1 คร 15:34 จงตื่นขึ้นสู่ความชอบธรรมและอย่าทำบาปเลย เพราะว่าบางคนไม่มีความรู้ของพระเจ้า ข้าพเจ้ากล่าวสิ่งนี้เพื่อให้พวกท่านละอาย
** ไปไม่ถึงพระนิเวศของพระเยโฮวาห์ (อสย 2:3)
เมื่อพระวิญญาณนำเรามาพบมานาที่ซ่อนไว้ เราไม่กลัวว่าจะไม่รอด
เราไม่กลัวพระเจ้าเพราะทรงเป็นความรัก และเราเข้าใกล้พระเจ้าได้มากยิ่งขึ้น เราเข้าสู่ความสงบสุขของหัวใจ
แต่มีบางอย่างที่ยังรบกวนเรา และเรายังไม่เห็นความก้าวหน้าของชีวิตฝ่ายวิญญาณ
เรายังทำบาป เกียจคร้าน ไม่อยากรับใช้ เราเฉยชา ไม่เกิดผลพระวิญญาณเท่าที่ควร
ถ้าหากเราอยู่ในอาการในลักษณะนี้ เราควรพิจารณาความรู้ความเข้าใจของเราว่าได้รับการเปิดตามากพอหรือไม่
และวิธีการฝึกเดินของเราเป็นไปตามขั้นตอนหรือไม่ หรือว่าเรายังฝึกเดินอย่างไม่เป็นระเบียบอยู่ (2 ธส 3:7)
- ถ้าหากเราต้องการประสบความสำเร็จเหมือนเปาโล เนื่องจากว่าท่านฝึกจนมาถึงชีวิตผู้ชนะในที่สุด
* 1 คร 4:16 ขอพวกท่านจงเป็นผู้ปฏิบัติตามแบบของข้าพเจ้า / 11:1 พวกท่านจงเป็นผู้ปฏิบัติตามแบบของข้าพเจ้า เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตามแบบของพระคริสต์ด้วย
* ฟป 3:17 พี่น้องทั้งหลาย จงเป็นผู้ที่ร่วมติดตามแบบอย่างของข้าพเจ้า และคอยดูคนเหล่านั้นที่ดำเนินตามอย่างเดียวกัน เหมือนท่านทั้งหลายได้พวกเราเป็นตัวอย่าง
* 1 ธส 1:6 และพวกท่านได้กลายเป็นผู้ดำเนินตามแบบอย่างของพวกเรา
* 2 ธส 3:7,9 เพราะว่าพวกท่านเองก็ทราบอยู่ว่า พวกท่านควรจะทำตาม
อย่างพวกเราอย่างไร เพราะพวกเราเองไม่ได้ประพฤติตัวอย่างไม่เป็นระเบียบในท่ามกลางพวกท่าน ไม่ใช่เพราะพวกเราไม่มีอำนาจ แต่เพื่อทำตัวเองให้เป็นแบบอย่างแก่พวกท่าน เพื่อให้ทำตามอย่างพวกเรา
a. เปาโลยอมแพ้ต่อการเอาเนื้อหนังไปต่อสู้กับบาป (โรม 7:24)
- สาเหตุที่เปาโลพบชัยชนะเป็นเพราะว่าท่านยอมแพ้ และไม่พยายามอีกต่อไป แต่หันไปพึ่งพระคริสต์ทำแทน (โรม 8:1-2)
b. ท่านใส่ใจในเรื่องการวิ่งแข่งเพื่อเข้าอาณาจักร (1 คร 9:26-27)
- ท่านปราบร่างกายแห่งบาปของท่านตามขนาดของความเชื่อ เพื่อให้เป็นที่ใช้การได้ของพระคริสต์
c. ท่านใส่ใจในการนับทุกวันว่า พระคริสต์อยู่ในท่าน และดำเนินชีวิตแทนท่านทุกวัน (กท 2:20)
- เปาโลปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตเนื้อหนังอาดัม และให้พระคริสต์เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนท่าน
d. ท่านใส่ใจเรื่องการนับว่าตายแล้วทุกวัน (1 คร 15:31)
- การใส่ใจและการนับเป็นสิ่งที่จะช่วยเราไม่ให้ลืมเรื่องการฝึกเดิน เปาโลจึงต้องใส่ใจ และนับทุกวันว่าท่านตายแล้ว
e. ท่านใส่ใจเรื่องนับว่าเป็นคนใหม่ทุกวัน (อฟ 4:24)
f. ท่านใส่ใจเรื่องนับว่าเป็นทาสของพระเยซูทุกวัน (โรม 1:1)
g. ท่านใส่ใจเรื่องการมองทุกสิ่งใหม่หมดทุกวัน (2 คร 5:16-17)
