ขอบพระคุณพระเยซูสำหรับความรัก พระคุณ พระเมตตา พระกรุณาที่นำพวกเรามาถึงการเป็นบุตรของพระเจ้า ซึ่งเมื่อก่อนเราเป็นคนต่างชาติเราไม่คู่ควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีที่มีค่าสำหรับชีวิตของเรา
สรรเสริญพระเยซู ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการปลดปล่อย และนำพวกเราให้เข้าถึงพระเจ้าจริงๆ อยู่ในความเชื่อ อยู่ในความหวังที่ไม่ใช่ลมๆ แล้งๆ เหมือนเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคริสเตียนแต่เราก็อยู่ในการนับถือศาสนาเหมือนศาสนาทั่วๆ ไป
แต่ตอนนี้ขอบพระคุณพระเยซูที่พระองค์เปิดตาเราผ่านพระคำล้ำลึก ผ่านมานาที่ซ่อนไว้ของพระองค์ ทานอาหารที่มาจากสวรรค์ ที่ประทานให้พวกเราได้กินดื่มฟรีๆ และอาหารนี้ปลดปล่อยเราให้หายจากอาการตาบอด หลงทาง ตกขอบ ตกต่ำ กลับเข้าสู่การดำเนินชีวิตในพระคริสต์ในพระวิญญาณในรูปแนวของชีวิต เน้นเรื่องชีวิต เน้นเรื่องความรัก ความผูกพัน ความสัมพันธ์ที่ดีกับพระบิดากับพระบุตรและกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยพระนามของพระเยซู
เรารักพระองค์ ขอบคุณพระองค์ที่ขณะนี้พระองค์อยู่กับพวกเรานำพวกเราเป็นพี่ชายคนโตที่จะถวายเหล่าบุตรของพระองค์ที่เป็นมนุษย์ที่เป็นคนใหม่เป็นอวัยวะที่พร้อมแล้วที่พระองค์จะนำใช้เพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระองค์ให้โลกได้เห็น และโลกจะสรรเสริญยกย่องและจะกลับใจ และบำเหน็จก็จะเป็นของเราน้องๆ ของพระองค์ ขอให้การปรนนิบัติพระองค์ครั้งนี้ บทเพลง คำสรรเสริญ คำยกย่อง ขอบพระคุณ ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพระเยซู
เราขอบคุณพระเยซูที่เมื่อก่อนเราตาบอด เราไม่รู้ว่าสะบาโตคืออะไร เราเคร่งครัดวันเสาร์วันอาทิตย์ เราไปโบสถ์เราทำทุกสิ่งด้วยความเกรงกลัว ความยำเกรง ความไม่รู้ทำให้เรามีอาการกดดัน เป็นทุกข์ แบกภาระหนัก
แต่ตอนนี้ขอบคุณพระเยซูสะบาโตของพระองค์ คือทุกวันทุกเวลาทุกนาที ที่เราจะต้องรักษา ก็คือต้องมีสันติสุขทุกวันทุกเวลาทุกนาที คือการอยู่ในสะบาโตใหม่ของพระเยซู ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์เป็นสันติสุขให้พวกเรา และพระองค์นั่นแหละที่เป็นสะบาโตของพวกเรา
เราอยู่ในการพักผ่อนตั้งแต่เช้าจนค่ำทุกๆ วัน ความหวังของพวกเราอยู่ตรงนี้ ก็คือการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จมาหาสาวก 12 คน พระองค์ตรัสว่าความสุขสันติสุข peace จงเกิดกับท่านทั้งหลายจงอยู่กับท่านทั้งหลาย ขอบคุณพระเยซูที่วันนี้สันติสุข ความสงบสุข peace ก็อยู่กับพวกเราด้วย เนื่องจากว่าเราเป็นสาวกของพระองค์
และต่อจากนั้นพระองค์ก็ระบายลมปาน ลมหายใจของพระองค์ไปสู่สาวกทุกคนและตรัสว่า จงรับพระวิญญาณเถิด และวันนี้เราทั้งหลายก็เป็นสาวกของพระองค์เป็นน้องๆ ของพระองค์ เราก็ได้รับพระวิญญาณ และรับสันติสุขนั้น สรรเสริญพระเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รับสันติสุขมาโดยฟรีๆ โดยที่ไม่ต้องซื้อ โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไร ไปเที่ยวหรือใช้อะไรเพื่อซื้อมันมา แต่เป็นสันติสุขที่มาจากพระเยซู ก็คือเป็นพระเยซูเองที่เป็นสันติสุขอยู่ภายในเรา พระองค์เป็นแม่น้ำแห่งชีวิตในเรา
และขอบพระคุณพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราทุกวันทุกเวลา และขอบพระคุณพระเจ้ายิ่งกว่านั้น พระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้ามาอยู่ในเรา เมื่อสาวก 12 คน พระเยซูมาปรากฏกับพวกเขา ก่อนที่พระองค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แก่พวกเขา พระองค์ต้องให้พวกเขาตายในชีวิตเก่า แล้วบันดาลให้พวกเขาได้บังเกิดใหม่ในพระวิญญาณดั่งที่พระองค์ได้สัญญาในยอห์นบทที่ 3 ข้อ 5 ถึง 6
วันนี้เราทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว และรับพระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในเรา เราเป็นวิหาร เป็นเรือน เป็นบ้านของพระเจ้าทั้งสามพระภาคแล้ว ขอบพระคุณพระเจ้าที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น เนื่องจากว่าพระองค์ถูกตรึงตาย ทนทุกข์ทรมาน หิวกระหายไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม สุดท้ายพระองค์ก็สิ้นใจ
สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำถึงความรัก บ่งบอกถึงความเมตตาของพระเยซูที่มีต่อเราทั้งหลาย พระองค์อดทนอดกลั้น ยอมเชื่อฟังพระบิดาจนถึงที่สุด ทำให้พวกเรามีความหวัง มีชีวิต มีหนทางใหม่ที่จะเดินไปในแต่ละวัน อย่างมีสันติสุขและมีพลังในพระคริสต์
ขอบพระคุณพระเยซูขอพระองค์เปิดเผยความรู้เหล่านี้ เพื่อหลุดพ้นจากอาการตาบอดแก่พี่น้องอีกมากมายที่ยังมาไม่ถึง ความรู้ความเข้าใจนี้ เพื่อได้รับการปลดปล่อย สรรเสริญพระเยซู
วันแรกของสัปดาห์ ชาวโลกโดยทั่วไปและโดยเฉพาะยุคนี้ยุคปัจจุบันนี้ ก็คือชาวโลกทุกๆ ชาติเขาจะนับว่าวันจันทร์ที่เป็นวันแรกของสัปดาห์ เสาร์อาทิตย์ก็จะพักผ่อนเป็นวันพักวันหยุด พอมาถึงวันจันทร์ทุกคนตื่นแต่เช้าไปทำงานเริ่มต้นวันใหม่ เรื่องเกี่ยวกับทำมาหาเลี้ยงชีพ
แต่สำหรับชาวยิวปฏิทินเขาไม่เหมือนพวกเรา คือเขานับว่าเช้าวันอาทิตย์ก็คือวันใหม่ วันเริ่มใหม่เป็นวันแรกของสัปดาห์ และวันเสาร์ก็คือวันหยุดวันสะบาโตวันหยุดพัก มันไม่เหมือนกันฉะนั้นคริสเตียนจึงไม่เข้าใจและคิดว่าวันอาทิตย์ก็คือวันหยุดวันสะบาโต
แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ก็คือวันเสาร์ หกโมงเย็นของวันศุกร์ จนถึง หกโมงเย็นของวันเสาร์ และสำหรับสะบาโตของยิวเขาจะไม่ทำกับข้าว เขาจะไม่ทำงาน คนใช้ทาสก็ต้องหยุดไม่มีใครทำงาน ตอนหกโมงเย็นของวันศุกร์ จนถึงหกโมงเย็นของวันเสาร์
แล้วถามว่าเขากินอะไร เขาทำอะไร?
