* เป้าหมายของบทที่ 9 คือพระเยซูทรงเป็น “ความสว่าง” ที่นำทางคนตาบอดให้มาถึงความสว่าง
* “ความสว่าง” คืออะไร? “ตาบอด” หรือ “ความมืด” คืออะไร?
- ความสว่าง คือ ความจริง / ความจริง คือ ความเป็นจริงในฝ่ายวิญญาณ
- ความมืด คือ ความไม่จริง / ความไม่จริง คือ การที่ตาเรามองเห็น หูได้ยิน ตามอารมณ์และความรู้สึก
...
1. เมื่ออาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขาก็ตกหล่นจากความสว่าง (ความจริง) ของพระเจ้า
2. มนุษย์ต้องเดินในทางแห่งความมืดหลายพันปี
3. พระเยซูนำความสว่าง (ความจริง) ของพระเจ้าเข้ามายังโลกอีกครั้ง
4. เมื่อพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ โลกแห่งฝ่ายวิญญาณก็เปิดออก ความสว่างหรือความจริงของพระเจ้าอยู่ในโลกวิญญาณ ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งเนื้อหนัง
5. คริสเตียนจึงสามารถเข้าไปอยู่ หรือดำเนินชีวิตในความสว่าง (ความจริง) ของพระเจ้าได้ด้วยความเชื่อ
6. ความเชื่อ คือ สิ่งเดียวเท่านั้นที่ผู้เชื่อต้องใช้เพื่อดำเนินในความสว่างนี้
- วันไหนเราเหนื่อย อ่อนล้า ง่วงนอน ขาดสุข ขาดกำลัง เราก็อยู่ในอาดัมหรืออยู่ในความไม่จริงหรืออยู่ในความมืด
- แต่การย้ายเข้ามาอยู่ในความจริงของพระเจ้านั้น เราเพียงแค่อธิษฐานด้วยความเชื่อ ทั้งบอกตัวเองและบอกพระเจ้าว่า...
“ข้า ไม่เหนื่อย เอเมน / ข้าไม่อ่อนล้า เอเมน / ข้าไม่ง่วงนอน เอเมน / ข้ามีสันติสุข เอเมน / ในพระเจ้ามีแต่สิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้น สิ่งที่เป็นด้านลบนี้ คือ ความมืดและความไม่จริง เอเมน โอ้ พระเยซู เอเมนข้าอยู่ในพระองค์แล้ว เอเมน ข้าอยู่ในพระวิญญาณ เอเมน” (1 คร 1:30)
ยอห์นบทที่ 9:1-14
* เป้าหมายของบทที่ 9 คือ
1.พระเยซูเป็นความสว่างที่นำทางคนตาบอดให้มาถึงความสว่าง เพื่อ
2.ไม่ต้องอยู่ในรูปแนวศาสนาที่เน้นกฏเกณฑ์ แต่อยู่ในรูปแนวชีวิตที่เน้นความรักเมตตาเป็นใหญ่
* เนื่องจากว่าคริสเตียนชอบมองกันที่ถูกผิดตามอย่างศาสนาเดิมของเขา และไม่รู้จักความหมายที่แท้จริงของคำว่า ความสว่างของพระเจ้าคืออะไร
* ความสว่างของพระเจ้าคืออะไร คือเรื่องยุคเก่าและยุคใหม่ พระบัญญัติเดิมและพระบัญญัติใหม่ ยิวเก่าและยิวใหม่ ชีวิตเก่าและชีวิตใหม่ เรื่องการชำระให้บริสุทธิ์ทางความเชื่อ เรื่องวิหารหลังใหม่ของพระเจ้าที่เป็นที่อยู่ถาวรของพระองค์คือชีวิตผู้เชื่อ เรื่องการได้เข้าส่วนในการตายและเป็นขึ้นกับพระเยซู เรื่องเดินด้วยความเชื่อเริ่มต้นด้วยเชื่อและจบด้วยเชื่อเพื่อเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตในความจริงของพระเจ้า เรื่องคริสตจักร เรื่องการอธิษฐาน เรื่องการนมัสการ การอ่าน การปรนิบัติ การรับใช้ การประกาศ การใช้ชีวิตที่ไม่ใช่เราเองเป็นคนมีชีวิตอยู่ ฯลฯ
9:1 และขณะที่พระเยซูเสด็จผ่านไปนั้น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งซึ่งตาบอดมาตั้งแต่เกิด
9:2 และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ โดยทูลว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา ที่เขาเกิดมาตาบอด”
9:3 พระเยซูตรัสตอบว่า “ชายคนนี้ไม่ได้ทำบาป และบิดามารดาของเขาก็ไม่ได้ทำเหมือนกัน แต่เพื่อบรรดาพระราชกิจของพระเจ้าจะปรากฏในตัวเขา
