ถาม.
พี่น้องเราตอนที่เป็นคริสตจักรศาสนา ถูกสอนมาครับเพราะว่ารักลูกหลานใช่มั้ย ลูกหลานที่เป็นคริสเตียนก็พาเขาท่องพระคัมภีร์ พาเขาร้องเพลง ให้เขาท่องพระคัมภีร์ให้ได้ แล้วก็ทำโน่นทำนี่ แล้วพอมาเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณถูกเปิดตาก็ยังทำเหมือนเดิม แต่หลายคนบางคนมองเห็นว่าอาจจะไม่เหมาะสมเพราะว่าเหมือนกับทำเป็นศาสนา อาจารย์มีคำหนุนใจยังไงครับ
ตอบ.
สำหรับเรื่องการท่องจำเรื่องท่องพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ดีนะครับ แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้นะครับก็คือถ้าหากเราบังคับ หรือเราให้เขาทำในลักษณะของเป็นกฎเกณฑ์ ซึ่งเด็กจะมีปัญหาตรงที่ว่าเขาทำตลอดไปไม่ได้ ใช่ไหม แม้แต่เราเองที่เป็นผู้ใหญ่ส่วนมากก็ไม่อยากจะท่องนะครับ พูดจริงๆ แต่คนที่รักพระเจ้าและเพื่อเห็นแก่ความเชื่อ ก็ทำ
ทีนี้เรามาพูดกับเด็ก บอกกับเด็ก หรือใครก็ได้ การท่องพระคำพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราทำแล้วเป็นประโยชน์ ดี แต่เราทำตามขนาดของความเชื่อ เราไม่บังคับเขานะครับ เราหนุนใจเขาว่าทำแล้วจะเกิดสิ่งนี้พระเจ้าจะอวยพร พระเจ้าจะนำพาชีวิต พระเจ้าจะเลี้ยงดูเราให้โตให้ฉลาดเป็นคนที่มีสติปัญญา แต่เราจะไม่ทำไม่พูดในลักษณะของการบังคับ หรือวางเป็นกฎเกณฑ์ให้เขา ทุกเช้าต้องทำนะ ต้องทำกี่ข้อ ในลักษณะนี้เราไม่ทำครับผม
สำหรับผม คือสำหรับผมบอกตรงๆ เลยนะครับว่าตั้งแต่เป็นคริสเตียน แล้วอยู่ในสังคมคริสเตียนศาสนามา 18 ปี ผมเคยคิดที่จะท่องพระคำพระเจ้า แต่มันไม่มีสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจ อันนี้ผมรู้ว่าทุกคนเราก็เป็นเหมือนกันใช่ไหม คือเราอยากจะท่องอ่ะ แต่คือท่องได้แต่เฉพาะยอห์นบทที่ 3:16 และบางข้อที่สำคัญ มีข้อพระคัมภีร์เยอะแยะเรื่องเกี่ยวกับพระพรบ้าง เรื่องเกี่ยวกับสันติสุขบ้าง เรื่องเกี่ยวกับสรรเสริญโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า ยกย่องพระเจ้าบ้าง ก็มีนะครับ แต่พอเราท่องไปไม่นานเราก็เกิดไม่อยากท่อง แล้วไม่อยากทำ
แต่พี่น้องทราบไหมหลังจากที่ผมรับมานาฯ เมื่อรับมานาฯ แล้วขอบคุณพระเจ้า การท่องพระคำพระเจ้ามันมีความหมายมาก มากๆ เลย ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยคิดจะท่องกาลาเทียบทที่ 2:20 แต่ต่อมาก็ท่องเพราะว่าเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผม และเห็นว่าเมื่อเราท่องเนี่ยพระคำพระเจ้าเป็นชีวิตเป็นความจริงและมีฤทธิ์เดช จะทำให้เราดำเนินชีวิตในพระคริสต์ได้อย่างสม่ำเสมอได้ ผมก็เลยท่อง
จากนั้นก็ 2 โครินธ์บทที่ 5:16-17 และอีกหลายๆ ข้อ ผมก็เริ่มท่องขึ้นมาได้ เพราะว่ามีเป้าหมาย ก็คือเพื่อให้พระคำเหล่านี้เป็นชีวิตเป็นความจริงและเป็นฤทธิ์เดชกับชีวิตของผม และเพื่อที่จะไปแบ่งปันกับพี่น้องโดยที่ไม่ต้องเปิดพระคำพระเจ้าไม่ต้องเปิดพระคัมภีร์อีก อันนี้เราทำด้วยเหตุผลมีเป้าหมายนะครับ เราทำ
แต่สำหรับเด็กนะครับเมื่อจะให้เขาท่องเนี่ย คือเด็กความคิดยังอยู่ในกรอบ ในขอบเขตที่ตื้นที่ไม่กว้างไกล และไม่มีเป้าหมาย อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่กดดันหรือเป็นกฎเกณฑ์สำหรับเขา เราไม่ควรทำครับผม แต่ถ้าหากใครที่รักพระเจ้าแล้วเด็กคนไหนนะครับที่รักพระเจ้าที่ต้องการจะท่องแล้วเต็มใจอยากทำ ก็หนุนใจเขาเพิ่มเติมให้กำลังใจเขาและให้เขาทำครับ
ถาม.
