ถาม:
ถ้าอย่างในกรณีเรารับมานาแล้ว แต่เราเป็นผู้หญิงใช่มั๊ยคะ เราจะป้อนมานาให้กับน้องเลี้ยง หรือว่าคนที่เราประกาศให้เค้ารับมานา เข้าข่ายผู้สอนมั๊ยคะ
ตอบ:
เราทำในฐานะของพี่น้องในคริสตจักร ในฐานะของผู้รับใช้คนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ตำแหน่งศิษยาภิบาล หรือผู้ปกครองเท่านั้นเอง
ผู้หญิงทำอะไรก็ได้ แต่สองสิ่งที่เราเป็นไม่ได้ คือผู้ปกครอง และศิษยาภิบาล
ผู้หญิงหักขนมปังได้มั๊ย ผู้หญิงมีส่วนเป็น Decons ได้ ผู้หญิงก็หักได้
คริสตจักรบางคริสตจักรบอกว่า ผู้หญิงไม่ได้ ไม่ควรทำ
หักได้ครับ อธิษฐานก็ได้ ผู้หญิงทำมหาสนิทได้นะครับ เป็นหน้าที่ของ Decons ครับ แต่อย่างน้อยขอให้มีผู้ปกครองร่วมอยู่ด้วย
ถาม:
อย่างกรณีที่… คือลักษณะของพวกเรา กลุ่มที่เพิ่งมานาเรามีข้อจำกัดเรื่องผู้ปกครองที่เป็นผู้ชาย บางครั้งน้องเลี้ยงเรา หรือว่าคนที่เราไปประกาศเค้าเป็นผู้ชาย แต่เค้ายังใหม่อยู่ คือยังไม่รู้ค่ะ
ตอบ:
เอาง่ายๆ นะครับ ผู้หญิงทำมหาสนิทได้ครับ
ถ้าทำไม่ได้ หรือถ้ามันสำคัญจริงๆ พระเยซูจะบอก เปาโลจะสั่งนะครับ อย่าลืมนะครับ
ถาม:
ขออนุญาตถามนะครับ คือมีคำถามนิดนึงผุดขึ้นมาในหัวว่า การที่ผู้หญิงคลุมผ้าคลุมศีรษะ อันนี้คือที่ท่านเตือนในพระคัมภีร์ หรือว่าเป็นบางคริสตจักรที่ควรจะต้องคลุม เพราะว่าผู้ชายเป็นศีรษะของผู้หญิง อะไรทำนองนี้
ตอบ:
คือมันเป็นแบบนี้นะครับ สมัยก่อนเปาโลสั่งให้ผู้หญิงคลุมศีรษะ แล้วทีนี้ยุคสมัยนี้ไม่มีใครทำ แล้วบางคริสตจักรเค้าเอาแผ่นกลมๆ วางบนศีรษะ แล้วก็บอกว่าเป็นตัวแทน เป็นเครื่องหมายของการคลุมศีรษะ
ขอโทษนะครับ พระเจ้าไม่ได้สั่งให้เปลี่ยน ถ้าพระเจ้าบอกว่าคลุมก็ต้องคลุมสิ
คำว่าคลุม ก็คือ “Cover” คำว่าเอามาแปะบนศีรษะ ก็คือ “Put on Your Head” มันต่างกัน ไม่เหมือนกัน
แล้วทีนี้ถ้าใครจะคลุมก็คลุม แต่ถ้าพี่น้องสะดุด ถ้าเค้ามองกันเยอะ อย่าไปคลุมนะ เราผิดฐานทำให้พี่น้องสะดุด ถ้าพี่น้องในคริสตจักรไม่ทำ เราก็ไม่ทำ ไม่เป็นไร
การคลุมหรือไม่คลุมไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การ “ถ่อมใจ” “นอบน้อมต่อสามีและต่อคริสตจักร” เป็นเรื่องใหญ่
พี่น้องเข้าใจนะครับ การคลุมเป็นเครื่องหมายเล็งถึงการนอบน้อมถ่อมตนของผู้หญิง ถ้าเรานอบน้อมถ่อมตนในคริสตจักร และในครอบครัวเรา ต่อสามีเรา เราได้คลุมศีรษะแล้วนะ คลุมศีรษะฝ่ายวิญญาณครับ
บางคริสตจักรเคร่ง อยู่ที่อเมริกาก็เคร่งก็มี ทุกคนคลุมศีรษะหมด แต่ชีวิตไม่ได้เรื่อง ไม่นอบน้อมถ่อมตน ถกเถียงสามีบ่อยมาก ตบตีกันที่บ้าน นี่พูดเรื่องคริสเตียนนะครับ