** ปัญหาที่มนุษย์ได้รับ ส่วนมากยิวในสมัยก่อน และคริสเตียนทุกวันนี้ มักจะคิดว่าพระเจ้าลงโทษ เนื่องจากการทำบาป หรือพระเจ้าทดลองใครบางคนเพื่อทดสอบความเชื่อ แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งซึ่ง ก็คือเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
- กรณีของชายตาบอดคนนี้ ไม่ใช่เพราะบาปของใครทั้งนั้น แต่เพื่อรอวันที่พระเยซูจะมาเพื่อรักษาต่อหน้าผู้คนมากมายเพื่อพระบิดาจะได้รับเกียรติ คือเมื่อทุกคนเห็นการทำงานของพระเจ้า เขาทั้งหลายจะยกย่องสรรเสริญพระองค์ และผลที่เขาได้รับก็คือพระพร พระคุณ ความหวัง และความรอดจากพระเจ้า
** คริสเตียนส่วนมากไม่รู้ว่า ปัญหามาจาก 3 สาเหตุด้วยกัน คือ เพื่อทดลอง เพื่อลงโทษ และเพื่อถวายเกียรติ....
1. เพื่อทดลอง - จากพระเจ้า จากมนุษย์ และจากมาร (แต่พระเจ้าอนุญาต) (มธ 7:24-27)
2. เพื่อตีสอน (ลงโทษ) - จากพระเจ้า เพื่อสอนผู้เชื่อให้เข้ามา หรือแสวงหาการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณเพื่อการเติบโตและเกิดผล (1 คร 5:5)
3. เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า - ไม่ใช่การทดลอง พระเจ้าไม่ได้ลงโทษผู้เชื่อ แต่พระเจ้าให้เขาประสบปัญหา เพื่อรอวันที่พระเจ้าจะทรงกระทำการอัศจรรย์ (ยอห์น9:3)
** เราพบเห็นผู้เชื่อมากมายที่มักจะพูดว่า "พระเจ้าลงโทษคนนั้นคนนี้แน่นอนเพราะเขาไม่เชื่อฟัง"
** แท้ที่จริงปัญหามากมายที่เข้ามาถึงเราในแต่ละครั้งมาจาก 3 สาเหตุดังกล่าว
บทความเพิ่มเติม:
9:4 เราต้องกระทำบรรดาพระราชกิจของพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามาขณะที่เป็นกลางวันอยู่ กลางคืนกำลังมาถึง เมื่อไม่มีผู้ใดทำงานได้
** สำหรับพระเจ้า 6 ม. (06.00 น. เช้า) จนถึง 18 น. (18.00 น. เย็น) คือกลางวัน และ 18 น. (18.00 น. เย็น) จนถึง 6 ม. (06.00 น. เช้า) เช้าคือกลางคืน
- ยน 11:9 พระเยซูตรัสตอบว่า “ในวันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวัน เขาก็ไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้
- กลางวัน คือเวลาที่ยิวทำงาน และพวกเขาจะพักผ่อนในตอนกลางคืน
- พระเยซูใช้เวลาของโลกเพื่อกล่าวถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณ คือความสว่าง และความมืด
- กลางวันในฝ่ายวิญญาณ คือการได้อยู่ในความสว่างหรือความเป็นจริงของพระเจ้าที่พระเยซูนำเข้ามา ความมืดหรือความไม่จริงคือสิ่งที่ตามองเห็นและตกต่ำแล้ว ซาตานจะพยายามหลอกผู้เชื่อให้หลงทาง และไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณดังกล่าว และทุกวันนี้ผู้เชื่อมากมายยังไม่เข้าใจว่าความสว่าง และความมืดแท้ที่จริงแล้วคืออะไร
สรุป ก็คือความสว่าง คือการมีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ และอยู่ในความจริงของพระเจ้าที่เราต้องเชื่อเอาตามที่พระเจ้า และพระเยซู และสาวกกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ อย่างเช่นเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว (ขณะที่เรายังทำบาปอยู่) เรามีพระคริสต์เป็นอยู่ในเรา (ขณะที่เรายังมีบาปอยู่) เราตายแล้ว และคนคนนี้ คือคนใหม่ (ขณะที่เราดูเหมือนว่ายังมีชีวิตอาดัมนี้อยู่) และอีกหลาย ๆ เรื่อง ซาตานจะพยายามหลอกผู้เชื่อเพื่อนำเรากลับไปอยู่ในความมืด (ยน 12:35 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “อีกหน่อยหนึ่งความสว่างนั้นจะอยู่กับท่านทั้งหลาย จงเดินไปเถิด ขณะที่ความสว่างนั้นยังอยู่กับพวกท่าน เกรงว่าความมืดจะตามมาทันพวกท่าน ด้วยว่าผู้ที่เดินอยู่ในความมืดก็ไม่รู้ว่าตนไปทางไหน)
