กรณีของยูดาส เรารู้นะครับว่าตอนนั้นสาวกทุกคน ติดตามพระเยซูเพื่ออะไร เขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องการไถ่บาป เขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูมาเพื่อจะปลดปล่อยมนุษย์ออกจากอำนาจของมารซาตาน และนำมนุษย์กลับคืนสู่พระเจ้า
แล้วก็สาวกทุกคนก็คิดว่าพระเยซูจะเป็นกษัตริย์ ที่จะมาปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล ออกจากการเป็นทาสของอาณาจักรโรมัน
ยูดาสก็เป็นหนึ่งในนั้นที่คิดแบบนั้น จึงมีการทรยศเกิดขึ้น และเมื่อพระเยซูถูกจับ ยูดาสเสียใจ เสียใจร้องไห้แล้วก็หนีไป จนถึงขั้นฆ่าตัวตาย คือการเสียใจที่หนักมาก ซึ่งเขาจะรอดหรือไม่รอดก็อยู่ที่พระเมตตาของพระเจ้าแล้วแหละ อยู่ที่พระคุณของพระเจ้าแล้ว
แต่ประเด็นนะครับ ก็คือเราจะเห็นว่าตอนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์เปิดเผยให้สาวกบางคน จำกันได้ไหมครับ เปโตรเปิดปากพูดนะครับว่าพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า แล้วก็ยอห์นก็เริ่มเข้าใจเริ่มรู้
เพราะฉะนั้นหลายคนก็ยังสับสน ก็ยังไม่รู้ และยูดาสก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่รู้ และอย่างที่ผมพูด คือยูดาสอาจจะยังไม่ได้บังเกิดใหม่ แต่ถ้าเป็นพระเมตตาคุณของพระเจ้า ยูดาสก็อาจจะรอดได้ อาจจะนะครับ อย่าลืมนะครับว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่มีพระเมตตาสูงส่งมาก จะให้ใครคนใดคนหนึ่งรอดหรือไม่รอดก็อยู่ที่พระองค์
แล้วเรื่องชีวิตของยูดาสเราไม่รู้เห็นทุกสิ่ง เพียงแต่ว่าเราเห็นว่า ยูดาสเสียใจอย่างมาก เสียใจหนักมาก จนต้องไปฆ่าตัวตาย มันเป็นอาการที่เสียใจที่ไม่เหมือนใครเป็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นนี่คือการสำนึกผิดของเขา ซึ่งเขาอาจจะไม่พูด ไม่เขียน ไม่มีอะไรบันทึกเรื่องราวของเขามากนัก แต่เราเชื่อ เราเชื่อว่าเขาอาจจะมีโอกาสได้รอด เพราะว่าเรารู้ว่าพระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งความรักครับ
...
ถาม.
สมมุติว่ายูดาสเขาสำนึกผิดแล้วเขาสารภาพกับพระเจ้า ตอนนั้นคือ พระเจ้าก็คือพระเยโฮวาห์ในพระคัมภีร์เดิม ถ้าเขาสารภาพเหมือนที่กษัตริย์ดาวิดสารภาพ เขาจะได้รับการอภัยหรือใช่ไหมคะ
ตอบ.
ทุกคนที่สารภาพ ย่อมมีการยกโทษให้แน่นอนครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่นอนนะครับ ก็คือเขาไม่ได้เข้าไปในอาณาจักรโดยเด็ดขาด ซึ่งตรงข้ามกับเปโตร เราจะเห็นว่าเปโตรก็ทำผิดเหมือนกันนะ เปโตรก็ปฏิเสธพระเยซู ความผิดก็ไม่น้อยไปกว่ายูดาส เพียงแต่ว่าเปโตรเลือกที่จะกลับมา เขาเสียใจ ก็เสียใจหนักมากเหมือนกัน แต่ไม่ถึงฆ่าตัวตายไม่เท่ายูดาส เพียงแต่ว่าเขายังเฝ้าดูอยู่ เขาสำนึกผิด แล้วเขาก็เฝ้าดูไม่ทิ้งพระเยซู ไม่หนีไปไหน แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน ก็ยังหลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็สุดท้ายเปโตรก็กลับมา แล้วก็รับใช้ วิ่งแข่งเพื่อเข้าอาณาจักร
...
