1. ในวันนั้น (ไม่ใช่วันพิพากษาพระบัลลังก์ใหญ่สีขาว)
2. พระองค์เจ้าข้า (คนที่รับใช้อยู่)
3. เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย (รู้จัก-สนิท (ยน 15:1-5))
4. น้ำพระทัยของพระบิดา 3 ประการ
5. เจ้าผู้กระทำการชั่ว (ไม่อยู่ใต้กฎหมาย (ของเรา))
“21 มิใช่ทุกคนที่ร้องเรียกแก่เราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าไปในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฎิบัติตามพระทัยของพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
22 เมื่อถึงวันนั้น จะมีคนเป็นอันมากมาร้องแก่เราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการอัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ
23 เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้ไม่รักษาพระบัญญัติ จงไปเสียให้พ้นจากเรา”
สำหรับพระคัมภีร์ข้อนี้ ไม่ใช่การปฎิเสธของพระเยซูต่อคนที่หลงหายไปหรือผู้ที่เคร่งศาสนา หรือผู้นำ ผู้รับใช้ที่เคยรับใช้อยู่ แล้ววันหนึ่งก็หายไปหนีไปจากการรับใช้ อันนั้นไม่ใช่.
สำหรับในข้อนี้ เราจะเห็นปัญหาสองปัญหา ซึ่งผู้เชื่อมากมายกำลังทำอยู่ พระเยซูไม่ได้กล่าวคำว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้หลงหายไป”
แต่พระเยซูตรัสว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้ไม่รักษาพระบัญญัติ ไม่อยู่ภายใต้พระบัญญัติ”
ซึ่งเราจะเห็นว่า ความหมายของภาษากรีก คือต้องการสื่อให้เรารู้ว่า คือคนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายใดๆ ไม่รักษากฎหมาย ไม่มีพระบัญญัติ ซึ่งเราจะพูดว่า กระทำการชั่ว ก็เป็นได้
Anomia = lawlessness, wickedness คนไม่รักษากฎหมาย ไม่มีกฎหมาย
แต่ความหมายในที่นี้ พระเยซูต้องการบอกให้เรารู้ว่า ผู้นำ ผู้เชื่อเหล่านี้ ไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู เพราะฉะนั้นเราเห็นคำตอบ สองคำตอบอยู่ในข้อนี้ คือ..
1. ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระบิดา และไม่ได้รับใช้ตามน้ำพระทัยของพระบิดา และไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู ในมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 และบทที่ 7
อีกครั้ง พระเยซูตรัสว่า “มิใช่ทุกคนที่ร้องเรียกแก่เราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” คำว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” ในที่นี้ภาษาอังกฤษก็คือ “Lord Lord / Lord Lord ก็คือพระเจ้าของข้า พระเจ้าของข้า” และแท้ที่จริงก็คือผู้เชื่อทั้งหลายที่กำลังรับใช้อยู่ที่ยังรับใช้อยู่
พระเยซูตรัสว่า “เขาจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในอาณาจักรแห่งสวรรค์ ก็คือยุคพันปี” ซึ่งพระองค์จะนำลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้
และพระเยซูตรัสต่อไปว่า “แต่ผู้ที่ปฎิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” หมายความว่ายังไง?
การปฎิบัติตามน้ำพระทัยของพระบิดามีอยู่ 3 สิ่ง
น้ำพระทัยของพระบิดา ก็คือ..
1. ในพระคริสต์ ก็คือการดำเนินชีวิตและการรับใช้อยู่ในพระคริสต์
2. ร่วมกับพระคริสต์ น้ำพระทัยของพระบิดาประการที่สอง ก็คือการดำเนินชีวิตและการรับใช้ร่วมกับพระคริสต์
3. เพื่อพระคริสต์ น้ำพระทัยของพระบิดาประการที่สาม ก็คือการดำเนินชีวิตและการรับใช้เพื่อพระคริสต์เท่านั้น
และอีกครั้ง การดำเนินชีวิตและการรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระบิดา ก็คือ 1. ในพระคริสต์ 2. ร่วมกับพระคริสต์ 3. เพื่อพระคริสต์
- การดำเนินชีวิตและการรับใช้ในพระคริสต์ คืออะไร?
การดำเนินชีวิตและการรับใช้ในพระคริสต์ ก็คือการดำเนินชีวิตที่อยู่ในพระวิญญาณ ในโลกวิญญาณ ในอาณาจักรของพระบุตร ในอาณาจักรของพระเจ้า ในฝ่ายวิญญาณ คือการที่เราสนิทอยู่ในพระคริสต์ คือการที่เราใช้ชีวิตของเราผูกพัน สนิทสนม พูดคุย อธิษฐาน สามัคคีธรรมกับพระองค์ ในพระองค์ตลอดเวลา จิตใจของเรา เราปักใจใส่ที่พระวิญญาณฝ่ายวิญญาณ โรม 8:5-7 เมื่อเราปักใจอยู่ในพระคริสต์ เราดำเนินชีวิตอยู่ในพระองค์ สนิทอยู่ในพระองค์ พระองค์สนิทอยู่ในเรา เราก็จะได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยน้ำแห่งชีวิต ก็คือสันติสุข และด้วยการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
- ส่วนการดำเนินชีวิตและรับใช้ร่วมกับพระคริสต์ คืออะไร?