h. ท่านใส่ใจเรื่องการสนิทในพระเยซูทุกวัน (1 ธส 5:17)
อ่านเพิ่มเติม: เดินตามแบบอย่างของเปาโล 8 อย่าง
- พระเยซูตรัสว่าถ้าหากท่านยังเสียดายชีวิต (จิต/ความคิดของจิตต่อเนื้อหนัง) ก็จะสูญเสียมันไป และผู้ที่เกลียดชังชีวิต (จิตเก่า) ก็จะได้รับชีวิต (พระเจ้า) (ยน 12:25-28) ถ้ายังรักโลกก็จะไม่ได้รับชีวิตพระเจ้า
- ถ้าหากท่านรักบิดามารดาของท่านมากกว่าเรา ท่านก็ไม่เหมาะกับเรา (มธ 10:37)
คำว่า รักบิดามารดาของท่านมากกว่าพระเยซู ในที่นี้ คือ รักวิถีชีวิตของโลกนี้
- ข้าพเจ้าตายทุกวัน...จงนับว่าท่านตายแล้ว...ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป (1 คร 15:31/ โรม 6:11/ กท 2:20)
- อาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง
แต่เป็นเรื่องของความชอบธรรม ความสงบสุข และสันติสุขในพระวิญญาณบริสุทธิ์ (โรม 14:17)
และอาณาจักรเป็นเรื่องที่ต้องแย่งชิงกันเข้าไปด้วยใจร้อนรน (คือการใส่ใจนับและแสวงหา)
และต้องแลกมาด้วยชีวิต และทุกสิ่ง ซึ่งอาณาจักรมีค่ามากกว่าทุกสิ่ง
เมื่อเราพบอาณาจักรเราก็ควรวิ่งแข่งเพื่อให้ถึงเส้นชัยให้ได้ (มธ 6:33 / มธ 11:12)
a. อย่ามอง อย่าดู อย่ารอดู อย่าคิดว่าทำไมไม่เห็นตัวเก่าตาย และพระคริสต์ทำแทน แต่จงเชื่อว่าทรงกระทำอยู่ และฝึกเดินเรื่อยไป ด้วยใจชื่นชมยินดี และอยู่ในอาการของจิตที่สงบสุข
สรุป การใส่ใจ นับ ไม่ท้อ และสู้ไปด้วยกันกับพี่น้องที่มาถึงอาหารผู้ใหญ่แล้ว คือเคล็ดลับที่จะนำเราไปสู่ประสบการชีวิตเก่าที่ตาย และชีวิตใหม่ที่เป็นอยู่เหมือนเปาโล
โรม 6:5 เพราะว่าถ้าพวกเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในลักษณะที่เหมือนกับความตายของพระองค์ พวกเราก็จะเป็นขึ้นมาในลักษณะที่เหมือนกับการทรงเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ด้วย
a. ยอห์น 15:5 พระเยซูตรัสว่า เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นบรรดากิ่ง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นเองก็เกิดผลมาก
- ดูจากหนังสือวิวรณ์ ลักษณะของต้นไม้แห่งชีวิตคล้ายเหมือนต้นองุ่น และในยอห์นบทที่ 15 พระเยซูตรัสว่า “เราเป็น” ไม่ใช่ “เราเป็นเหมือน” หรือ “เราเปรียบเหมือน”
พูดง่ายง่าย ก็คือพระเยซูเป็นต้นไม้แห่งชีวิตและผลไม้แห่งชีวิต พระองค์เป็นเถาองุ่น และเราเป็นบรรดากิ่งที่ต่อติดกับเถา
เราพบว่า "ชีวิต" เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการเปิดเผยให้กับเรา พระองค์ให้เราดำเนิน ชีวิต มีชีวิต อยู่กับชีวิต ต่อติดกับชีวิตเพื่อให้มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ และเกิดผลของชีวิตอย่างมากมาย
b. คำว่า “สนิท” ในที่นี้ ภาษากรีกคือ μένω เม-โน abide, stay, remain, live, living
และคำว่า “ใน” ภาษากรีกคือ ἐν เอ็น คือเข้าไปอยู่ใน / อยู่ใน.../ อยู่ด้วย ...
