17:1 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ ขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง
17:2 แล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์ของพระองค์ก็ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง
17:3 ดูเถิด โมเสสและเอลียาห์ก็มาปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น กำลังเฝ้าสนทนากับพระองค์
17:4 ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า "พระองค์เจ้าข้า ซึ่งพวกข้าพระองค์อยู่ที่นี่ก็ดี ถ้าพระองค์ต้องพระประสงค์ พวกข้าพระองค์จะทำพลับพลาสามหลังที่นี่ สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง"
17:5 เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด ก็บังเกิดมีเมฆสุกใสมาปกคลุมเขาไว้ แล้วดูเถิด มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก จงฟังท่านเถิด"
** นี่คือสภาพของพระเยซูในฐานะบุตรมนุษย์ ที่ทรงสง่าราศี ที่เราจะได้เห็นพระองค์ครอบครองโลกในยุคหน้า และเป็นคำตอบของบทที่ 16:28
- โมเสส เป็นตัวแทนของพระบัญญัติ
- เอลียาห์ เป็นตัวแทนของผู้เผยพระวจนะ
- ทั้งสองท่านมาเพื่อสนับสนุน และรับรองพระเยซูในฐานะกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสวรรค์ในยุคสุดท้าย
บทความเพิ่มเติม : ทำไมต้องโมเสสและเอลิยาห์
- โมเสสเป็นตัวแทนของพระบัญญัติ เอลิยาห์เป็นตัวแทนของผู้เผยพระวจนะ
- ใน มธ 17 ทั้งสองมาเพื่อต้อนรับและสนับสนุนพระเยซูเพื่อเปิดยุคพระคุณ
- ใน วว 11 ทั้งสองกลับมาเพื่อปิดยุคพระคุณและเปิดยุคอาณาจักรพันปี
17:6 ฝ่ายพวกสาวกเมื่อได้ยินก็ซบหน้ากราบลงกลัวยิ่งนัก
17:7 พระเยซูจึงเสด็จมาถูกต้องเขา แล้วตรัสว่า "จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย"
17:8 เมื่อเขาเงยหน้าดูก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูองค์เดียว
17:9 ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระเยซูตรัสห้ามเหล่าสาวกว่า "นิมิตซึ่งพวกท่านได้เห็นนั้น อย่าบอกเล่าแก่ผู้ใดจนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย"
17:10 เหล่าสาวกก็ทูลถามพระองค์ว่า "เหตุไฉนพวกธรรมาจารย์จึงว่า เอลียาห์จะต้องมาก่อน"
17:11 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม
17:12 แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และเขาหารู้จักท่านไม่ แต่เขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้ว ส่วนบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์จากเขาเช่นเดียวกัน"
17:13 แล้วเหล่าสาวกจึงเข้าใจว่าพระองค์ได้ตรัสแก่เขาเล็งถึงยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา
17:14 ครั้นพระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงฝูงชนแล้ว มีชายคนหนึ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลว่า
17:15 พระองค์เจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาแก่บุตรชายของข้าพระองค์ ด้วยว่าเขาเป็นโรคลมบ้าหมู มีความทุกข์เวทนามาก เคยตกไฟตกน้ำบ่อยๆ
17:16 ข้าพระองค์ได้พาเขามาหาพวกสาวกของพระองค์ แต่พวกสาวกนั้นรักษาเขาให้หายไม่ได้"
17:17 พระเยซูตรัสตอบว่า "โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับท่านทั้งหลายนานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะท่านไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราที่นี่เถิด"
17:18 พระเยซูจึงตรัสสำทับผีนั้น มันก็ออกจากเขา ทันใดนั้นเด็กก็หายเป็นปกติ
17:19 ภายหลังเหล่าสาวกมาหาพระเยซูเป็นส่วนตัวทูลถามว่า "เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้"
17:20 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เพราะเหตุพวกท่านไม่มีความเชื่อ ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า `จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น' มันก็จะเลื่อน สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้จะไม่มีเลย