9:5 ตราบใดที่เราอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก”
** พระเยซูเท่านั้นที่เป็นความสว่างของพระเจ้า และนำความสว่างเข้ามาสู่โลกเป็นครั้งแรกเมื่ออาดัมทำลายแผนการงานของพระเจ้าเมื่อหกพันปีก่อน
9:6 เมื่อตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอดนั้น
** “โคลน” เล็งถึงมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนัง เป็นชีวิตเก่าที่ตกต่ำแล้ว และอยู่ในความตาย ซึ่งมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยรักษา หรือเปลี่ยนมนุษย์โคลนนี้ให้เป็นมนุษย์วิญญาณได้
** “น้ำลาย” คือ "สิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ (ปาก) ของพระเยซู" คืออำนาจหรือสิ่งที่จะช่วยมนุษย์ได้ ถ้อยคำ คำพูดของพระเยซูซึ่งสามารถช่วยมนุษย์ได้ เพราะอำนาจแห่งถ้อยคำนี้พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งขึ้นมา และใช้เพื่อต่อสู้กับพระคริสต์เทียมเท็จในอนาคต
** สรุปทุกสิ่งที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ล้วนแต่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะถ้อยคำของพระเจ้า
9:7 และตรัสกับเขาว่า “จงไป ล้างออกเสียในสระสิโลอัมเถิด” (ซึ่งแปลว่า ถูกส่งไป) ฉะนั้นเขาจึงไปตามทางของเขา และล้างออกเสีย และมาโดยมองเห็นได้
** “ไปล้างโคลนออกเสีย” คือ ไปล้างชีวิตเนื้อหนังที่มาจากอาดัม หรือทำลายชีวิตเก่าเสีย
** "แล้วจะกลับเห็นได้" คือการยอมล้าง ทำลาย และหยุดใช้ชีวิตอาดัมซึ่งไม่สามารถช่วยเราให้หลุดพ้นจากอาการบอดฝ่ายวิญญาณได้ และยิ่งใช้สติปัญญาอาดัมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเข้าสู่ความมืดมากเท่านั้น มืด ก็คือ หลงทาง หลงเชื่อผิด แปลผิด
** เราจะพบว่า ผู้รับใช้ ผู้เชื่อ มากมายทุกวันนี้ ต่างก็มองว่าผู้อื่นตกขอบ เชื่อผิด ทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองตกขอบ
** โคลน มาจากดิน / ดิน คือชีวิตอาดัม
** การล้างโคลน (ดิน) ออก คือการยอมตายต่อมนุษย์อาดัม (โรม 6:3-4) คือการเชื่อ ยอมรับในความจริงของพระเจ้าที่เป็นความสว่างซึ่งก็คือการได้ตายต่อชีวิตเก่าและฟื้นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระคริสต์ในพระคริสต์
9:8 เหตุฉะนั้นบรรดาเพื่อนบ้านและคนทั้งหลายซึ่งเคยเห็นชายคนนั้นมาก่อนว่าเขาเป็นคนตาบอด จึงกล่าวว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เคยนั่งและขอทาน”
9:9 บางคนกล่าวว่า “เป็นคนนั้นแหละ” คนอื่น ๆ กล่าวว่า “เขาคล้ายกับคนนั้น” แต่เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนนั้น”
9:10 ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงกล่าวแก่เขาว่า “ดวงตาของเจ้าถูกเปิดได้อย่างไร”
