คริสตจักรทุกแห่งได้รับสามสิ่งจากพระเจ้า:
1. การชำระให้บริสุทธิ์
2. กลายเป็นผู้บริสุทธิ์
3. ร้องออกพระนามพระเยซู
a. การชำระให้บริสุทธิ์แล้ว — Sanctified (1 คร. 1:2)
ผู้เชื่อทุกคนคือผู้บริสุทธิ์ — Saints (1 คร. 1:2 / กจ. 9:13, 32, 41; 26:10 / โรม 1:7 / อฟ. 1:1/ ฟป. 1:1 / คส. 1: 2 / ฟม. 1:5 และอีกมากมาย)
b. การออกพระนามพระเยซู — Call on The Lord Name (1 คร. 1:2)
1 คร. 1:2 “เรียน คริสตจักรของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์ ผู้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงเรียกให้เป็นบรรดาผู้บริสุทธิ์ด้วยกันกับคนทั้งปวง ในทุกแห่งหนที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์”
คริสตจักรที่เมืองโครินธ์มีการแตกแยก แบ่งแยก ผู้หญิงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นคริสเตียน และชายคนหนึ่งเอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน คือเป็นคริสตจักรที่วุ่นวายมาก แต่พระเจ้าเรียกคริสตจักรนี้ว่า เป็นคริสตจักรที่ได้รับการชำระแล้ว บริสุทธิ์แล้ว ไม่มีที่ตำหนิ และพระเจ้าเรียกทุกคนในคริสตจักรนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ต่อสายพระเนตรของพระเจ้า พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระทุกคนแล้วในคริสตจักร
c. การร้องออกพระนามพระเยซู ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ต้องร้องว่า “โอ้ พระเยซู” ทุกเวลา เวลาละ 3-5 ครั้ง เหมือนที่บางกลุ่มทำกัน
การร้องออกพระนามพระเยซูของคริสตจักรมีอยู่แล้ว แต่บางคริสตจักรแปลความหมายนี้ผิดว่า คริสตจักรต้องออกพระนามพระเยซู คือตั้งแต่เช้าก็ออกพระนามพระเยซูว่า “โอ้ พระเยซูๆๆ” ไปไหนก็ร้องว่า”โอ้ พระเยซู” เข้าห้องน้ำก็ “โอ้ พระเยซู” โอ้ พระเยซูหมดเลย อันนั้นไม่ถูก เขาแปลตามตัวอักษร
การร้องออกพระนามพระเยซู ก็คือเราอยู่ในพระเยซู อยู่ในพระคริสต์ เราสนิทในพระองค์ หรือเราพูดว่า “พระเยซู ข้าพระองค์รักพระองค์” ก็คือร้องออกพระนามพระเยซูแล้ว
d. ผู้เชื่อและคนที่ไม่เชื่อ อาจมองเห็นความบกพร่องหรือไม่ปกติของคริสตจักร แต่สำหรับพระเจ้า คริสตจักรของพระองค์ย่อมบริสุทธิ์ ชอบธรรม และไร้ตำหนิ เนื่องจากว่ามีพระคริสต์ครอบคลุมคริสตจักรของพระองค์อยู่
เมื่อเราเชื่อพระเยซู พระเยซูเป็นเสื้อที่ดีที่สุดมาสวมใส่เรา
กท 3:27 กล่าวว่า “เราที่บัพติศมาในพระคริสต์ก็ได้สวมใส่พระคริสต์” เดี๋ยวนี้พระเจ้ามองมาที่เราก็เห็นพระเยซูครอบเราอยู่ พระเจ้าจึงไม่เห็นเรา
คส 3:3 เราตายแล้ว เราทุกคนตอนนี้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์
เมื่อพระเจ้ามองมาที่เรา พระเจ้าเห็นพระเยซู เห็นความบริสุทธิ์และชอบธรรม แต่เรามองกัน เราเห็นความบาป ความชั่ว ความผิด ประวัติไม่ดี ฯลฯ
