6:1 ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูก็เสด็จไปข้ามทะเลกาลิลี คือทะเลทิเบเรียส
6:2 คนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อบรรดาคนป่วย
** ท่ามกลางคริสเตียนมากมาย มีผู้เชื่อที่ชอบเห่อเรื่องการอัศจรรย์ การสัมผัส ฤทธิ์เดช ฝัน เครื่องหมาย หรือหมายสำคัญต่างๆ และพระพรมากกว่าที่จะใส่ใจในพระเยซูเอง
** เราผู้เชื่อที่โตแล้ว จะปล่อยให้เขาเหล่านี้ทำจนกว่าจะถึงเวลาที่จะสอนได้ หรืออธิษฐานเผื่อจนกว่าจะถึงเวลา
** คริสเตียนเด็กชอบตื่นแต้นแสวงหา การสัมผัส ฤทธิ์เดช ฝัน เครื่องหมาย หรือหมายสำคัญต่างๆ และพระพรมากกว่าที่จะใส่ใจในพระเยซู ส่วนคริสเตียนระดับหนุ่มและพ่อจะผ่านสิ่งนี้ไปได้แล้ว คือเขาจะใส่ใจที่การได้อยู่ใกล้ชิตสนิทพระเยซูที่เป็นบุคคลที่อยู่ในเขา และอยู่ท่ามกลางพวกเขาในที่ประชุม
** การแสวงหาอะไร ใส่ใจที่อะไร เราก็ได้ตั้งรากฐานอยู่บนสิ่งนั้น เปาโลเตือนให้ผู้เชื่อก่อสร้างรากฐานชีวิตและการรับใช้อยู่บนพระคริสต์ คือการสนิทในพระเยซูสร้างความสัมพันที่ดีกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ ผลที่ได้รับก็คือซึ่งถ้าหากเราก่อสร้างรากฐานชีวิตบนการอัศจรรย์การสัมผัส ฤทธิ์เดช ฝัน เครื่องหมาย หรือหมายสำคัญต่างๆ และพระพร เหมือนดั่งกลุ่มไฟ และก่อสร้างรากฐานบนความรู้เหมือนดั่งกลุ่มบัพติศและอีกหลายๆ กลุ่ม ผลที่ได้รับก็คือไม้ฟางและหญ้าแห้ง
** การช่วยเหลือคริสเตียนเด็กที่ยังวางรากฐานบนสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่พระเยซู ก็คือปล่อยให้เขาทำไปและสอนเขาถึงเรื่องการติดตามพระเยซูของผู้เชื่อในพระคัมภีร์มีสองกลุ่มใหญ่คือกลุ่มแรกตื่นเต้น ชอบ อยากเห็นการอัศจรรย์ การช่วยเหลือ ฤทธิ์เดช ฝัน เครื่องหมาย หรือหมายสำคัญต่างๆ และพระพร และกลุ่มที่สองคืออยากรู้จักและขอให้ได้อยู่ใกล้พระเยซูก็พอ เนื่องจากว่าคนกลุ่มนี้รู้ดีว่าเมื่อได้อยู่ใกล้พระเยซูก็จะได้รับการดูแลเลี้ยงดูอย่างแน่นอน (นิทานเรื่องเด็กหญิงจับชายเสื้อของเศรษฐีประจำหมู่บ้าน)
6:3 พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับกับเหล่าสาวกของพระองค์ที่นั่น
6:4 ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลเลี้ยงของพวกยิวแล้ว
6:5 เมื่อพระเยซูทรงเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรและเห็นคนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า "เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้"
** เรื่องการช่วยเหลือด้านฝ่ายร่างกาย เป็นสิ่งที่คู่เคียงไปกับการช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณหรือข่าวประเสริฐ งานหลักคือช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณและการช่วยเหลือฝ่ายร่างกายคืองานรอง และพระเจ้ามีวิธีทางของพระองค์ซึ่งไม่เหมือนทางของมนุษย์อาดัม (ดูข้อที่ 6-8)
6:6 พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่าพระองค์จะทรงกระทำประการใด
6:7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า "สองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินกันคนละเล็กละน้อย"
6:8 สาวกคนหนึ่งของพระองค์คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า
** ข้อที่ 6 - 8 พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้”
- คือการหยั่งดูจิตใจของสาวกว่า ควรจะหาทางออกทางไหนดี (การใช้สติปัญญาอาดัม)
- สาวกยอมรับว่ามีอาหารแค่นั้น แต่ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้ไม่ยอมรับว่าเขามีความสามารถ และกำลังเพียงเล็กน้อย ส่วนมากมักจะคิดว่าเขาเองก็มีดีอยู่ และถ้าพยายามฝึกฝนก็จะเกิดผลได้
