ยอห์นบทที่ 20 เน้นเรื่อง
1. วันแรกของสัปดาห์ คือสะบาโตหรือไม่
2. อย่าแตะต้องเรา คืออะไร
3. จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด (พระเจ้าเข้ามาอยู่กับสาวกแล้วเป็นครั้งแรก)
การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์
20:1 วันแรกของสัปดาห์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ เธอเห็นหินกลิ้งออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว
** วันแรกของสัปดาห์ – สำหรับชาวโลกทุกวันนี้นับว่าวันจันทร์เป็นวันแรกของสัปดาห์ แต่สำหรับชาวยิวนับไม่เหมือนชาติอื่นทั่วๆ ไป
** "วันแรกของสัปดาห์" ของยิว คือวันอาทิตย์ ผู้เชื่อใช้วันนี้เพื่อนมัสการตั้งแต่ในหนังสือกิจการแล้ว
** "เวลาเช้ามืด" คือเวลาหกโมงเช้า
** สะบาโตของยิวคือหกโมงเย็นของวันศุกร์จนถึงหกโมงเย็นของวันเสาร์ ไม่ใช่วันอาทิตย์ และเมื่อสาวกรุ่นแรกที่เป็นชาวยิวเกือบทั้งหมดพวกเขานมัสการพระเจ้าร่วมกันในตอนเช้าของทุก ๆ วันอาทิตย์เพื่อฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู
20:2 เธอจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้น และพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน”
20:3 เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับสาวกคนนั้น
** เมื่อเปโตรเสียใจมาก แต่สามวันต่อมาเขาก็กลับใจ และกลับมาหาสาวกทั้งหลาย ขณะที่ยูดาสเสียใจมากแต่ไม่ยอมกลับมา
20:4 เขาจึงวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน
** ยอห์นวิ่งเร็วกว่าเนื่องจากว่าท่านรักพระเยซูมากกว่าสาวกทุกคนและเปโตร พระเยซูจึงรักท่านยอห์นมากกว่าใคร
** เมื่อเรารักพระเยซูเนื่องมาจากการสนิทในพระองค์จนเป็นนิสัย เราจะทำทุกสิ่งได้เนื่องจากว่าความร้อนรนกระตือรือร้นที่เผาไหม้ในเรา
20:5 เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน
20:6 ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่
20:7 และผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก
20:8 แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงอุโมงค์ก่อนก็เข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ
20:9 เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์จะต้องฟื้นขึ้นมาจากความตาย
20:10 แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อมารีย์ชาวมักดาลา
20:11 แต่ฝ่ายมารีย์ยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์
20:12 และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ ณ ที่ซึ่งเขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร และองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท
20:13 ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” เธอตอบทูตทั้งสองว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน”
20:14 เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู
20:15 พระเยซูตรัสถามเธอว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม เจ้าตามหาผู้ใด” มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบพระองค์ว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านได้เอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน และดิฉันจะรับพระองค์ไป”
20:16 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “มารีย์เอ๋ย” มารีย์จึงหันมาและทูลพระองค์ว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า อาจารย์
20:17 พระเยซูตรัสกับเธอว่า “อย่าแตะต้องเรา เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย และไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย”
** พระเยซูห้ามมิให้ใครแตะต้องพระองค์ เพราะว่าต้องไปถวายพระโลหิตแด่พระบิดาที่พระวิหารในสวรรค์เสียก่อน ไม่นานต่อมา (แปดวันต่อมา) พระเยซูจึงบอกสาวกคนหนึ่งว่าจับต้องเราสิ เพราะว่าทรงกลับมาหาเขาแล้ว และอยู่กับพวกเขาสี่สิบวันก่อนจากไป
20:18 มารีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า เธอได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ
*** ...
1. พระเยซูถูกตรึงและตายที่กางเขนในเวลาบ่ายสามของวันศุกร์ และฟื้นคืนพระชนม์ตอนเช้าของวันอาทิตย์
2. เมื่อทรงสิ้นพระชนม์พระองค์เสด็จไปประกาศกับคนตายในแดนคนตาย (ฮาแดช) เป็นเวลาสามวัน
3. พระเยซูกลับมาและรับร่างกายใหม่ที่เปลี่ยนแปลงจากร่างเดิมและออกจากอุโมงค์
4. ผู้หญิงและสาวกของพระเยซูมาดูที่อุโมงค์ แต่ไม่เห็นพระศพของพระองค์ มีผ้าป่าน และผ้าพันพระเศียรพับ และวางไว้ พวกเขาจึงกลับไป
5. นางมารีย์สาวกของพระเยซูนั่งร้องให้อยู่นอกอุโมงค์และมองเข้าไปข้างใน เห็นทูตสวรรค์สองตน พอพูดคุยกันเสร็จนางหันหลังออกมาเห็นพระเยซูยืนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู ต่อมาจึงรู้
6. พระคริสต์เยซูตรัสกับนางว่า อย่าแตะต้องเรา เรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดา เนื่องจากว่านางมารีย์คิดจะแตะพระเยซูเพราะว่านางตื่นเต้น และดีใจอย่างมากมาย
7. จากนั้นพระเยซูก็เสด็จไปหาพระบิดา และกลับมาหาสาวกทุกคนในวันเดียวกันคือวันแรกของศัปดาห์
8. พระเยซูประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่สาวกทุกคน หลังจากที่ดลบันดาลให้พวกเขาบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณแล้ว พระเจ้าทั้งสามพระภาคก็เสด็จเข้ามาอยู่ในผู้เชื่อทุกคน
*** อุปโมง – ผ้าป่านที่ใช้เพื่อพันพระศพพระเยซู – ผ้าพันศรีษะ มีส่วนในการฝังพระศพของพระเยซู แสดงถึงความเสียสละของสาวกสามคน เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นและก่อนจากไปพระเยซูทรงพับเอาไว้ แสดงถึงการไม่ลืม และเอาใจใส่ในความรักที่เราเสียสละ และทำทุกสิ่งเพื่อพระเจ้า พระองค์จะพับไว้เป็นอย่างดี ไม่ลืมสิ่งเหล่านั้นที่เราได้ทำ ไม่ว่าจะเรื่องเสียสละในการประกาศ การช่วยเหลือพี่น้อง และคนยากจนขัดสน และผู้รับใช้ของพระเจ้า พระองค์จะจดและจำและตอบแทนเราในเวลาอันควร เอเมน
หนังสือยอห์นมีสองส่วนด้วยกัน
เราพบว่าหนังสือยอห์นมีสองส่วนด้วยกัน คือส่วนแรกเปิดเผยเรื่องพระคำหรือถ้อยคำของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อเตรียมการเพื่อนำพระเจ้าเข้ามาอยู่ในมนุษย์ ส่วนที่สองกล่าวถึงพระคำหรือถ้อยคำที่เป็นมนุษย์ได้ตายและเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อเตรียมทางและเป็นทางที่จะนำมนุษย์เข้ามาอยู่ในพระเจ้า.