การดำเนินชีวิตและรับใช้ร่วมกับพระคริสต์ ก็คือสองคนอยู่ในร่างเดียว เราผู้เป็นบุคคลใหม่ และพระคริสต์ที่เป็นพระวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเรา สองคนนี้อยู่ในร่างกายนี้ และทุกวันเราเชื่อว่าพระองค์เป็นคนกระทำ เราเป็นคนถวายตัวใหม่ ถวายชีวิตของเรานี้ให้พระองค์ใช้อวัยวะของเรา เพื่อเกิดผลเพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดา เพื่อให้โลกเห็นพระองค์ไม่ได้เห็นเรา
ผลของพระวิญญาณทั้งหลายก็จะปรากฏขึ้นไม่ช้าก็เร็ว และไม่นานเกินรอ เมื่อเราสนิทมากเท่าไหร่ เมื่อเราบอกรัก เมื่อเราอยู่ในความรักกับพระองค์ พระองค์ก็จะเกิดผล ปรากฎชีวิตของพระองค์มากขึ้นในเรา การก่อตัวของพระองค์ การขยายตัว การสูงขึ้น เมื่อเราต่ำลง การใหญ่ขึ้นของพระองค์ เมื่อเราเล็กลง การปรากฏตัวของพระองค์ เมื่อเราตายไป
เราจะต้องเป็นคนที่ต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบ และเรายอมจำนนทุกอย่าง พระเจ้าก็เป็นคนกระทำ คือให้เราเป็นคนที่ ต่ำได้ ถ่อมได้ ยอมเสียเปรียบได้ และในเวลานั้น ผลของพระวิญญาณ 9 ประการ และมีอีกมากมายหลายประการก็จะปรากฏผ่านชีวิตของเรา
- น้ำพระทัยของพระบิดาประการที่สาม ก็คือการดำเนินชีวิตและการรับใช้เพื่อพระคริสต์เท่านั้น
ขอย้ำอีกครั้ง ก็คือเพื่อพระคริสต์เท่านั้น หมายความว่ายังไง?
การดำเนินชีวิตและการรับใช้เพื่อพระคริสต์เท่านั้น ก็คือเราไม่ต้องการชื่อเสียง เราไม่ต้องการใครเด่น เราไม่ต้องการให้คนยกย่อง ชื่นชม ยกยอปอปั้น การกระทำทุกสิ่งเป็นผลงานของพระเจ้า พระคริสต์ที่อยู่ในเราเป็นคนปรากฏพระองค์ (ฟป 2:13) เป็นคนเกิดผลในชีวิตของเราผ่านเรา เราไม่มีความดีอะไรทั้งนั้นเลย
ซึ่งถ้าหากเราทำทุกสิ่งโดยที่ไม่อวดตัว ไม่อวดว่าเป็นผลงานของเรา ไม่ปลื้มปิติยินดี เมื่อคนชมเรา เราก็หลงตัวเอง และคิดว่าทุกสิ่งเป็นการกระทำที่เรามีส่วนกับพระเจ้าด้วย และเมื่อเราทำแบบนี้ เราจะขาดรางวัล ขาดบำเหน็จ และเราแย่งเครดิตของพระเจ้าไป
เพราะฉะนั้นแล้ว เรารักษาชีวิตของเราให้เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก เรารักษาชีวิตของเราให้ต่ำ ถ่อม และยอมเสียเปรียบ เพื่อพระคริสต์จะเป็นที่รู้จักท่ามกลางผู้คน ไม่ใช่รู้จักเรา และเพื่อโลก เพื่อคริสตจักร เพื่อครอบครัว เพื่อทุกคนจะถวายสรรเสริญแด่พระเจ้า จะยกย่องพระบิดา ไม่ใช่เรา และนี่คือความหมายของการดำเนินชีวิตและการรับใช้เพื่อพระคริสต์เท่านั้น เพื่อพระองค์ได้รับเกียรติ แต่บำเหน็จรางวัลเป็นของเรา
อีกครั้ง พระเยซูตรัสว่า “มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” ก็คือคนที่รู้จักพระองค์ดี จึงจะสามารถจึงจะกล้าร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า” ก็คือคนที่ยังรับใช้อยู่ และคนเหล่านี้พระเยซูบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า” จะได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ ไม่. ในยุคพันปีคือคนที่ปฎิบัติตามน้ำพระทัยของพระบิดาเท่านั้น
อีกครั้ง น้ำพระทัยของพระบิดา ก็คือการดำเนินชีวิตและการรับใช้ ในพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ และเพื่อพระคริสต์เท่านั้น