ถาม.
หมายถึงว่าถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังมีโอกาสเสมอใช่ไหมคะ
ตอบ.
แน่นอนครับ
คนที่เสียใจ สำนึกผิด ถึงแม้จะไม่พูดออกมาว่าสารภาพหรือเป็นการสารภาพนะครับ พระเจ้าก็รู้ ถ้าใครที่เสียใจสำนึกผิดในสิ่งที่ตนกระทำ ก็ย่อมจะเป็นการที่ยอมรับผิดใช่ไหม คือการยอมรับผิด แล้วถ้าสมมุติว่ามีคดีเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา คนที่ยอมรับผิดโทษก็จะเบาลง ถูกไหมครับ
...
ถาม.
จิตใต้สำนึกกับจิตสำนึก แยกแยะ ถูกผิด ดีชั่ว คนที่บังเกิดใหม่แล้วจะมี แต่คนที่ไม่บังเกิดใหม่นี้จะมีไหมคะ
ตอบ.
สำหรับเรื่องจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก มนุษย์ทุกคนมีนะครับ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อหรือคนที่ไม่เชื่อ
** จิตสำนึก ก็คือความคิด ความรู้ดีชั่ว ความคิดทั้งหลายที่เราคิด เราเห็น เรามอง เราพิจารณา เราตัดสิน
** จิตใต้สำนึก ก็คือก้นบึ้งของหัวใจ คือสิ่งที่มันอยู่ลึกๆ ลึกกว่าจิตอีกนะครับ จิตใต้สำนึก จะคิดจะนึก บางครั้งนะครับเราอาจจะลืมไปแล้ว แต่จิตใต้สำนึกมันยังจำอยู่
นึกออกไหมครับ คือนานๆ ทีมันจะมีอะไรที่โผล่ขึ้นมาเตือนเรา หรือตอนที่เรายังเป็นเด็กเราอาจจะเห็นอะไรจำอะไรได้ สุดท้ายเราโตขึ้นเราก็ลืมมันไป แล้วอยู่ดีๆ จิตใต้สำนึกก็ดึงมันขึ้นมา อ๋อ เห็นแล้วตอนนี้ฉันยังเป็นเด็กอยู่ เราเห็นตรงนี้ตรงโน้น เข้าใจอันนี้อันนั้น ก็คือเรียกว่าจิตใต้สำนึกครับ
แล้วจิตใต้สำนึกเป็นสิ่งที่พระเจ้ามอง พระเจ้ามองมนุษย์ส่วนมากพระเจ้าจะมองไปที่จิตใต้สำนึกมากกว่า
จำกันได้นะครับที่ผมเคยเล่าเรื่องให้ฟังว่า มีผู้ชายคนหนึ่งที่พ่อเขาตาย ตอนก่อนตาย คือตอนที่เขายังเป็นเด็ก พ่อตี ดุ ด่า ไม่แสดงความรักให้เขาเลย แล้วก็มิหนำซ้ำยังเป็นพ่อที่ไม่ดี ตีเขา ดุด่าว่าเขา คือทำอะไรก็ไม่ได้ จนเขาจำ จำจนจำ ลืมความผิดของพ่อไม่ได้ในสิ่งที่พ่อทำกับเขาทำให้เขามีปม
สุดท้ายพ่อเขาตาย เขาก็มาที่งานศพ เขาร้องไห้ไม่ได้ เขาร้องไห้ไม่ได้ ไม่รู้เป็นอะไร เขาก็รักพ่อ ก็เหมือนทุกคนที่รักพ่อ เขาก็ยกโทษให้พ่อ เป็นคริสเตียนด้วยซ้ำนะครับ ถามว่าคืออะไร? มันเป็นสิ่งที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจของเขา ที่ไม่ได้ยกโทษจริงๆ
คนเรานะครับที่บอกว่ายกโทษๆ คือพูดแต่ปาก แล้วก็จิตใจเราจิตสำนึกเราบอกว่ายกโทษ บอกว่ารัก แต่ก้นบึ้งของหัวใจ จิตใต้สำนึก มันไม่ได้รักจริง และไม่ได้ยกโทษจริงๆ
...