** เมื่อพระเยซูถาม ก็คือเพื่อลองใจมนุษย์ว่าคิดอย่างไรจะทำอะไรเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนมนุษย์ก็จะมองที่ทรัพย์สินว่ามีมากน้อยเท่าไหร่จะพอหรือไม่ แต่ทางของพระเจ้าไม่ได้เป็นแบบนั้น การงานของพระเจ้าเป็นมาโดยพระองค์ พระองค์ก็ต้องทำงานโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการอัศจรรย์
** เมื่อพระเยซูก่อตั้งคริสตจักร พระองค์ทรงเลี้ยงดูดูแลด้วยการอัศจรรย์ คือการทำงานแบบที่มนุษย์ไม่คาดคิดหรือคิดไม่ถึงว่าจะออกมาในรูปแนวไหน หน้าที่ของเราก็คือวางใจในพระองค์ในทุกเรื่อง
** ผู้เชื่อ และคริสตจักรมากมายทุกวันนี้ ก่อตั้งคริสตจักรอยู่บนรากฐานของความคิด และสติปัญญาของอาดัม เขาเป็นศาสนาคริสต์ ไม่ใช่พระกายเที่ยงแท้ ดูได้จากการงานของเขาที่ใช้สติปัญญาอาดัมทั้งนั้น ไม่รอ ไม่ไว้วางใจในพระเจ้า พอใจก็ทำไม่พอใจก็จากไป มองว่างานการรับใช้เป็นเรื่องเล่นๆ ไม่จริงจังจริงใจถวายตัวแด่พระบิดาแบบไม่เปลี่ยนใจ ส่วนเปาโลและสาวกหลายคนยอมถวายตัวเป็นทาส และไม่ทิ้งการงานอันยิ่งใหญ่ที่พระบิดาทรงมอบให้พวกเขา
** การช่วยเหลือฝ่ายร่างกาย ต้องช่วยครอบครัวเราก่อน จากนั้นก็ครอบครัวพี่น้องผู้เชื่อหรือคริสตจักร และสุดท้ายก็คนที่ไม่เชื่อ ส่วนการช่วยเหลือคริสตจักรศาสนาเราไม่สนับสนุน และทำเนื่องจากว่าเขาจะคิดว่าเราอยากไปแย่งลูกแกะ และเราไม่สนับสนุนคริสตจักรที่สอนผิดนำพี่น้องคริสเตียนเข้าสู่การเป็นศาสนาคริสต์ ซึ่งเราก็ยังรัก และห่วงใย และอธิฐานเผื่อพวกเขาเพื่อให้พระวิญญาณเปิดตาเขา ได้มาพบชีวิตที่เต็มล้นด้วยสันติสุข และพลังยิ่งใหญ่ในพระคริสต์
ข้อที่ 9-10 เมื่อสาวกยอมรับว่ามีอาหารเพียงเท่านั้น (แต่จริงๆ แล้วเชื่อว่ามีหลายคนมีอาหาร แต่ไม่อยากแบ่งปันเพราะเขากลัวจะไม่อิ่ม) พระเยซูจึงให้ทุกคนนั่งลง คือให้เขายอมแพ้ และทำตามที่พระเจ้าสั่ง เพื่อให้ได้รับการเลี้ยงดูจากพระเจ้า
6:9 “ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาเล็กๆ สองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้”
6:10 พระเยซูตรัสว่า “ให้คนทั้งปวงนั่งลงเถิด” ที่นั่นมีหญ้ามาก คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน
** คือการให้ยอมแพ้ หรือยอมจำนนต่อพระเจ้า และไม่ต้องยืน หรือดิ้นรนแสวงหา กระวนกระวายอีกต่อไป แต่รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าทุกทาง
6:11 แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปังนั้น และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็ทรงแจกแก่พวกสาวก และพวกสาวกแจกแก่บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาปรารถนา
เรื่องความหมายฝ่ายวิญญาณ
** 1. "หยิบขนมปัง" - คือรับเอาของเราที่เรามีหรือเป็นเจ้าของมา ไม่ว่าจะเป็นรักฟิเลโอ และสิ่งที่เรามีจากอาดัมเพื่อมาแลกกับรักอากะเป
** 2. "ขอบพระคุณ" - ที่พระเจ้าทรงเลือกเราไว้เพื่อที่จะยอมมอบชีวิตเก่าและถูกหัก (แตกหัก) เพื่อเกิดผล การขอบพระคุณคือเคล็ตลับที่พระเจ้าทำงานและตอบคำอธิษฐานของเราเมื่อเราเน้นที่ขอบพระคุณแทนการบ่น
** 3. "หักขนมปัง" - ทำให้เรายอมจำนนด้วยการข่มเหงยากลำบากและยอมแพ้ที่จะแอบหยิ่ง หรือคิดว่า เราเองก็ยังมีดีอยู่ และยังชอบใช้สติปัญญาของอาดัมอยู่
** 4. "แจกให้เหล่าสาวก" - พี่น้องผู้รับใช้จะช่วยพวกเราแบ่งปันเรื่องมานาฯ (พระคำล้ำลึก) เพื่อการเกิดผลต่อไป
** 5. "สาวกแจกให้ทุกคน" (ที่นั่งลง) - ทุกคนที่ยอมนั่งลงและยอมกินพระเยซู ผ่านพวกเราที่ประกาศก็จะได้อิ่ม)
6:12 เมื่อเขาทั้งหลายกินอิ่มแล้วพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดเสียไป"
6:13 เขาจึงเก็บเศษขนมบารลีห้าก้อนซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินแล้วนั้น ใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม
6:14 เมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำ เขาก็พูดกันว่า "แท้จริงท่านผู้นี้เป็นศาสดาพยากรณ์นั้นที่ทรงกำหนดให้เข้ามาในโลก"
