1. เราช่วยพี่น้องคริสเตียนที่ผิดบาปด้วยความรักอ่อนสุภาพ ไม่ใช่ไปตัดสินเขา
2. เราบุตรพระเจ้าไม่ควรถือตัวว่าสำคัญ ถึงแม้ว่า พระเจ้าจะยกเราบางคนขึ้นเป็นคนสำคัญก็ตาม
3. เรามนุษย์วิญญาณ ใส่ใจในการสำรวจตนเอง ว่าเดินไปกับพระเยซูในแต่ละวัน และไม่เปรียบกับผู้อื่น
4. ภาระของเราในแต่ละวัน คือสนิทบอกรัก และพูดคุยกับพระเยซู เพื่อที่จะเลิกทำบาปได้
5. การหว่านในย่านเนื้อหนัง และหว่านในย่านพระวิญญาณ
6. เราบุตรพระเจ้าไม่ควรเมื่อยล้า ท้อแท้ และถดถอยในการทำดีรับใช้พระบิดา เพราะว่าพระองค์ทรงเฝ้าดูอยู่ และเห็นทุกสิ่งที่เรากระทำ อย่ามองที่ปัญหาหรือมนุษย์ มันอาจทำให้เราหวั่นไหว และท้อแท้ได้
7. การทำดีช่วยเหลือ เราควรทำกับพี่น้องผู้เชื่อก่อน จากนั้นก็คนที่ไม่เชื่อ
6:1 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าผู้ใดถูกครอบงำอยู่ในความผิดบาป ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย
** ถูกครอบงำอยู่ในความผิดบาป หรือตกอยู่ในชีวิตที่ผิดบาป
** ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ คือผู้ที่เป็นผู้ชนะหรือเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยน และรู้วิธีเดินในพระวิญญาณแล้ว
- เดินในพระวิญญาณ หรือให้พระวิญญาณนำในชีวิตแล้ว ตรงกับ กท 5:25
** จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพ ภาษากรีกคือ ด้วยใจที่ไม่ตอบโต้ โต้ตอบด้วยการร้ายหรือด้านลบ
6:2 จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงทำให้พระบัญญัติของพระคริสต์สำเร็จ
** การรับภาระ ข้อนี้เน้นที่การช่วยเหลือพี่น้องที่อยู่ในการบาป
** การรับภาระกันและกันคือการรักอะกาเป คือการรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูได้สำเร็จ
6:3 เพราะว่าถ้าผู้ใดถือตัวว่าเป็นคนสำคัญ ทั้งๆที่เขาไม่สำคัญอะไรเลย ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง
** คนที่ถือว่าตัวเองสำคัญ มักจะไม่ใส่ใจหรือรับภาระของผู้อื่น
** เราจะเห็นผู้เชื่อมากมายที่ถือตัวว่าสำคัญ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้สำคัญเลย แต่เราหลง เพราะว่าเราเห็นว่าพระเจ้าทำงานหรือตอบคำ อธิษฐานของเรา หรือใช้เราในงานบางอย่าง เราจึงพองตัวขึ้น หลายครั้งเราอาจเป็นแบบนี้แต่เราไม่รู้ตัว
6:4 แต่ให้ทุกคนสำรวจกิจการของตนเองจึงจะมีอะไรๆที่จะอวดได้ในตนเองผู้เดียว ไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น
** กิจการของตนเอง คือการฝึกในการดำเนินชีวิตใหม่
** การฝึกชีวิตตนเอง ไม่ควรเปรียบกับใคร เป็นเรื่องระหว่างเราเดินไปกับพระเจ้าในแต่ละวัน
6:5 เพราะว่าทุกคนต้องแบกภาระของตนเอง
** "แบกภาระ" ในที่นี้ คือการฝึกเดินเพื่อเลิกทำบาปได้
สรุป
บทที่ 1. เมื่อมีพี่น้องมาแจ้งต่อเปาโลว่าคริสเตียนในแค้วนกาลาเทียถูกคริสเตียนชาวยิวชักชวนให้ถือรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้รอดและรับพระพร เพราะว่าเชื่อวางใจในพระเยซูเท่านั้นก็ยังไม่พอ