เขาใช้เวลาเพื่ออยู่กับครอบครัว ใช้เวลาเพื่ออ่านพระคัมภีร์ สอนพระคัมภีร์ให้ลูกๆ และคนใช้ก็พักผ่อนก็ดีใจมีโอกาสได้พักผ่อน
ทีนี้ก่อนที่จะถึงหกโมงเย็นของวันศุกร์ ยิวจะทำกับข้าวไว้ล่วงหน้าเพื่อเขาจะได้ทานอาหารเย็นและอาหารเช้าอาหารบ่าย ตอนเย็นของวันศุกร์และตอนเช้าของวันเสาร์ เขาทำกับข้าวไว้ก่อนแล้ว ล้างถ้วยล้างชามทำงานทุกสิ่งก่อนที่จะถึงหกโมงเย็น จากนั้นเขาก็หยุด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ทำอะไร
เรามาถึงยอห์นบทที่ 20 เราพบว่ามีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมขอบพระคุณพระเจ้าและขอบพระคุณที่พระเยซูให้เห็นความหมายที่น่าสนใจ ก็คือในข้อที่ 4 เริ่มจากข้อที่ 2 ก็คือ มีเปโตรได้ข่าวจากผู้หญิงสองคนว่าไม่เห็นพระศพของพระเยซู
เปโตรและสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรัก อันนี้เรารู้ดีว่าคือยอห์น ท่านยอห์นเขียนหนังสือยอห์น และไม่ต้องการเปิดเผยว่าใครเป็นคนโปรดปรานที่สุด เป็นคนที่พระเยซูรักมากที่สุด เรารู้นะครับว่าผู้ชายคนนั้นคือยอห์น และตอนที่รับประทานอาหารหลายครั้งที่ยอห์นเอนกายลงที่พระเยซู
แต่ในข้อที่ 4 เขาจึงวิ่งไปทั้งสองคน คือยอห์นกลับเปโตรวิ่งไปที่อุโมงค์ แต่สาวกคนนั้น ก็คือท่านยอห์น สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน เราเห็นอะไรไหมครับในข้อนี้
คนที่รักพระเจ้ามาก คนที่สนิทในพระเจ้ามากก็จะวิ่งเร็วกว่า ก็จะทำได้ดีกว่า ทำมากกว่า กระตือรือร้นกว่า ร้อนร้นกว่า ทำมากกว่าพูด เราเห็นไหมครับ เราตอนนี้กำลังเป็นยอห์นหรือเป็นเปโตรอยู่
ถ้าอยากเป็นยอห์นไม่ยากครับ "รัก" เราเห็นไหมครับสามปีกว่าที่ยอห์นอยู่กับพระเยซู ยอห์นรักพระเยซู ใกล้ชิด พูดคุย นอบน้อมถ่อมตน
แต่เปโตร คือใส่ใจเรื่องถาม และใส่ใจเรื่องบำเหน็จ "ข้าพระองค์จะได้อะไร ติดตามพระองค์มาเนี้ย ได้อะไร" และเปโตรจะเป็นคนที่ชอบมีตำแหน่ง
แต่ยอห์นถ่อมใจอยู่ใกล้พระเยซูเงียบๆ แล้วพระเยซูก็โปรดปรานผู้ชายคนนี้มากรักเขามาก
เมื่อมีความรักมากอยู่กับใคร อยู่ที่ไหน ความรักก็ทำให้เราร้อนรน กระตือรือร้น ทำทุกสิ่งด้วยความไม่กลัว ด้วยความกล้า ขอบพระคุณพระเจ้าที่สอนเรา ให้รักพระองค์ให้มาก เพื่อเราจะทำได้มากกว่า รักพระองค์ให้มาก สนิทในพระองค์มาก เพื่อเราจะวิ่งเร็วกว่า
...