ว่าด้วยเรื่องการก่อตั้งและการเลี้ยงดูดูแลของพระเยซูที่มีต่อคริสตจักร
ในอดีตจนถึงปัจจุบัน มีคริสตจักรมากมายที่ล้ม/เจ๊ง เนื่องจากว่าการก่อสร้างและการทำงานที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในแต่ละวันของพวกเขา นักเทศทั้งหลายก็พยายามทำทุกวิธีเพื่อให้สมาชิกถวายสิบลดเพื่อความอยู่รอดของคริสตจักร ซึ่งเราจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า ใช่ครับเดิมทีพระเยซูก่อตั้งคริสตจักร แต่คริสตจักรไม่เข้าใจการเลี้ยงดูดูแลของพระเยซู จึงพยายามด้วยกำลังและความคิดสติปัญญาของมนุษย์ พวกเขาจึงล้มเหลว
บทความเพิ่มเติม: คนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป เพราะเห็นการอัศจรรย์
6:15 เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า เขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง
** เมื่อราชอาณาจักรสวรรค์ตกเป็นของต่างชาติ และย้ายไปที่ยุคหน้าแล้ว พระเจ้าไม่สามารถช่วยชาวยิวได้อีกแล้ว ในเวลานั้น สิ่งที่พระเจ้าทำอยู่คือการตามหาประชากรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ซึ่งเป็นยิวส่วนน้อยและชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
6:16 พอค่ำลงเหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ลงไปที่ทะเล
6:17 แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม มืดแล้วแต่พระเยซูก็ยังมิได้เสด็จไปถึงเขา
6:18 ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดกล้า
6:19 เมื่อเขาทั้งหลายตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร เขาก็เห็นพระเยซูเสด็จดำเนินมาบนทะเลใกล้เรือ เขาต่างก็ตกใจกลัว
6:20 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "นี่เป็นเราเอง อย่ากลัวเลย"
6:21 ดังนั้นเขาจึงรับพระองค์ขึ้นเรือด้วยความเต็มใจ แล้วทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น
6:22 วันรุ่งขึ้น เมื่อคนที่อยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่าไม่มีเรืออื่นที่นั่น เว้นแต่ลำที่เหล่าสาวกของพระองค์ลงไปเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูมิได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก แต่เหล่าสาวกของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น
6:23 (แต่มีเรือลำอื่นมาจากทิเบเรียส ใกล้สถานที่ที่เขาได้กินขนมปัง หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงขอบพระคุณแล้ว)
6:24 เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูและเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาจึงลงเรือไปและตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม
6:25 ครั้นเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า "รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไร"
6:26 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นการอัศจรรย์นั้น แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม
6:27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่ย่อมเสื่อมสูญไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว”
** “พระเจ้า คือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว”
** คนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้วจะไม่สูญเสียความรอดอีกเลยเพราะถูกประทับตรา (พระวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับผู้เชื่อแล้ว)
** เมื่อเรากินพระคริสต์ ชีวิตที่ไม่ได้ถูกสร้างหรือชีวิตพระเจ้าก็อยู่ในคนนั้น และเขาจะถึงความรอดในวันสุดท้าย
6:28 แล้วเขาทั้งหลายก็ทูลพระองค์ว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องทำประการใด จึงจะทำงานของพระเจ้าได้"