เพราะฉะนั้น เราเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิดใหม่ เมื่อเราเห็นพี่น้อง คือ ใหม่ๆๆ… มีแต่คนใหม่ๆ ทั้งนั้น และเราก็ใหม่ด้วย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
เมื่อเรามองบวก พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราก็ทำงานในเราได้มากขึ้น
a. การเป็นหนึ่งในพระวิญญาณ คือเราเป็นแล้วโดยพระเยซู
คริสตจักรทั่วโลก คริสเตียนทั่วโลก และเราทุกคนทั่วโลก สำหรับพระเจ้า ในพระวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวแล้ว เอเมน แต่สำหรับการเป็นหนึ่งเดียวในพระกาย ต้องใช้ความปรองดอง รักกัน ไม่แตกแยกแบ่งแยก แต่มองบวก ทุกคนต้องรักทุกคน ไม่คิดอะไร ไม่ถือสาอะไร อะไรที่เป็นเมื่อวานนี้ วันนี้ก็ลืมมันไป เอเมน ถ้าหากว่าเราดำเนินในสิ่งตรงข้าม เราก็ไม่ใช่เป็นหนึ่งในพระกาย
การแยกออกจากพระกาย หรือฉีกพระกาย พระเยซูก็ตำหนิเรา เพราะว่าคริสตจักรเป็นของพระเยซู พระเยซูกำลังบริหารคริสตจักรของพระองค์อยู่
b. การเป็นหนึ่งในพระกาย คือการสำแดงชีวิตพระคริสต์ในด้านการปรองดอง รักกันฉันพี่น้อง ต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบได้แล้วในท่ามกลางพี่น้อง
a. พระเจ้าไม่เคยยกเลิก หรือท้อแท้ในการทำงานในคริสตจักรทั้งหลาย จนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จมา
บางคนบอกว่า “โบสถ์คุณไม่มีพระวิญญาณ” “โบสถ์คุณพระเจ้าไม่อยู่แล้ว” “โบสถ์คุณพระเจ้าไม่รักแล้ว พระเจ้าทิ้งแล้ว” อันนี้ไม่จริง สำหรับพระเจ้า พระเจ้ายังรักคริสตจักรทุกๆ คริสตจักร ถึงแม้จะตกต่ำแค่ไหน หรือทำผิดทำถูกแค่ไหนก็ตาม ไม่สำคัญ
พระเจ้ากำลังทำงานแย่งกับซาตาน แต่ซาตานทำงานมากกว่าพระเจ้า เพราะว่ามนุษย์หันชีวิตของเขาไปสู่มารซาตานและเนื้อหนังมากกว่า แต่คริสเตียนคนไหนที่อยู่ในพระวิญญาณ และคริสตจักรไหนที่อยู่ในพระวิญญาณในฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าก็ทำงานได้มากเท่านั้น พระเจ้าไม่เคยละทิ้งคริสตจักรไหนๆ ทั้งนั้น เอเมน
a. การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของคริสตจักรผู้ชนะ ได้มาด้วยการเชื่อเอา
เราจะแก้ไขปัญหา เทศนา สั่งสอน แบ่งปัน เผยพระวจนะ จะอยู่ร่วมกันยังไง หรือจะตัดสินใจอะไรก็ตาม แต่เบื้องหลังเราเชื่อว่า “ขอบพระคุณพระเยซู คริสตจักรนี้เป็นคริสตจักรผู้ชนะแล้ว” “ขอบพระคุณพระเยซู พวกเราเป็นหนึ่งเดียวแล้ว” ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็น แม้มันจะเหมือนโกหกตัวเอง
สมมติว่าผมยังไม่มีสันติสุข แต่ผมอธิษฐานว่า “พระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์มีสันติสุขแล้ว” แต่ในใจมันเหี่ยวแห้ง ยิ้มไม่ได้ ไม่มีความสุข มันเหมือนโกหกตัวเอง แต่นี่เป็นการใช้ความเชื่อ ทุกวันนี้เราอยู่ในหลักการแห่งความเชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างอาศัยความเชื่อ คือการเชื่อเอาก่อน เราเชื่อก่อน พระวิญญาณทำทีหลัง