- ท่านจึงเขียนมาเตือนพวกเขาให้กลับใจ คริสเตียนในแค้วนนี้ต้อนรับพระเยซูเนื่องจากท่านเดินทางมาประกาศกับพวกเขา
- เปาโลยืนยันว่าท่านได้รับความรู้และคำสอนทั้งหมดจากพระเยซูท่านไม่ได้รับจากสาวกคนใดเลย
- สิ่งสำคัญคือท่านต้องกานเปิดเผยว่า พระเยซูเข้ามาแทนที่พระบัญญัติ เพื่อมนุษย์จะได้รับพระคุณพระเจ้าอย่างครบถ้วน
บทที่ 2. ผู้เชื่อทุกคนตายแล้ว เราไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในเรา คือคนเก่าตายไปคนใหม่เข้ามาและอยู่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์
บทที่ 3. พระโลหิตของพระเยซูจ่ายหนี้บาปเราครบแล้ว เรารอดด้วยการตายของพระเยซูไม่ใช่ด้วยการรักษาพระบัญญัติ
- เราไม่ต้องขอพระวิญญาณ แต่ได้รับแล้วโดยทางความเชื่อ
- เราเริ่มต้นด้วยวิญญาณไม่ควรดำเนินชีวิตและจบลงด้วยเนื้อหนัง
- ยิวมีพระบัญญัติ คือพวกเขาเป็นลูกทาส ส่วนผู้เชื่อมีพระเยซูเราจึงเป็นไทแล้ว ไม่ข้องเกี่ยวเกี่ยวข้องกับพระบัญญัติอีกต่อไป
บทที่ 4. การก่อขึ้นของพระคริสต์ในผู้เชื่อ ช่วยให้เราเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตใต้พระคุณอย่างครบถ้วน ทั้งจะไม่ขาดบำเหน็จในอาณาจักรและแผ่นดินโลกใหม่
บทที่ 5. การรักษาพระบัญญัติจะนำเราเข้าสู่การเป็น ลูกทาส การเชื่อในพระเยซูจะนำเราเข้าสู่การเป็นลูกไท
- จงระวังเชื่อยีสต์ ซึ่งก็คือคำสอนของพวกพี่น้องคริสเตียนยิวหรือคำสอนที่มาจากความคิดสติปัญญาของมนุษย์หรืออาดัม
- เราทุกคนต้องวิ่งแข่ง เพื่อเราจะไม่พลาดอาณาจักรสวรรค์ในยุคหน้าและนิรันดร์
บทที่ 6. เมื่อเปาโลชี้แจง ไขความเข้าใจ เรื่องความเชื่อ และข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเยซู ตั้งแต่บทที่ 1 จนถึง 5
- มาถึงบททที่ 6 ท่านจึงสั่งสอนให้เราผู้เชื่อ และผู้นำเดินด้วยพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูสองข้อหลัก คือ รัก รักพระเจ้าหมดหัวใจสุดกำลัง และรักพี่น้องที่เชื่อและชาวโลกที่ไม่เชื่อ เราเอารักเป็นหลัก เอารักเป็นที่หนึ่ง เอาความรักนำหน้า เพราะว่าถ้าหากไม่มีความรักการกระทำทุกสิ่งก็ไม่มีประโยชน์ (1 คร 13:1-3 / 1 ยอห์น 2:7-11)
- เราช่วยเหลือพี่น้องที่อ่อนแอและทำบาปด้วยหัวใจรัก สุภาพอ่อนโยน อธิษฐานเผื่อ อดทนและไม่ถกเถียงเขาเมื่อเขาหยิ่งผยองพองตัวเพื่อเขาจะกลับเข้ามาในการเดินในพระวิญญาณ
- ภาระของเราในแต่ละวัน คือสนิทบอกรัก พูดคุยกับพระเยซู เพื่อที่จะเลิกทำบาปได้
- ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราเข้าใจคำว่า การหว่านในย่านเนื้อหนัง และหว่านในย่านพระวิญญาณแตกต่างกันอย่างไร
6:6 ส่วนผู้ที่รับคำสอนในพระวจนะแล้ว จงแบ่งสิ่งที่ดีทุกอย่างให้แก่ผู้ที่สอนตนเถิด
** คือการแบ่งปันสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน อาหาร เสื้อผ้า หรืออะไรก็ได้ตามที่เราเห็นควรที่จะให้เขา
** คำสอนในพระวจนะ ในที่นี้ คือคำสอนที่เป็นข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ ความรอดที่ได้มาโดยทางความเชื่อเท่านั้น