6:29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "งานของพระเจ้านั้นคือการที่ท่านเชื่อในท่านที่พระองค์ทรงใช้มานั้น"
6:30 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า "ถ้าเช่นนั้น ท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะเห็นและเชื่อในท่าน ท่านจะกระทำการอะไรบ้าง
6:31 บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารนั้น ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า `ท่านได้ให้เขากินอาหารจากสวรรค์'"
6:32 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราประทานอาหารแท้ซึ่งมาจากสวรรค์ให้แก่ท่านทั้งหลาย
6:33 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก"
6:34 เขาทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า โปรดให้อาหารนั้นแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายเสมอไปเถิด"
** ข้อที่ 30-35 มีการรับสองแบบ
1. เชื่อเข้าใน หรือเอาชีวิตเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ (i believe into Christ)
2. รับเอาพระคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา (accept christ into me)
** เป็นคนละอย่างที่ไม่เหมือนกัน เมื่อเรารับเชื่อ พระเจ้านำเอาเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ และจากนั้น พระคริสต์ก็จะเข้ามาอยู่ในเรา
ยอห์น 20:22 เรารับพระองค์เข้ามาในเรา 1 คร 1:30 เราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์
6:35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวอีก และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย
** "มาหาเรา" และ "เชื่อในเรา" ในที่นี้ ไม่ใช่มาเชื่อเฉยๆ เหมือนคริสเตียนทุกวันนี้ แต่มาหา อธิษฐาน อ่าน สนิท สนทนา สามัคคีธรรม ที่ถูกวิธีไม่ใช่แบบศาสนาที่ใช้กันตาม คริสตจักร ต่างๆ
6:36 แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่า ท่านทั้งหลายได้เห็นเราแล้ว และไม่เชื่อ
6:37 สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาสู่เรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ขับไล่ออกไปเลย
** ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาก็จะมาหาพระเยซู และรับพระองค์ ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ยากก็ง่าย (ดูข้อที่ 44 - 45 และ 66)
** เราก็จะไม่ขับไล่ออกไปเลย cast out ἐκβάλω ἔξω ความหมายก็คือไม่ทิ้งผู้เชื่อเลย นี่คือการยืนยันของพระเยซูที่จะไม่ทิ้งผู้เชื่อทุกคนที่เชื่อเข้าในพระองค์ เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงไถ่เราแล้ว ทรงซื้อเราแล้ว ทรงนับเราเป็นบุตรพระเจ้า เนื่องจากว่าเราได้บังเกิดจากพระองค์แล้ว ทรงวางแผนหรือกำหนดชีวิตของเราให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
6:38 เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่พระประสงค์ของพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามา
** ทุกสิ่งเป็นมาโดยการกำหนดของพระบิดาในสวรค์ เพราะฉนั้น แผนการงานของพระเจ้าเรื่องมนุษย์และการฟื้นฟูจักรวาลจึงต้องสำเร็จอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว
** พระเยซูมาจากสวรรค์ เป็นมนุษย์วิญญาณคนแรกที่มีชีวิตพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าทรงประทานสิทธิ์ให้เป็นบุตรพระเจ้าเนื่องจากว่าเราได้รับชีวิตที่มาจากสวรรค์ เราจึงเป็นมนุษย์วิญญาณ หรือมนุษย์สวรรค์ที่อยู่ในร่างกายดินนี่เอง
6:39 และนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาผู้ซึ่งได้ทรงส่งเรามานั้น คือจากสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์ทรงมอบไว้กับเราแล้วนั้น เราจะไม่ให้พินาศสูญไปสักสิ่งเดียว แต่จะตั้งมันขึ้นมาอีกในวันสุดท้าย
