มัทธิวบทที่ 13:11 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า เพราะว่าข้อความลึกลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้
หนังสือมัทธิวเป็นกฎหมายใหม่ของพระเยซู แต่หนังสือยอห์นเป็นสัญญาที่พระเยซูสัญญาว่าจะประทานผู้หนึ่งเข้ามาอยู่ในเราเพื่อกระทำตามกฎหมายใหม่ของพระเยซูคริสต์ (หนังสือมัทธิวทรงประทานพระบัญญัติ หนังสือยอห์นทรงประทานผู้รักษาพระบัญญัติ)
การแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า ก็คือได้พบในหนังสือมัทธิว และการแสวงหาความชอบธรรมของพระองค์เพื่อการดำเนินชีวิตของเราจะเหนือกว่าฟาริสีและธรรมอาจารย์ ก็คือหนังสือยอห์น
• ประการที่ 1. ก็คือการทำทาน การช่วยเหลือคนยากจน การใช้เงิน ใช้สมบัติ ใช้ทรัพย์สินของเราเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่น และการช่วยเหลือคนยากคนจน หญิงหม้าย เด็กกำพร้า หรือใครก็ตามที่ขัดสนต้องการการช่วยเหลือ เราทำด้วยพระคริสต์ที่อยู่ในเรา เราทำเองไม่ได้และเราไม่ควรที่จะทำเองใช้ตัวอาดัมทำ
ซึ่งเราจะเห็นว่าการใช้เงิน ใช้ทรัพย์สินเพื่อคนที่ขัดสน มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาที่คริสเตียนเราทำยากหรือทำไม่ได้ ก็คือการที่จะไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเราทำอะไร เราช่วยใครที่ไหนเมื่อไหร่
โดยปกติทั่วไปเราจะเห็นว่าคริสเตียนเมื่อให้ เมื่อถวาย แล้วก็จะมีชื่อของเราอยู่จ่าหน้าซอง หรือว่าเราจะประกาศให้คนรู้ว่าเราช่วยคนนี้ ช่วยคนนู้น หรือไม่ก็บอกพี่น้องในคริสตจักรว่าเราทำอะไร เราให้ใครเมื่อไหร่ อันนี้เป็นการกระทำที่ผิด
เราไม่เข้าใจ เราคิดว่าให้พี่น้องคริสเตียนรู้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับพระเจ้า พระเยซูตรัสชัดเจนมากในมัทธิวบทที่ 6 นี้เรื่องการให้การช่วยเหลือ
• และประการที่ 2. ก็คือเรื่องการอดอาหาร
• และประการที่ 3. ก็คือการอธิษฐาน
สำหรับการช่วยเหลือผู้อื่นที่ขัดสน (ใน มธ 6:2-4 ) ตั้งแต่ข้อที่ 2 จนถึงข้อที่ 4
และสำหรับการอธิษฐาน (อธิษฐาน มธ 6:5-15) ตั้งแต่ข้อที่ 5 จนถึงข้อ 15
และการอดอาหาร (อดอาหาร มธ 6:16-18) ตั้งแต่ข้อที่ 16 จนถึงข้อที่ 18
สำหรับชาวยิวการทำทาน การช่วยเหลือคนยากจน เป็นหนึ่งในการถวายสามแบบ ชาวยิวถวายสามแบบ
แบบที่ 1. ก็คือการถวายสิบลด
แบบที่ 2. ก็คือการถวายค่าบำรุงพระวิหาร
แบบที่ 3. ก็คือการทำทาน
พี่น้องคริสเตียนมากมายไม่เข้าใจว่าการถวายของยิวมีสามแบบด้วยกัน เรามักจะสับสนว่าเรื่องของหญิงหม้าย และเศรษฐีเป็นเรื่องของการถวายสิบลด อันนั้นไม่ใช่..