9:11 เขาตอบและกล่าวว่า “ชายคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่า เยซู ได้ทำโคลนและทาตาทั้งสองของข้าพเจ้า และกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัม และล้างออกเสีย’ และข้าพเจ้าก็ได้ไปและล้างออกเสีย และข้าพเจ้าได้รับการมองเห็น”
9:12 แล้วเขาทั้งหลายจึงกล่าวแก่เขาว่า “ผู้นั้นอยู่ที่ไหน” คนนั้นกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ”
9:13 เขาทั้งหลายได้พาคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี
9:14 และเป็นวันสะบาโตเมื่อพระเยซูทรงทำโคลนนั้น และเปิดดวงตาของชายคนนั้น
** ฟาริสี จ้องมองที่ผิดถูก แต่พระเยซูทรงใส่พระทัยที่มนุษย์ผู้ต้องการการช่วยเหลือ
9:15 แล้วพวกฟาริสีก็ได้ถามเขาอีกด้วยว่า เขาได้รับการมองเห็นของเขาได้อย่างไร เขากล่าวแก่พวกเขาว่า “เขาเอาโคลนทาตาทั้งสองของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ล้างออก และมองเห็นได้”
9:16 เหตุฉะนั้นบางคนในพวกฟาริสีกล่าวว่า “ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่รักษาวันสะบาโต” คนอื่น ๆ กล่าวว่า “คนที่เป็นคนบาปจะทำบรรดาการอัศจรรย์เช่นนั้นได้อย่างไร” และมีการแตกแยกกันในท่ามกลางพวกเขา
** เมื่อพระเยซูไม่รักษาวันสะบาโตเดิมของยิว ฟาริสีที่ไม่เข้าใจน้ำพระทัย และแผนการบริหารของพระเจ้า (ว่ากำลังจะเปลี่ยนไปแล้วจากยุคเก่าสู่ยุคใหม่ จากพระบัญญัติเดิมสู่พระบัญญิตใหม่) จึงหาว่าพระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้าและใช้อำนาจผี
** พระบัญญัติเดิมมีไว้เพื่อทำให้ชาวยิวรักษาไม่ได้ เพื่อให้เขายอมจำนน และหันมาพึ่งพระเจ้า กฏเกณฑ์จึงมีมากมายและรักษาไม่ได้ แม้แต่ฟาริสีที่เคร่งศาสนาก็ยังรักษาไม่ได้
** พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูและสะบาโตใหม่คือการได้พักสงบในพระเจ้า มีสันติสุขทุกวันเวลา จิตใจเบาสบายได้รับการพักผ่อน ไม่ต้องแบกภาระหนักเหมือนเมื่อก่อน เราทำตามขนาดของความเชื่อ และรอคอยการก่อขึ้นของชีวิตพระคริสต์ในเราจนถึงสุกงอม ซึ่งเป็นการงานของพระเจ้าที่กระทำกิจในเรา ไม่ใช่เราทำเอง
** แทนที่พวกยิวและฟาริสีจะชื่นชมยินดีกับชายตาบอดที่หายบอด แต่พวกเขากลับมองว่าพระเยซูไม่ได้มาจากพระเจ้า เนื่องจากว่าวันนั้นเป็นวันสะบาโต นี่คือรูปแนวศาสนา การนับถือศาสนาของมนุษย์ซึ่ง ศาสนา จะไม่สนใจเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาจะมองไปที่ทำถูกไหมผิดไหม เท่านั้น แต่พระเจ้ามองที่อาการป่วยทั้งฝ่ายวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของมนุษย์ และช่วยเขา เนื่องจากว่าความรักเป็นสิ่งที่อยู่เหนือศาสนา หรือกฎเกณฑ์ทั้งหมด
** ไม่ได้มาจากพระเจ้า / ครูสอนปลอม / คนนี้สอนผิด เป็นคำที่คริสเตียนศาสนามักใช้เพื่อตัดสินคนที่สอนไม่เหมือนพวกเขา สำหรับพระคริสต์และมนุษย์วิญญาณ เรามีพระบัญญัติใหม่ที่เน้นความรักเมตตาเป็นหลัก ไม่ใช่ต้องเคร่งศาสนา และไม่มีเมตตาต่อพี่น้อง และคนที่ไม่เชื่อ
9:17 เขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า "เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาได้ทำให้ตาของเจ้าหายบอด" ชายคนนั้นตอบว่า "ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์"