** พระเยซูได้รับมอบสิทธิอำนาจจากพระบิดาให้เป็นพระผู้ไถ่บาปเพื่อนำมนุษย์กลับเข้าสู่น้ำพระทัยของพระบิดา พระเยซูจึงเป็นตัวแทนของพระเจ้าทั้งสามพระภาคแล้ว คำว่า "เยซู" จึงถูกเรียกแทนคำว่า "พระบิดา" หรือ "พระบุตร" และ "พระวิญญาณบริสุทธิ์" ยกตัวอย่างเช่นเราบัพติศมาพี่น้องในพระนามพระเยซู แทนคำว่า ในพระนามพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ และเราเอาน้ำสักแก้วให้ผู้คนดื่มในพระนามพระเยซูได้ เราทำทุกสิ่งในพระนามพระเยซู ก็คือในพระนามพระเจ้าทั้งสามพระภาคนั่นเอง ขอบพระคุณพระเยซูที่พระองค์มีพระเจ้าสามพระภาคในพระองค์ และพระองค์คือ พระบิดา ของพวกเรา
** พระเยซูยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าผู้เชื่อจะไม่ถูกทอดทิ้ง ไม่พินาศอีกเลยแต่จะมั่นคงอยู่จนชั่วนิรันดร์
6:40 เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของผู้ที่ได้ทรงส่งเรามานั้น ที่จะให้ทุกคนซึ่งเห็นพระบุตร และเชื่อในพระบุตรนั้น จะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”
** คำว่า จะมีชีวิตนิรันดร์ ζωὴν (Zoe ชีวิต) αἰώνιον age-long /eternal ยืนยาวหรือตลอดไปจนชั่วนิรันดร์ คือเราผู้เชื่อจะได้รับชีวิตพระเจ้าที่จะไม่มีวันจบสิ้น เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงเป็นชีวิตที่เป็นอมตะ
** เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย คือวันพิพากษาที่พระบัลลังก์ใหญ่สีขาว เพื่อตัดสินผู้ที่ไม่เชื่อทั่วโลกตั้งแต่สร้างโลกจนถึงวันสุดท้ายของยุคอาณาจักรพันปี
6:41 พวกยิวจึงบ่นพึมพำกันเรื่องพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์”
** จากนี้ไปยิวก็เริ่มไม่พอใจพระเยซูอีกแล้ว (บทที่ห้าก็ตามหาพระเยซูเพราะทรงรักษาคนง่อยที่ริมสระ)
6:42 และเขาทั้งหลายกล่าวว่า “คนนี้เป็นเยซูลูกชายของโยเซฟมิใช่หรือ ผู้ซึ่งพ่อแม่ของเขาพวกเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงกล่าวว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’”
** นี่คือสิ่งที่ชาวยิวมากมายมองเห็นพระเยซู คือมองที่ฝ่ายเนื้อหนังหรือสิ่งที่ตามองเห็นเท่านั้น พวกเขาจึงต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ไม่ได้
6:43 ฉะนั้นพระเยซูทรงตอบและตรัสกับเขาเหล่านั้นว่า “อย่าบ่นกันในท่ามกลางพวกท่านเองเลย
6:44 ไม่มีผู้ใดสามารถมาถึงเราได้ ยกเว้นพระบิดาผู้ซึ่งทรงส่งเรามาแล้วนั้นจะทรงชักนำเขามา และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย
6:45 มีเขียนไว้แล้วในพวกศาสดาพยากรณ์ว่า ‘และพวกเขาทุกคนจะเรียนรู้จากพระเจ้า’ เหตุฉะนั้นทุกคนที่ได้ยิน และได้เรียนรู้จากพระบิดาแล้ว ก็มาถึงเรา
** ได้ยินและได้เรียนรู้จากพระบิดาแล้ว คือคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูว่าเป็นมาโดยพระเจ้า เป็นพระเจ้า และพระผู้ไถ่ คนเหล่านี้จะมาถึงพระเจ้าและได้รับชีวิตพระเจ้าที่จะเป็นอยู่ตลอดไปเป็นนิจอย่างแน่นอน
6:46 ไม่มีผู้ใดได้เห็นพระบิดา ยกเว้นท่านผู้ซึ่งมาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว
** รวมทั้งทูตสวรรค์ด้วย ซึ่งไม่เคยมีใครได้เห็นพระเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เลย จนกว่าพระเยซูเสด็จมา ทุกคนจึงเห็นพระเจ้าพระบิดา
** สมัยก่อน เมื่อพระเจ้ามาหามนุษย์ พระเจ้าจะใช้ร่างจำลองเพื่อติดต่อมนุษย์ได้
** ก่อนที่พระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์คือหนึ่งในพระเจ้าสามพระภาค ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า พระเจ้าพระภาคพระบุตร พระองค์ทั้งสามภาคอยู่ร่วมกัน อยู่ในกันและกัน เป็นหนึ่งเดียวในทุกสิ่ง เมื่อเราได้เห็นพระเยซูเราก็ได้เห็นชีวิตของพระเจ้าในพระเยซู
- สรุป พระเยซูย้ำหลายครั้ง ในที่นี้เรื่อง จะเป็นขึ้น / จะได้รับชีวิต / จะไม่ทอดทิ้งผู้เชื่อ..