พระเยซูตรัสต่อไปว่า เมื่อถึงวันนั้น จะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการอัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ”
“ในวันนั้น” ก็คือในวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา เพื่อก่อตั้งราชอาณาจักรสวรรค์ในโลกนี้
อีกครั้ง ราชอาณาจักรสวรรค์ คือส่วนพิเศษของราชอาณาจักรของพระเจ้า และเราเรียกได้อีกว่าราชอาณาจักรของพระเจ้า “ในวันนั้น” ในที่นี้ก็คือ 1 คร 3:12-15 และ 2 คร 5:10 และโรม 14:10 ซึ่งเป็นการพิพากษาครั้งแรก
เรารู้แล้วว่าการพิพากษามีสองครั้งด้วยกัน 1. พระที่นั่งของพระคริสต์ 2. พระบัลลังก์ใหญ่สีขาว ครั้งแรก ก็คือการพิพากษาเพื่อเลือกคนเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ ในยุคพันปี ก็คือเลือกผู้ชนะทั้งหลายให้มีส่วนครอบครองกับพระเยซู ให้มีส่วนในการเฉลิมฉลองงานเลี้ยงแต่งงาน ระหว่างพระเยซูคริสต์ผู้เป็นเจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็คือผู้ชนะทั้งหลาย
“คนเป็นอันมากจะร้องแก่เราว่า พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์”
“คนเป็นอันมาก” ในที่นี้ก็คือ ผู้รับใช้ ผู้เชื่อ คริสเตียนมากมายที่กำลังรับใช้อยู่ และคิดว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ พยากรณ์ในพระนามของพระเยซู ก็คือการสอน การเทศนา การแบ่งปัน การเลี้ยงดูคริสตจักรที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ไล่ผีในพระนามของพระองค์ กระทำการอัศจรรย์ในพระนามของพระองค์ รักษาโรค ทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซู แต่ถึงขณะนั้น สิ่งเหล่านี้เรียกว่าของประทานแห่งพระวิญญาณ
การที่จะได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่เราใช้ของประทานแห่งพระวิญญาณ การใช้ของประทานแห่งพระวิญญาณใครก็ใช้ได้ ถ้าหากมีของประทาน พระเจ้าประทานให้ แต่ถ้าหากเราไม่มีจิตใจใหม่ก็คือของประทานแห่งพระคุณ
หลักการแห่งความรอดได้เข้าไปในอาณาจักร อีกครั้ง คือไม่เกี่ยวอะไรกับของประทานแห่งพระวิญญาณ คือรักษาโรค ฤทธิ์เดช ใช้อำนาจ ใช้ของประทานทั้งหลายเพื่อรับใช้พระเจ้า เพื่อให้คริสตจักรเติบโต ไม่เกี่ยว สิ่งเหล่านั้นเป็น 0000 เป็นหมายเลข 0000 ที่จะต่อท้ายหมายเลข 1
หมายเลข 1 คืออะไร? หมายเลข 1 ก็คือการที่เรามีของประทานแห่งพระคุณ ก็คือมีจิตใจใหม่ เราดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซูได้แล้ว คือเราหลุดพ้นจากความโกรธ ความหยิ่งพยองพองตัว ตัณหาของเนื้อหนัง และตัณหาของร่างกาย ซึ่งเรามีความรักอากาเปเข้ามาแทนที่
เราต่ำ แทนที่จะหยิ่งผยองพองตัว เราไม่อวดดี อวดรู้ อวดฉลาดเหมือนเมื่อก่อน เรารักในโลกแห่งฝ่ายวิญญาณ เรารักในการอยู่เพื่อให้พระเจ้าใช้ร่างกายใช้ชีวิตของเรา เพื่อการเกิดผลถวายเกียรติแด่พระองค์ในแต่ละวัน และเราหลงรักพระเยซูผู้เป็นบุคคล เราไม่ตามอะไรทั้งนั้น เราไม่เดินตามแสวงหาฤทธิ์เดชอำนาจ ของประทาน เราไม่เดินตามแสวงหาความรู้สติปัญญา เราไม่แสวงหาอะไรทั้งนั้น และเราไม่แสวงหาความร่ำรวย ความมั่งมีในโลกนี้
“แต่ สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราแสวงหา เราหลงรัก ก็คือพระเยซูที่เป็นบุคคล”
พระองค์ทุกวันนี้อยู่กับเรา และพระองค์ทุกวันนี้รอที่จะให้เราสนิทในพระองค์ เมื่อเราสนิทในพระองค์ พระองค์ก็จะสนิทในเรา