** ศาสดาพยากรณ์ หรือ ผู้เผยพระวจนะ
** ชายที่ตาบอดยังไม่เข้าใจว่าพระเยซู คือพระเจ้า และลงมาเพื่อไถ่โลก เขารู้แค่เพียงว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะที่มาจากพระเจ้า
9:18 แต่พวกยิวไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับชายคนนั้นว่า เขาตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียกบิดามารดาของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา
9:19 แล้วพวกเขาถามเขาทั้งสองว่า "ชายคนนี้เป็นบุตรชายของเจ้าหรือที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาแต่กำเนิด ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น"
9:20 บิดามารดาของชายคนนั้นตอบเขาว่า "เราทราบว่าคนนี้เป็นบุตรชายของเรา และทราบว่าเขาเกิดมาตาบอด
9:21 แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น หรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด เราก็ไม่ทราบ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาจะเล่าเรื่องของเขาเองได้"
9:22 ที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าผู้นั้นเป็นพระคริสต์ จะต้องไล่ผู้นั้นเสียจากธรรมศาลา
** การถูกไล่ออกจากธรรมศาลา คือการถูกตัดออกจากสังคม ศาสนา พี่น้องยิวด้วยกัน ให้อยู่โดดเดี่ยวตัวคนเดียว และไม่ให้การช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับชาวยิว ทั้งๆ ที่บิดามารดาของชายที่ตาบอดรู้ดีพวกเขาจึงไม่กล้าบอกความจริงที่ได้เห็นได้รู้
9:23 เหตุฉะนั้นบิดามารดาของเขาจึงพูดว่า "จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว"
** เรื่องชายตาบอดที่หายดี เป็นเรื่องของการรักษาให้หาย การได้รับสุข การเปลี่ยนจิตใจใหม่
** อย่าเชื่อเมื่อพี่น้องที่คริสตจักร หรือผู้รับใช้บอกว่า “เขามีสันติสุขทุกวันแล้ว เขารับการเปลี่ยนแปลงใหม่” แต่ขอให้เชื่อในสิ่งที่เราได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเราเอง เราคือคนที่ตอบได้ดีกว่าใคร เพราะว่าเรารู้ เราประสบกับการทำงานของพระเจ้า
สรุป.
1. โคลน เล็งถึงชีวิตเก่าอาดัมที่ตกต่ำเสื่อมทรามถูกสาปแช่งแล้วและอยู่ในความตาย / น้ำลายจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า คือสิ่งที่ออกมาจากปาก เล็งถึงถ้อยคำของพระเจ้าที่ช่วยรักษาความตายให้กลับมามีชีวิตใหม่ได้
2. มนุษย์วิญญาณเรามีจิตใจเมตตา รัก มากกว่าการตัดสินพี่น้องด้วยสิ่งที่ถูกหรือผิด
3. เมื่อเราถูกมองว่าเป็นครูสอนปลอมหรือเทียมเท็จ อย่าท้อหรือเสียใจเนื่องจากว่าพวกเขาไม่เข้าใจและพระเยซูก็ถูกข่มเหงก่อนเราแล้ว
4. การได้มองเห็น คือการเข้าสู่ความจริงของพระเจ้าในพระคริสต์ การอยู่ในอาดัมซึ่งอาศัยตามองเห็น และความรู้สึก คืออยู่ในความมืด ซึ่งชาวโลก และคริสเตียนศาสนายังไม่ได้พบความสว่างของพระเยซู และยังเป็นโคลนที่ไม่ได้รับการล้างตาด้วยถ้อยคำของพระเจ้าจนทุกวันนี้
- สิ่งที่ผู้เชื่อมากมายยังไม่ได้มองเห็น และเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการดำเนินชีวิตคริสเตียน การรับใช้ และการนมัสการพระเจ้า คือ 1. การเปลี่ยนแปลงเรื่องยุค 2. การเปลี่ยนแปลงเรื่องชีวิต (เก่าและใหม่ / เก่าคือในอาดัม และใหม่คือในพระคริสต์) 3. การได้มีส่วนร่วมกับพระเยซูในการตาย และเป็นขึ้นกับพระองค์ 4. การให้พระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเรา 5. การไม่ออกไปจากเราจนชั่วนิรันดร์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การได้รับพระสัญญา พระพร และการกระทำกิจของพระเจ้าโดยทางเชื่อเหรือเชื่อเอา