เราเห็นนะครับว่าถ้าผมจะเรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหลาย และเพิ่มเสริมจากพระคัมภีร์เล่มอื่น คือข้อแรกก็คือพระเยซูถูกตรึงและตายที่กางเขนในเวลาบ่ายสามของวันศุกร์ และฟื้นคืนตอนเช้าของวันอาทิตย์ ก็คือสามวัน
แล้วถามว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์สามวัน พระองค์ไปไหน อันนี้ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ได้เปิดเผยให้เราทั้งหลายได้เข้าใจแล้ว ก็คือพระเยซูไปประกาศกับคนตายในแดนคนตาย ก็คือ (ฮาแดช) เป็นเวลาสามวัน และเมื่อพระเยซูเสด็จมา
ถามว่าทุกวันนี้มีการประกาศไหม มีนะครับ เรื่องความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์ทุกคนที่ตายไปและตอนที่อยู่ในโลกนี้ที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐ ก็จะได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูอยู่ที่แดนคนตาย ถามว่าทำไม เพื่อจะไม่มีใครมีข้ออ้างหรือแก้ตัวว่า ข้าพระองค์ไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐเลย จะให้รับเชื่อได้ยังไง สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นกับมนุษย์โลก
เนื่องจากว่าข่าวประเสริฐมีอยู่ในโลกนี้ และข่าวประเสริฐก็มีอยู่ในแดนคนตาย เพื่อคนที่พลาดไม่ได้ยินข่าวประเสริฐจากคริสเตียน เพราะฉะนั้นพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่รอบคอบ เพื่อจะไม่มีใครกล่าวหาต่อว่าพระองค์ได้
...
หลังจากนั้นเมื่อพระเยซูหายไปจากอุโมงค์ ผู้หญิงสองคนก็ไปบอกสาวกแล้วสาวกก็มาเนื่องจากว่าไม่เห็นพระศพของพระเยซูอยู่ในอุโมงค์ นางมารีย์ไม่ยอมไปไหน เมื่อสาวกมาแล้วก็ไม่เห็นพระศพของพระเยซู แล้วผู้หญิงอีกคนก็กลับไปพร้อมกับสาวก แต่นางมารีย์สาวกคนหนึ่งไม่ใช่มารดาของพระเยซู มารีย์คนนี้เป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูไม่ยอมกลับบ้าน แต่นั่งอยู่ข้างนอกของอุโมงค์
แล้วเหลียวมองเข้าไปข้างในเป็นระยะๆ ต่อมาไม่นานก็เห็นทูตสวรรค์สองตนอยู่ข้างใน ถามว่ามาหาใครมองอะไร นางก็บอกว่ามองหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูตสวรรค์สองตนก็บอกว่าไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วฟื้นคืนพระชนม์แล้ว จากนั้นพอเหลียวหันกับมาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นพระเยซู และพระเยซูก็ถามก็คุยกันทั้งสองคุยกัน จากนั้นนางมารีย์ก็เริ่มรู้เริ่มเห็นชัดเจนว่าเป็นพระเยซูแล้ว
ก็อยากกอด อยากแตะต้องพระองค์เนื่องจากว่าตื่นเต้นดีใจมาก แต่พระเยซูตรัสว่า อย่าแตะต้องเรา
เมื่อพระเยซูไปประกาศข่าวประเสริฐสามวันที่แดนคนตาย พระองค์เสด็จกลับมาที่อุโมงค์เพื่อพบกับผู้หญิงสองคนนี้ แต่พระเยซูยังไม่ได้เสด็จไปถึงพระบิดาในเช้าวันอาทิตย์ และพระเยซูก็บอกว่าอย่าแตะต้องเรา ยังไม่ถึงเวลาเรายังไม่ได้ขึ้นไปถึงพระบิดา
จากนั้นพระเยซูหายไป แล้วสาวกก็รวมตัวกันอยู่รออยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง และพระเยซูขึ้นไปหาพระบิดานำพระโลหิตของพระองค์ไปถวายแก่พระบิดา และพระบิดาก็รับและการยกโทษบาปผ่านทางพระโลหิต ผ่านทางการตายของพระเยซูก็ได้รับการคอนเฟิร์มจากพระเจ้า พระเจ้ายอมรับพระเจ้ายินยอมต่อการตายเพื่อไถ่บาปชาวยิวก่อนและคนทั้งโลก
ขอบคุณพระเยซูพระโลหิตของพระเจ้าทุกวันนี้ ได้รับการยืนยันคอนเฟิร์มแล้วว่าเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น ที่สามารถไถ่บาปโลกได้ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราไม่กลัวพระเจ้าได้ เข้ามาหาพระเจ้าทุกวันทุกเวลาทุกโอกาสทุกนาที ทั้งๆ ที่เรามีบาปเต็มอยู่ เราก็มาหาพระเจ้าได้โดยมาทางพระโลหิตนี้
และขอบพระคุณพระเจ้าเราไม่ต้องฟ้องผิดอีกต่อไป อย่าฟ้องผิดเราทำบาปเราทำชั่วเราทำอะไรใครเป็นอะไร ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องที่กลับใจ และขอบคุณพระเจ้าที่ทำบาปน้อยลงก็เอเมน
แต่สำหรับพี่น้องบางคนที่ทำบาปมาก ยิ่งทำคือทำบาปที่ยิ่งใหญ่ คนเรามีพื้นฐานที่แตกต่างกันไป บางคนก็มีความคิดมีตัวบาปที่มันทำงานแล้วเราก็ทำความบาปความชั่วเยอะมากกว่าใคร จนเกิดความอับอาย แต่เมื่อมาหาพระเยซู พระโลหิตตั้งไว้แล้วสำหรับคนเหล่านี้ คือเข้ามาหาพระเจ้าทั้งที่คุณยังทำบาปอยู่ คุณเป็นคนบาปมาก ชั่วมาก ทำอะไรมากมายคุณไม่ต้องอายไม่ต้องฟ้องผิด มาหาพระเจ้าได้ทุกเวลาโดยทางพระโลหิต ขอบคุณพระเยซู
...