บทที่ 14-16 เปิดเผยเรื่องพระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในมนุษย์เพื่อให้เราเป็นที่อยู่อาศัยหรือที่สถิตหรือบ้านของพระองค์
บทที่ 18-19 เปิดเผยเรื่องการเข้าสู่การเตรียมการสร้างบ้านในผู้เชื่อเพื่อแพร่ขยายของพระวิญญาณของพระคริสต์ในผู้เชื่อทุกคน คือการผ่านการตายและเป็นขึ้น
บทที่ 20-21 พระคริสต์เสด็จมาในสภาพของมนุษย์คนใหม่ที่เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์กลายเป็นวิญญาณที่ประทานชีวิตได้ แผนการงานของพระเจ้าที่จะสร้างบ้านเรือนของพระองค์เป็นล้าน ๆ หลังในโลกนี้จึงสำเร็จแล้วโดยพระเยซู และโดยพระองค์เราจึงกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า อยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าทรงอยู่ในเรา พระองค์เป็นพระคำ/ถ้อยคำที่มาอยู่ในสภาพเหมือนเนื้อหนังร่างกายดิน (ยน 1:14) เพื่อเป็นแกะถวายแด่พระเจ้าเพื่อการไถ่บาป (ยน 1:29) เพื่อให้พระบิดาได้มาปรากฏแก่มนุษย์ (ยน 14:9-11) เพื่อเป็นหนทางเดียวเพื่อให้พระเจ้าและมนุษย์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ยน 15:1-5)
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์ต่อเหล่าสาวก เว้นแต่โธมัส
20:19 ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์ เมื่อปิดประตูห้องที่พวกสาวกชุมนุมกันอยู่แล้วเพราะกลัวพวกยิว พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา และตรัสกับเขาว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”
20:20 ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาก็มีความยินดี
20:21 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาของเราทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น”
** พระบิดาทรงใช้พระบุตรเข้ามาในโลกและทรงสถิตอยู่กับพระบุตร และสาวกเป็นพวกแรกที่ได้รับชีวิต-วิญญาณของพระคริสต์เยซูที่เป็นพระบุตร เพื่อให้พระองค์ใช้อวัยวะของคนใหม่คนนี้เพื่อสานต่อการงานของพระองค์ คือการประกาศและการสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเจ้าผ่านพวกเขา และต่อจากนั้นก็คือผู้เชื่อทุกคนที่กลายเป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้าที่จะอยู่และรับใช้โดยมีพระบุตรสถิตอยู่ในพวกเรา นี่คือความหมายของคำว่า "พระบิดาของเราทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น" ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายแต่เรามีพระบุตรอยู่กับเราในเราทุกวัน
20:22 ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา และตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด
** พระเยซูสัญญาว่า จะประทานพระวิญญาณ (พระคริสต์ในเรา ยอห์น 7:39 / 14:16 / คส 1:27) จึงสำเร็จในข้อนี้ สาวกทุกคนและเปโตรก็ได้บังเกิดใหม่
** จากชีวิต (โซเอ้) กลายมาเป็นเนื้อหนังชื่อ เยซูคริสต์ the flesh ผ่านการตายและเป็นขึ้นจนได้กลายเป็นชีวิต (โซเอ้) ที่ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ คือพระคริสต์เยซู และนี่คือเป้าหมายที่สูงที่สุดสำหรับพระเจ้า เพื่อวิญญาณพระคริสต์จะเข้ามาเป็นอยู่และดำเนินชีวิตในเราแทนเราเพื่อเรา
** การได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในครั้งนี้เพื่อให้สำเร็จตามพระสัญญาของพระเยซูในยอห์นบทที่ 14-15 และ 16 ไม่เกี่ยวอะไรกับพระสัญญาในกิจการบทที่ 2 ซึ่งพระเจ้าสัญญาจะประทานฤทธิ์เดชของประทานแก่ผู้เชื่อ // หนังสือยอห์นพระเจ้าประทานชีวิตให้เราเพื่อดำเนินชีวิตแทนเรา