9:24 คนเหล่านั้นจึงเรียกคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นมาอีกและบอกเขาว่า "จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เรารู้อยู่ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป"
** เมื่อชาวยิวพยายามทำให้บิดามารดาของชายที่ตาบอดเป็นพยานเพื่อที่จะเอาเรื่องพระเยซูไม่ได้ พวกเขาจึงบอกให้ชายที่ตาบอดสรรเสริญพระเจ้า แต่ยังกล่าวหาว่าพระเยซูเป็นคนบาป
** สำหรับมนุษย์ และศาสนาทั่วโลก ทั้งศาสนายิวเชื่อกันว่าใครที่ยังทำบาปอยู่ก็คือคนบาป แต่ในพันธสัญญาใหม่เราผู้เชื่อกลายเป็นคนชอบธรรมเท่ายิวที่เคร่งศาสนา ถึงแม้ว่าเราจะทำบาปอยู่ แต่เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว เราคือผู้บริสุทธิ์ หรือผู้ชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า
9:25 เขาตอบว่า "ท่านนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบก็คือว่า ข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้"
9:26 คนเหล่านั้นจึงถามเขาอีกว่า "เขาทำอะไรกับเจ้าบ้าง เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด"
9:27 ชายคนนั้นตอบเขาว่า "ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว และท่านไม่ฟัง ทำไมท่านจึงอยากฟังอีก ท่านอยากเป็นสาวกของท่านผู้นั้นด้วยหรือ"
9:28 เขาทั้งหลายจึงเย้ยชายคนนั้นว่า "แกเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส
9:29 เรารู้ว่าพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส แต่คนนั้นเราไม่รู้ว่าเขามาจากไหน"
** โมเสส คือผู้นำ และผู้เผยพระวจนะผู้ยิ่งใหญ่ของชนชาติอิสราเอล ใครก็ตามที่สอน และปฏิบัติขัดแย้งกับคำสอนของโมเสส จะถูกกล่าวหาว่าครูสอนปลอม หรือผู้เผยพระวจนะเท็จ ไม่ว่าจะทำดี หรือทำการอัศจรรย์ได้มากมายแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเขา และเป็นศิษย์ของโมเสสก็ต้องรักษาพระบัญญัติเดิม และวันสะบาโต
9:30 ชายคนนั้นตอบเขาว่า "เออ ช่างประหลาดจริงๆ ที่พวกท่านไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน แต่ท่านผู้นั้นยังได้ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด
9:31 พวกเรารู้ว่าพระเจ้ามิได้ฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดนมัสการพระเจ้า และกระทำตามพระทัยพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังผู้นั้น
9:32 ตั้งแต่เริ่มมีโลกมาแล้ว ไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีผู้ใดทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้
9:33 ถ้าท่านผู้นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้ว ก็จะทำอะไรไม่ได้"
** ผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมามีบางคนรักษาโรค และทำการอัศจรรย์ได้ในบางครั้ง แต่ไม่มาก ชาวยิวจะยอมรับพวกเขาในฐานะผู้เผยพระวจนะ แต่พระเยซูทำการอัศจรรย์มากมายเพียงแค่พระองค์ละเมิดกฎวันสะบาโต แต่ที่จริงพระเยซูก็มีสิทธิอำนาจเหนือวันสะบาโต เนื่องจากว่าพระองค์เป็นเจ้าของ และเป็นใหญ่กว่าวันสะบาโต ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งใหม่ และชาวยิวรับไม่ได้ เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ยอมรับว่าพระเยซูมาจากพระเจ้า (มธ 12:8)
9:34 เขาทั้งหลายตอบคนนั้นว่า "แกเกิดมาในการบาปทั้งนั้น และแกจะมาสอนเราหรือ" แล้วเขาจึงไล่คนนั้นเสีย
** นี่คือการมองของมนุษย์ และทุกศาสนา คนที่ทำบาปก็คือคนบาป และเกิดมาจากบาป
9:35 พระเยซูทรงได้ยินว่าเขาได้ไล่คนนั้นเสียแล้ว และเมื่อพระองค์ทรงพบชายคนนั้นจึงตรัสกับเขาว่า "เจ้าเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าหรือ"
** การช่วยเหลือมนุษย์การรักษาโรค เป็นเพียงงานรองสำหรับพระเจ้า และเมื่อถึงเวลาอันควรพระเยซูก็จะนำข่าวดีมาประกาศกับชายที่ตาบอดคนนี้
** พระบุตรของพระเจ้า สำหรับชาวยิวก็คือพระเจ้าที่มาจากสวรรค์ และพระองค์เสด็จมาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ในสมัยก่อนมีหลายคนที่อ้างตนว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า และถูกชาวยิวประหารชีวิตเนื่องจากว่า การเรียกตนเองว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า คือการหมิ่นประมาทพระเจ้า หรือทำตนให้เท่าเทียมกับพระเจ้านั่นเอง
9:36 ชายคนนั้นทูลตอบว่า "ท่านเจ้าข้า ผู้ใดเป็นพระบุตรนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะเชื่อในพระองค์ได้"
9:37 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เจ้าได้เห็นท่านแล้ว ทั้งเป็นผู้นั้นเองที่กำลังพูดอยู่กับเจ้า"
9:38 เขาจึงทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อ" แล้วเขาก็นมัสการพระองค์
** ชายที่ตาบอดได้รับการรักษาให้หาย เขาจึงยอมรับพระเยซูว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า
การรักษาโรค และการทำการอัศจรรย์ของพระเยซู และสาวก คือสิ่งที่ทำให้หลายคนเชื่อ และวางใจในพระเยซู แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราที่เป็นสาวก หรือผู้ประกาศ ไม่ควรเน้นเรื่องการอัศจรรย์ การรักษาโรค การไล่ผี
สรุป ก็คือเราไม่ควรเน้นเรื่องฤทธิ์เดชเมื่อประกาศ และตอนที่มาร่วมกันเพื่อนมัสการพระเจ้า พวกเราทำเมื่อพระวิญญาณเร้าใจ เมื่อถึงเวลาอันควร ให้พระเจ้าเป็นคนนำเราเอง เพื่อสิ่งที่เราทำจะเป็นนำพระทัยของพระบิดา และทรงมีบำเหน็จให้ สิ่งที่เราควรเน้น คือข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระเจ้า และการดำเนินชีวิตของพระคริสต์เยซูให้โลกได้เห็นพระองค์ผ่านเรามากกว่า
9:39 พระเยซูตรัสว่า "เราเข้ามาในโลกเพื่อแก่การพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด"