สุภาษิต 22:6 จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาชราแล้ว เขาจะไม่พรากจากทางนั้น
สอนแบบไหนค่ะหรือว่าเราจะเป็นตัวอย่างให้กับเด็กๆ เราท่องพระคำให้เด็กได้เห็น หรือว่าความประพฤติของเราดีขึ้น รักมากขึ้นเสียสละดูแลเด็กๆ มากขึ้นอย่างนี้หรือเปล่าค่ะ คือถ้าเราไม่บังคับเขาเราก็ต้องทำเป็นตัวอย่างใช่ไหมค่ะ
ตอบ.
สำหรับเราที่เป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าคริสเตียนตามมาตรฐานของพระคัมภีร์นะครับซึ่งอันนี้ขอพูดถึงเรื่องในแง่ลบก่อน
คริสเตียนทุกวันนี้ไม่ใช่คริสเตียนที่ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระคัมภีร์ ถูกมั้ยครับ และส่วนมากครอบครัวไม่ใช่ครอบครัวแล้ว คริสเตียนไม่ใช่คริสเตียน คือทุกคนมองเห็นว่ามันเป็นการดำเนินชีวิตของชาวโลก ที่ดีเฉพาะแต่ตอนที่ไปโบสถ์
มีเด็กคนหนึ่ง อันนี้เป็นเรื่องนิทานที่เด็กคนนี้เป็นตัวแทนของครอบครัวคริสเตียนทั้งหลาย “มีเด็กคนหนึ่งคุยกับคุณแม่บอกว่า คุณแม่คะหนูอยากชวนคุณพ่อย้ายไปอยู่ที่โบสถ์ แล้วแม่ถามว่าอ้าวบ้านเราก็มีทำไมต้องย้ายไปอยู่ที่โบสถ์ ก็เพราะว่าคุณพ่อตอนที่อยู่ที่โบสถ์แล้วก็คุณแม่ด้วย ตอนที่อยู่ที่โบสถ์น่ารักมากดีมาก ไม่โกรธไม่โมโหไม่ดุด่าว่าร้ายลูก แต่ตอนที่อยู่บ้านไม่ได้เป็นแบบนั้น” นี่คือความตกต่ำของคริสตจักร เราตกจากมาตรฐานของพระเจ้า
แต่ชีวิตจริงของคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ 1. เราเริ่มจากการดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่างให้เด็ก 2. ก็คือเราหนุนใจสอนเด็กโดยที่ในลักษณะของความรัก และไม่บังคับ ไม่ใช่ตั้งกฎวางกฎเกณฑ์ให้เขาเป็นคนทำ และเราเองทำได้เท่าไหร่ เราก็ทำเท่านั้น เราก็ยอมรับความจริงนะครับ เราก็บอกลูกเราด้วยว่าพ่อแม่ทำได้เท่านี้นะ ก็พยายามฝึกอยู่ เดินในความเชื่ออยู่ คือให้เขาเข้าใจนะครับ เอเมน
ถาม.
ไปโบสถ์แต่ตอนเด็กๆ เขาก็ไปโบสถ์ไปท่องพระคัมภีร์ เรียนรวีเด็ก แต่พอเขาโตมาแล้วเขาไม่ไปโบสถ์ เราจะทำยังไงกับเขาดีค่ะ เราจะหนุนใจเขาหรือเราจะบังคับเขาในการที่จะให้เขาไปโบถ์สอีกครั้งนึง เอเมนค่ะ
ตอบ.
เมื่อเด็กนะครับเติบโตขึ้นมาสู่วัยของการเป็นวัยรุ่น เรารู้ดีนะครับว่าโลกมันมีอิทธิพลมีอำนาจมากสำหรับเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ โดยเฉพาะสมัยนี้ ทุกสิ่งมันดึงเขาชักจูงเขานำเขา ยุยัวะกิเลสตัณหาโลภโกรธหลงมันมีเยอะมากสำหรับเด็กวัยรุ่นวัยหนุ่ม
ถามว่าเราจะทำยังไง ก็คือ 1. เราดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีให้เขาเห็น 2. ก็คือหนุนใจเขาเรื่องเกี่ยวกับการมาเชื่อ การมาหาพระเยซู เดินไปกับพระเยซู มีชีวิตที่จะดีกว่า เราทำได้แค่นั้นครับผม แล้วที่เหลือนะครับขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนนำเขาช่วยเขา ให้เขาได้เห็นว่าโลกของพระเจ้าดีกว่าโลกของมนุษย์ที่เต็มด้วยกิเลสตัณหาโลภโกรธหลง
แต่อย่าลืมนะครับ ความแรงพลังของฝ่ายโลก ของซาตานมันดึงดูดทำให้วัยรุ่นสมัยนี้ไม่ค่อยอยากจะไปโบสถ์อยากมาหาพระเจ้า แต่ทราบไหมมีหลายคนที่พระเจ้ายึดหัวใจของเขาครอบครองหัวใจของเขา และนำเขามาถึงคริสตจักรของพระเจ้า เราก็เห็นอยู่ใช่ไหมว่าคนหนุ่มหลายคนรักพระเจ้า
สิ่งที่เราควรทำนะครับ 1. อธิษฐานเผื่อ คำอธิษฐานการอธิษฐานเป็นกุญแจสำคัญสำหรับคริสเตียน เราเห็นค่าของการอธิษฐานน้อยมาก 2. ก็คือเราเป็นตัวอย่างเป็นแบบอย่างที่ดีเท่าที่เราทำได้ครับ