** "ความเชื่อ" ในที่นี้ คือการเชื่ออย่างตายใจในสิ่งที่เราไม่อาจเห็น แต่เราเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่ตรัสผ่านพระคัมภีร์
** เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา บวกกับของประทานที่ทรงประทานให้เรา เราจึงสามารถขับไล่ผีออกได้
17:21 แต่ผีชนิดนี้จะไม่ยอมออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร"
** แต่ผีบางชนิดต้อง อธิษฐาน และอดอาหารจึงไล่ออกได้
** เราพบว่าผี (วิญญาณทูตสวรรค์) แต่ละตัวมีอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน
บทความเพิ่มเติม : มีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด คืออะไร
- เมล็ดมัสตาร์ด เล็งถึงความเชื่อของพระเยซูที่จะเข้ามาแทนความเชื่อของเรา
ความเชื่อดังกล่าว แม้ว่าเราจะมีเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำการฝ่ายวิญญาณได้มากมาย เนื่องจากว่าความเชื่อของมนุษย์เนื้อหนังเสื่อมตกต่ำไปพร้อมกับความบริสุทธิ์ชอบธรรมและชีวิตที่ทรงตั้งไว้ของเขา
ความดีความชอบธรรมความบริสุทธิ์และความเชื่อจึงใช้ไม่ได้เพราะจะยังสงสัยข้องใจและไม่อาจรับการฝ่ายวิญญาณได้เท่าที่ควรจะเป็น พระเยซูจึงต้องเป็นทุกสิ่งในเราและแม้แต่ความเชื่อของเราก็ต้องถูกแทนที่ด้วย
- กท 2:20 ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตอยู่โดยความเชื่อของพระบุตร ไม่ใช่ "โดยความเชื่อในพระบุตร" (ต้นฉบับภาษากรีก)ทุกวันเราอธิษฐานดังนี้ว่า ขอบพระคุณพระเยซูที่ทรงเป็นทุกสิ่งในข้าแทนข้า พระองค์เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนข้า เป็นชีวิตของข้า เป็นอาหารและน้ำแห่งชีวิตของข้าและพระองค์เป็นความเชื่อของข้า
ท่านจะมีประสบการณ์ชีวิตที่พระคริสต์จะทำแทนเชื่อแทนมากขึ้นทุกวัน
17:22 ครั้นพระองค์กับเหล่าสาวกอาศัยอยู่ในแคว้นกาลิลี พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “บุตรมนุษย์จะต้องถูกทรยศให้อยู่ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย
17:23 และเขาทั้งหลายจะประหารชีวิตท่านเสีย ในวันที่สามท่านจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่" พวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์ยิ่งนัก
17:24 เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมแล้ว พวกคนเก็บค่าบำรุงพระวิหารมาหาเปโตรถามว่า "อาจารย์ของท่านไม่เสียค่าบำรุงพระวิหารหรือ"
17:25 เปโตรตอบว่า "เสีย" เมื่อเปโตรเข้าไปในเรือน พระเยซูทรงกันเขาไว้ แล้วตรัสว่า "ซีโมนเอ๋ย ท่านคิดเห็นอย่างไร กษัตริย์ของแผ่นดินโลกเคยเก็บภาษี และส่วยจากผู้ใด จากโอรสของพระองค์เองหรือจากผู้อื่น"
17:26 เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "เคยเก็บจากผู้อื่น" พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "ถ้าเช่นนั้นโอรสก็ไม่ต้องเสีย
17:27 แต่เพื่อมิให้เขาเข้าใจผิด ท่านจงไปตกเบ็ดที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรกขึ้นมาก็ให้เปิดปากมัน แล้วจะพบเงินแผ่นหนึ่ง จงเอาเงินนั้นไปชำระค่าบำรุงพระวิหารสำหรับเรากับท่านเถิด"
- ทุกคนต้องจ่ายครึ่งเชเขล ปีละครั้ง ผู้ชายตั้งแต่อายุยี่สิบขึ้นไป (อพยพ 30:12-16)
- เลวีเก็บเงินนี้ไว้เพื่อซ่อมแซมพระวิหาร
- พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้าไม่ต้องเสีย แต่เพื่อไม่ให้เขาสะดุด พระองค์สั่งให้เปโตรไปตกเบ็ดเอาเงินหนึ่งเชเขลจากปลามาเสียให้สองคน คือพระเยซูและท่านเปโตร
** ชาวอิสราเอลกับการใช้เงิน
1. เสียค่าบำรุงพระวิหารปีละครั้ง (ครึ่งเชเขล)
2. ถวายเพื่อทำทาน (ช่วยเหลือหญิงม่ายและเด็กกำพร้า) (ไม่มีกำหนด)
3. สิบลด (ไม่ใช่เงิน) เพื่อเลี้ยงดูพนักงานในพระวิหาร
4. เสียภาษีให้รัฐบาลโรมัน