** คำสอนในพระวจนะ คือพระคำแห่งความจริงที่มาจากพระวิญญาณแห่งความจริง คือ...
1. ผู้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องเชื่อเท่านั้นก็รอด และ
2. ผู้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักร
แต่ข้อที่ 6 นี้เปาโลเน้นข้อที่ 1 เป็นหลัก คือเราดูแลช่วยเหลือผู้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องเชื่อเท่านั้นก็รอด เรามีภาระใจช่วยเขาเรื่องอาหาร หรือสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้สำหรับเขาบ้าง
ส่วนผู้ประกาศอาณาจักร เราควรให้ความรักเคารพและมองเขาในลักษณะพ่อฝ่ายวิญญาณเหมือนเปาโลและอีกหลายคน ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ประกาศอาจขอการช่วยเหลือหรือไม่ขอ เพื่อให้การทำงานของพระวิญญาณกระทำกิจในทุกคน
เราพบว่าข้อที่ 6 เปาโลหนุนใจให้ช่วยเหลือดูแลผู้ประกาศความจริง และตำหนิผู้ประกาศข่าวประเสริฐอื่น
สำหรับผู้เผยพระวจนะในคริสตจักร หรือพี่น้องในพระกาย มีใครเดือดร้อนเราก็ดูและแบ่งเบาภาระตามขนาดของความเชื่ออยู่แล้ว
6:7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น
** คือการตำหนิพี่น้องคริสเตียนชาวยิวที่หว่านข่าวประเสริฐ และคำสอนที่ผิดหรือบิดเบือน พวกเขาหว่านคำสอนที่ผิดก็จะต้องได้รับโทษ
** การหลอกลวงพระเจ้า คือการสอนคำสอนที่ไม่ได้มาจากความจริงแห่งพระคำ ซึ่งผู้เชื่อส่วนมากทำไปโดยไม่รู้ตัวและคิดว่าตนสอนถูก
** หว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวสิ่งนั้น คือการรับโทษในชีวิตนี้ และเกเฮนาในยุคพันปี การสอนในสิ่งที่ไม่ได้มาจากพระวิญญาณแห่งความจริงอันตรายมากสำหรับผู้นำผู้สอน
** ทุกวันนี้มีผู้นำผู้สอนมากมายที่หว่านในย่านเนื้อหนัง และทำให้ผู้เชื่อทั่วโลกหลงทางจากความจริงแห่งพระคำพระเจ้า
6:8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
** หว่านในเนื้อหนัง คือ:
1. คือความรู้คำสอนที่ได้มาจากเนื้อหนัง และนำไปสอนผู้อื่นต่อ และเรื่องหลักก็คือ เชื่อไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติ หรือต้องเชื่อฟังด้วยจึงจะรอด
2. คือการทำทุกสิ่งด้วยสติปัญญากำลังและความสามารถที่ได้มาจากอาดัม ไม่ใช่พระคริสต์เป็นคนทำในเรา
** หว่านในย่านพระวิญญาณ คือ:
1. คือการหว่านข่าวประเสริฐที่มาจากพระวิญญาณ คือเชื่อเท่านั้นก็รอด ไม่เกี่ยวกับศาสนายิว
2. คือการให้พระคริสต์ทำแทนในทุกเรื่อง ในแต่ละวันของเรา
*** การเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่า คือการเกี่ยวเก็บสิ่งที่ตกต่ำฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งสุดท้ายก็นำไปสู่การสูญเสีย ผลที่ได้รับจากข่าวประเสริฐอื่น ก็คือการนำผู้คนไปสู่รูปแนวศาสนา ที่มีแต่ความอ่อนแอและความตาย
*** เกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น คือการนำผู้เชื่อเข้าสู่ชีวิตอย่างครบถ้วน และมาถึงรูปแนวชีวิต ที่ทำอะไรก็ได้รับการเต็มล้วนด้วยชีวิต ทำเราไม่อ่อนแอ ไม่ตาย สดใหม่อยู่เสมอ และเป็นที่ชอบพระทัยพระบิดาอยู่เสมอ
6:9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร
** อย่าให้เราเมื่อยล้า หรืออย่าถดถอย อย่ายอมแพ้ อย่าเลิกล้ม
** การทำดี ในที่นี้ คือการสำแดงชีวิตพระคริสต์ตามขนาดของความเชื่อ รวมถึงการช่วยเหลือดูแลผู้อื่น โดยเฉพาะพี่น้องคริสเตียนที่เป็นครอบครัวของพระเจ้าก่อนจากนั้นก็คนที่ไม่เชื่อ
** เกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร คือสิ่งดีที่ได้รับทั้งในชีวิตนี้ ยุคพันปี และแผ่นดินโลกใหม่
6:10 เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวของความเชื่อ
** ครอบครัวของความเชื่อ คือพี่น้องผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน อยู่ในคณะนิกายใด แต่เราไม่มองที่ฝ่ายเนื้อหนัง เรามองที่ฝ่ายวิญญาณ และนับทุกคนที่เชื่อว่าเป็นครอบครัวของความเชื่อ
** ถ้าหากเราเห็นภาพของคริสตจักร หรือพระกายของพระเยซู เปรียบเหมือนบ้านหลังใหญ่ ผู้เชื่อเป็นเหมือนภาชนะ แต่มีภาชนะ 2 แบบ ซึ่งก็คือภาชนะดิน (คริสเตียนศาสนา) และภาชนะทองคำ (คริสเตียนฝ่ายวิญญาณที่ได้รับการเปิดตาแล้ว) และมีผู้เชื่อสามระดับ คือเด็กเล็กๆ หนุ่ม และบิดา นี่คือสิ่งที่พระเจ้ามองพระกายเดียวทั่วโลกของพระเยซู
สำหรับการดูแลช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเชื่อหรือเรื่องฝ่ายร่างกาย การอยู่ กิน เราให้ความสำคัญแก่ครอบครัวของพระเจ้าหรือผู้เชื่อทุกคนก่อน ซึ่งกลุ่มแรก คือผู้ที่มาร่วมในพระกายที่เราร่วมอยู่ จากนั้นก็ผู้เชื่อที่เป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ และจากนั้นก็ผู้เชื่อฝ่ายเนื้อหนังหรือศาสนาคริสต์ และจากนั้นก็คือคนที่ไม่เชื่อ
สรุป ก็คือ การทำดี ในที่นี้ ก็คือทั้งเรื่องช่วยเขาให้มาถึงความจริงแห่งพระคำ และเรื่องชีวิตที่ขัดสนของผู้อื่น
1. เรายึดมั่นในข่าวประเสริฐเชื่อเท่านั้นก็รอดว่ามาจากพระเจ้า
2. เรายึดหลักการการดำเนินชีวิตคริสเตียน คือเราคนเก่าตายแล้วกับพระเยซู เราคนใหม่มีชีวิตอยู่โดยพระคริสต์เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเรา
3. เรายึดพระโลหิตเป็นค่าจ่ายหนี้บาปเรา เราไม่ต้องทำดี และขอเพื่อให้ได้รับพระวิญญาณ แต่เชื่อว่าได้รับแล้ว เราเป็นไทไม่ได้เป็นลูกทาสเหมือนยิว
4. เราอยู่เพื่อสนิทเพื่อให้ได้รับการก่อขึ้นของชีวิตพระคริสต์เพื่อเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตอย่างครบถ้วน
5. เราระวังเชื้อยีสต์อยู่เสมอ และวิ่งแข่งเพื่ออาณาจักรในยุคหน้า
6. เราเอารักเป็นหลัก เอารักเป็นที่หนึ่ง ต่อพระเจ้าและต่อมนุษย์โดยเฉพาะครอบครัวของพระเจ้าก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณและฝ่ายร่างกาย เราไม่ลืมผู้ที่แบ่งปันพระคำแห่งความจริงแก่เราเมื่อเขาขัดสน
