9:1 และพระองค์ก็เสด็จลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์
9:2 ดูเถิด เขาหามคนอัมพาตคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงตรัสกับคนอัมพาตว่า "ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว"
9:3 ดูเถิด พวกธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า "คนนี้พูดหมิ่นประมาท"
9:4 ฝ่ายพระเยซูทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า "เหตุไฉนท่านทั้งหลายคิดชั่วอยู่ในใจเล่า
9:5 ที่จะว่า `บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว' หรือจะว่า `จงลุกขึ้นเดินไปเถิด'นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
9:6 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้" (พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า) "จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด"
9:7 เขาจึงลุกขึ้นไปบ้านของตน
** “บุตรพระเจ้า” คือพระเจ้าพระภาคพระบุตรซึ่งอยู่บนสวรรค์ ส่วน “บุตรมนุษย์” คือพระเจ้าที่เป็นบุตรพระเจ้านั้นลงมาเกิดเป็นมนุษย์
พระเยซูเสด็จมาในฐานะกษัตริย์ และพระองค์จะครอบครองโลกนี้ในฐานะบุตรมนุษย์
1. บุตรมนุษย์ ผ่านการทดลองสามครั้งจากซาตาน เพื่อรับรองว่าเป็นกษัตริย์ได้
2. บุตรมนุษย์ เดินทางหาคนเพื่อเป็นประชากรของอาณาจักร
3. บุตรมนุษย์ ต้องตายเพื่อไถ่บาปของราษฎรของอาณาจักรดังกล่าว
4. บุตรมนุษย์ เป็นขึ้นจากตาย
5. บุตรมนุษย์ จะกลับมาปกครองโลกนี้
บุตรมนุษย์จะไม่เหาะเหินเดินอากาศ หรือสำแดงพระองค์ยิ่งใหญ่เหมือนพระบุตรพระเจ้า บุตรพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง แต่บุตรมนุษย์จะต้องทำตัวเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
เมื่อซาตานทดลองพระเยซู มันพยายามทำให้พระเยซูเลิกเป็นบุตรมนุษย์
ถ้าพระเยซูเลิกเป็นบุตรมนุษย์ และเสกก้อนหินเป็นอาหาร หรือกระโดดลงจากพระวิหาร พระองค์จะแพ้ เพราะบุตรมนุษย์ต้องไม่ใช้ฤทธิ์เดช
พระองค์ทรงทำหน้าที่แม้ยากลำบาก และไม่ทำตัวเป็นบุตรพระเจ้าที่มีอำนาจ แต่ต้องตั้งตัวเป็นบุตรมนุษย์จนตาย
** ถามว่า ยกที่นอนไปเถิด และบาปเจ้าได้รับการอภัยแล้ว อันไหนง่ายกว่ากันสำหรับพระเยซู
1. ยกที่นอนกลับบ้านเจ้าเถิด คือการรักษาโรค ช่วยคนให้หาย ไม่มีอะไรที่จะต้องไปตายเพื่อบาปนั้นๆ
2. บาปเจ้ารับการยกโทษแล้ว ยากกว่า เพราะว่า พระเยซูต้องรับเอาบาปนั้นและจะต้องไปตายเพื่อรับโทษแทนเขาที่กางเขนซึ่งควรจะเป็นที่ที่เขาถูกตรึง
** บุตรมนุษย์ จะตายเพื่อบาปเรา ฉะนั้นบุตรมนุษย์จึงยกบาปให้ทุกคนได้ เมื่อบุตรมนุษย์ยกหนี้บาปใคร บาปนั้นก็มาตกที่บุตรมนุษย์ ก็กลายเป็นคนบาปชั่วเพราะสะสมบาปของคนทั้งโลกไว้
** เมื่อยกโทษใคร บาปนั้นก็ไปหาพระเยซู เมื่อสะสมมาขึ้น โทษก็มากขึ้น ต้องตายภายในสามปีครึ่ง
** “บุตรมนุษย์” กับการยกโทษบาป
1.บุตรมนุษย์ คือผู้ชายชื่อเยซู คือพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเพื่อตายไถ่บาปโลก
2. สิทธิอำนาจการยกโทษบาปของบุตรมนุษย์ ไม่ใช่ยกโทษแค่คำพูด แต่พระเยซูต้องเป็นคนจ่ายค่าบาปนี้แทนด้วยการตาย เมื่อมนุษย์ทำบาป ค่าจ้างของความบาปคือความตาย และเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะยกโทษด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ต้องมีการจ่ายหนี้ด้วยเพื่อความยุติธรรม และเพื่อความเที่ยงธรรมชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้า