เรื่องเศรษฐี และหญิงหม้ายเป็นเรื่องของการทำทาน และเรื่องค่าบำรุงพระวิหาร ที่พระเยซูสั่งให้เปโตรไปตกปลาเพื่อให้ได้เหรียญมา และเหรียญนั้นใช้เพื่อเป็นค่าบำรุงพระวิหาร
ชาวยิวถวายสามแบบ คือ:
แบบที่ 1. ก็คือการถวายสิบลด คือหนึ่งในสิบของสัตว์ของพืชผักผลไม้ของทุกสิ่งที่หามาได้
และแบบที่ 2. ก็คือการถวายค่าบำรุงพระวิหาร ก็คือปีละครั้ง คนยิวทุกคนที่เป็นผู้ชาย เป็นจำนวนครึ่งเชเขล เพื่อเก็บไว้เป็นค่าบำรุงซ่อมแซมพระวิหาร
และการถวายแบบที่ 3. ก็คือการทำทาน ในบริเวณพระวิหารก็จะมีกล่องที่ปุโรหิตวางไว้ และเมื่อคนยิวมานมัสการพระเจ้า ชาวยิวก็จะนำเงินจำนวนหนึ่งเพื่อทำทาน แล้วปุโรหิตก็จะนำเงินเหล่านี้ไปช่วยเหลือคนยากคนจน ไปแจกจ่ายให้หญิงหม้าย เด็กกำพร้า ขอทาน
ซึ่งการให้ของคริสเตียน เราจะเห็นว่า เราทำทุกสิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครรู้ การทำทานการช่วยเหลือการใช้จ่ายทรัพย์สินของเราเพื่อคนยากจน เพื่อคนที่ขัดสน เราทำในที่ลับลี้ เพื่อพระเจ้าที่สถิตอยู่ในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จให้เราในที่เปิดเผย...
- ในที่เปิดเผย ในที่นี้ ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา และพระองค์จะประทานบำเหน็จให้เราอยู่ต่อหน้าทุกคนในวันพิพากษาครั้งแรก ซึ่งเป็นการพิพากษาคริสเตียนก่อนที่จะเข้าไปในอาณาจักร
- พระเยซูตรัสว่าจงระวังให้ดีอย่าให้การชอบธรรมของท่านเป็นการกระทำต่อหน้าผู้อื่น และในมัทธิวบทที่ 6 ข้อที่ 2 พระเยซูตรัสว่า เหตุฉะนั้นเมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคดกระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อจะได้รับการสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว
- อย่าเป่าแตร หมายความว่ายังไง ก็คืออย่าทำทุกสิ่ง อย่าทำอะไรให้ใครรู้เป็นอันขาด ว่าเราช่วยเหลือใคร เงินหรือทรัพย์สินของเราให้ใคร เป่าแตรก็คือการพูด การพูดการบอกคนนู้นคนนี้ หรือว่าแสดงตัวให้ผู้อื่นเห็นว่าเรากำลังทำดีต่อผู้อื่นอยู่
- เหมือนคนหน้าซื่อใจคดในธรรมศาลา ก็คือเหมือนคริสเตียนที่ใส่หน้ากาก หน้าซื่อใจคด ก็คือการแสดงละคร การสวมหน้ากากใส่หน้ากากทำตัวเป็นคนเข้มแข็ง แต่แท้ที่จริงเราไม่ใช่คนเข้มแข็งอย่างนั้น
- และในธรรมศาลา ในที่นี้ ก็หมายถึงคริสตจักร เปรียบเสมือนคริสตจักร
- และตามถนน ก็คือนอกคริสตจักร
- เพื่อเขาจะได้รับการสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว คือเมื่อเรากระทำทุกสิ่ง การช่วยเหลือ การใช้จ่ายทรัพย์สิน การกระทำของเราให้คนอื่นได้รู้ คือเราเป่าแตร ให้คนอื่นรู้ เมื่อคนอื่นรู้แม้แต่พี่น้องคริสตจักรและคนข้างนอก การยกย่องคำชมของผู้อื่น ก็คือบำเหน็จของเรา เราได้รับบำเหน็จครบแล้ว พระเจ้าจะไม่มีบำเหน็จให้เรา
มัทธิว 6 ข้อที่ 3 พระเยซูตรัสว่า ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทานอย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น หมายความว่ายังไง...