6:11 ท่านจงสังเกตดูตัวอักษรที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านด้วยมือของข้าพเจ้าเองว่า ตัวโตเพียงใด
** เปาโลมีปัญหาเรื่องสายตา และมือสั่นเพราะท่านทำงานเย็บเต็นท์เมื่อท่านกลับใจเป็นคริสเตียน
** เปาโลเป็นผู้รับใช้ที่ถ่อมใจ ขยัน และเห็นอกเห็นใจพี่น้องคริสเตียน เมื่อกลับใจ ท่านไม่ใช่คนที่มักได้ ท่านทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยการเย็บเต็นท์ ถ้าหากกรณีฉุกเฉินจริงๆ เมื่อท่านขัดสน ท่านจึงขอให้พี่น้องช่วยเหลือท่านสำหรับการเดินทางไปประกาศตามขนาดของความเชื่อ
6:12 คนที่ปรารถนาได้หน้าตามเนื้อหนัง เขาบังคับให้ท่านเข้าสุหนัต เพื่อเขาจะได้ไม่ถูกข่มเหงเพราะเรื่องกางเขนของพระคริสต์เท่านั้น
** ทุกที่ที่คริสเตียนยิวไปประกาศ เมื่อมีคนเชื่อในคำสอนของพวกเขา เขาจะสั่งให้เข้าสุหนัต
** คริสเตียนชาวยิวไม่เพียงแต่ชักนำผู้เชื่อให้เชื่อคำสอนที่ผิด แต่ยังชักชวนบังคับให้ผู้เชื่อเข้าสุหนัตเพื่อตนจะมีผลงาน และมีหน้ามีตา คริสเตียนศาสนาโดยส่วนมากก็เป็นเหมือนกัน คือจะทำงานรับใช้ในคริสตจักรเพื่อได้หน้า และเพื่อไม่ให้ใครตำหนิเขา เขาจึงพยายามสร้างผลงาน
6:13 ถึงแม้คนที่เข้าสุหนัตแล้วก็มิได้รักษาพระบัญญัติ แต่เขาปรารถนาที่จะให้ท่านเข้าสุหนัต เพื่อเขาจะได้เอาเนื้อหนังของท่านไปอวด
6:14 แต่พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้ข้าพเจ้าอวดตัวนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกตรึงไว้แล้วจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ตรึงไว้แล้วจากโลก
** เป็นหลักการการดำเนินชีวิตของคริสเตียน คือเราบังเกิดในพระวิญญาณ เรามีชีวิตอยู่ในฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ในฝ่ายโลกนี้อีกต่อไป แต่นี่คือการทำงานของพระเจ้าเราเปลี่ยนเองไม่ได้
** คริสเตียนฝ่ายวิญญาณไม่ทำเหมือนในข้อที่ 12-13 คือไม่อวดผลงาน ไม่ทำเพื่อหน้าตา แต่เราอวดเรื่องกางเขนของพระเยซู เราอวดพระเยซู เราอวดข่าวประเสริฐ และเราจะอวดอะไรก็ไม่ได้ เนื่องจากว่าเราถูกตรึงจากโลกนี้ และโลกนี้ก็ตรึงไว้แล้วจากเรา
ขอบคุณพระเยซูที่กางเขนของพระองค์ได้ตรึงเราให้ตายจากโลกนี้แล้ว เราไม่มีอะไรต่อโลกนี้ และโลกนี้ก็ไม่มีอะไรต่อเราอีกต่อไป เป้าหมายของเรา คืออยู่เพื่อการประกาศ และการอวดกางเขนของพระเยซู
6:15 เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต ไม่เป็นของสำคัญอะไร แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ
** เปาโลไม่สนับสนุนให้เข้าสุหนัตเพราะว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระบัญญัติเดิมหรือพันธสัญญาเดิม
** การได้บังเกิดใหม่ (ถูกสร้างขึ้นใหม่) และกลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อสำคัญกว่า
** ผู้เชื่อส่วนมากไม่เห็นความสำคัญของ ชีวิตใหม่ คนใหม่ สิ่งใหม่ๆ ที่อยู่ในพระคริสต์ แต่พวกเขาใช้ชีวิตเก่า คนเก่า สิ่งเก่าๆ เพื่อการดำเนินชีวิตคริสเตียน การรับใช้ และการนมัสการพระเจ้า พวกเขาเน้นที่การกระทำ แต่ผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณเน้นที่คนใหม่ และสนิทในพระเยซู จากนั้นไม่นานการกระทำแทนของพระเยซูก็จะเกิดขึ้นในเรา
6:16 สันติสุขและพระกรุณาจงมีแก่ทุกคนที่ดำเนินตามกฎนี้ และแก่ชนอิสราเอลของพระเจ้า
** ดำเนินตามกฎนี้ คือการเดินในพระวิญญาณในฝ่ายวิญญาณ ในกาลาเทียบทที่ 5:25
6:17 ตั้งแต่นี้ไป ขออย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้าพเจ้าเลย เพราะว่าข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูเจ้าติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้า
** รอยประทับตราของพระเยซูเจ้าติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้า คือรอยเฆี่ยน ทุบตีที่เปาโลได้รับตอนที่ท่านถูกจับขังคุก ซึ่งเล็งถึงการยอมเป็นทาสของพระเยซู (โรม 1:1) และยอมถูกเฆี่ยนตีข่มเหงด้วยเต็มใจ ไม่หนี ไม่ท้อ ไม่ยกเลิกการเป็นทาสของท่านต่อพระเยซู (2 คร 11:23-27)
6:18 พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับวิญญาณของท่านทั้งหลายด้วยเถิด เอเมน [เขียนถึงชาวกาลาเทียจากกรุงโรม]
** "พระคุณ" คือ
1. ความรอด ความหวังของพระเจ้าที่กระทำผ่านพระเยซูเพื่อไถ่เราให้รอดในวันสุดท้าย
2. คือการทำแทนของพระคริสต์ในเรา เพื่อกระทำดีเกิดผลแห่งพระวิญญาณในเรา เพื่อให้เราได้รอดเข้าไปในราชอาณาจักรในยุคหน้า
** จงอยู่กับวิญญาณของท่านทั้งหลายด้วยเถิด ภาษาไทยบางฉบับแปลว่า "จงสถิต" อาจทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนได้
- จงอยู่กับวิญญาณของท่าน ก็คือวิญญาณของเราเป็นศูนย์กลางหรือ ที่ที่พระเจ้านำทุกสิ่งเข้ามา เพื่อกระจายขยายส่งต่อมาที่จิตใจ และร่างกายเพื่อรับการหล่อเลี้ยงทุกส่วนในชีวิตของเรา
** ผู้เชื่อมากมายไม่มี พระคุณของพระเยซูอยู่ในเขาอย่างครบถ้วน (ทั้งสองข้อ คือมีแต่ความหวังเรื่องความรอด แต่ไม่มีพระคริสต์ทำแทน) จึงไม่ได้ดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะ และเข้าสู่กระบวนการการชำระเพื่อให้สุกงอม
อยู่ภายในจิตของแต่ละคนมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า กฎ หรือ บัญญัติ (law) ที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง คือการอยากทำดี เพื่อให้ได้เป็นคนดี
อยู่ท่ามกลางผู้คนบ้านเมืองสังคมศาสนามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า กฎ หรือ บัญญัติ (law) ที่ผู้คนสร้างมันขึ้นมาเพื่อสอนคนทำดี เพื่อให้ได้เป็นคนดี
อยู่ท่ามกลางสังคมศาสนาคริสต์ มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า กฎ หรือ พระบัญญัติของโมเสส (the law of Moses) ที่พระเจ้าประทานให้ชนชาติอิสราเอล และ