3. ทุกครั้งที่พระเยซูตรัสว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” “เราไม่เอาโทษเจ้า” หรือ “เรายกโทษให้เจ้า” ฯลฯ คือพระเยซูทรงกำลังรับเอาความผิดบาปของคนเหล่านั้นอยู่
4. การยกโทษบาปจะสำเร็จจริงๆ ก็ต่อเมื่อ พระเยซูถูกตรึงบนกางเขน ตาย ฟื้นขึ้น นำพระโลหิตขึ้นไปที่พระวิหารในสวรรค์ และถวายพระโลหิตของพระองค์แด่พระบิดา และพระบิดาทรงตั้งการยกโทษบาปนิรันดร์ เพราะเหตุการตายของบุตรมนุษย์ผู้นี้
บทความเพิ่มเติม : “บุตรมนุษย์” กับการยกโทษบาป
9:9 ครั้นพระเยซูเสด็จเลยที่นั่นไป ก็ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด" เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
9:10 ต่อมาเมื่อพระเยซูเอนพระกายลงเสวยอยู่ในเรือน ดูเถิด มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคนเข้ามาเอนกายลงร่วมสำรับกับพระองค์และกับพวกสาวกของพระองค์
9:11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่พวกสาวกของพระองค์ว่า "ทำไมอาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า"
9:12 เมื่อพระเยซูทรงทราบดังนั้นแล้ว ก็ตรัสกับพวกเขาว่า "คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ
9:13 ท่านทั้งหลายจงไปเรียนข้อนี้ให้เข้าใจที่ว่า `เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา' ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจเสียใหม่"
** "ประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา" คือพระเจ้าต้องการให้เราประดับจิตใจเราด้วยรักอากะเป อดทนนาน ต่ำถ่อมและยอมเสียเปรียบ ไม่ใช่เครื่องบูชามากมายที่ยิวนำมาถวาย (แต่เขาไม่มีรักเมตตาต่อเพื่อนบ้าน) หรือ ตึก อาคาร สถานที่นมัสการที่สวยหรู ใหญ่โต
9:14 แล้วพวกสาวกของยอห์นมาหาพระองค์ทูลว่า "เหตุไฉนพวกข้าพระองค์และพวกฟาริสีถืออดอาหารบ่อยๆ แต่พวกสาวกของพระองค์ไม่ถืออดอาหาร"
** ยิวถามว่าทำไมสาวกท่านไม่อด คำตอบคือ ระบบใหม่ไม่เหมือนอันเก่า ทุกสิ่งพระเยซูจะคิดแทนทำแทน
9:15 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "สหายของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขาได้หรือ แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นเขาจะถืออดอาหาร
** งานเลี้ยงที่บ้านท่านมัทธิว
1. มัทธิว รวย มีเพื่อนนอกรีต และคนเก็บภาษีด้วยกันมากมาย
2. เมื่อท่านมัทธิว รับที่จะติดตามพระเยซู ท่านจัดงานเลี้ยงต้อนรับพระองค์ที่บ้านท่านเอง (ลก 5:27-35)
- ฟาริสียืนดู เพราะมาจับผิด จึงพูดกับธรรมาจารย์ในหมู่ตนว่า คนนี้นั่งกินกับคนบาป
- พระเยซูจึงพูดกับเขา ทรงยกคำอุปมาเรื่อง 1. เหรียญที่หายไป 2. แกะที่หายไป 3. บุตรน้อยที่หลงหายไป
เพราะฉะนั้นบุตรน้อย แกะ เหรียญ ไม่ใช่ คริสเตียน แต่เป็นคนเก็บภาษีและคนนอกรีตที่นั่งกินข้าวที่บ้านท่าน มัทธิว
ส่วน แกะ เหรียญ บุตรคนโต คือฟาริสีและธรรมาจารย์
** คริสเตียนส่วนมากตีความหมายผิด ว่าเป็น คริสเตียนที่ออกจากโบสถ์ เลิกเชื่อ ไม่นานก็กลับมาซึ่งเราจะได้ยินคำเทศานาเรื่องนี้บ่อยมาก แต่ตีความหมาย ผิดจากความหมายที่พระเจ้าต้องการสื่อ
บทความเพิ่มเติม : "เราประสงค์ความเมตตา เราไม่ประสงค์เครื่องบูชา เพราะทุกวันนี้หายากมาก..."