เราจำกันได้นะครับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นผู้รับใช้ และเขาใช้ชีวิตที่มีปมมีภาระหนัก แบกภาระหนักไว้ตลอดเวลา ศิษยาภิบาลท่านหนึ่งได้ไปเยี่ยมเขา แล้วเขาก็เปิดเผยอธิบายแล้วก็ขอ อจ.คนนั้นอธิษฐานเผื่อ เขาบอกว่ายังมีบาปหลายสิ่งที่ทำอยู่แล้วก็ไม่กล้าเปิดเผยกับใคร แล้วรู้สึกอายไม่กล้าเข้าหาพระเจ้า มันเป็นอุปสรรคเป็นสิ่งที่กีดขวางขัดขวาง
ในแต่ละวันจะอธิษฐานคือกลัว คือไม่มั่นใจว่าพระเจ้าจะรับฟังหรือไม่ แต่ศิษยาภิบาลคนนั้นก็บอกว่าในพระคัมภีร์มีตอนหนึ่งที่บอกว่า เราไม่ต้องฟ้องผิดเนื่องจากว่าพระโลหิตเป็นสิ่งที่พระเจ้ายืนยันและรับยอมรับ ว่าให้เป็นเครื่องเป็นสิ่งที่พวกเราเข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระโลหิตได้ และไม่ต้องฟ้องผิด ไม่ต้องมีอาการฟ้องผิด ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น เข้ามาหาพระเจ้าได้ ทั้งๆ ที่เรายังทำบาปยังมีบาปและมีความกลัว (ฮบ 10:19 / 1 ยน 1:9)
ขอบคุณพระเยซูสำหรับพระโลหิตที่ตั้งไว้เมื่อ 2,000 ปีก่อน ผู้หญิงคนนี้เลยได้รับการปลดปล่อยและเข้ามาหาพระเจ้าทุกวันทุกเวลาได้
สรรเสริญพระเจ้า เขาเติบโตสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซูในเวลาต่อมา
สุดท้ายก็คือพระโลหิตของพระเยซูตั้งไว้ พระบิดายอมรับเพื่อซาตานจะไม่มีโอกาสไม่มาฟ้องพระเจ้าได้อีก พระเจ้าไม่รับคำฟ้องจากมารซาตาน ซึ่งเมื่อก่อนเราเห็นนะครับว่ามารซาตานจะไปหาพระเจ้า ไปๆ มาๆ ไปฟ้องพระเจ้า ดูสิโยบทำผิด ดูสิเปาโลทำบาป ดูสิคนนี้ทำบาป ดูสิ
แต่วันนี้มันจะมาหาพระเจ้าบอกว่า ดูสิเขาคนนั้นทำบาป คุณโน่นนี่นั่นทำอันนั้น ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าไม่รับคำฟ้อง เพราะว่ามีทนายอยู่ที่นี่ ก็คือพระเยซู และมีพระโลหิตตั้งไว้เพื่อไม่ให้ใครมาฟ้องผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นลูกๆ ของพระองค์อีก เนื่องจากว่าพระองค์ทรงรักเรา ขอบคุณพระเจ้าที่รักเรามากจนป้องกันทุกสิ่งไม่ให้เรากลัว ไม่ให้เราฟ้องผิด ไม่มีใครมาทำอะไรเราอีกต่อไปได้ ขอบคุณพระเยซู
...
ในวันเดียวกันหลังจากที่พระเยซูตรัส อย่าแตะต้องเรา เรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดา จากนั้นพระเยซูก็หายไป พระองค์เสด็จขึ้นไปนะครับอันนี้ไม่มีในพระคัมภีร์นะครับ พระองค์เสด็จขึ้นไปไปหาพระบิดาและไปถวายพระโลหิตจากนั้นก็เสด็จกลับมา
เมื่อเสด็จกลับมาพระองค์มาพร้อมกับสง่าราศี และพระองค์มาพร้อมกับสิ่งใหม่ที่พระองค์ได้รับ ก็คือพระบิดาประทานสิทธิอำนาจให้พระเยซู มีอำนาจสามารถแจกจ่ายชีวิตของพระองค์ได้ ก็คือถ้าจะเรียกว่า Copy เพื่อให้เข้าใจ แต่ไม่ใช่ Copy นะครับ ก็คือตัวตนชีวิตของพระองค์จริงๆ
เมื่อผู้เชื่อมีสิบคน พระเยซูจะแบ่งชีวิตสิบชีวิต ประทานชีวิตของพระองค์ให้สิบชีวิต ก็คือพระเยซู 100% พระวิญญาณพระเยซู 100% ไม่ใช่ Copy ไม่ใช่โคลน เป็นพระเยซูเอง 100% ที่มาอยู่กับผู้เชื่อสิบคนนั้น
เมื่อมีสองร้อย สองหมื่น สองแสน สองล้าน พระเยซูก็แบ่งชีวิตของพระองค์เป็นสองหมื่น สองแสน สองล้าน ให้แก่ผู้เชื่อเหล่านั้นทุกคนได้รับเท่ากัน ไม่ใช่ว่าส่วนหนึ่งของพระเยซู ไม่ใช่พระเยซู 50% แต่เป็นพระเยซูเอง
ทุกวันนี้ คุณ ผม เรา ทุกคนที่เชื่อพระเยซู มีพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระเยซูครบถ้วนบริบูรณ์ 100% เข้ามาอยู่ในเรา เราขอบพระคุณพระเจ้า เราที่ไม่มีค่าอะไรเราที่ไม่มีอะไรดี แต่เมื่อเชื่อพระเจ้าก็ชำระเราให้บริสุทธิ์ และเข้ามาสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเข้ามาอยู่กับคนต่ำต้อยเล็กน้อยอย่างพวกเรา
เราขอบพระคุณพระเจ้าสรรเสริญพระเจ้า ที่พระเจ้ายิ่งใหญ่และพระเจ้ามีพระคุณ ความดี ความรัก ความเมตตา ต่อเราทั้งหลาย
เราเห็นนะครับว่าเมื่อพระเยซูตรัสว่า เมื่อพระเยซูระบายวิญญาณ ระบายลมหายใจ "คำว่าลมหายใจ" หรือวิญญาณเป็นคำเดียวกันในภาษาฮีบรู เพราะฉะนั้นคำพูด คำพูด ซึ่งผ่านลมหายใจเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพระเจ้า
การที่จะพูดอะไร ขอให้พูดด้วยเอเมน ขอให้พูดด้วยความเชื่อ ที่ว่าพระเจ้าพูดกับเราพระเจ้าพูดผ่านเรา ทุกสิ่งที่เราพูดมันมีอำนาจมีฤทธิ์เดช สามารถช่วยคนที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาได้ ช่วยคนที่สิ้นหวังให้กลับมามีความหวังได้
เพราะฉะนั้นพระเจ้าสร้างคำพูดลมหายใจวิญญาณใหม่ของเรา เพื่อให้เราพูดในสิ่งที่เป็นบวก ทุกสิ่งที่พูดออกมาขอให้เป็นบวก อย่าประชดใคร อย่าพูดใส่ใคร อย่าซุบซิบนินทาใคร อย่าใช้คำพูดเพื่อทำร้ายใคร
แต่ขอให้คำพูดเต็มด้วยความเค็มรสเค็ม ซึ่งเป็นคำพูดของพระเยซูที่พูดผ่านเรา พูดด้วยความรัก ถึงแม้ว่าเรายังจะไม่ได้ทำอะไรไม่ได้ช่วยใคร แต่คำพูดของเราขอให้เป็นสิ่งที่ช่วยก่อน เราขอบพระคุณพระเยซู
...