พูดง่าย ๆ ก็คือ พระเยซูมีพระประสงค์ให้เรา มีชีวิตอยู่ในพระองค์ตลอดเวลา ทุกวัน ทุกเวลานาที
เนื่องจากว่า ในพระคริสต์ คือที่ที่พระเจ้าสร้างให้เป็นที่อยู่ใหม่ของเรา
เมื่อเราเอาชีวิตของเราเข้าไปอยู่ในพระองค์และไม่ออกมา ฝ่ายพระองค์ก็เข้ามาอยู่ในเราและไม่ออกไปไหนเลย
จากนั้นพระคริสต์ก็คิดแทน ทำแทน พูดแทน รักแทน อดทนนานแทนเรา และทำทุกสิ่งแทนเราในเราผ่านเรา ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในพระคริสต์หรือไม่
a. ชีวิตคืออะไร
- ในจักรวาล มีชีวิตหลายชีวิต สัตว์บ้าง พืชพันธุ์ผลไม้บ้าง มนุษย์บ้าง แต่ทุกชีวิตล้วนเป็นอยู่ชั่วคราว และไม่ครบบริบูรณ์ มีชีวิตเดียวเท่านั้นที่เป็นอยู่ชั่วนิรันดร์ เป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ คือชีวิตพระเจ้า เป็นชีวิตที่ตายไม่ได้ ไม่มีขีดจำกัด
- พระคัมภีร์กล่าวว่า เมื่อเราเชื่อเราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ ความหมายก็คือ เราได้รับชีวิตพระเจ้าที่เป็นอมตะ ตายไม่ได้ และไม่มีขีดจำกัด
- ชีวิต เป็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชีวิตเป็นพระวาทะ
b. พระเจ้าสามพระภาค เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวิญญาณของเรา
- คำว่า “เชื่อ และ ท่านจะมีชีวิตนิรันดร์” ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตพระเจ้าทั้งสามพระภาครวมกันเป็นหนึ่งเดียวที่เข้ามาอยู่ในเรา และเมื่อเข้ามาอยู่ในเรา เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าสามพระภาคแล้ว
- การมีชีวิตอยู่ร่วมกับพระเจ้าสามพระภาค เราสามัคคีธรรมกับพระองค์ เราเข้ามาทางพระโลหิต เรารับการหล่อเลี้ยงด้วยชีวิตพระเจ้าแทนเข้ามาในวิญญาณแพร่ขยายไปสู่จิตเพื่อพลังและสันติสุขเป็นระยะ
- ยอห์น 15:1-5 สนิทในพระองค์ และพระองค์สนิทในเรา แล้วเราจะเกิดผลมาก
a. เป็นเรื่องที่น่าเศร้าท่ามกลางสังคมคริสเตียน เราได้บังเกิดใหม่แล้ว แต่เราไม่เคยกิน และดื่มพระเยซูในสภาพของอาหารที่มาจากสวรรค์เพื่อให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราได้เติบโต
b. สำหรับผู้เชื่อที่ได้รับมานาฯ แล้ว เรารู้แล้วว่าพระคำพระเจ้าเป็นอาหารแห่งสวรรค์ และพระเยซูเป็นอาหารแห่งชีวิต (ยอห์น 6:35)
เราต้องฝึกเพื่อที่จะหายใจรับชีวิต และรับอาหารดังกล่าว โดยการขอบพระคุณพระเยซู และเชื่อว่าเรากำลังรับขณะที่ หายใจเข้า และอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และนมัสการพระองค์