เราไม่ต้องห่วงหรือกังวลว่า ใครจะรอด หรือไม่รอด เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงเลือก และเรียกเขามาให้มาถึงพระองค์ และเมื่อเชื่อแล้วพระเจ้าจะทอดทิ้งเราหรือเราจะทิ้งพระเจ้าไปได้ นอกเสียจากว่ามีบางคนที่ไม่ได้เชื่อและบังเกิดใหม่อย่างแท้จริง คนเหล่านั้นจะไม่ได้ถูกเลือกให้มีชีวิตพระเจ้า และเป็นอยู่ชั่วนิรันดร์กับพระองค์
- ถ่อมใจถึงดิน คือคนที่ถูกเลือกให้ได้มีส่วนครอบครองกับพระเยซูไปจนชั่วนิรันด์ และได้กลายเป็น บุตรที่รัก ของพระบิดา
6:47 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราก็มีชีวิตนิรันดร์
6:48 เราเป็นอาหารแห่งชีวิตนั้น
6:49 บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและสิ้นชีวิต
6:50 แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้ผู้ที่ได้กินแล้วไม่ตาย
6:51 เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลกนั้นก็คือเนื้อของเรา”
6:52 แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า “ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร”
6:53 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน
** "กินเลือดกินเนื้อ" ในที่นี้ คืออ่าน และรับขณะที่หายใจเข้าออก ด้วยความเชื่อว่าได้รับชีวิตเข้าไปทางการอ่านและการหายใจ
** อาดัมพลาดโอกาสไม่ได้กินพระเจ้าเข้าไป จึงไม่มีชีวิต แต่เรามีโอกาสรับชีวิตพระเจ้าทางการกินพระคริสต์เยซู
** ใครที่ไม่กิน ก็ไม่มีชีวิตพระเจ้าอยู่ในเขา (ข้อ 53)
6:54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย
** "มีชีวิตนิรันดร์" ในที่นี้ คือมีชีวิตของพระเจ้าที่ไม่ได้สร้าง คือมีอยู่แล้วและเป็นสภาพอมตะ
** การรับชีวิตพระเจ้าเข้ามา ภาษาทั่วไปใช้คำว่ามีชีวิตอันตลอดไปเป็นนิตย์ ทำให้คลาดเคลื่อนจากความหมายเดิม
** เมื่อรับชีวิตพระเจ้าเราจะรับ:1. ความรอด 2. ความหวัง 3. สันติสุขแท้จากภายใน 4. พระพรทุกประการ 5. กลายเป็นบุตรพระเจ้า
6:55 เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้
6:56 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา
** คือการรับพระเจ้าในแต่ละวันผ่านการอ่าน หายใจ และเชื่อว่ากินและดื่มพระคริสต์เยซู
** "ผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา" คือการสนิทในพระเจ้าและพระเจ้าสนิทในเรา สองคนในร่างเดียวทุกวันเวลา
6:57 พระบิดาผู้ทรงดำรงพระชนม์ได้ทรงใช้เรามาและเรามีชีวิตเพราะพระบิดานั้นฉันใด ผู้ที่กินเรา ผู้นั้นก็จะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น
** พระเจ้าให้โอกาสมนุษย์อีกครั้งหนึ่งซึ่งเมื่อก่อนอาดัมพลาดโอกาส
** แท้ที่จริงแล้ว การรับผลไม้แห่งชีวิตคือรับชีวิตพระเจ้าในสวนเอเดน เพื่อจะเป็นสองคนในร่างเดียว พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราและเราอยู่ในพระเจ้า
** อาดัมกลับรับชีวิตซาตานเข้ามาในเขาและเข้าอยู่ในอาดัมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
** ยอห์นบทที่ 6 ข้อที่ 47 จนถึงข้อที่ 56, 58 การกินพระเยซูครั้งแรก คือการต้อนรับพระเยซู หรือเชื่อเข้าในพระองค์เพื่อรับชีวิตพระเจ้า เพื่อให้ได้รอด และไม่ต้องถูกพิพากษาในวันสุดท้าย ส่วน ข้อที่ 57 พระเยซูเสด็จมา และมีชีวิตอยู่โดยพระบิดา ไม่ใช่ผู้ชายชื่อเยซูที่เป็นอยู่ และเมื่อเราเชื่อเข้าในพระเยซู เราก็มีชีวิต และเป็นอยู่โดยพระคริสต์ และไม่ใช่เราที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นการกินพระเยซูอย่างต่อเนื่องด้วยการหายใจเข้า อ่าน และเชื่อว่าเรารับชีวิตของพระองค์เพื่อเข้ามาเติมให้เต็ม
- พระวิญญาณเข้ามาสู่มนุษย์ด้วยการระบายวิญญาณของพระเยซู ยอห์น 20:22 และเมื่อพระองค์ได้ตรัสสิ่งนี้แล้ว พระองค์ทรงระบายลมหายใจออกบนพวกเขา และตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด
- สรุป การกินพระเยซู คือการต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้า และพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อมีชีวิตพระเจ้า. การอ่าน หายใจเข้า เป็นพระเยซูในสภาพอาหารฝ่ายวิญญาณเพื่อการเติมเต็มและต็มล้นภายในเพื่อเราจะมีชีวิตและเป็นอยู่โดยพระคริสต์เยซูทุกวัน
- การกินและดื่มพระเยซู 1.เมื่อเราพูดคุยกับพระเยซู หรือเราพูดว่า เอเมน / พระเยซู /ข้ารักพระเยซู / ข้ารักพระองค์ / พระบิดา / ขอบพระคุณพระเยซู / สรรเสริญพระเยซู ฯลฯ ขอให้เชื่อว่าเรากำลังรับพระวิญญาณเข้ามา 2.เมื่อเราอ่านพระคำพระเจ้าเราเชื่อว่าเรากำลังรับพระวิญญาณเข้ามาเพื่อการเติมเต็ม เราทั้งจะมีสันติสุขและพลังในการทำใจปล่อยปลงวางและอดทนต่อปัญหาที่เข้ามาได้
- การกินดื่มพระเยซูเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคริสเตียน เราอ่อนแอ หนื่อยล้า ท้อ ขาดกำลังในบางครั้ง และการกินดื่มพระเยซูช่วยเราให้กลับสู่สภาพเดิมในพระคริสต์ ทั้งช่วยให้เราเติบโตในชีวิต และนิสัยของพระเจ้าได้ (การอ่านเราต้องเข้าใจความหมายที่ถูกต้องของพระคัมภีร์เพื่อการเติบโต)
6:58 นี่แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนกับมานาที่พวกบรรพบุรุษของท่านได้กินและสิ้นชีวิต ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์”
** มานาที่พวกบรรพบุรุษรับ คือกินแล้วต้องหิวอีก และพรุ่งนี้ต้องไปเก็บมากินใหม่
** พระเยซูเป็นมานาที่มาจากสวรรค์ หรือมานาที่ซ่อนไว้ ซึ่งเมื่อผู้ใดได้พบ และกินจะไม่กระหาย และมีชีวิตพระเจ้าอยู่ในเขาทุกวัน
6:59 คำเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม
บทความเพิ่มเติม: ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร์
6:60 ดังนั้นเมื่อเหล่าสาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูดว่า "ถ้อยคำเหล่านี้ยากนัก ใครจะฟังได้"
6:61 เมื่อพระเยซูทรงทราบเองว่าเหล่าสาวกของพระองค์บ่นถึงเรื่องนั้น พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "เรื่องนี้ทำให้ท่านทั้งหลายลำบากใจหรือ
** สาวกทั้งหลาย (ไม่ใช่เฉพาะสิบสองคนเท่านั้น) เมื่อได้ยินพระเยซูตรัสคำเหล่านี้ว่า 1. กินเนื้อและดื่มเลือดของเรา 2. พระบิดาทรงเป็นผู้ดำเนินชีวิตในเราไม่ใช่เรา (พระองค์ตรัสในความหมายที่ว่า เรานี่แหละคือพระบิดา) ทำให้สาวกทั้งหลายสะดุดและเลิกติดตามพระเยซู
6:62 ถ้าท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้น ท่านจะว่าอย่างไร
6:63 วิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต (โซเอ้ Zoe) ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต
** "วิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต" คือพระคริสต์ที่จะเป็นพระวิญญาณที่แบ่งชีวิตได้ เมื่อพระองค์ได้รับเกียรติจากพระบิดาแล้ว (ยอห์น 7:39; 20:22)
** เนื้อหนังหรือชีวิตเก่าของอาดัม ตกต่ำถูกสาปแช่ง จึงไม่มีดีและไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพระเจ้า
** "ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด" คือพระเยซูที่ยังเป็นมนุษย์ ไม่สามารถแบ่งชีวิตของพระองค์ให้ใครได้จึงไม่มีประโยชน์ในด้านนี้ พระเยซูที่เป็นเนื้อหนังมีประโยชน์คือเพื่อมาทนทุกข์ทรมานและตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์เพื่อให้พระบิดาพอใจเท่านั้น ไม่สามารถช่วยมนุษย์ได้ จนก่วาพระเยซูจะได้รับเกียรติและเป็นพระวิญญาณที่แบ่งวิญญาณที่เป็นชีวิตของพระองค์ให้ผู้เชื่อทุกคนได้
6:64 แต่ในพวกท่านมีบางคนที่ไม่เชื่อ" เพราะพระเยซูทรงทราบแต่แรกว่าผู้ใดไม่เชื่อ และเป็นผู้ใดที่จะทรยศพระองค์ไว้