เราไม่มีสันติสุข แต่เราบอกว่า “ข้าพระองค์เชื่อว่าข้าพระองค์มีสันติสุข เพราะว่าพระองค์เป็นบ่อน้ำแห่งชีวิตอยู่ในข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ดื่มแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเยซู” จากนั้นเราก็ได้สัมผัสความสุขนี้ นี่คือการดำเนินชีวิตโดยอาศัยความเชื่อ เชื่อก่อนจึงจะได้เห็น
คริสเตียนศาสนาบอกว่า “พระบิดา ข้าพระองค์ต้องเห็นก่อนจึงจะเชื่อ” แต่พระเจ้าบอกว่า “ไม่ลูก ต้องเชื่อก่อนจึงจะได้เห็น” (โรม 1:17)
ฮบ. 11:1 ความเชื่อคือการยอมรับในสิ่งที่ตายังมองไม่เห็นว่าได้รับแล้ว
คริสตจักรยังวุ่นวายกันอยู่ ยังแบ่งแยกแตกแยกกันอยู่ แต่เราเชื่อว่า “ขอบพระคุณพระเยซู คริสตจักรพวกเราเป็นหนึ่งเดียวแล้ว” พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทำให้เป็นหนึ่งเดียว
การทำให้คริสตจักรเป็นหนึ่งเดียว และทำให้คริสตจักรเติบโต เป็นหน้าที่ของพระวิญญาณ เอเมน
b. เป็นผู้ชนะได้ด้วยเชื่อเอาฉันใด เราเป็นคริสตจักรเที่ยงแท้ได้ก็ด้วยเชื่อเอาฉันนั้น
c. ใครจะอยู่หรือใครจะไป ใครจะรักหรือใครจะไม่รัก เราเอเมนกับทุกเหตุการณ์และทุกปัญหา
ทุกวันนี้คริสเตียนแบกภาระหนักมาก ใครอยู่ ใครไป ใครเป็นยังไงก็กลุ้มอกกลุ้มใจและเป็นทุกข์
หน้าที่ของคริสเตียนเราในคริสตจักร คือเราไม่ต่างไปจากบุรุษไปรษณีย์ หน้าที่ของบุรษไปรษณีย์ก็คือส่งจดหมาย สมมติว่าผู้รับทิ้งจดหมาย บุรุษไปรษณีย์เขาไม่กลุ้มใจ เพราะหน้าที่ของเขาคือส่ง
คริสตจักรจะเป็นยังไง จะรักพระเจ้าหรือไม่รักพระเจ้า เติบโตหรือไม่เติบโต เชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่เชื่อ จะอยู่ จะหนี จะไป หรือจะเป็นยังไง หน้าที่ของเราก็คือก้มหน้าทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เอเมน
คริสตจักรเป็นของพระเยซู ไม่ใช่ของคุณ เราเศร้าได้นิดหน่อย สงสารพี่น้องและเห็นใจ หรือเสียดายที่คนนี้ไป แต่อย่าให้ความเศร้าหรือความทุกข์มันเพิ่มทวีคูณขึ้นมา และทำให้เราหนักใจ กังวล หรือเป็นทุกข์
เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ต่างไปจากบุรุษไปรษณีย์ ที่ส่งจดหมายให้คนอื่นอ่าน หรือเผยพระวจนะให้พี่น้องฟัง ใครจะเป็นยังไง จะอยู่หรือจะไป จะโตหรือไม่เติบโต เราก็เอเมน และชื่นชมยินดีไปกับพระเยซูในแต่ละวัน
บรรดาผู้ที่แบกภาระหนักและทำการงานหนัก จงมาหาเรา และท่านจะได้พักผ่อน เพราะแอกของเราก็เบา และภาระก็เบา (มธ. 11:28)
การงาน คือการงานต่างๆ ภาระ คือการรักษาพระบัญญัติ
คริสเตียนทุกวันนี้แบกภาระหนักมาก เขาบอกว่าเขาวางใจในพระเจ้า แต่เขาไม่ได้วางใจจริงๆ
d. เราทำดีที่สุด ส่วนที่เหลือคือการงานของพระวิญญาณ ภาระเราจะเบามาก
e. ถ้าหากเราพร้อมมากเท่าไหร่ พระบิดาก็จะส่งแกะของพระองค์มาให้เราดูแลมากเท่านั้น