c. คนมักจะพูดว่าถ้าหากเรากินอะไรเข้าไปเราก็จะเป็นสิ่งนั้น
สมมุติว่าเรากินเนื้อวัวเราก็จะมีกลิ่นวัวหรือเป็นเหมือนวัว กินกระเทียมเราก็จะมีกลิ่นกระเทียม ฯลฯ และเมื่อเรากินพระเยซูเราก็จะมีกลิ่นหรือนิสัยของพระเยซู (ยอห์น 6:57)
d. ยิ่งเรากินพระเยซูโดยการอ่านเพื่อกินเพื่อโต เราก็จะมีชีวิตพระเจ้าสามพระภาคอยู่ในเรามากเท่านั้น
a. พระเจ้าเลือกเรามาเป็นเหมือนนักวิ่งเพื่อวิ่งแข่ง ไม่ใช่ให้เรายืนนิ่ง
b. เราวิ่งแข่งเรื่องการฝึกเดิน
c. เราวิ่งแข่งเรื่องการสะสมมานา
d. เราวิ่งแข่งเรื่องการสำแดงความรัก ชอบธรรมของพระเยซูผ่านเรา
- ถ้าหากเรายังมองด้านลบต่อผู้อื่น แสดงว่าเรายังไม่มาถึง ชีวิต (ของพระเยซู)
ถ้าหากเรายังบ่น และเป็นทุกข์ กังวลกระวนกระวาย เรายังมาไม่ถึงชีวิต
เราไม่ได้ต่อติดกับเถาองุ่น หรือไม่ได้สนิท/อาศัยอยู่ในพระคริสต์
สิ่งแรกที่เราต้องทำ ก็คือ ไปตาย จากนั้นค่อยมาเชื่อมต่อ ต่อติดกับพระคริสต์สนิทในพระคริสต์
- สิ่งที่เป็นด้านลบ Negative things เป็นสิ่งที่ซาตานใช้เพื่อทำลายเรา และชักนำเราให้ออกจากพระคริสต์
อย่าหลงกลมาร เรายอมเป็นคนพ่ายแพ้ ยอมต่ำ เสียเปรียบต่อมนุษย์ แต่เราจะเป็นผู้ชนะต่อพระเจ้า (ในสายพระเนตรของพระเจ้า)
- ปัญหาเป็นของโลก และเนื้อหนัง ซึ่งเป็นสิ่งชั่วคราว เป็นเพียงแค่เงา ซึ่งพระเจ้าใช้มันเพื่อให้เราเติบโต
เราไม่ควรใส่ใจหรือโฟกัสที่ปัญหาต่างๆ ที่เข้ามา แต่ใส่ใจที่พระเจ้าสามพระภาคที่อยู่กับเรา ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว
พระองค์รักเรา และไม่ให้ใครมาแตะต้องเราได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ขอพระวิญญาณก่อเราขึ้น และชำระเราให้กลายเป็นดินดี ที่ใส่ใจฝึกเดินในพระคริสต์ และสะสมมานาฯ ต่อไป เพื่อเราจะถึงเส้นชัยเหมือนเปาโล
- 2 คร 5:7 / โรม 1:17
- สมัยก่อน พระเจ้าไม่พอใจมนุษย์ที่ทำบาป และกลายเป็นคนบาป
การเดินในทางแห่งความชอบธรรมเท่านั้นที่เป็นที่พอใจของพระเจ้าได้
แต่เนื่องจากว่ามนุษย์มีธรรมชาติบาปในเขา เขาไม่เคยทำอะไรให้เป็นที่พอใจของพระเจ้าตลอดไปได้
และในที่สุดพระเจ้าจึงให้โอกาสแก่มนุษย์เพื่อที่พระองค์จะพอใจในชีวิตเขาได้
- เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ตายเพื่อไถ่บาปเรา พระบิดาก็พอใจกับสิ่งที่พระเยซูกระทำ