ถาม:
จะถามว่า ถ้าเกิดเราตายแล้ว เราจะมีผู้หญิงผู้ชายอีกเหรอคะ
ตอบ:
คือในฝ่ายวิญญาณนะครับ ในฝ่ายวิญญาณ เราไม่มีผู้หญิงไม่มีผู้ชาย แต่…ในฝ่ายร่างกาย เรายังมีเพศเป็นหญิงอยู่ เรามีความอ่อนแอ
ในฝ่ายวิญญาณเรามองกันทุกคนไม่มีผู้ชายไม่มีผู้หญิง ไม่มีคนแก่ไม่มีเด็ก
ไม่มียิว ไม่มีจีน ไทย ฝรั่ง ลาว หรืออะไรก็ตาม แต่เราเป็นอิสราเอล
1. ต้องมีของประทานในการเลี้ยงดูผู้เชื่อด้วยพระคำ และการให้คำปรึกษา
คนที่จะเป็นศิษยาภิบาล ต้องมีของประทานนะครับ ไม่มีของประทานเป็นศิษยาภิบาลไม่ได้
ศิษยาภิบาลจะทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ (1) เลี้ยงดูผู้เชื่อให้เติบโต โดยการแบ่งปันเผยพระวจนะ (2) ให้คำปรึกษาในการดำเนินชีวิต จะทำยังไง จะเป็นยังไง จะไปยังไง จะมายังไง ศิษยาภิบาลรู้ และจะบอกนะครับ
2. หน้าที่เขาคือเผยพระวจนะเป็นหลัก และพี่น้องเพิ่ม เติม และเสริมในสิ่งที่เค้านำมาแบ่งปัน
เวลาศิษยาภิบาลเทศนา แบ่งปัน หรือเผยพระวจนะ หลังจากเค้าพูดเสร็จแล้วก็นั่งลง เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเพิ่ม เสริม หรือเติมได้
3. เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโส
4. ไม่สูงส่งเหนือใคร แต่เท่าเทียมกับพี่น้องผู้เชื่อ และไม่รับคำยกย่องหรือยกขึ้น
พระเยซูต้องการบอกให้เรารู้นะครับว่า พระเยซูใช้คำว่า Shepherd เพราะว่าพระเยซูต้องให้พวกเราทุกคนมองศิษยาภิบาลเป็นเหมือนผู้เลี้ยงแกะ เป็นคนเล็กๆ น้อยๆ เป็นผู้ต่ำต้อยคนหนึ่งนะครับ
เราทุกวันนี้มองอาจารย์ หรือมองศิษยาภิบาลเป็นผู้ยิ่งใหญ่ใช่มั๊ยครับ อันนั้นผิดนะครับ ผิด ขอให้มองใหม่
5. ทำงานเลี้ยงชีพ และไม่รับเงินเดือนจากคริสตจักร
อาจารย์ก็เหนื่อย ทำงานหนัก เตรียมบทเทศนา รับใช้พระเจ้า งานเยอะมาก แต่ทำไมไม่ได้เงินเดือน ทำไมต้องไปทำมาหากินเอง เปาโลเป็นคนพูดเองครับ
ใน ลก 10:7 และ 1 คร 9:7–14 เปาโลและพระเยซูไม่ได้พูดว่า ต้องให้เงินเดือน ต้องเลี้ยงดูศิษยาภิบาลในลักษณะของให้ค่าจ้าง ไม่ครับ
เปาโลพูดว่า “อย่าเอาตะกร้าไปครอบปากวัว” เวลามันนวดข้าวต้องให้มันกินความหมายนี้นะครับ เปาโลไม่ได้หมายความว่า พวกท่านต้องเลี้ยงดูศิษยาภิบาล ให้เงินเดือนเค้าแต่ละเดือน ไม่ครับ
เค้าทำอะไร เราเห็นเค้าเหมาะสมที่จะให้ เรามีน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้เค้า หรือคริสตจักรรวบรวมทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นน้ำใจ หรือช่วยเหลือได้ แต่ศิษยาภิบาลต้องไปทำงาน ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง
เปาโลสอนนะครับว่า “เห็นมั๊ย ไม่มีใครเอาตะกร้ามาครอบปากวัวเวลามันนวดข้าว
พวกท่านต้องเลี้ยงดูข้าพเจ้านะ ข้าพเจ้าจะไม่ทำงาน” แล้วเปาโลทำอะไร เปาโลเย็บเต็นท์ครับ
เห็นมั๊ยครับ ถ้าเปาโลสอนว่า ต้องให้เงินเดือนศิษยาภิบาล แล้วเปาโลทำไมไม่ได้เงินเดือน แล้วเปาโลทำไมยังทำงานอยู่
เข้าใจนะครับ คือคำสอนของเปาโลมันขัดแย้งกับการกระทำของเค้า
เพราะฉะนั้น เรารู้นะครับว่า พระคำสองข้อนี้ไม่ได้พูดถึงการให้เงินเดือนศิษยาภิบาล แต่คือการให้เป็นน้ำใจ ให้เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ หรือให้ความช่วยเหลือ ถ้าศิษยาภิบาลขัดสน
ถ้าศิษยาภิบาลบอกว่า “ไม่ต้องการ ผมมีพอเพียง ผมไม่เดือดร้อน” เราก็เอเมนขอบคุณพระเจ้า เรามีน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้เค้า เค้ารับก็รับ เค้าไม่รับก็เอากลับมาครับ
เราอย่าลืมนะ เปาโลพูดถึง 1 คร 9:7–14 แต่เปาโลทำงานเลี้ยงชีพนะครับ
ถาม:
แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า ใครมีของประทานเป็นศิษยาภิบาลค่ะ
ตอบ:
เวลาเค้าพูดไงครับ เราจะสัมผัสพระวิญญาณ เราจะอยากฟังเค้าครับ
คนที่มีของประทานในการเทศนา หรือเผยพระวจนะในฐานะของศิษยาภิบาล เวลาพูดไปแล้ว พี่น้องจะอยากฟังไม่เบื่อ คือคนนั้นมีของประทานเป็นศิษยาภิบาล
สังเกตดูนะครับ ใครที่เผยพระวจนะแล้วคนฟังตอบสนองเค้า เรารู้ครับ
- การช่วยกันทำความสะอาด การช่วยกันจัดเตรียมอาหารตามแบบกลุ่มผู้ชนะในอเมริกา
- การช่วยกันดูแลเด็ก การดูแลทรัพย์สิน ทุกหน้าที่เราช่วยกัน และไม่ควรออกจากห้องประชุม จนกว่าการนมัสการจบสิ้นลง
คริสตจักรในอเมริกา เรานมัสการนานมาก ทุกๆ วันอาทิตย์ พอถึงเที่ยงเราไม่หยุด เราชื่นชมยินดีในพระเจ้ามาก เราไม่อยากกลับบ้าน
นึกถึงพวกเราตอนเป็นคริสเตียนศาสนา เรามานมัสการพระเจ้า เรารอคอยเวลาที่จะได้กลับบ้าน เราดีใจเมื่อถึงเที่ยง และเราดูนาฬิกาบ่อยมาก แต่ที่อเมริกามันตรงข้าม คริสตจักรฝ่ายวิญญาณ พวกเราพอถึงเที่ยงไม่มีใครลุก และแย่งกันพูดด้วย
แต่ที่นี่หรือที่ประเทศลาวก็เหมือนกัน ผมบอกว่า “เราต้องลุกขึ้นนะ เราเป็นปุโรหิต
เราต้องรับใช้พระเจ้า ปรนนิบัติพระเจ้า แล้วก็เผยพระวจนะ” ก็ไม่มีใครอยากลุก แต่ที่อเมริกาแย่งกันพูดครับ แย่งกันทำหน้าที่ เพื่อบำเหน็จรางวัล