ถาม.
แล้วพูดถึงกรณีที่ยกตัวอย่างเมื่อกี้ แล้วถ้าเกิดว่า เขาได้สำนึกว่าเขาไม่ได้ยกโทษให้พ่อจริงๆ แล้วสารภาพบาป แล้วขอให้พระเจ้าช่วยอภัย แล้วก็ยกโทษแทนเขาอย่างนี้ได้ไหมคะ
ตอบ.
แน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นจิตใต้สำนึกหรือจิตสำนึก เมื่อเราสารภาพ พระเจ้าย่อมจะยกโทษแน่นอน การสารภาพอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะมาจากไหนของหัวใจเรา พระเจ้าก็ย่อมจะยกโทษให้ เพียงแต่ว่าเมื่อมีการสารภาพเมื่อไหร่ การสารภาพไม่ใช่พูดเล่นๆ หรือพูดแบบลอยๆ คือบางคนก็บอกว่า (พระองค์ข้าพระองค์ทำผิดแล้วขอโทษ) คือแค่นี้ไม่ได้ คือมันจะต้องมีอาการเสียใจจริงๆ มีอาการที่จริงใจจริงๆ สำนึกผิดจริงๆ
คุยกับพระเยซูแบบ คือจริงๆ (ข้าพระองค์ยอมรับ ยอมแพ้ว่าผิดตอนนี้ คือตอนนี้ก็ผิดอีกเเหละ แต่ห้ามไม่ได้ ห้ามใจไม่ได้ที่จะไม่ไปทำ ไม่ไปโกรธ ขอพระองค์ยกโทษให้ แล้วก็ขอชำระด้วย ขอชำระให้ข้าพระองค์เติบโตหลุดจากการทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอพระองค์เมตตา ข้าพระองค์รักพระองค์ เอเมน) นี่คือการเสียใจจริงๆ สารภาพจริงๆ ไม่ใช่ว่าเรารู้ว่าพระเจ้าน่ารัก พระเจ้ายกโทษให้ทุกครั้ง 70×7 แล้วเราก็วิ่งมา แล้วก็บอกว่า "พระเจ้า ขอโทษ สารภาพผิดแล้ว เอเมน" แล้วก็กลับไปทำไม อันนี้ไม่นะครับ
สำหรับยูดาสนะครับ อยู่กินไปมากับพระเยซู 3 ปีกว่า พระเจ้าเลือกเขา ไม่ใช่เขาเลือกพระเจ้า ไม่ใช่เขามาสมัครใจเป็นสาวก พระเจ้าเลือกเขาตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลก เพราะทรงทราบดีว่าเขาเป็นคนไม่ดี เพื่อใช้ในการงานของพระองค์ให้สำเร็จผ่านเขา แต่สาวกทั้งหลายไม่รู้ เมื่อถึงเวลาพระเยซูก็เป็นทุกข์และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
เนื่องจากว่าพระองค์สงสารยูดาสนะครับ แล้วก็พระองค์ก็กลัวความเจ็บปวด พระองค์กลัวความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานและความตาย เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ซึ่งเราจะเห็นลายที่ ที่ท่านยอห์นเขียนถึงพระเยซูกลัวนะครับ
สำหรับข้อที่ 23 สำหรับชาวยิวมีนิสัยอย่างหนึ่งนะครับ เวลาที่เขาเขียนหนังสือหรือพูดเล่าเรื่อง ถ้าหากจะพูดถึงเขา เขาจะไม่เอ่ยชื่อโดยตรง เรารู้นะครับข้อที่ 23 สาวกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักคือใคร คือยอห์น เป็นสาวกที่พระเยซูรักมากกว่าเพื่อน แล้วยอห์นเป็นหนึ่งในสามคนที่พระเยซูรักท่ามกลางสาวก 12 คน