ส่วนในหนังสือลูกาพระเจ้าประทานพระวิญญาณมาอยู่เหนือเราเพื่อทำการงานของพระองค์แทนเรา หนังสือยอห์นเปรียบเหมือนการดื่มน้ำ ส่วนหนังสือลูกาเปรียบเหมือนการอาบน้ำ เราจึงไม่มีอะไรที่จะอวด ทั้งเรื่องการดำเนินชีวิตเชื่อฟังทำดีและการรับใช้ คริสเตียนมากมายเห็นในหนังสือลูกา แต่ไม่เห็นในหนังสือยอห์น จึงเน้นฤทธิ์เดชมากกว่าชีวิตของพระคริสต์ในเรา ผู้ที่ได้รับการเปิดเผยเปิดตาเท่านั้นที่จะมีความสุข สันติสุขและอยู่ในประสบการณ์แห่งพระพรอย่างครบของพระเจ้า เอเมน
20:23 ถ้าท่านจะยกความผิดบาปของผู้ใด ความผิดบาปนั้นก็จะถูกยกเสีย และถ้าท่านจะให้ความผิดบาปติดอยู่กับผู้ใด ความผิดบาปก็จะติดอยู่กับผู้นั้น”
** การยกความผิดบาปหรือให้ความผิดบาปยังคงอยู่กับใคร ที่นี้หมายถึงประกาศข่าวดีเรื่องความรอดให้คนใดคนหนึ่ง เมื่อเขารับเขาก็ได้รับการยกโทษบาปจากพระเจ้า แต่ถ้าเขาไม่รับข่าวดีเรื่องความรอดทางพระเยซูบาปนั้นก็ยังคงอยู่กับเขา ไม่ใช่สาวกมีอำนาจยกบาปได้
พระเยซูทรงปรากฏพระองค์อีกครั้งหนึ่ง และโธมัสยอมเชื่อ
20:24 แต่ฝ่ายโธมัสที่เขาเรียกกันว่า ดิดุมัส ซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา
20:25 สาวกอื่นๆจึงบอกโธมัสว่า “เราได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย”
20:26 ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันข้างในอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว พระเยซูเสด็จเข้ามาและประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”
** ข้อที่ 19-23 คือการมาปรากฏครั้งแรกของพระเยซูหลังจากที่ทรงเสด็จไปหาพระบิดา ส่วนข้อที่ 24-30 คือการกลับมาครั้งที่สองก่อนจากไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์
** ก่อนที่พระเยซูจะฟื้นขึ้นมาจากความตายพระองค์มักจะเรียกสาวกในบางครั้งว่า เพื่อน หรือสหาย และเมื่อฟื้นขึ้นพระองค์จะเรียกพวกสาวกว่า พี่น้อง เนื่องจากว่าผู้เชื่อเริ่มเข้าสู่การบังเกิดใหม่เข้าส่วนในมนุษย์คนที่สองซึ่งก็คือพระคริสต์เยซูที่เป็นบุตรหัวปีและมนุษย์วิญญาณคนแรก ส่วนเราผู้เชื่อคือน้อง ๆ ของพระองค์อย่างแท้จริง
20:27 แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย แต่จงเชื่อเถิด”
20:28 โธมัสทูลตอบพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์”
** my Lord and my God จอมเจ้านายและพระผู้เป็นเจ้าของข้า พระเจ้า / พระ / พระผู้เป็นเจ้า เป็นคำที่ยิวใช้เพื่อเรียกชื่อพระเจ้า θεός, οῦ, ὁ (ที-โอส) คือการยอมรับของโธมัสว่าพระเยซูแท้ที่จริงคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของชาวยิวในพระคัมภีร์เดิมนั่นเอง
20:29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “โธมัสเอ๋ย เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
ความมุ่งหมายของข่าวประเสริฐของยอห์น
20:30 พระเยซูได้ทรงกระทำหมายสำคัญอื่นๆอีกหลายประการต่อหน้าเหล่าสาวกของพระองค์ ซึ่งไม่ได้จดไว้ในหนังสือม้วนนี้
20:31 แต่การที่ได้จดเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
** เมื่อก่อนทรงเรียกสหาย - พอเป็นขึ้นทรงเรียกพี่น้อง
** พระองค์เป็นพระคำ/ถ้อยคำที่มาอยู่ในสภาพเหมือนเนื้อหนังร่างกายดิน (ยน 1:14) เพื่อเป็นแกะถวายแด่พระเจ้าเพื่อการไถ่บาป (ยน 1:29) เพื่อให้พระบิดาได้มาปรากฏแก่มนุษย์ (ยน 14:9-11) เพื่อเป็นหนทางเดียวเพื่อให้พระเจ้าและมนุษย์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ยน 15:1-5)