เป็นวิธีง่ายๆ นะ เราเผยพระวจนะ พระเจ้าประทานบำเหน็จรางวัลให้เรา เพราะว่าเรามีส่วนในการเสริมสร้างพระกายครับ
เพราะฉะนั้น ขอพี่น้องตื่นตัวนะครับ แล้วก็เผยพระวจนะ หรือมีส่วนในการปรนนิบัติพระเจ้า และรับใช้พี่น้อง
การทำอาหาร ก็คือเราทานอาหารเที่ยงด้วยกัน หลังจากนั้นเราก็กลับมานมัสการพระเจ้าต่อ ใครอยากกลับบ้านก็กลับ ใครอยากอยู่ต่อก็อยู่ ไม่เป็นไร ไม่บังคับใคร
ใครอยากมากี่โมงก็มา ไม่ต้องไปจ้องมองดูนาฬิกา และคิดว่า “เออ แกมาสาย” หลายคนมักพูดว่า “คนนี้มาสาย” “ไม่ชอบคนนี้ คนนี้มาสาย” ไม่เอาครับ ใครจะมาสาย ใครจะมาช้า หรือมาแต่เช้า ก็ขอบพระคุณพระเจ้า ใครทำต่อพระเจ้ายังไง ก็รับผลตอบแทนอย่างนั้น เราทำดีที่สุดครับ ไม่ใช่ว่า “คนอื่นมาสาย ชั้นก็สายเหมือนกัน” ไม่เป็นแบบนั้นครับ เราทำเพื่ออวดพระเจ้า
ที่อเมริกา หลังจากทานอาหารเสร็จ เราอยากประชุมต่อ ก็ประชุมต่อได้ เราไม่อยากกลับ มันเป็นบ้านที่อบอุ่นมาก เข้ามาแล้วมีความอบอุ่น ไม่อบอ้าว ไม่อึดอัดเหมือนแต่ก่อน
แล้วก็ช่วยกันทำความสะอาดครับ อย่ารอให้ใครทำคนเดียว ไปแย่งทำเลย บางคนบอกว่า “ไม่ต้องๆ” ที่จริงแล้วเค้าพูดว่าไม่ต้องๆ คือเค้าอยากให้เราช่วย
คนเรามันเกรงใจใช่มั๊ยครับ คนบ้านเรามารยาทดีมาก ขี้เกรงใจ อยากให้เค้าช่วย แต่ไม่กล้าบอกให้เค้าช่วย แล้วพอเค้าจะมาช่วย ก็บอกว่า “ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไรๆ” แต่พอเค้าเดินไปก็คิดว่า “อืม ทำไมไม่ช่วยเรา”
ผมพูดไม่ใช่พูดถึงใครในที่นี้นะครับ แต่พูดทั่วๆ ไป คือมันจะมีนะครับ
เวลาเราไปทานข้าวด้วยกัน และมีคนพูดว่า “ผมขอเลี้ยงนะ” “ผมขอจ่ายด้วย” เราก็บอกว่า “ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไรๆ” แต่พอกลับบ้านก็คิดว่า “อยากให้จ่าย อยากให้ช่วย” คือคนเรามันขี้เกรงใจ คนบ้านเรามารยาทดีมาก แต่มันหนัก เราแบกภาระหนักนะครับ ใครจะช่วยก็ให้เค้าช่วยไปเถอะ
ที่อเมริกา สมาชิกพี่น้องที่มาร่วมกันที่คริสตจักรพวกเรา น่าจะประมาณ 50 คน พี่น้องบางคนก็มาก็บ่นก็มี พี่น้องบางคนมาร้องไห้ก็มี คือระดับความเชื่อของแต่ละคนไม่เท่ากัน แม้แต่คริสตจักรผู้ชนะนะ แต่ว่าทุกคนฝึกฝนชีวิต เดินมาถูกทางแล้ว และทุกคนฝึกฝนชีวิตของแต่ละคน เราเห็นอกเห็นใจ เราให้ความรักและความอบอุ่น เราไม่ตัดสินใคร
กฎหมายใหม่ของพระเยซูข้อหนึ่งนะครับ คือเราดำเนินชีวิตวันต่อวัน เมื่อถึงพรุ่งนี้เราตายต่อวันนี้ เมื่อถึงมะรืนนี้เราตายต่อพรุ่งนี้