- มือขวาก็คือเรา มือซ้ายก็คือพี่น้องคริสเตียน เราเป็นอวัยวะใช่ไหม พระเยซูคือพระเศียร เราคือพระกายของพระเยซู
เราคือพระกายของพระเยซู บางคนเป็นมือซ้าย บางคนเป็นมือขวา พระเยซูตรัสถึงเมื่อมือขวา ก็คือเราทำการดี การช่วยเหลือคน การช่วยเหลือผู้อื่น อย่าให้พี่น้องคริสเตียน อย่าให้พี่น้องของเรารู้ว่าเราทำอะไร
- แต่ทุกวันนี้พี่น้องคริสเตียนมากมายกำลังทำดี กระทำทุกสิ่ง เพื่อต้องการให้ผู้อื่นชมเรา ยกย่องเรา สรรเสริญเรา มองดูว่าเราเป็นคนเข้มแข็ง
- และถ้าหากว่าเราทำทุกสิ่ง การใช้เงิน การช่วยเหลือผู้อื่น เรากระทำเป็นการลับ พระบิดาผู้ทรงทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับก็จะประทานบำเหน็จให้เราอย่างเปิดเผย ก็คือเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา และประทานบำเหน็จให้เราต่อหน้าทุกคน
- เพราะฉะนั้นการทำดี การช่วยเหลือผู้อื่น เราจะไม่ขาดรางวัล ถ้าหากเรากระทำทุกสิ่งไม่ให้คนอื่นรู้ ไม่ให้พี่น้องคริสตจักรรู้ ไม่ให้คนอยู่ข้างนอกรู้ คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการให้ของเรา นอกจากคนที่ขัดสนคนนั้น และเราไม่ต้องบอกใบ้คนอื่นว่าเรากำลังทำอะไร หรือว่าพยายามทำให้เขารู้ แต่ไม่บอก แต่พยายามทำให้คนอื่นรู้แบบลักษณะที่บอกใบ้ ซึ่งคริสเตียนเราทำกันบ่อยมากใช่ไหม
- สำหรับการอดอาหารก็เป็นลักษณะเดียวกันกับการให้ การใช้จ่ายทรัพย์สิน เงินทองของเราเพื่อคนยากจน
- การอดอาหาร คริสเตียนเรายังทำอยู่และเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งบางครั้งเราอยู่ในสภาวะขัดสน หรือต้องการการช่วยเหลือจากพระเจ้าอย่างรีบด่วน หรือมีพี่น้องที่มีปัญหาที่เป็นทุกข์ เราก็มีส่วนร่วมในการเป็นทุกข์กับพี่น้องด้วย และเราก็อดอาหาร แต่การอดของเราอย่าบอกใคร อย่าบอกคนใกล้ชิด อย่าบอกคนที่อยู่ข้างนอก อย่าบอกใครทั้งนั้นเลย ถ้าการกระทำของเราไม่บอกใคร พระเจ้าก็จะประทานบำเหน็จให้เรา
- ซึ่งเท่าที่ผ่านมาเราเห็นพี่น้องคริสเตียนมากมายเมื่ออดอาหาร ก็จะบอกพี่น้องในคริสตจักร หรือไม่ได้บอกโดยตรงแต่เป็นลักษณะที่บอกใบ้ให้คนอื่นรู้ว่าเราอดอาหารอยู่ เมื่อพี่น้องคริสตจักรรู้ เราก็ขาดรางวัลพระเจ้าก็ไม่ตอบ ซึ่งเป็นการกระทำที่เสียเวลาเปล่าไม่ได้รับประโยชน์อะไร เพราะว่าถ้าหากพี่น้องคริสเตียนยกย่องเรา ชมเรา สรรเสริญเรา มองเราว่าเป็นคนเข้มแข็ง อดอาหารบ่อยมาก และคำชมการยกย่องเหล่านั้น ก็คือบำเหน็จของเราแล้ว พระเจ้าไม่มีอะไรให้เรา
- สำหรับการอธิษฐานก็เหมือนกัน ซึ่งเราควรจะอธิษฐานในที่ลี้ลับ และเพื่อพระเจ้าผู้อยู่ในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จให้เราอย่างเปิดเผย
- การอธิษฐานของเรา เราไม่ควรอธิษฐานในเฟซ เราเห็นบ่อยมากพี่น้องที่ใช้เฟซ คนนี้ก็โพสต์ คนนั้นก็โพสต์ อธิษฐานใหญ่เลย แล้วก็การใช้คำอธิษฐานที่สวยงาม การใช้คำอธิษฐานที่แบบว่าคล่องแคล่ว คือไม่จำเป็น พระเยซูตรัสว่า ให้สั้นให้มีความหมายและไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำซากยืดยาว เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบดีแล้วว่าเราต้องการอะไร เพียงแต่เราอธิษฐานในที่ลี้ลับ ในที่ลี้ลับไม่ให้ใครรู้ การอธิษฐานของเราเป็นการส่วนตัวระหว่างเรากับพระเจ้า และเมื่อเราทำในลักษณะนี้ พระเจ้าก็จะมีบำเหน็จให้เรา
1. พระเจ้าก่อน สำหรับเรื่องการอธิษฐานเรื่องที่ 1. ที่สำคัญที่สุด คือเพื่อพระเจ้า เพื่อความต้องการของพระเจ้า ความต้องการของพระเจ้าในคำอธิษฐานของเรามี 3 สิ่งด้วยกัน ก็คือ...
