a. พระเยซู
b. พระเยโฮวาห์
c. พระผู้ช่วยให้รอด
d. พระเจ้าผู้ทรงอยู่ท่ามกลางเรา
e. ความสว่างที่ยิ่งใหญ่
f. กษัตริย์ดาวิดที่แท้จริง
g. ซาโลมอนที่แท้จริง
h. โยนาห์ที่แท้จริง
i. โมเสสที่แท้จริงกับพระบัญญัติที่ครบถ้วน
j. เอลิยาห์ที่แท้จริงผู้มาทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายสำเร็จ
k. นายของวันสะบาโต และเป็นสะบาโตของเรา (สะบาโต ภาษาฮีบรูแปลว่า พักสงบ คือพระคริสต์เป็นที่พักสงบของเรา)
a. ความสว่าง
b. เป็นชีวิต ตรงนี้คือหัวใจของหนังสือยอห์น (บทที่ 3.21)
c. อากาศหายใจ
d. น้ำแห่งชีวิต
e. อาหารแห่งชีวิต
f. ผู้เลี้ยง
g. ประตู
h. ทุ่งหญ้าเขียวสด (การเลี้ยงดูดูแลจากพระเจ้าในทุกด้าน)
a. สามีคนใหม่ของเราเพื่อมาแทนที่พระบัญญัติที่เป็นสามีคนเก่า
b. นายคนใหม่ของเราเพื่อมาแทนที่ตัวบาปที่เป็นนายคนเก่าของเรา
c. กฏแห่งพระวิญญาณและกฏแห่งชีวิตเพื่อเอาชนะกฏแห่งบาปและกฏแห่งความตายในเนื้อหนังของเรา
d. เป็นศรีษะของเราผู้เชื่อที่เป็นพระกายของพระองค์
เมื่อมนุษย์ทำบาปในปฐมกาลพระเจ้านำการพิพากษามาสู่พวกเขา แต่เนื่องจากว่าพระองค์ทรงรักมนุษย์จึงประทานพระเยซูมาเพื่อไถ่โลก ขอบพระคุณและสรรเสริญพระเยซู น่าเสียดายที่บุตรพระเจ้ามากมายที่เป็นลูกแห่งความสว่างแต่ยังไม่เห็นความสว่างอย่างครบถ้วน และยังเดินในความมืดทุกวัน
...
ยอห์น 3:17 เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อจะปรับโทษโลก แต่เพื่อที่โลกจะรอดได้โดยทางพระบุตรนั้น
** การเสด็จมาของพระเยซูครั้งแรกนี้ไม่ใช่เพื่อการพิพากษาโลก คือส่งมนุษย์ไปยังบึงไฟ เนื่องจากการบาปของพวกเรา แต่พระองค์เสด็จมาเพื่อชี้ทางแห่งพระคุณ และเป็นทางแห่งพระคุณนั้น และเมื่อมนุษย์ยอมรับทางแห่งพระคุณของพระเจ้าเขาจึงได้รอดโดยทางพระเยซู
...
ยอห์น 3:18 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกปรับโทษ แต่ผู้ที่ไม่เชื่อก็ถูกปรับโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้เชื่อในพระนามแห่งพระบุตรที่บังเกิดมาองค์เดียวของพระเจ้า
** ส่วนคนที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซู เป็นทางแห่งพระคุณ แน่นอนที่สุดเขาจะถูกพิพากษาในวันสุดท้าย
** "แต่ผู้ที่มิได้เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว" คือทุกคนที่ไม่เชื่อก็อยู่ในการพิพากษาอยู่แล้วและกำลังจะไปถึงการพิพากษาเพื่อส่งไปบึงไฟ โลกทุกวันนี้ที่เป็นอยู่ ได้รับการพิพากษาแต่ยังไม่ถึงขั้นเด็ดขาด
....
ยอห์น 3:19 และนี่คือการปรับโทษนั้น คือว่าความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว และมนุษย์ได้รักความมืดแทนที่จะรักความสว่าง เพราะการกระทำทั้งหลายของพวกเขาชั่วร้าย
** มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้อยู่ในความมืด และไม่รู้จักไม่เข้าใจความสว่างคืออะไร ความสว่าง คือความจริงของพระเจ้า คือสภาพอมตะของพระเจ้า คือสภาพที่ไม่มีเปลือยเน่าเสื่อมสลายเสื่อมโทรมเสื่อมทรามและตาย เนื่องจากว่ามนุษย์ไม่เข้าใจความสว่างนี้พวกเขาจึงรักที่จะอยู่ในความมืดต่อไป เขายังถูกสอนด้วยคำสอนของศาสนาว่าต้องทำดีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับในศาสนาของเขาจึงจะได้ขึ้นสวรรค์ เขาจึงต้องรับทางแห่งพระคุณไม่ได้
.....
ยอห์น 3:20 เพราะทุกคนที่กระทำความชั่วร้ายก็เกลียดชังความสว่างนั้น และไม่มาถึงความสว่างนั้น เกรงว่าการกระทำทั้งหลายของตนจะถูกตำหนิ
** มีคริสเตียนมากมายเมื่อได้พบพระเจ้า ได้เรียนรู้พระคัมภีร์ บางครั้งก็แอบคิดว่าถ้าไม่มีพระเจ้าก็คงจะดี เพื่อเราจะใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องการทำบาป พระเจ้าทรงทราบจิตใจของมนุษย์ว่ารักดีแต่ชอบทำบาปทำชั่ว และไม่ชอบให้ใครมาตัดสินหรือตำหนิเรา
...
ยอห์น 3:21 แต่ผู้ที่กระทำความจริงก็มาสู่ความสว่างนั้น เพื่อการกระทำทั้งหลายของตนจะปรากฏว่า การกระทำเหล่านั้นถูกกระทำในพระเจ้า”
** เมื่อผู้เชื่อได้เรียนรู้ว่าพระเยซูเสด็จมาเป็นทางแห่งพระคุณ ทรงประทานชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ให้เราในเราแล้วเป็นความหวังแห่งสง่าราศี เราจึงไม่กลัวเนื่องจากว่าชีวิตของเราเริ่มเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง และสุกงอมในที่สุด