จำได้มั๊ยพระเยซูบอกว่า “อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้” และพระองค์บอกอีกว่า “ต้องแบกกางเขนของตนตามเรามาทุกวัน” วันต่อวัน เราตายทุกวันนะครับ และเปาโลก็ยังบอกใช่มั๊ยว่า “ข้าพเจ้าตายทุกวัน”
กฎหมายใหม่ของพระเยซู คืออย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นของพรุ่งนี้ เราทำดีที่สุดในวันนี้ก็พอ ถ้าเราทำได้แบบนี้นะครับ มันจะเบามาก
เพราะฉะนั้น เราไม่จดจำความผิด ถ้ามันจบแล้วเราก็ไม่พูดถึง
การถวายทรัพย์ คือพวกเราเอากล่องถวายไปซ่อนไว้ที่ใดที่หนึ่ง อยู่ในตึก ในสถานที่ หรือในบ้านหลังนั้น แล้วเราก็บอกทุกคน
ผมเดินเข้ามาคริสตจักรครั้งแรก ผมไม่เห็นรายการถวายทรัพย์ และก็ผมไม่เห็นตู้ถวายอยู่ที่ไหน ตอนแรกผมก็คิด “เอ๊ะ ทำไม คริสตจักรนี้ไม่มีการถวายเหรอ มีองค์กรอะไรช่วยเค้ารึเปล่า”
แต่ว่าผมรู้สึกนะครับ รู้สึกว่าอยากมีภาระ อยากถวายให้พระเจ้า ผมก็เลยเดินไปหาพี่น้องบางคน บอกว่า “สวัสดีครับ ขอโทษครับ ที่นี่เรามีการถวายทรัพย์มั๊ย” พี่น้องคนนี้ก็บอกว่า “มีค่ะ อยู่ตรงโน้นค่ะ เดินไปเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เดินตรงไปก็เห็น”
เรามีหัวใจอยากถวายให้พระเจ้า เราจะถามเองครับ
คริสตจักรพวกเราไม่มีการถวายทรัพย์ แล้วก็ไม่มีตู้ถวายทรัพย์อยู่ข้างๆ พระเยซูสอนว่า ในมัทธิวบทที่ 6 “ถ้าท่านให้ ทำทาน อดอาหาร อธิษฐาน อย่าให้ใครรู้” “ถ้าท่านทำทาน ถ้าท่านให้ อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำ”
คริสตจักรของพระเจ้าเป็นพระกายของพระเยซู เราเป็นอวัยวะของพระเยซู คนหนึ่งเป็นมือซ้าย คนหนึ่งเป็นมือขวา ถ้าเราทำอะไร อธิษฐาน อดอาหาร ให้ทาน ให้หรือถวาย อย่าให้ใครรู้
จงทำในที่ลี้ลับ เพื่อพระเจ้าพระบิดาอยู่ในที่ลับลี้ จะประทานบำเหน็จรางวัลให้แก่เรา แต่คริสเตียนทุกวันนี้นะครับ ถวายทรัพย์ทำต่อหน้าต่อตาทุกคนเลย อันนี้แสดงว่า มือซ้ายทำการให้มือขวาเห็น เราก็ไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลสิ
ยิ่งกว่านั้นนะครับ บางคริสตจักรจ่าหน้าซองเลย… ครอบครัวอาจารย์ แล้วยังมีจำนวนด้วย
เวลายื่นนะครับ มีคนเดินถุงถวายมา เวลายื่น ผมเป็นคนที่เคยเป็น เวลาผมยื่นใส่ถุงถวาย ผมจะรอนิดนึง หรือว่าทำช้าๆ ถามว่าทำไม อยากให้ทุกคนเห็นว่าผมถวาย คริสเตียนหลายคนเป็นนะ เราอาจจะไม่เป็น แต่หลายคนเป็นครับ
เราทำอะไรก็อยากได้หน้า ถ้ามีชื่อชั้นชั้นก็จะทำ ถ้าไม่มีชื่อชั้นอยู่ในนั้นชั้นก็ไม่เกี่ยว ขอมีชื่อเสียงด้วย ใช่มั๊ยครับ เราเคยคิดแบบนั้นมั๊ย
คริสเตียนเราอยากได้หน้าได้ตา มีหน้ามีตา มีชื่อมีเสียงนะครับ