คำอธิษฐานประการที่ 1. เพื่อพระเจ้า ก็คือพระนามของพระองค์เป็นที่เคารพบูชาเป็นที่สักการะบูชาในโลกนี้ คือเราอธิษฐานว่าขอพระนามพระองค์เป็นที่สักการะบูชา เป็นที่เคารพบูชาในโลกนี้ ในสวรรค์เป็นอย่างไรขอให้ในแผ่นดินโลกนี้เป็นไปอย่างนั้น
และคำอธิษฐานประการที่ 2. เพื่อพระเจ้า ก็คือขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์นั้นลงมาตั้งอยู่
และคำอธิษฐานประการที่ 3. เพื่อพระเจ้า ก็คือขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ
ซึ่งคำอธิษฐานเพื่อ 3 สิ่งนี้จะสำเร็จในยุคหน้า ในยุคนี้เป็นไปไม่ได้ ในยุคนี้พระนามของพระเจ้าไม่ได้เป็นที่เคารพบูชาทั่วโลก แต่พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพบูชาท่ามกลางผู้เชื่อที่ชนะเท่านั้น คือผู้เชื่อที่ชนะเคารพบูชาพระนามของพระองค์ สรรเสริญ ยกย่องพระองค์ นมัสการพระองค์อยู่ตลอดเวลา
พระนามของพระองค์อยู่ในชีวิตของเขาอยู่ในจิตใจของเขาทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ทุกย่างก้าว ไม่ใช่ว่านานๆ คิดถึงพระเจ้าทีหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเมื่อมีปัญหา เมื่อต้องการอะไรบางอย่างก็ร้องเรียกพระนามพระเจ้าคิดถึงพระเจ้า
พระนามของพระเจ้าในยุคนี้ ไม่เป็นที่เคารพบูชาท่ามกลางคริสเตียนศาสนาทั้งหลาย และไม่เป็นที่เคารพบูชาท่ามกลางชาวโลกทั้งหลาย ชาวโลกไม่สนใจ และชาวโลกอาจจะใช้คำที่ไม่เหมาะสำหรับพระเจ้าของเราด้วย
แต่ก็ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องผู้ชนะ ที่เห็นคุณค่าของพระนามของพระเยซูพระนามของพระเจ้า ซึ่งเราเอ่ยถึงตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะแต่เวลาที่เราขัดสน ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการอะไรบางอย่างจากพระเจ้า เราจึงร้องเรียก เราจึงแสวงหาพระนามนี้ เราจึงถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์ เคารพบูชาพระนามของพระองค์ใช่มั้ย
• และการอธิษฐานเรื่องที่ 2. คือพี่น้องคริสเตียนส่วนมากไม่อธิษฐาน