อีกครั้งนะครับสาวก 12 คน พระเยซูรัก 3 คน แต่รักยอห์นมากกว่าใคร มากที่สุด ท่านยอห์นจึงใช้คำนี้นะครับ '' สาวกที่พระเยซูทรงรักได้เอนกายลงที่พระทรวง '' สำหรับชาวยิวนะครับเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเรามาทำกันที่เมืองไทยเมืองลาวหรือที่ไหนก็ตาม มันจะดูแปลกๆ เหมือนเกย์เหมือนอะไรใช่ไหม คือผู้ชายนอนเอนกายลงที่ทรวงอกชายคนหนึ่ง ที่อกของชายคนหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่สังคมอาจจะรับไม่ได้ แต่สมัยนั้นเป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องปกติ
แน่นอนครับ คือยอห์น ที่พระเยซูรักมาก ยอห์นเป็นคนที่ถ่อมใจ ไม่เปิดเผยตัวตน พอพูดถึงเรื่องพระองค์ทรงรักมากกว่าใคร ก็คือใช้คำว่าชายคนหนึ่ง หรือสาวกคนหนึ่ง
เราจำกันได้ไหมครับ เปาโลเป็นอีกคนหนึ่งที่เขียนหนังสือหลายเล่ม และมีบางตอนที่ท่านพูดว่า ข้าพเจ้ารู้จักผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ที่ข้าพเจ้ารู้จักดีกว่าใคร เขาถูกรับขึ้นไปในสวรรค์ชั้นที่ 3 ซึ่งเรารู้แน่นอนครับ ก็คือเปาโลเอง ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครที่ชอบธรรมและบริสุทธิ์และเป็นผู้ที่พระเจ้ารักมากและใช้มาก ก็คือเปาโล
...
สวรรค์ชั้นที่ 3 หลายคนอาจจะข้องใจนะครับ
ชั้นที่ 1 ก็คือเรามองขึ้นไปเห็นเมฆ ก็คือชั้นที่ 1 สำหรับพระคัมภีร์นะครับหรือยิวเรียกว่าสวรรค์ชั้นที่ 1
ชั้นที่ 2 ก็คือท้องฟ้า อากาศ หรืออวกาศ ที่มีดาวมากมาย
และชั้นที่ 3 ก็คือไกลโพน อยู่ไกลๆ เป็นเมืองสวรรค์ เป็นที่ ที่พระเจ้าประทับอยู่ มีพระวิหารมีพระที่นั่ง มีทูตสวรรค์ปรนนิบัติพระเจ้า (2 คร 12:2-6)
สำหรับข้อที่ 32 นี่คือคำพูดของพระเยซู ที่พูดถึงเรื่องการที่จะได้รับเกียรติของพระองค์ พระเยซูยังไม่ได้รับเกียรติ ตอนที่เดินทางไปมาสั่งสอน รับใช้พระบิดาในโลกนี้เป็นเวลา 3 ปีกว่า และเมื่อพระเยซูจะได้รับเกียรติก็คือตอนที่พระเยซูจะเป็นขึ้นมาจากความตาย และไปถึงพระบิดาเพื่อถวายพระโลหิตและกลายเป็นบุตรหัวปีของเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใหม่ คือเผ่าพันธุ์มนุษย์วิญญาณที่เป็นอมตะ เป็นมนุษย์วิญญาณที่เป็นอยู่อมตะ เป็นอยู่ชั่วนิรันดร์ และพระองค์แจกจ่ายชีวิตให้คนมากมายได้
สรุปนะครับ ก็คือการที่พระเยซูจะได้รับเกียรติหรือสง่าราศี ก็คือตอนที่พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายและไปสู่พระบิดาเพื่อถวายพระโลหิต อันนี้อยู่ที่ ยอห์น 7:39 / 12:23-24
ในข้อที่ 33 พระเยซูตรัสว่าเรายังจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกขณะหนึ่ง ก็คืออีกนิดเดียวนะครับ อีกนิดเดียว อีกไม่นาน แล้วยูดาสก็จะทรยศ แล้วก็ผู้นำศาสนายิวก็จะมาจับพระเยซู แล้วนำไปตรึงที่กางเขน
แล้วพระเยซูตรัสว่าที่เราไปนั้นท่านทั้งหลายไปไม่ได้ ก็คือ ไปตาย ไม่มีใครที่จะไปตายไถ่บาปมนุษย์ได้ นอกจากพระเยซูผู้เดียว เนื่องจากว่ามนุษย์โลกเป็นคนบาป คนบาปจะไถ่คนบาปไม่ได้ นอกจากพระเยซูที่ไม่มีบาป พระองค์เสด็จมาจากสวรรค์ พระเยซูบอกว่าที่เราไปนั้นเจ้าทั้งหลายไปไม่ได้ ที่เราทำนั้นเจ้าทั้งหลายทำไม่ได้