สำหรับเนื้อหาที่สำคัญที่สุดในบทนี้ 20:1-18
ก็คือพระเยซูยังไม่ได้รับเกียรติจากพระบิดา ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง พระเยซูที่มาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นผู้ชายคนหนึ่ง จากนั้นก็ตายเพื่อไถ่บาปโลก และขึ้นไปหาพระบิดา การเปลี่ยนแปลงของร่างกายของพระเยซูการได้รับสง่าราศีได้รับเกียรติจากพระบิดา ก็คือพระเจ้ามอบสิทธิอำนาจให้พระเยซู มีสิทธิอำนาจในการประทานชีวิตของพระองค์ คล้ายๆ กับโคลนหรือ Copy คล้ายๆ แต่จริงๆ เราก็เป็นชีวิตของพระเยซู 100% เพื่อเข้ามาอยู่ในเรา
เราเห็นนะครับว่าพระเจ้าประทานพระบัญญัติให้แก่เราในหนังสือมัทธิว แต่เราเห็นตรงนี้ใช่ไหมว่าในหนังสือยอห์นเน้นเรื่องชีวิตใหม่ เรื่องพระเจ้าทำแทน เรื่องการเกิดผลด้วยการต่อติดอยู่กับเถาองุ่น เราเป็นกิ่งก้าน แล้วการเกิดผลก็คือพระเจ้าเป็นคนทำให้คุณเกิดผล ไม่ใช่คุณเองที่จะทำเอง
และมาถึงการบังเกิดใหม่ เมื่อรับพระเจ้าต้อนรับพระเยซู เราได้รับพระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในเรา พระเยซูอยู่ในเรา พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา ในโคโลสี 1:27 เปิดเผยข้อลึกลับนี้ ก็คือพระคริสต์อยู่ในเรา เพื่ออะไร? เป็นความหวังแห่งสง่าราศี
ทุกวันนี้คริสเตียนมากมายไม่มีสง่าราศี สง่าราศีคืออะไร?
ตรงนี้ไม่ได้เปล่งปลั่งผิวพรรณสดใส เป็นคริสเตียนแล้วหน้าตาดีเหมือนเด็ก หน้าตาหล่อเหลาสวยงาม ไม่มีสิวไม่มีฝ้า ไม่ใช่นะครับ
แต่สง่าราศีตรงนี้สำหรับพระเจ้า มันเป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ มันเป็นเรื่องความดีของพระเจ้า พระเจ้าไม่มีตัวตน พระเจ้าไม่มีร่างกาย พระเจ้าไม่มีใบหน้าที่เป็นสิวเป็นฝ้าเป็นอะไร แต่พระเจ้ามีนิสัย 4 ประการ ความรัก ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความจริง
เพราะฉะนั้น ความหวังแห่งสง่าราศี ก็คือคริสเตียนคนนั้นเมื่อเราเชื่อพระเยซู ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไป แล้วเกิดมีนิสัย ชีวิตนิสัยของพระเจ้าปรากฏออกมาผ่านเขาให้โลกได้เห็น ไม่ใช่เห็นเขาอีกต่อไป
เมื่อก่อนเขาคนนั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เป็นคนที่ขี้โมโห เป็นคนที่โกรธมาก เป็นคนที่ขี้โรค เป็นคนที่มีกิเลสตัณหา เป็นคนที่มีอะไรต่อมิอะไรเป็นชีวิตนิสัยของซาตาน แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนแปลงไป นี่นะครับคือเมื่อเขารับพระเยซูเข้ามาและรู้อยู่แก่ใจว่าพระเยซูเป็นคนทำแทนเขา (ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า)
และจากนั้นเมื่อพระคริสต์อยู่ในเรา ก็เป็นความหวังแห่งสง่าราศี ก็สำแดงชีวิตและนิสัย 4 ประการออกมา ความรัก ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม ความเป็นจริง
ขอบคุณพระเยซูที่มีวันนี้ ที่มีวันที่มีพระเยซูเป็นความหวังแห่งสง่าราศีของพวกเรา เราเคยเป็นทาสของบาป เราอยู่ในการบาป เราเป็นคริสเตียนมานานหลายปี เราไม่ได้รับการปลดปล่อยยังหน้าซื่อใจคดเหมือนเดิม ใส่หน้ากาก แต่จริงๆ แล้วนิสัยชีวิตก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ดีไม่ดีแย่กว่าเดิมนะครับหลายคนนะครับ
แต่วันนี้เป็นวันที่เรารอคอย คือเมื่อเรารับพระคำล้ำลึก รับมานาที่ซ่อนไว้ เราได้เห็นภาพที่สวยงามมาก คือพระเยซูเป็นคนที่ใช้ร่างกายของเราอวัยวะของเราในการพูด ในการกระทำ ในการรักเพื่อนบ้าน ในการรักศัตรู ในการกระทำคุณความดี เกิดผลแห่งพระวิญญาณต่อผู้อื่นที่อยู่รอบข้างเรา
...
มีผู้ชายคนนึงถามพระเยซู (มธ 19:25) ว่าเรื่องที่จะรอดทำไมมันยากแบบนี้ แล้วใครจะรอดได้
แล้วพระเยซูตรัสว่าใช่สำหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าเป็นไปได้
เรามาถึงจุดนี้แล้วนะครับ เรามาเห็นหนทางช่องทางที่พระเยซูพูด เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจใช่ไหม เราก็แค่หวังพึ่งลมๆ แล้งๆ เราก็แค่หวังพึ่งว่ารอคอยว่าเมื่อไหร่เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่เห็นสักทีนึง 10 ปีผ่านไป 20-30-40 ปีผ่านไปจนตาย หลายคนยังไม่ได้เห็นเรื่องคำที่พระเยซูสัญญาสำหรับพระเจ้าทุกสิ่งก็เป็นไปได้ ไม่มีใครเห็น
สาวกถามนะครับว่าถ้ามันยากแบบนี้ พระบัญญัติหนักเหลือเกิน ใครจะรอดได้ แต่พระเยซูตรัส สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้ไม่ต้องห่วง
ขอบคุณพระเยซูสำหรับถ้อยคำนี้ วันนี้มันกระจ่างทะลุปรุโปร่งชัดเจนต่อหน้าต่อตาเราแล้ว ขอบคุณพระเยซูเพราะว่ามันเป็นไปได้เนื่องจากว่าพระเยซู เป็นผู้สถิตอยู่ในเรา และอยู่กับเรา และทำแทนเราทุกสิ่ง เอเมน
ถาม.