สำหรับผม คริสตจักรที่อเมริกาจะเป็นยังไงผมไม่ได้สนใจ แต่ก็เป็นห่วง เศร้า และอธิษฐานเผื่อ แต่ว่าเราไม่รับมาแบก คือเป็นทุกข์เล็กน้อย เศร้าเล็กน้อย เป็นห่วงเล็กน้อย และขอพระเจ้าแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่าง
คริสตจักรที่ไทยหรือที่ลาว ใครจะเป็นยังไง เป็นอะไร ผมได้ยินข่าว ผมก็เป็นห่วง แต่ว่ามันไม่สะเทือน จิตใจมันนิ่งเฉย ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
บางครั้งในเฟซบุ๊ค ผมโพสต์บางอย่างที่คนรับไม่ได้ แล้วเขาก็เข้ามาต่อสู้หรือต่อว่า แต่ปรากฏว่า ผมไม่ได้ตอบ หรือไม่ได้ต่อสู้ แต่ถ้าผมตอบ ก็คือ “พี่น้องที่รัก…” เค้าถามมาผมก็ตอบ ไม่ได้โจมตีใคร ไม่ได้ตัดสินใคร แต่พูดด้วยความรัก
เจ้าของเฟซบุ๊คไม่ได้มีภาระ แต่สงบนิ่ง และมีสันติสุข แต่พี่น้องที่อยู่ในฝ่ายมานาเดือดร้อน ไปต่อสู้ให้ อยากช่วย แต่ถ้าเราเข้าใจ ก็คือไม่ต้องไปตอบโต้หรือต่อสู้ ถ้าอยากช่วยก็อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ให้พระเยซูทำแทน เอเมน
“ถ้าหากเราพร้อมมากเท่าไหร่ พระบิดาก็จะส่งแกะของพระองค์มาให้เราดูแลมากเท่านั้น” อันนี้คือความจริง สำหรับเรา สิ่งที่เราทำก็คือพร้อม เป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวในพระกาย พระเจ้าจะส่งคนมาเอง ไม่ต้องห่วง
บางครั้งเราไม่ได้ไปประกาศ แต่มีคนเดินตามหาคริสตจักร “อยากไปโบสถ์ อยากไปนมัสการพระเจ้า แถวนี้มีคริสตจักรไหมครับ” พอดีไปเจอพี่น้องคริสตจักร “อ๋อ นี่ ที่นี่ มาเลย มาร่วมกัน ยินดีต้อนรับ” เค้าก็มาร่วมกับเราตลอดไป มีการอัศจรรย์เกิดขึ้นแบบนี้บ่อยมาก ถ้าคริสตจักรเราพร้อม และเตรียมพร้อมสำหรับการต้อนรับ
มีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งทำอร่อยมากๆ และเค้าก็ไม่โฆษณา แต่เมื่อคนมาซื้อหรือมาลองชิมดูก็บอกต่อๆ กันไป สุดท้ายร้านนี้เป็นร้านดังมาก เพราะว่าเค้าพร้อมทั้งความอร่อย ความสะอาด และการบริการ รักแขก ยิ้มแย้มแจ่มใส
แต่ร้านไหนถ้าคนเข้ามาก็พูดว่า “ซื้ออะไร” “เอากี่ถ้วย” “ใหญ่หรือเล็ก” แล้วคนจะเข้าไหม คริสตจักรมากมายเป็นแบบนี้นะ แล้วคนก็หนี เค้าก็ไปหาคริสตจักรมากมายที่อบอุ่นอยู่
(จากหนังสือเอเฟซัส)
1. คริสตจักรเป็นมากกว่าที่เราคิดเสียอีก
a. เราคิดว่าการมานมัสการพระเจ้าร่วมกับพี่น้องผู้เชื่อสัปดาห์ละครั้ง ร่วมกิจกรรมบางเวลา ทำหน้าที่ของใครของมัน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นความคิดที่ผิดอย่างมากมาย
2. พระเยซูเป็นศูนย์กลาง
a. คริสตจักรเริ่มจากชีวิตส่วนตัวเราเอง ครอบครัว และจากนั้นก็มาถึงคริสตจักร แต่พระเยซูต้องเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งและทุกเวลา อย่าให้คริสตจักร ความรู้ หน้าที่ การประกาศ ครอบครัว หรือคริสตจักรเป็นศูนย์กลาง