สุดท้ายนะครับ
เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น
คำว่ารักในที่นี้ เราไปค้นดูในภาษากรีก ไม่ใช่ ฟิเลโอ ไม่ใช่อย่างอื่น แต่เป็น "อากาเป้"
ซึ่งเราไม่มี พระเยซูสั่งให้เราทำในสิ่งที่เราไม่มี ถ้ามีคนมาบอกว่าจงบิน เราจะบินได้ไหม ไม่ได้นะครับ
แต่ตรงนี้ถ้าเราดูภาษากรีก เราจะเห็นว่าพระเยซูใช้คำว่าจง "อากาเป้" ซึ่งกันและกัน ตรงนี้จะพิสูจน์ว่า พระเยซูตรัสในข้อที่ 35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ถ้าท่านทั้งหลาย "อากาเป้" กันและกัน ดังนั้นแหละ คนทั้งปวงก็จะได้รู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นสาวกของเรา คำว่าสาวกของเราตรงนี้ ก็คือเป็นสาวกแท้
ทุกวันนี้เราจะเห็นว่า ความรักและการทำดีต่อกันในคริสตจักร เราจะเห็นก็คือความรักแบบมนุษย์และการทำดีแบบเนื้อหนังของอาดัม ซึ่งด้วยเหตุและผลใช่ไหม คือถ้าคุณรักผม ผมก็รักคุณ ถ้าเธอรักฉัน ฉันก็รักเธอ ถ้าเธอดีกับฉัน ฉันก็ดีกับเธอ หรือการยกโทษก็ทำได้แค่ 1 2 3 ครั้ง ไม่มากกว่านี้ มันทำตลอดไปไม่ได้ แล้วก็ทุกสิ่งที่เขาทำคริสตจักรคริสเตียนที่เป็นศาสนา ก็คือต้องใช้เหตุใช้ผล ใช้อารมณ์ ความรู้สึก เพื่อรัก เพื่อกระทำดีต่อกันและกัน
แต่สำหรับคริสเตียน ที่เป็นสาวกที่ติดตามพระเยซูแท้ สาวกแท้ พระองค์ประทานพระบัญญัติใหม่ให้ก็คือ "อากาเป้" ซึ่งกันและกัน เราดูแลเอาใจใส่กันและกัน ทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณตามขนาดของความเชื่อ ใครโตมากก็ทำมาก และใครโตน้อยก็ทำน้อย โดยใช้คนใหม่ทำในพระคริสต์
จนสุดท้ายนะครับ เมื่อเราเติบโตสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซูอย่างเต็มล้น เราจะยกโทษพี่น้อง 70×7 ได้ รักไม่มีเหตุผล รักไม่มีกำหนด ไม่มีขีดจำกัด การทำดี การยกโทษ อะไรก็แล้วแต่ ก็คือเป็น "อากาเป้" ทั้งนั้น เราขอบคุณพระเยซู
และคนทั้งหลายที่ "อากาเป้" ซึ่งกันและกันได้จริงๆ มนุษย์และพี่น้องคริสเตียนศาสนาก็จะมองเห็นว่าเราเป็นสาวกแท้ของพระเยซูจริงๆ คือคนที่ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ สุภาพ อ่อนโยน น่ารัก และเขาจะมีส่วนในอาณาจักรสวรรค์ในยุคพันปีและฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
ความรักคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และความรักเป็นสิ่งแรกที่เราต้องตระหนักคิดถึง เราจะคุยกับใคร เราจะฟังใคร เราจะบอกอะไรกับใคร เราจะไปไหน เราจะทำอะไร ทุกสิ่งเริ่มด้วยคำว่ารัก
ที่ผ่านมาเราทำทุกสิ่งด้วยรักหรือไม่ เราเคยคิดไหมว่าสิ่งที่เราทำอยู่ มีความรักผสมอยู่ไหม
...