และคนที่เชื่อในการไถ่ของพระองค์ พระเจ้าก็ยอมรับเขาว่าเป็นคนชอบธรรมและพอใจในเขา
- โดยทางความเชื่อ เราจึงกลายเป็นคนชอบธรรมเท่ากับยิวที่เคร่งศาสนาคนหนึ่ง
และความเชื่อเป็นสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการเพื่อการงานของพระองค์จะสำเร็จทั้งหมดในเรา
- พระเยซูมาบังเกิดเมื่อสองพันปีก่อน เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- พระเยซูตายที่กางเขน เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- พระเยซูชุบชีวิตเราให้บังเกิดใหม่ เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- พระเยซูระบายวิญญาณของพระองค์ให้เราเพื่อการดำเนินชีวิตใหม่ในเรา เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- พระเยซูเทพระวิญญาณใส่เราเพื่อฤทธิ์เดชแห่งการรับใช้ เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- พระเยซูเป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเรา เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในเรา เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- เรามีชีวิตและเดินในฝ่ายวิญญาณ เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- เราตื่นนอนตอนเช้า เราสนิทพูดคุยสนทนาบอกรักพระองค์ เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น ตอนค่ำ เราเดินไปกับพระองค์ เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- เรามีความหวังในอนาคตเรื่องความรอด เรื่องอาณาจักร และฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- เราเริ่มต้นก็ด้วยความเชื่อและจบลงก็ด้วยความเชื่อ (โรม 1:17)
- เราเดินด้วยเชื่อเอา ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น เพราะว่าโลกฝ่ายวิญญาณเอาตาไปมองเอาหูไปฟังไม่ได้ ต้องเชื่อเอาอย่างเดียว
- โรม 1:17 จึงกล่าวว่า การที่เราจะเป็นผู้ชอบธรรมต่อพระเจ้า ก็คือความเชื่อ เราเชื่อพระเจ้าทำ เราเชื่อพระคริสต์ทำ เราเชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำ
- เราโดนเอารัดเอาเปรียบเราก็ยอมเสียเปรียบเพราะว่าพระเยซูจะตอบแทนการกระทำของทุกคน เราไม่เห็นแต่เราเชื่อ
- ความเชื่อคือความหวังใจในสิ่งที่ตามองไม่เห็นว่ามีจริงและได้รับแล้ว (ฮบ 11:1)
- พระเจ้าสร้างทูตสวรรค์ทุกตนในจักรวาล
ลูซีเฟอร์เป็นทูตสวรรค์ชั้นผู้ใหญ่ที่หลงตัวเอง มันจึงอยากเป็นใหญ่เหมือนพระเจ้า มันจึงคิดกบฏ