คริสตจักรบางคริสตจักรให้ฤทธิ์เดชเป็นศูนย์กลาง บางคริสตจักรให้ความรู้เป็นศูนย์กลาง บางคริสตจักรให้คริสตจักรเป็นศูนย์กลาง และบางคริสตจักรให้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง อันนั้นไม่ดีครับ คริสตจักรจะต้องให้พระเยซูเป็นศูนย์กลาง เอเมน
ก้าวแรกที่เราก้าวเข้ามาในคริสตจักร คือ “พระเยซู ข้ารักพระองค์” “พระเยซู พวกเรารักพระองค์” “พระเยซู พวกเราแสวงหาพระองค์ หาตัวตนของพระองค์ ไม่เอาสิ่งอื่นใด ไม่เอาฤทธิ์เดช ไม่เอาความรู้ ไม่เอาสติปัญญา ไม่เอาพระพร เพราะสิ่งเหล่านี้พระองค์ก็จะให้อยู่แล้ว แต่ขอเอาพระองค์นี้ก่อน”
มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณสิบขวบ เด็กคนนี้ไปที่บ้านของเศรษฐีกับเด็กๆ ทั้งหลาย เศรษฐีก็จัดงานเลี้ยง เด็กๆ ก็วิ่งเล่นกัน กินขนม เล่นของเล่น และพอถึงเวลากลับบ้าน เศรษฐีก็ประกาศว่า “ลูกๆ เอ๋ย ถึงเวลากลับแล้วนะ ใครต้องการขนม อาหาร ของเล่น หรืออะไรก็ตาม ไปเลย ไปหยิบเอาเลย ใส่ถุงกลับบ้านเลย พ่อแม่จะมารับแล้ว” เด็กก็วิ่งกันอลหม่าน ไปเอาของที่ตนเองชอบ
แต่มีเด็กคนหนึ่ง เดินเข้ามาใกล้เศรษฐีคนนี้ จับชายเสื้อของเศรษฐีคนนี้ไว้ และก็มองจ้องหน้าเศรษฐี เศรษฐีคนนี้ก็บอกว่า “ลูก… ไม่ต้องกลัวนะ พ่อมีอาหารเยอะแยะ มีของเล่นเต็มไปหมด ไปเอาสิ แล้วก็เอากลับบ้าน” เด็กคนนี้ก็บอกว่า “ของเล่นวันหนึ่งมันก็จะเบื่อ แล้วก็อาจจะพังหรือเสีย ขนมกินวันหนึ่งก็หมด อาหารก็หมด แต่หนูอยากเป็นลูกของพ่อ” เศรษฐีคนนี้ก็มอง และบอกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นลูกของเรา”
พระเจ้าไม่ต้องการให้เราเป็นคริสเตียนที่วิ่งไปมา แสวงหาไฟ ฤทธิ์เดช ความรู้ หรืออะไรทั้งหลาย ไม่ครับ แต่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นเด็กเล็กๆ คนนี้ คนที่แสวงหาพระเยซูที่เป็นตัวตน
คำว่า “ปรนนิบัติ” กับคำว่า “รับใช้” แตกต่างกันยังไง คริสเตียนส่วนมากก็อาจจะเข้าใจ แต่เข้าใจเบลอๆ ไม่เห็นภาพชัดเจน
การปรนนิบัติพระเจ้า ก็คือปรนนิบัติตัวตนของพระเจ้า คืออยู่ใกล้ๆ ดูแล บอกรัก สนิท นี่เรียกว่าปรนนิบัติครับ แต่การรับใช้ ก็คือไปประกาศข่าวประเสริฐ และทำอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะเพื่อพระเจ้า อันนี้เรียกว่ารับใช้
คริสเตียนทุกวันนี้ไม่ได้ปรนนิบัติพระเจ้า เรามีเวลาให้พระเยซูไหมครับ เวลาส่วนตัวนะครับ บางคนมีเวลาแค่วันละสามครั้ง อธิษฐานตอนเช้าซักสิบนาที สิบห้านาที หรือครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็ไม่ปรนนิบัติพระเยซูแล้ว ลืมพระเยซู ตอนบ่ายมาอธิษฐานนิดนึง ตอนเย็นอธิษฐานก่อนนอนแล้วก็จบ ไม่ได้ปรนนิบัติพระเยซู เราไม่ได้สนิทกับพระเยซูมากพอ ไม่มีความรักดั้งเดิมกับพระเยซู เราหล่นจากความรักดั้งเดิมแล้ว
ตลอดชีวิตของเรา เมื่อก่อนเราเป็นคริสเตียนศาสนา เราเคยบอกรักพระเยซูไหมครับ