ถาม.
ถ้าเราอยากมีอากาเป้ เราต้องทำยังไงครับหรือต้องเชื่อเอาว่าเรามีแล้วใช่ไหมครับ
ตอบ.
สำหรับชีวิตในโลกนี้มีสองชีวิต มีมนุษย์สองเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติเผ่าพันธุ์แรกก็คือ อาดัม ไม่มีอากาเป้แน่นอน ถึงจะมีก็น้อยนิด น้อยมาก ซึ่งอาจจะเป็นอาการแสดงออกของพ่อแม่ที่ตายเพื่อลูก หรือใครบางคนที่ตายเพื่อกัน อันนี้เขาเรียกว่า อากาเป้ แต่มีน้อยมาก
แต่สำหรับในพระคริสต์มีเต็มล้น และมีแล้ว มีอยู่แล้ว พระเยซูทำทุกสิ่งสำเร็จแล้ว ทำเอาไว้เพื่อเราที่จะเดินอยู่ในชีวิตนั้น
ชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ก็คือชีวิตที่เต็มด้วย "อากาเป้" ถ้าหากอยากเห็น "อากาเป้" เราบอกว่าขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ใส่ใจที่มีความรักอากาเป้ อยู่ในข้าพระองค์แล้ว และอยู่ในพระคริสต์แล้ว เมื่อเราพูดแบบนี้ เมื่อเราเชื่อแบบนี้ เราวางใจในพระคำของพระเจ้าแบบนี้จริงๆ เราจะเห็นอาการ "อากาเป้" เกิดขึ้น เป็นระยะๆๆ ครับ อย่าขอนะครับ อย่าขอว่า เออ...ขอให้ข้าพระองค์มีความรัก คือมันมีอยู่แล้ว
...
เราขอบพระคุณพระเยซู ที่สอนเรา เรื่องการเลือกมนุษย์ไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเจ้าทรงทราบดี รู้ดี ว่าใครเป็นใคร ใครเป็นอะไร จะจบชีวิตลงตรงไหนที่ไหน
แล้วก็ขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระองค์ให้พระบัญญัติใหม่แก่เรา ก็คือ "อากาเป้" ซึ่งกันและกัน ซึ่งตอนนี้เรามาถึงชีวิตและการฝึกโดยรับการเปิดตา ได้พบว่า "อากาเป้" แท้ที่จริงไม่ได้อยู่ที่ใคร แต่อยู่ในเราแล้ว เนื่องจากว่าพระคริสต์ทรงเป็นอยู่ในเรา
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ นำกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิตเข้ามาเพื่อช่วยเราในการเอาชนะ กฎแห่งความบาปและกฎแห่งความตาย และเอาชนะผีมารซาตานทั้งหลายได้
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์เป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ และไม่มีอะไรที่พระองค์ทำไม่ได้
ในวันนี้ขอบพระคุณที่ความรักพระองค์เต็มล้นในพวกเราทุกๆ คน และพวกเราจะอยู่ร่วมกันเป็นพี่น้องกัน และมีความรักให้กัน และทำทุกสิ่งเอาความรักเป็นหลัก เอาความรักเป็นใหญ่ สรรเสริญพระเยซู รักพระเยซู