ยอห์นบทที่ 20 ข้อ 14-15 ทำไมมารีย์จำพระเยซูไม่ได้ครับ เพราะว่าพระเยซูก็คือกำลังฟื้นขึ้นมาใหม่ แล้วก็ไม่ได้ปลอมตัวอะไรมาครับ
ตอบ.
สำหรับพระเยซูที่ฟื้นขึ้นมาใหม่ร่างกายไม่ใช่ร่างเดิมอีกแล้ว แต่เป็นร่างกายที่ผิวสดใสมากๆ อย่าลืมนะครับว่าพระเยซูมาจากเผ่ายูดาห์ แล้วเผ่ายูดาห์ ก็คือมีผิวหนังที่ค่อนข้างจะเหมือนกับชาวอาหรับ ถ้าเราจะดูเราเห็นคนเลบานอนทุกวันนี้ ก็คือแขกนี่เองแขกที่มีผมหยิกๆ ผมดำผิวสีไม่ขาวเหมือนฝรั่ง
แต่พอพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ ร่างกายของพระเยซูกายนั้นเป็นกายทิพย์แล้ว เป็นกายทิพย์ และมีสง่าราศี และผิวสดใสมาก ลองนึกดูใครก็ได้ที่เมื่อก่อนผิวคล้ำผิวไม่สวยเลยตากแดด ผิวไม่สวยผิวคล้ำผิวดำแต่อยู่ดีๆ คนๆ นี้ เข้ามาอยู่ในเมือง แล้วก็ปรากฏว่ากินอาหารบ้างใช้สบู่ครีมอะไรก็แล้วแต่อยู่ 2-3 เดือน ต่อมารู้สึกว่าผิวสดใส พอกลับบ้านไปพ่อแม่ชาวบ้านเพื่อนบ้านเพื่อนสนิทเขาจำแทบไม่ได้
เราเห็นความแตกต่างนะครับ นี่คือตัวอย่างแค่ตัวอย่างนะครับ และพระเยซูนะครับเมื่อพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ ผิวสดใสไม่คล้ำไม่เหมือนชาวยิวในสมัยก่อน เป็นผิวที่สดใส นางมารีย์จึงมองเห็นและจำไม่ได้จำแทบไม่ได้
แต่ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสกับนางและนางก็ดูดีๆ ดูให้ชัดเจนและคำพูดของพระเยซู น้ำเสียงของพระเยซูที่นางมารีย์เดินติดตามพระเยซู 3 ปีกว่า จึงจำได้ว่าเป็นพระเยซู ถ้าพระเยซูไม่พูดเลยแล้วยืนนิ่งๆ แน่นอนที่สุดนางมารีย์จะทำไม่ได้ เราเห็นตัวอย่างนะครับ
...
สำหรับพี่น้องหลายคนที่เห็นนิมิต หลายคนที่พระเยซูเสด็จมาปรากฏในความฝันบ้าง จะเห็นว่าคือร่างกายของพระองค์มีสง่าราศี คือ (glow -โกลว์) ก็คือเปล่งปลั่ง ไม่เหมือนคนธรรมดาดูไม่เหมือนธรรมดาดูไม่ธรรมดา นี่คือตอนที่พระเยซูเสด็จมาแล้ว ก็ปรากฏกับเราทั้งหลายในนิมิตในความฝัน
และโดยเฉพาะตอนนั้น ก็คือตอนที่สาวกทั้งหลายได้เห็น และไม่เพียงแต่นางมารีย์ โธมัสและสาวก 12 คนยังแปลกใจ เมื่อพระเยซูพูด เราเอง คือเรานี่แหละ หลายคนยังสงสัย ไม่น่าจะใช่นะ ใช่หรือเปล่าพระองค์ ใช่พระองค์เหรอ
แล้วพระเยซูก็ตรัสว่า เอานิ้วมาแยงมาแตะดูสิที่มือเรา หลังจากนั้น โธมัสก็ทำก็ยอมรับก็เชื่อ สาวกทั้งหลายก็เริ่มเชื่อนะครับ เราเห็นความแตกต่างระหว่างร่างกายดินกับร่างกายแห่งสง่าราศี ร่างกายที่ฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาใหม่ เราทั้งหลายผู้เชื่อก็จะได้รับร่างกายแบบนั้นเช่นเดียวกันกับพระเยซู เมื่อถึงเวลายุคอาณาจักรมาถึง ไม่มีเจ็บไข้ ไม่ต้องใช้ครีม ไม่ต้องใช้โลชั่น ไม่ต้องใช้อะไรทั้งนั้น ผิวจะขาวสดใสด้วยครีมของพระเยซูยี่ห้อฝ่ายวิญญาณ
ผมเห็นนะครับว่าคริสเตียนมากมายทุกวันนี้ก็ยังห่วงเรื่องผิว เรื่องใบหน้า เรื่องความสวยไม่สวย เรื่องจมูกบ้าง เรื่องสิวฝ้าบ้าง หลายคนก็มาฝากอธิษฐานกับผม อาจารย์อธิษฐานเผื่อด้วยนะสิวเยอะ ผมก็บอกเอเมน..โอเค..ขอบคุณพระเยซู ก็แค่นั้นนะครับ
จริงๆ ก็น่าจะพูดกับเขาว่าเราไม่จำเป็น เราขอบพระคุณพระเยซู เรารักษาเท่าที่รักษาได้ ความสะอาด หรือรักษาร่างกายของเราใบหน้าของเรา แต่เราไม่ต้องถึงกับว่าเป็นห่วงกระวนกระวาย กลุ้มใจ ไม่ถึงขนาดนั้นก็ได้
เนื่องจากว่าคุณจะไปเสริม คุณจะไปฉีด คุณจะไปทำอะไรก็ตาม แต่พอถึงยุคพันปี หน้าคุณก็จะกลับไปเป็นหน้าเดิมนั่นแหละ จมูกก็จะกลับไปเป็นจมูกเดิมนั่นแหละ
แต่คุณรู้ไหมความสวยงามความหล่อไม่ได้อยู่ที่หน้าตา สำหรับพระเจ้า พระเจ้ามองที่จิตใจภายใน เราจำกันได้นะครับนางงามจักรวาลคือคนที่มีคุณสมบัติมีชีวิตและนิสัยของพระเยซูอย่างครบ ก็จะได้รับรางวัลที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เอเมน
ถาม.