9:16 ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก
** "ท่อนผ้าใหม่" คือพระเยซูที่ยังเป็นมนุษย์ ยังไม่พร้อมที่จะเข้ามาอยู่กับเราในเรา และเมื่อทรงเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ก็เป็นเสื้อที่ทำสำเร็จแล้ว ผ่านการซักฟอกย้อมสีต้ม ฯลฯ
** "กระบวนการการซักฟอก ย้อมสี ต้ม" คือกางเขนและการเป็นขึ้นจากตาย สุดท้ายทรงเป็นพระวิญญาณ เป็นเสื้อที่พร้อมจะมาให้เราสวมใส่กลายเป็นคนชอบธรรม
** "เสื้อเก่า" คือตัวเก่า ชีวิตเก่าของเราคือมนุษย์อาดัม
** "ปะ" คือการใช้เสื้อเก่า (ตัวเก่า พยายามทำดีเหมือนพระเยซูทำขณะที่เป็นมนุษย์) คือเอาเนื้อหนังอาดัมไปรักษา พระบัญญัติที่เป็นฝ่ายพระวิญญาณ
** "ขาดกว้างกว่าเดิม" คือเมื่อทำไม่ได้ เราก็ระเบิด - เมื่อทำไม่ได้เราโวยวาย ท้อถอย เบื่อ หนี ฉันไม่ทนมันละ ไม่ไหวแล้ว จากนั้นก็กลับมาใหม่ ท้ออีกรอบ หมุนเวียนไปมาไม่มีวันจบสิ้น
9:17 และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้"
** ถุงหนังเก่า คือระบบศาสนา การกำหนดเวลา พิธีการ กิจกรรมต่างๆ เราจะพบว่า 1. ขอเชิญพี่น้องลุกขึ้น 2. ต่อไปนี้เป็นรายการ... 3. ต้องเลิกตรงตามเวลา ทุกอาทิตย์ จะทำแบบเดิมๆ พระวิญญาณถูกกำหนดหรือจำกัด เคลื่อนไหวไม่ได้ตามใจ
** พระวิญญาณในเรา ใน คริสตจักร เปรียบดังม้าสองตัว
- ม้าตัวที่หนึ่งถูกเลี้ยงในบ้าน ในเมือง กินนอนไปมาตามกำหนดจำกัดของเจ้าของของมัน กินอะไรตามใจ นอนเมื่อไหร่ จะไปไหนก็ไม่ได้ เพราะมีเชือกผูก และคอกกักขังไว้
- ม้าตัวที่สองไม่ได้เลี้ยง มันอยู่ในป่า อยากไปไหน ทำอะไร กินเมื่อไหร่ นอนเมื่อไหร่ ก็ได้
** ถ้าเราทำแบบที่หนึ่ง เราคือคริสตจักรศาสนา และเราหักห้ามพระวิญญาณ
** คริสเตียนฝ่ายวิญญาณ หรือผู้ชนะ เคลื่อนไปตามการทรงนำที่แท้จริง เราไม่นำ ไม่กำหนด ไม่บังคับหักห้ามพระวิญญาณ
1. น้ำองุ่น คือพระวิญญาณในเรา
2. ถุงหนังเก่า คือระบบศาสนา
3. ถุงหนังจะขาด คืออะไร
เพราะว่าพระวิญญาณเร่าร้อนร้อนรนมาก ไม่ต้องการอยู่ในกฏเกณฑ์หรือกำหนดของใคร สุดท้ายโบสถ์จะอยู่ร่วมกันไม่ได้ และแตกแยกไป (ขาด คือแตกแยก)
4. องุ่นจะรั่ว ก็คือพระวิญญาณไม่ทำงาน รั่วไป ออกไป ไม่ยอมถูกใครกำหนด สุดท้ายคริสตจักรก็ตกขอบ ไม่มีการนำของพระวิญญาณ เมื่อมีคนใหม่มาฟัง ทรงเปิดใจคนนั้นให้เขาเห็นและเชื่อ (ส่วนมากมีคนกลับใจรับเชื่อ แต่ไม่มีใครเติบโต)
-- นี่คือบทสรุป จากพระเยซูเอง --
** แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้
- น้ำองุ่นใหม่ คือ พระวิญญาณ หรือพระคริสต์ในเรา
- ถุงหนังใหม่ คือ ระบบใหม่
ทุกคนยืนขึ้น อธิษฐานได้ ไม่มีใครห้ามใคร
ไม่มีเวลากำหนด ใครหิวก็ไปกินก่อน แล้วกลับมาใหม่
เมื่อเรานมัสการ เราต้องอธิฐานร่วมกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สนับสนุนคำพูดของกันและกัน
บทความเพิ่มเติม : ถุงหนังเก่าในมัทธิวบทที่ 9 คืออะไรกันแน่
9:18 เมื่อพระองค์กำลังตรัสคำเหล่านี้แก่เขานั้น ดูเถิด มีขุนนางคนหนึ่งมานมัสการพระองค์แล้วทูลว่า "ลูกสาวของข้าพระองค์พึ่งตายลง ขอพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวเขา แล้วเขาจะฟื้นขึ้นอีก"
9:19 ฝ่ายพระเยซูจึงทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไป และพวกสาวกของพระองค์ตามไปด้วย
9:20 ดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีมาแล้วแอบมาข้างหลัง ถูกต้องชายฉลองพระองค์
9:21 เพราะนางคิดในใจว่า "ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น เราก็จะหายโรค"
9:22 ฝ่ายพระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นนางจึงตรัสว่า "ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายเป็นปกติ" นับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ
9:23 ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของขุนนางนั้น ทอดพระเนตรเห็นพวกเป่าปี่ และคนเป็นอันมากชุลมุนกันอยู่
9:24 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "จงถอยออกไปเถิด ด้วยว่าเด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เป็นแต่นอนหลับอยู่" เขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์
9:25 แต่เมื่อทรงขับฝูงคนออกไปแล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้าไปจับมือเด็กหญิง และเด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้น
9:26 แล้วกิตติศัพท์นี้ก็ลือไปทั่วแคว้นนั้น
9:27 ครั้นพระเยซูเสด็จไปจากที่นั่น ก็มีชายตาบอดสองคนตามพระองค์มาร้องว่า "บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพระองค์เถิด"
9:28 และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในเรือน ชายตาบอดทั้งสองก็เข้ามาหาพระองค์ พระเยซูตรัสถามเขาว่า "เจ้าเชื่อหรือว่า เรามีฤทธิ์จะกระทำการนี้ได้" เขาทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์เชื่อ พระเจ้าข้า"
9:29 แล้วพระองค์ทรงถูกต้องตาเขาตรัสว่า "ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด"
9:30 แล้วตาของเขาก็กลับเห็นดี พระเยซูได้ทรงกำชับเขาแข็งแรงว่า "จงระวังอย่าบอกผู้ใดให้รู้เลย"
9:31 แต่เมื่อเขาไปจากที่นั่นแล้ว ก็เผยแพร่กิตติศัพท์ของพระองค์ทั่วแคว้นนั้น
9:32 ขณะเมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกกำลังเสด็จออกไปจากที่นั่น ดูเถิด มีผู้พาคนใบ้คนหนึ่งที่มีผีสิงอยู่มาหาพระองค์
9:33 เมื่อทรงขับผีออกแล้วคนใบ้นั้นก็พูดได้ หมู่คนก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า "ไม่เคยเห็นการกระทำเช่นนี้ในอิสราเอลเลย"
** คนที่ไม่เชื่อที่เป็นใบ้มีหลายคนที่เป็นเพราะผีเข้า และเมื่อผีถูกไล่ออก ก็พูดได้
9:34 แต่พวกฟาริสีกล่าวว่า "คนนี้ขับผีออกด้วยฤทธิ์ของนายผี"
** การที่ฟาริสีใช้คำว่า นายผีไล่ผีออกคือการดูหมิ่นและปฏิเสธพระเยซูอย่างใหญ่หลวง
** ผีไล่ผีออก คือวิธีหาเงินของคนหลายๆ ชาติที่ทำกันมานานแล้ว คือหมอผีจะร่วมมือกับผีเพื่อเล่นละครตบตาหลอกชาวบ้าน กษัตริย์ซาอูลไปหาหมอผีแต่วันนั้นท่านซามูเอลมาจริงๆ หมอผีก็เลยตกใจ
9:35 พระเยซูจึงเสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรนั้น ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย
** "ธรรมศาลา" คือสถานที่นมัสการของยิวที่สร้างขึ้นเพื่อชาติอิสราเอลที่ไม่อาจมานมัสการที่กรุงเยรูซาเล็มบ่อยๆ ได้ แต่ธรรมศาลานี้ไม่อาจทำพิธีถวายเครื่องบูชาได้
9:36 และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง
** "ถูกรังควานและกระจัดกระจาย" คือถูกผู้นำบังคับให้แบกภาระเรื่องการรักษาพระบัญญัติและถูกพระบัญญัติลงโทษ
** "กระจัดกระจาย" คือขาดผู้ดูแลหรือกษัตริย์ที่เที่ยงแท้ที่ช่วยให้เขาแบกภาระเบา พ้นจากพระบัญญัติ
9:37 แล้วพระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า "ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่
9:38 เหตุฉะนั้น พวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์"
** ข้อ 9:37-38 บอกชัดว่า เรา คริสเตียน คือต้นข้าว
** พระเยซูทรงเลือกสาวกและทรงมอบหมายงานที่เขาจะทำในขณะนั้น คือประกาศเรื่องราชอาณาจักรแก่ยิว และกับคนต่างชาติในยุคพระคุณ และข่าวประเสริฐจะตกเป็นของต่างชาติอย่างเป็นทางการเมื่อยิวประหารกษัตริย์ของพวกเขา
คริสเตียน คือต้นข้าว