะไม่เสกน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นตอนที่มันเหลือครึ่งหนึ่ง แต่พระเยซูรอให้มันหมด หมดจริงๆ เลยนะครับ เอาแก้วเอาถ้วยเอาอะไรไปตักคือไม่ได้แล้ว มันไม่เหลืออะไรเลยแล้ว ก็คือพระเจ้ารอให้เราตายสนิท ให้เรายอมจำนนจริงๆ การช่วยเหลือของพระเจ้าจึงมาถึง
แล้วเราจำอีกเหตุการณ์หนึ่ง ลาซารัสที่ตายไปสามวัน ทำไมพระเยซูไม่มาตอนวันแรกวันที่สองที่ลาซารัสตาย แต่พระเยซูรอจนถึงสามวัน ก็คือเพื่อให้ทุกคนรู้ ว่าเขาจะไม่ฝืน และเพื่อให้ทุกคนรู้ว่าเขาตายสนิทแล้ว ตายจริงๆ ตายจนเน่าแล้ว ปรากฏว่าสามวันต่อมาพระเยซูเสด็จมา แล้วช่วยชุบชีวิตเขาให้ฟื้นขึ้นมา
นี่นะครับพระเจ้าจะรอให้เรายอมจำนนจริงๆ วางใจจริงๆ ตายจริงๆ ยอมแพ้จริงๆ อันนี้นะครับการช่วยเหลือของพระเจ้าจึงจะมาถึง เมื่อเราจะช่วยเหลือใคร เราจะรับใช้หน้าที่ไหน จะทำอะไรก็ตาม เรายอมจำนนจริงๆ เรายอมรอคอย รอเวลาของพระเจ้า ไม่ใช่เวลาของเรา ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรีบเขาไม่ตายหรอก เเล้วก็วางใจในพระเยซูครับ