หนังสือยอห์นพูดถึงความหมายพูดถึงฝ่ายวิญญาณ แต่ข้อที่ 7 นี้พูดถึงผ้าพันศีรษะของพระเยซูไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก มีความหมายฝ่ายวิญญาณไหมครับ
ตอบ.
อุโมงค์ – ผ้าป่านที่ใช้เพื่อพันพระศพพระเยซู – ผ้าพันศรีษะ มีส่วนในการฝังพระศพของพระเยซู
แสดงถึงความเสียสละของสาวกสามคน เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นและก่อนจากไปพระเยซูทรงพับเอาไว้ แสดงถึงการไม่ลืมและเอาใจใส่ในความรักที่เราเสียสละและทำทุกสิ่งเพื่อพระเจ้า
พระองค์จะพับไว้เป็นอย่างดี ไม่ลืมสิ่งเหล่านั้นที่เราได้ทำ ไม่ว่าจะเรื่องเสียสละในการประกาศ การช่วยเหลือพี่น้องและคนยากจนขัดสน และผู้รับใช้ของพระเจ้า พระองค์จะจดและจำและตอบแทนเราในเวลาอันควร เอเมน
ถาม.
ทำไมพระเยซูบอกว่าไม่ให้นางมารีย์แตะต้องพระองค์คะ ในข้อนี้อธิบายว่าพระเยซูห้ามไม่ให้ใครแตะต้องพระองค์ เพราะว่าต้องไปถวายพระโลหิต มีเหตุผลอย่างอื่นไหมคะ เช่นว่านางมารีย์ยังเป็นคนบาปอยู่ พอพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วก็เต็มไปด้วยสง่าราศี เลยทำให้นางมารีย์แตะต้องไม่ได้ถ้าแตะต้องจะตายอันนี้ใช่ความหมายไหมคะ
ตอบ.
ถ้าแตะต้องพระเยซูเขาไม่ตายนะครับ แต่พระเยซูจะมีมลทินนะครับ
สำหรับพระเจ้าคือความบริสุทธิ์ ก็คือห้ามมีอะไรมาผสมอยู่ด้วย คือทองคำนะครับ ทองคำร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มีตะกั่วไม่มีสารไม่มีเหล็กไม่มีอะไรที่มาผสมอยู่ด้วย แม้แต่ชิ้นเดียวแม้แต่นิดเดียว สำหรับพระเจ้าทองคำ ก็คือร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็คือร้อยเปอร์เซ็นต์จึงเรียกว่าบริสุทธิ์ได้
ทุกวันนี้เราเอาทองคำของเราไปขายที่ร้านทองที่ห้าง แล้วเราบอกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์นะ แล้วปรากฏว่าเขาจะเผาด้วยไฟใช่ไหม แล้วมันจะมีตะกั่วอยู่บ้าง เขาก็บอกว่าเนี่ยไม่บริสุทธิ์ ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือมันมีตะกั่วผสมอยู่
ความหมายนะครับ ก็คือเล็งถึง ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือการที่ไม่มีอะไรมาแตะต้อง ในสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของความผิดบาป นางมารีย์สาวกของพระเยซูก็เป็นหนึ่งในสาวกทุกคน และเป็นหนึ่งในหลายๆ คนอยู่ในโลกนี้ มนุษย์โลกทั้งโลกเป็นคนบาปไม่มีความบริสุทธิ์
เมื่อมีการถวายเครื่องบูชา เขาต้องทำพิธี เขาต้องอธิษฐาน เขาต้องทำการชำระ จึงถวายแด่พระเจ้าในพระวิหารได้ นี่คือการกระทำของชาวยิวนะครับ เขาเคร่งครัดมากมีขั้นตอนหลายขั้นตอนที่พระเจ้าสั่งว่า ต้องทำแบบนี้ ต้องทำแบบนั้น เราจึงจะรับเครื่องถวายจากเจ้าได้
และเมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย เป็นผลแรกของโลกใหม่ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งใครจะแตะไม่ได้ ถ้ามีคนแตะนะครับ ก็คือพระเยซูก็กลายเป็นมลทิน ก็เป็นเครื่องถวายบูชาไถ่บาปแด่พระเจ้าไม่ได้ เข้าใจกันนะครับ
คือพระเยซูจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกสุดท้ายก็ไม่บริสุทธิ์ ก็ไม่ถึงพระบิดาและถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปไม่ได้ จริงๆ แล้วเมื่อก่อนเรายังไม่มาถึงมานาที่ซ่อนไว้ ความรู้ล้ำลึกนี้ เราอาจจะไม่เข้าใจใช่ไหม แล้วเราแค่คิดนู้นคิดนี่นะครับ คิดไปหลายแบบหลายเรื่อง ว่าทำไมพระเยซูห้ามไม่ให้แตะ หลายคนก็ไม่เข้าใจ ผมก็ไม่เคยเข้าใจ แต่สุดท้ายขอบคุณพระเยซูที่เปิดตาให้ได้เห็นความหมายที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือต้องไปถวายตัวแด่พระบิดา ต้องไปถวายเครื่องบูชา ต้องไปถวายเครื่องไถ่บาป ต้องนำพระโลหิตไปสู่พระบิดาก่อน ถ้าเราไปแตะเลือดไปแตะสิ่งที่ยิวเตรียมไว้สำหรับการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า มันก็กลายเป็นมลทิน เพราะฉะนั้นห้ามใครแตะ
ถาม.
อยากให้อธิบายคำว่า เคลื่อนไปด้วยพระสิริค่ะ
ตอบ.