ก็คือขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ หรือบางคนอธิษฐานแต่ก็ใช้คำว่า ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ใช่มั้ย อันนี้ผิด คือเราขอให้การครอบครองของพระเยซูคริสต์ลงมายังโลกนี้ พระเยซูจะนำอาณาจักรของพระองค์ลงมาตั้งอยู่ในโลกนี้ ถามว่าสำเร็จในยุคไหน ในยุคนี้เป็นไปไม่ได้ ในยุคพระคุณนี้เป็นไปไม่ได้ และคำอธิษฐานนี้จะสำเร็จในยุคหน้า ในยุคหน้าเรียกว่ายุคอาณาจักร คือช่วงเวลาที่พระเยซูจะนำอาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่และคำอธิษฐานนี้ก็จะสำเร็จ
• การอธิษฐานเรื่องที่ 3. เพื่อพระเจ้า ก็คือขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ
สำเร็จเมื่อไหร่ สำเร็จในยุคหน้า พระนามของพระเยซูเป็นที่เคารพบูชา อาณาจักรของพระองค์ลงมาตั้งอยู่สำเร็จแล้ว น้ำพระทัยของพระองค์ก็จะสำเร็จในยุคหน้าทั้งหมดเลย คือโลกนี้จะไม่มีสงคราม ไม่มีภัยพิบัติ ไม่มีแผ่นดินไหว ไม่มีน้ำท่วม ไม่มีภัยธรรมชาติ ไม่มีการอดอยาก คือทุกสิ่งจะเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทุกสิ่งจะสำเร็จหมด และมนุษย์โลกจะอยู่อย่างสงบ
แล้วทุกวันนี้พี่น้องอธิษฐานเพื่อ 3 สิ่งนี้ไหม เพื่อพระเจ้า เพื่อ 3 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ แต่ส่วนมากเรามักจะข้ามใช่ไหม เรามาอธิษฐานเรื่องชีวิตของเรามากกว่า เราอธิษฐานเพื่อพี่น้องก็ส่วนหนึ่ง แต่สำหรับเราเองและคนใกล้ชิดเราจะอธิษฐานบ่อยมาก อันนี้เป็นการเน้นในจุดที่ผิด
(1.) เราต้องอธิษฐานเพื่อความต้องการของพระเจ้าก่อนน้ำพระทัยของพระเจ้ามาก่อน ก็คือ...
1. พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพบูชาทั่วโลก
2. ราชอาณาจักรของพระองค์ลงมาตั้งอยู่
3. น้ำพระทัยของพระองค์จะสำเร็จ
- ซึ่ง 3 ประการนี้จะสำเร็จในยุคหน้า ในยุคนี้เป็นไปไม่ได้
(2.) และสิ่งที่สองที่เราควรจะกระทำ ก็คืออธิษฐานเผื่อขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์ลงมาตั้งอยู่ ซึ่งมีผู้เชื่อส่วนน้อยเท่านั้นที่อธิษฐานถูก และไม่ขอให้แผ่นดินของพระเจ้า หรือไม่ขอให้สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ แต่ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์ลงมาตั้งอยู่ ซึ่งเป็นอาณาจักรสวรรค์ส่วนพิเศษที่พระเยซูจะครอบครองโลกนี้เป็นเวลาพันปี
เนื่องจากว่าคริสเตียนไม่อธิษฐาน ไม่ขอ อาณาจักรสวรรค์ในเวลานี้จึงยังมาไม่ได้ และคริสเตียนเป็นเจ้าสาวที่ไม่พร้อม เจ้าบ่าวจึงต้องมาช้า
ขอพระเจ้านำเราที่จะอธิษฐานเผื่อ...