และต่อมาเมื่อมันรู้ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์เพื่อให้สำแดงพระองค์ มันจึงขัดขวางและใช้มนุษย์เพื่อสำแดงชีวิตของมันก่อน
ในที่สุดซาตานก็เข้ามาสิงอยู่ในอาดัมและลูกหลานได้สำเร็จ
พระเจ้าจึงส่งพระบุตรลงมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้กลับมาสู่แผนการของพระเจ้า
พระคริสต์ในสภาพของพระวิญญาณเป็นชีวิตเพื่อมาเติมเต็มให้กับมนุษย์ และเข้ามาอยู่ในเราเพื่อมาแทนที่ตัวบาป กฎแห่งบาปและความตาย
การสู้รบจึงไม่ใช่ของเราแต่เป็นของพระวิญญาณ
และเนื้อหนังที่ถูกขายให้บาปแล้ว เรามีพระฉายาของพระเจ้าแต่กฎแห่งจิตใจของเราอ่อนแอมาก
เมื่อตัวบาปบังคับและชักนำเราให้ทำบาปเราก็ขัดขืนไม่ได้
พระวิญญาณก็พยายามช่วยเราให้รู้ความจริงและร่วมมือกับพระองค์
แต่คนที่ต่อสู้กับเนื้อหนังและตัวบาปก็คือพระคริสต์ ไม่ใช่เรา
สรุป ก็คือเมื่อไหร่ที่เราทำบาป เราไม่ได้เป็นคนทำแต่ตัวบาปทำในเรา
และทุกวันนี้เมื่อไหร่ที่เรารักอากาเปได้ สำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซูได้ก็คือพระคริสต์ไม่ใช่เรา การต่อสู้นี้จึงไม่ใช่ของเรา
กท 5:17 กล่าวว่าเนื้อหนังก็ต่อสู้กับพระวิญญาณ (พระวิญญาณ ในที่นี้ คือพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้เป็นขึ้นมาจากความตาย และเข้ามาสถิตอยู่ในเรา)
ส่วนเนื้อหนัง ก็คือ ตัวเก่า ชีวิตอาดัมที่ตกต่ำเสื่อมทรามแล้ว และเป็นของความบาป และความตายแล้ว
การร่วมมือกับพระเจ้าเพื่อพระองค์จะชนะเนื้อหนังได้ ก็คือการเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ และด้วยความเชื่อ แล้วก็ต้องจบลงด้วยพระวิญญาณ และความเชื่อ
คริสเตียนมากมายทุกวันนี้ล้มเหลวต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียน
เขาเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ และความเชื่อ แต่จบลงด้วยเนื้อหนัง
ซึ่งก็คือการพยายามทำดีเชื่อฟังด้วยเนื้อหนังเพื่อให้กลายเป็นคนชอบธรรม
การพยายามทำในสิ่งที่ทำไม่ได้
พระเจ้าต้องการให้พระคริสต์ก่อชีวิตมากขึ้นภายในเรา (กท 4:19)
เพื่อเกิดผลของชีวิตใหม่ทั้งหมดผ่านเรา (กท 5:22-23)
พระองค์ต้องการดำเนินชีวิตแทนเราและเราแค่ยอมให้พระองค์เคลื่อนไหวใช้อวัยวะทั้งหมดของเรา (ฟป 1:21/กท 2:20)
การที่พระวิญญาณจะชนะในเราได้ เราต้องสวมใส่อาวุธทั้งหมดที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพื่อป้องกันการขัดขวางและต่อสู้ของซาตานซึ่งก็คือ...