พระสิริ คืออะไร? สำหรับคริสเตียนศาสนาสำหรับเราซึ่งเมื่อก่อนที่ได้เรียนรู้ได้ฟังได้เข้าใจเราก็คิดไปต่างๆนาๆ พระสิริภาษาอังกฤษก็คือ glory ก็คือสง่าราศีเป็นคำเดียวกัน สง่าราศี พระสิริ
เมื่อก่อนเราคิดว่าเราก้าวไปเราเดินไป เราใช้ชีวิตมีชีวิตอยู่โดยพระสิริของพระเจ้า เราก็คิดว่า เรามักจะคิดว่าเราเดินไปก้าวไปดำเนินชีวิตด้วยอำนาจของพระเจ้าด้วยสง่าราศีของพระเจ้า อำนาจฤทธิ์เดชของพระเจ้า หลายคนเข้าใจแบบนี้
แต่มาถึงจุดนี้นะครับ ก็คือเมื่อเราพบพระคำล้ำลึก เราเห็นว่าเรารู้แล้วนะครับว่าพระสิริ สิริ แปลว่า glory ก็คือสิริ ก็คือสง่าราศี สง่าราศีซึ่งในโคโลสี 4 บทที่ 1 ข้อที่ 27 พระคริสต์อยู่ในเราเป็นความหวังแห่งสง่าราศี เป็นความหวังแห่ง glory
จริงๆ แล้วคำนี้คริสเตียนเราไม่ได้เดินไปด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า เอาฤทธิ์เดชนำหน้า ไม่ได้เดินไปด้วยการที่สำแดงอาการ (glow -โกลว์) ก็คือเป็นคนที่แบบดูดีมากแต่งกายดูดีทรงผมหน้าตาทำให้เหมือนว่าเป็นคริสเตียนที่น่ารัก ไม่ใช่นะครับ
เดินไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ความหมายที่แท้จริง ก็คือการเดินด้วยการสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซูให้โลกได้เห็นพระองค์ผ่านเรา
ขอย้ำนะครับคริสเตียนศาสนาจะไม่เข้าใจจุดนี้ เขาก็ยังคิดว่าเดินไปด้วยฤทธิ์เดช คนๆ หนึ่งต้องมีฤทธิ์เดชของพระเจ้าและการแต่งกายดูดีมากทรงผมหน้าตาดูดีมากนะครับ
ถาม.
ถามข้อที่ 8 "แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงอุโมงค์ก่อนก็เข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ" อยากถามว่าสาวกคนนี้เขาเชื่อเรื่องอะไรคะ เรื่องที่มารีย์บอกว่าพระเจ้าฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว หรือว่าเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าทำนายไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์จะตายและจะฟื้นขึ้นมาใหม่อีก อย่างงี้หรือเปล่าคะ
ตอบ.
พระเยซูพูดหลายครั้งตอนที่อยู่กับพวกเขา ว่าเราจะถูกฆ่าและเป็นขึ้นมาใหม่ภายใน 3 วัน สาวกทั้งหลายก็คิดว่าพระองค์ก็พูดไปงั้นๆ ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจบ้าง สับสนบ้าง งงบ้าง แต่พอมาถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู และสาวกก็คือเปโตรกับยอห์นเข้ามาดูที่อุโมงค์ แล้วปรากฏว่าไม่เห็นพระศพพระเยซู
"เขาจึงเชื่อ" ก็คือเปโตรนะครับ เริ่มเชื่อแล้ว ว่าคำทำนายในพระคัมภีร์เดิมเกิดขึ้นแล้วเป็นจริงแล้ว แล้วคำพูดของพระเยซูก็เป็นจริง คำตอบไม่ยากนะครับอยู่ที่ข้อที่ 9 "เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย" เห็นไหมครับ
เราจำกันได้ไหมว่าสาวกทั้งหลายติดตามพระเยซู คืออาจจะมีความมึนงงอยู่บ้างสับสนอยู่บ้าง เป้าหมายของสาวกทุกคนที่ติดตามพระเยซู ก็คือเขาหวังใจ กับเขามีความหวังว่าพระเยซูจะมาเป็นพระเมสสิยาห์ คือมาเพื่อเป็นผู้ที่ถูกเจิม ให้เป็นกษัตริย์ของชาวยิวเพื่อปลดปล่อยชาวยิวออกจากการอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรโรมัน เขาคิดแบบนั้นนะครับเขาจึงติดตามพระเยซูและเขาคิดว่าจะเป็นผู้ที่เป็นใหญ่ร่วมกับพระเยซูในอาณาจักรของประเทศอิสราเอล
พอพระเยซูสิ้นพระชนม์หลายคนก็หนีไป แต่ด้วยความอาลัย ด้วยความอาลัยในความรักผูกพันที่เขามีกับพระเยซู 3 ปีกว่า ก็มารวมตัวกันอยู่ ซึ่งตอนนั้นเขาไม่มีความหวังแล้วนะครับ แล้วพอเปโตรกับยอห์นได้ยินสาวกบางคนวิ่งไปหาแล้วบอกว่ามาดูๆ พระศพหายไปแล้ว ตอนนั้นเขาก็ยังสงสัยว่าอาจจะมีคนมาขโมยศพ
แต่พอเปโตรมาถึงปุ๊บ เริ่มมีความคิดหนึ่งเริ่มมีสิ่งหนึ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เขาปรากฏให้เขาคิดได้ว่า พระเยซูเคยพูดนี่นา ว่าพระองค์จะถูกฆ่าแล้วฟื้นขึ้นมาภายใน 3 วัน เริ่มปุ๊บแบบนี้เหตุการณ์แบบนี้ในความคิดของเขา เปโตรจึงเห็นและเชื่อครับผม
...
ขอบคุณพระเยซูที่เรามาถึงชีวิตที่เดินด้วยพระสิริของพระเจ้าอย่างแท้จริง ก็คือเดินด้วยการสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซู ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เป็นความหวังแห่งสง่าราศีของพวกเรา
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ประทานพระบัญญัติใหม่ให้แก่เราทั้งหลาย แต่เราทั้งหลายกลับไม่ใช่คนที่ต้องรักษาพระบัญญัตินั้น แต่พระองค์เองเป็นผู้ที่รักเรามาก และเห็นว่าเราไม่สามารถที่จะรักษาพระบัญญัติ เชื่อฟังพระเจ้าจนถึงที่สุดได้ พระองค์จึงเข้ามาอยู่ในเรา ขอบคุณพระเยซูที่ตายแทนเราและอยู่แทนเรา ขอบคุณพระเยซู