1. เพื่อขอให้พระนามของพระเจ้าเป็นที่สักการะบูชาทั่วโลกเลย
2. และขอให้อาณาจักรของพระองค์ลงมาตั้งอยู่
และอันที่ 3. ก็คือขอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จในยุคหน้าทุกสิ่งจะสำเร็จในยุคหน้า คำอธิษฐานเผื่อพระเจ้า 3 สิ่งนี้ จะสำเร็จพระเจ้าจะสมหวัง
2. ก็คือเรื่องชีวิตประจำวันของพี่น้องทั้งหลาย และการอธิษฐานต่อไป ก็คือการอธิษฐานเผื่อพี่น้อง ขอประทานอาหารให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็คือขอเพื่อพี่น้อง ขอเพื่อการเป็นอยู่ ขอเพื่อชีวิตที่เหมาะสมแล้วแต่พระเจ้าจะให้มีชีวิตยังไง และเราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการเลี้ยงดูในแต่ละวัน ถ้าหากบางคนขัดสนเราช่วยเหลือกันได้เราก็ช่วยเหลือกัน ถ้าหากบางคนมีปัญหาเราก็อธิษฐานเผื่อกัน เราดูแลกันพี่น้องคริสเตียน เราจะไม่มองว่าใครเป็นกลุ่มไหนคณะไหนนิกายไหน
สำหรับผู้ชนะ เราขอบคุณพระเจ้า เรามองแต่เฉพาะฝ่ายวิญญาณ เราจะไม่ใส่ใจเรื่องใครเป็นคณะไหนนิกายไหนกลุ่มไหน เราไม่มีกลุ่มไม่มีคณะไม่มีนิกาย ผู้ชนะเรามองว่าทุกคนเราเป็นพระกายของพระเยซู ทุกคนควรจะรักกันไม่แตกแยก ไม่เป็นก๊กเป็นเลา เราเป็นหนึ่งเดียวได้ในวิญญาณในพระวิญญาณ
เพราะฉะนั้นแล้วการแตกแยกมาจากมาร แต่การเป็นหนึ่งเดียวมาจากพระเจ้า ถ้าหากเรามีความคิดที่เป็นหนึ่งเดียวกับทุกคน ใครบอกว่าฮาเลลูยา เราก็ตอบว่าเอเมน ใครบอกว่าสรรเสริญพระเจ้า เราก็บอกว่าเอเมน
ใครจะพูดอะไร ใครจะทำอะไรเกิดผลงานเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราก็เอเมน ดีใจด้วย เราไม่อิจฉา และเราไม่หวังว่าชื่อเสียงของเราจะต้องเหนือกว่าคนนั้นคนนั้นคนนี้ใช่ไหม
ซึ่งทุกวันนี้เราจะเห็นปัญหามากมายท่ามกลางคริสตจักร ท่ามกลางพี่น้องคริสเตียน ก็คือผู้นำคนนี้ต้องการมีชื่อเสียง ถ้าหากเรามีชื่อเสียงมากกว่าเขา เขาก็ไม่พอใจ หรือถ้าใครเด่น ดัง ดี เกินเรา เราก็ไม่ดีใจเราก็ไม่พอใจ หรือบางคนก็พยายามคัดค้านต่อต้านขัดขวาง ทำอะไรก็ได้เพื่อที่จะทำลายคนนั้น และเพื่อเราจะมีเกียรติชื่อเสียงมากกว่าเขา อันนี้เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะ และไม่ได้มาจากพระเจ้า
3. ก็คือเรื่องของเรา และการอธิษฐานในการต่อมาก็คือ ขอพระเจ้าให้ยกโทษเรา เพื่อเราจะได้เข้าไปในอาณาจักร
การดำเนินชีวิตอยู่ใต้พระบัญญัติใหม่ของพระเยซู ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความรอดในวันสุดท้าย เรารอดแน่นอน แต่ทุกสิ่งเหล่านี้เพื่อการเข้าในอาณาจักร เพื่อการรับบำเหน็จรางวัลรับตำแหน่ง เราขอให้พระเจ้ายกโทษเราเพราะว่าเรายกโทษให้ผู้อื่น การยกโทษให้ผู้อื่น การอธิษฐาน การทำทาน การช่วยเหลือ การอดอาหาร ทุกสิ่งและรวมถึงมัทธิวบทที่ 5 ด้วย เรากระทำทุกสิ่งด้วยพระวิญญาณที่อยู่ในเรา และเป็นผลของชีวิตใหม่ของเราที่ทำร่วมกับพระวิญญาณ
พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนขับรถ เราเป็นรถ พระวิญญาณเป็นคนเคลื่อนเราไป เราเป็นคนที่ให้พระองค์ใช้ชีวิตของเราเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ เพื่อสำแดงชีวิตของพระองค์ออกมาผ่านเรา และเราดำเนินชีวิตในขณะนี้ด้วยตัวใหม่ด้วยบุคคลผู้ใหม่ และถวายตัวผู้ใหม่นี้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนกระทำแทน การอดอาหาร การอธิษฐาน การทำทาน การช่วยเหลือคนยากจน เราจะกระทำอะไรก็ตามทำในสภาพของคนใหม่ ถวายตัวใหม่นี้ (โรม 6:13) และให้พระวิญญาณทำแทนเรา (กาลาเทีย 2:20)