** เพื่อการพิพากษา ในที่นี้ ก็คือพิพากษาคนที่ตาบอดแต่ถ่อมใจให้หายจากอาการบอดได้ และพิพากษาคนที่หยิ่งผยองพองตัวที่เคยรู้จักพระเจ้า ให้อยู่ในอาการตาบอดฝ่ายวิญญาณจนมองอะไรไม่เห็น ผู้เชื่อส่วนมากยังอยู่ในอาการตาบอดฝ่ายวิญญาณ พวกเขาจึงเดินในความมืด และกลายเป็นศาสนาคริสต์ไปแล้ว
** พระเจ้าทรงรัก และพอพระทัยเป็นอันมากสำหรับผู้ที่ถ่อมถึงดินได้ พระองค์จะทรงเปิดเผยขอลึกลับทั้งหมดให้แก่พวกเขา คนที่ถ่อมใจจนถึงดิน คือคนที่คิดว่าเค้าไม่รู้อะไร และยอมรับฟังทุกๆ คนเพื่อนำมาพิจารณา อธิษฐาน และค้นหาความจริง และความไม่จริงในสิ่งที่เขาพูด ตรงข้ามกับคนที่เย่อหยิ่ง พอได้ยินอะไรที่แปลกใหม่ หรือขัดแย้งกับสิ่งที่เขาเคยรู้จัก จิตใจก็ปิด ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมรับ สุดท้ายตรงนี้ก็คือ พระเยซูก็พิพากษาเขา คือทำให้เขาตาบอดมากกว่าเดิม
9:40 เมื่อพวกฟาริสีบางคนที่อยู่กับพระองค์ได้ยินอย่างนั้น จึงกล่าวแก่พระองค์ว่า "เราตาบอดด้วยหรือ"
9:41 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ถ้าพวกท่านตาบอด พวกท่านก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้ท่านพูดว่า `เรามองเห็น' เหตุฉะนั้นความผิดบาปของท่านจึงยังมีอยู่"
** เมื่อพระเยซูเสด็จมา คนที่เชื่อก็จะได้รับการไถ่ให้รอดและตาก็สว่างเนื่องจากว่าพวกเขายอมรับว่าเมื่อก่อนตาบอดและเมื่อได้พบพระเยซูก็หายบอดหรือพระเยซูนำเขาออกจากความมืดได้
ส่วนคนที่เชื่อว่าเขาดีชอบธรรมแล้วและไม่ต้อนรับพระเยซู พวกเขาก็ตาบอดอยู่เหมือนเดิมและเมื่อไม่ได้รับการไถ่จากพระเยซูพวกเขาก็ยังคงมีบาปอยู่
** สรุป.
1. พระเยซูเป็นเจ้านายของวันสะบาโต พระองค์เน้นที่ความรัก ความเมตตา การทำดี
- เราที่เป็นสาวกของพระองค์จึงไม่เน้นเรื่องการอยู่ใต้กฎเกณฑ์ข้อบังคับ ขณะที่มีคนเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือ ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราเป็นสาวกแห่งยุคพันธสัญญาใหม่ และสะบาโตไหม่ คือการพักสงบของจิต เราทำงานหรือไม่ทำงานวันไหนก็ได้แต่เราต้องมีสันติสุข และความสงบสุขภายในจิตใจทุกเวลา และนาที และพระเยซูเป็นสะบาโตของเรา
...
2. เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว แต่เราคือคนชอบธรรมทำบาป
- สำหรับยุคพันสัญญาใหม่ ถึงแม้ว่าผู้เชื่อในพระเยซูจะยังทำบาปอยู่ สถานะของเราก็จะไม่กลับไปเป็นคนบาปอีก แต่เราคือคนคนบริสุทธิ์ และชอบธรรมเสมอต่อพระพักตร์พระเจ้า เนื่องจากว่าพระโลหิตของพระเยซูเป็นค่าจ่ายหนี้บาปแก่เราแล้ว และพระคริสต์เยซู เป็นเสือที่ดีที่สุดเพื่อให้เราสวมใส่เพื่อปกปิดชีวิตของเรา และเมื่อพระบิดามองมาที่เราเมื่อไหร่ก็จะไม่เห็นเราแต่เห็นพระเยซู การทำบาปของเราเป็นเรื่องของเนื้อหนัง และชีวิตเก่าซึ่งจะต้องใช้เวลารับการชำระโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ และกลายเป็นผู้ชนะ พูดง่ายๆก็คือทันทีที่เชื่อ และเรายังทำบาปอยู่ เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่ถ้าหากเรายังทำบาปอยู่ต่อหน้ามนุษย์ มนุษย์ก็จะมองเราว่าเป็นคนบาป ถึงอย่างไรก็ตามพวกเราที่ได้รับการเปิดตา จะไม่มองพี่น้องคริสเตียนว่าเป็นคนบาปอีกต่อไป เรามองทุกคนว่าใหม่หมด ดีหมด บริสุทธิ์ และชอบธรรมแล้ว 2 คร 5:16-17
...
3. สำหรับการตัดสินพิพากษาของพระเยซูในชีวิตนี้ในยอห์นบทที่ 9:39 คือพระองค์เสด็จมา เพื่อรักษาอาการบอดฝ่ายวิญญาณของผู้ที่ถ่อมใจ เปิดใจต้อนรับพระองค์ และเปิดใจรับถ้อยคำที่มาจากพระองค์ผ่านสาวกที่ถูกเลือกเอาไว้ และเพื่อทำให้ผู้ที่เย่อหยิ่งกลับมาตาบอด และบอดมากกว่าเดิม