a. เอาความจริงคาดเอว (คือพระคำแห่งความจริง ที่ไม่มีเชื้อผสม) (อฟ 6:15)
- เราเป็นคนบริสุทธิ์และชอบธรรมแล้ว เป็นคนใหม่แล้วโดยทางความเชื่อไม่ใช่ด้วยการทำดีเชื่อฟัง เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไปแล้ว
- เราอยู่ใต้พระคุณไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติ เราเป็นมนุษย์วิญญาณ
- พระคริสต์อยู่ในเรา พระวิญญาณอยู่ในเรา และพระบิดาก็อยู่ในเราตลอดไป
- เราแสวงหาอาณาจักร และความชอบธรรมของพระเจ้าพบแล้ว
และอีกมากมาย
b. เอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า (อฟ 6:15)
คือการประกาศเรื่องข่าวดี เรื่องพระเยซู เรื่องความรอด เรื่องสันติสุข
ไม่ใช่ประกาศเรื่องมั่งมีฝ่ายร่างกาย พระเจ้าอวยพรร่ำรวย
แต่นำสันติสุขมาถึงคนที่ไม่เชื่อ และเชื่อนานแล้วแต่ชีวิตขาดสุข
c. เอาความเชื่อเป็นโล่ เพื่อดับลูกศรเพลิงของซาตาน (อฟ 6:16)
คือเดินด้วยความเชื่อ เชื่อเอา ไม่ใช่พยายามทำในสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แล้ว
หรือพยายามเป็นในสิ่งที่เราเป็นแล้วในพระคริสต์
เราเริ่มต้นด้วยการเชื่อเอา และจบลงก็ด้วยการเชื่อเอา ไม่มีกระทำ
แต่เมื่อเราเชื่อมากขึ้น การกระทำจากภายใน คือการงานของพระวิญญาณก็จะปรากฏ
ลูกศรเพลิงของผู้ชั่วร้าย คือคำสอนความเชื่อที่ผิดพระคัมภีร์
ที่ซาตานใช้ผู้เชื่อพี่น้องคริสเตียนมาสอนมาบอกมาแนะนำเรา เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเชื่อผิดสอนผิดแต่หวังดีต่อเรา
d. เอาความรอดเป็นหมวกเหล็ก (อฟ 6:17)
คือเชื่อว่าเรารอดแล้วรอดเลย อย่าถอดหมวกเหล็กนี้ออก การถอดคือการสงสัยลังเลใจเมื่อมีคนมาบอกเราว่า เชื่อเท่านั้นไม่พอต้องมีการกระทำไม่งั้นจะไม่รอด
ใช่...เมื่อเราเชื่อการกระทำก็จะตามมาไม่มากก็น้อย แต่การกระทำเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อให้รอด แต่มีไว้เพื่อยืนยันว่าเราเชื่อจริง
ความเชื่อที่ไม่ตายแล้ว จะต้องมีผลของการกระทำเกิดขึ้นแน่นอน แต่เราผู้เชื่อได้รับความรอดโดย เชื่อเท่านั้น
ความรอดเป็นของขวัญ ไม่ใช่ค่าจ้างรางวัลเพื่อจะไม่มีใครอวดได้ (อฟ 2:8-9)
e. ถือพระแสงของพระวิญญาณ (อฟ 6:17)
คือสะสมมานาที่ซ่อนไว้ (อาหารผู้ใหญ่ )
ทั้งมานาที่เปิดเผย (อาหารเด็ก)
เพื่อไม่ให้ซาตานใช้ใครมาหลอกเราให้หลงได้
เพราะเรารู้ว่าเราหลุดพ้นจากกฏเกณฑ์พระบัญญัติเข้าสู่ใต้พระคุณและรับสุขทุกเวลา
อยู่ในกระบวนการการเปลี่ยนใหม่ ไม่เหมือนอยู่ในระบบเดิมที่ชีวิตขึ้นลงๆ สุขทุกข์ ดีบาปๆ ใส่หน้ากาก และคิดว่ามีความเชื่อถูกต้อง
f. อธิษฐานทุกเวลาในทุกเรื่อง (อฟ 6:18)
เราอธิษฐานทุกเวลาในทุกเรื่อง กรีกคือ พูดคุยสนทนา บอกรัก สนิทในพระเยซูในวิญญาณไม่ออกมา
ขณะที่ทำงาน ทำกับข้าว เดินไปมา ขับรถ เราไม่หยุดสามัคคีธรรมกับพระเยซู
พระเยซูจะไม่ทิ้งเราอยู่นอกอาณาจักร เพราะเรารู้จักพระเยซูดี เพราะได้พูดคุยทุกวัน (มธ 7:21-23)