กฎ หรือ พระบัญญัติของพระเยซู (the law of the Lord Jesus) เพื่อให้คริสเตียนรักษาเพื่อให้ได้เป็นคนดี คริสเตียนมากมายไม่เข้าใจความจริงแห่งพระคำพระเจ้า จึงพยายามรักษา กฎ หรือ พระบัญญัติ เพื่อตนจะเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
กฎทั้ง 4 ดังกล่าว คือสิ่งที่คริสเตียนหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนก็รักษามาก บางคนก็รักษาน้อย แต่เมื่อเราได้รับการเปิดตาโดยพระวิญญาณแห่งความจริง เราจะไม่แตะกฎที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง กดที่ผู้คนสร้างขึ้นมา กฎ หรือ พระบัญญัติของโมเสส และ กฎ หรือ พระบัญญัติของพระเยซู
หนังสือกาลาเทีย เปิดเผยถึงเรื่องชีวิตของพระคริสต์ที่เข้ามาแทนที่ชีวิตของเรา และเพื่อจัดการกับกฎทั้ง 4
หน้าที่ของเรา ก็คือไม่ใส่ใจเรื่องอยากเป็นคนดี อยากเชื่อฟัง อยากรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า แต่เราใส่ใจที่การเต็มล้นด้วยชีวิตของพระคริสต์ ซึ่งเป็นชีวิตที่มีพลังมหาศาล เป็นชีวิตที่มีกฎแห่งพระวิญญาณที่มีการเคลื่อนไหวกระตุ้นเผาไหม้กระตือรือร้นอยู่ภายในเรา ในพระองค์เอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งการพยายามของเรา
เมื่อเราได้รับการเปิดตาให้เข้าใจ เราฝึกที่จะอยู่ในพระวิญญาณ และเดินในพระวิญญาณอย่างสม่ำเสมอด้วยการใส่ใจนับถวายตัว และยกทุกเรื่องให้เป็นหน้าที่ของพระคริสต์ที่จะดำเนินชีวิตแทนเรา
ในบทที่ 2 ข้อที่ 19 เราได้ตายต่อพระบัญญัติแล้ว และมีชีวิตอยู่ต่อพระเจ้า ความหมาย ก็คือเราไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ไม่กังวลเรื่องการพยายามเป็นคนดี โดยการรักษากฎต่างๆ แต่เรามีชีวิตอยู่ต่อพระเจ้า ก็คือเหลียวมองไปที่พระคริสต์ มีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ สนิทในพระคริสต์ ถวายอวัยวะให้พระคริสต์ บอกรักพระคริสต์ ชีวิตของพระคริสต์ก็จะเต็มล้น และกระทำกิจภายในเรา สุดท้ายเราก็กลายเป็นคนดีเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูได้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากว่าหนังสือกาลาเทียเป็นเรื่องของ ชีวิตของพระคริสต์ ที่จะเข้ามามีบทบาทภายในเรา แทนที่พระบัญญัติ และกฎเกณฑ์ต่างๆ
ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้..
เราสวมใส่ชีวิตของพระคริสต์ (กท 3:27)
เราถอดทิ้งชีวิตเก่าไปแล้ว นี่คือการเปิดโอกาสให้พระคริสต์ที่อยู่ในเราได้เกิดผลแห่งพระวิญญาณ (กท 5:22-23)
พระองค์จึงช่วยเราให้เดินในพระวิญญาณอย่างสม่ำเสมอในแต่ละก้าวในแต่ละวัน โดยไม่มีใครที่จะขัดขวางเราได้ (กท 5:24-25)
เพราะว่าเราได้สวมวิญญาณแห่งลูกไทไม่ใช่ลูกทาสอีกต่อไป (กท 4:19-31)
เราจึงเดินอยู่ภายใต้สิ่งใหม่ๆ ทั้งนั้น เพื่อรับการเต็มล้นด้วยสันติสุขและพระเมตตาของพระเจ้า (กท 6:15-16)