** ยูดาส ติดตามพระเยซูเพราะเขาคิดว่าพระเยซูมาเพื่อช่วยปลดปล่อยชาวยิวจากเป็นทาสของอาณาจักรโรมัน และจะช่วยให้เขามีชีวิตที่ดีได้ เมื่อไม่มีประโยชน์อะไรและเดินทางไปมาสั่งสอน เมื่อถึงเวลาอันควรเขาจึงขายพระเยซู และต่อมาเขาเสียใจมากจึงฆ่าตัวตาย ซึ่งขณะนั้นการเสียใจของเขา ถ้าหากเขากลับใจ และสารภาพบาปต่อพระเจ้า เขาอาจจะได้รับความรอดก็เป็นได้ แต่ถ้าหากเขาเสียใจ แต่ไม่กลับใจ ไม่สารภาพบาป เขาก็จะไม่รอด
6:65 และพระองค์ตรัสว่า “เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกท่านทั้งหลายว่า ‘ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระบิดาของเราจะทรงโปรดประทานให้ผู้นั้น’”
** พระเจ้าจะมองดูส่วนลึกของหัวใจซึ่งแม้แต่เราเองก็ยังไม่รู้จิตใจที่แท้จริงของเรา เมื่อทรงมองเห็นว่าเราจะเลือกพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเลือกคนนั้นและนำมาถึงความรอด และบางคนถึงผู้ชนะ
** ผู้รับใช้มากมายรู้สึกดีใจเมื่อมีคนรับเชื่อผ่านเขา แต่เมื่อมีคนฟังแต่ไม่เชื่อก็เสียใจน้อยใจ เนื่องจากว่าขาไม่เข้าใจว่าคนที่เลิอกหรือไม่เลือกที่จะรับข่าวประเสริฐคือคนที่พระเจ้าทรงเลือกเขาเอาไว้แล้ว
6:66 ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็ท้อถอยไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป
** "สาวก" ในที่นี้ ไม่ใช่ 12 คน แต่เป็นสาวกหลายร้อยคนที่ติดตามพระเยซูในสมัยนั้น
6:67 พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า "ท่านทั้งหลายก็จะจากเราไปด้วยหรือ"
6:68 ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาผู้ใดเล่า พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์
** "พระองค์มีถ้อยคำซึ่งให้มีชีวิตนิรันดร์" คือพระคำ หรือถ้อยคำ มีชีวิตของพระเจ้า (Zoe)
** ผู้เชื่อที่ประกาศข่าวดีต่อคนที่ไม่เชื่อ และผู้ชนะเทศนาสั่งสอนจะมีถอยคำที่มีชีวิตพระเจ้านี้เพื่อปลดปล่อยและให้ชีวิตและพระวิญญาณแก่คนที่ฟังได้
6:69 และข้าพระองค์ทั้งหลายก็เชื่อและแน่ใจแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์”
** วันนั้นเปโตรมั่นใจมากว่าพระเยซู คือพระคริสต์ แต่ไม่นานต่อมาเปโตรจะวิ่งหนีและปฏิเสธพระองค์
6:70 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย"
6:71 พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสอิสคาริโอทบุตรชายซีโมน เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์ไว้ คือคนหนึ่งในอัครสาวกสิบสองคน
** จริงๆ แล้ว ยูดาสเป็นคนที่มีนิสัยชั่วอยู่แล้ว พระเจ้าจึงนำเขาเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องแผนการงานของพระเจ้านี้ให้สำเร็จ เพราะถ้าหากไม่มียูดาส ก็จะไม่มีพยานปากสำคัญเพื่อให้เขาจับพระเยซูได้
สรุป.
ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาได้รู้ และเข้าใจเกี่ยวกับพระเยซูที่เป็นอาหารและน้ำแห่งชีวิต และรู้จักวิธีกินและดื่มพระเยซูเพื่อรับชีวิต รับพระวิญญาณ และรับสันติสุขเข้ามาเพื่อเราจะอยู่อย่างมีสุขท่ามกลางโลกที่มีแต่ทุกข์ได้
ร่างกายต้องการอาหารและน้ำฉันใด วิญญาณก็ต้องการพระคริสต์ในสภาพของ พระวิญญาณ หรือ วิญญาณ เพื่อรับชีวิตเพื่อมีชีวิตพระเจ้าเพื่อพลัง เพื่อกฏแห่งพระวิญญาณ และกฏแห่งชีวิตในเรา เพื่อเอาชนะบาปได้อย่างง่ายดาย และรับสันติสุขเพื่อเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้
- ผู้เชื่อมากมายได้มาถึงการรับชีวิตและสันติสุขเหมือนผู้เชื่อที่ถูกเปิดตา เขาจึงยังต้องแบกภาระหนักมากและเป็นทุกข์มากในการดำเนินชีวิตในความเชื่อ
- เมื่อเราหายใจเข้าออก เราเชื่อว่ารับชีวิต/พระวิญญาณเข้ามา
- เมื่อเราอ่าน เราเชื่อว่ารับชีวิต/พระวิญญาณเข้ามา
- เมื่อเราพูดคุยสนทนากับพระเยซู เราเชื่อว่ารับชีวิต/พระวิญญาณเข้ามา
** เราจะพบว่ามีการเคลื่อนไหวทำงานอยู่ภายในเรา คืออาการเบา มีสุข โล่งอก และเริ่มเห็นหัวใจที่มีแต่รัก รัก รัก รักศัตรู รักเพื่อนบ้านและรักทุกคนได้
** ขอบพระคุณพระเยซูที่ทรงเลือกเราไม่ใช่เราเลือกพระองค์