เราจะเห็นข้อสรุปที่พระเยซูกล่าวก็คือ “เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำการชั่วช้า หรือเจ้าผู้ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมาย (ไม่มีกฎหมาย) จงไปเสียให้พ้นจากเรา”
คำว่า “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย” ในที่นี้ ก็คือไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย ไม่สนิทสนม ไม่รู้จักรู้จัก คือปฐมกาลบทที่ 4:1 อาดัมก็รู้จักกับภรรยาของเขาและนางก็ตั้งครรภ์
หมายความว่ายังไง? รู้จักในที่นี้ ไม่ใช่รู้จักแบบรู้จักทั่วไป แต่เป็นการรู้จักที่ลึกซึ้ง ที่มีมากกว่าคำว่า รู้จัก ก็คือ รู้จักรู้จัก
1. รู้จัก (สนิท)
2. กระทำตามน้ำพระทัย
3. รักษาพระบัญญัติใหม่
ซึ่งพระเยซูต้องการที่จะสื่อให้เรารู้เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ ความผูกพัน ความรัก การสนิทสนม ซึ่งสองคนมีต่อกัน คือเรากับพระเจ้า
แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าการรับใช้ของเรา การเชื่อฟังของเรา เราเน้นที่การเชื่อฟัง กระทำๆๆๆ ใช่ไหม แต่การสนิทสนมในลักษณะที่ถูกต้อง ไม่มี (คุยกับพระเจ้าไม่หยุด 1 ธส 5:17)
เราคิดว่าเราอธิษฐาน 3-4 ครั้งพอ ครั้งละ 30 นาที ชั่วโมงหนึ่งพอ เราอธิษฐานก่อนนอน อธิษฐานตอนเช้าเฝ้าเดี่ยว และเมื่อเราอธิษฐานเสร็จ เราก็ลุกขึ้น เราปิดคำอธิษฐานด้วยน่ะ อันนี้เป็นการอธิษฐานที่ไม่ถูก
การอธิษฐานที่ถูกต้อง ไม่มีเปิดและไม่มีปิด ผ้าม่านถูกฉีกขาดตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุดในพระวิหาร พระเจ้าเสด็จมาอยู่กับเราแล้ว อยู่ในวิญญาณของเรา และพระเจ้าเปิดต้อนรับเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมง 7 วัน พระเจ้าไม่เคยปิด แต่เราเองเป็นคนที่อธิษฐานเปิดและปิดอยู่ตลอดเวลา
- ถามว่า การอธิษฐานที่ไม่เปิดและไม่ปิด จะทำยังไง?
การอธิษฐานที่ไม่เปิดและไม่ปิด ก็คือคุย พูดคุย เมื่อไหร่ที่เรานึกถึงการอธิษฐานเผื่อพี่น้อง เมื่อไหร่ที่เราต้องการที่จะยกย่องสรรเสริญพระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ เราก็พูดออกมา เราก็เริ่มคุยกับพระองค์ได้ทันที คือเราจะหยุดเป็นช่วงๆ
แต่ การสนิทสนม การผูกพัน การสามัคคีธรรม การร้องออกพระนาม การกล่าวคำว่า เอเมน เราพูดตลอดเวลาได้
และนี่คือที่มาของมัทธวบทที่ 7:21-23 ก็คือผู้รับใช้เหล่านั้น คือผู้รับใช้ที่ยังรับใช้อยู่ ไม่ใช่ผู้รับใช้ที่เคยเคร่งศาสนาแล้วหลงหายไป อันนี้ไม่ใช่. ความหมายคือคริสเตียนที่ยังรับใช้อยู่ แต่ปรากฏว่าชีวิตของเขาและการรับใช้ของเขา อยู่ภายใต้การกระทำตามใจของตัวเอง คือเขาไม่สนใจเรื่องน้ำพระทัยของพระบิดา เขาไม่แสวงหา และเขาไม่รู้ว่า น้ำพระทัยของพระบิดาคืออะไร และเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู
เราจะเห็นว่านี่คำตอบ พระเยซูตอบว่า นี่..สองสิ่ง ที่คริสเตียนเหล่านี้ไม่ทำ ไม่ใช่หลงหายไปน่ะ พระเยซูบอกว่า..
1. พวกเจ้าไม่กระทำตามน้ำพระทัยของพระบิดา
2. พวกเจ้าไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่มีกฎหมาย เป็นคนที่ไร้กฎหมาย
และอีกครั้ง น้ำพระทัยของพระบิดา ก็คือ 1. การดำเนินชีวิตและการรับใช้ในพระคริสต์ 2. การดำเนินชีวิตและการรับใช้ร่วมกับพระคริสต์ 3. และการดำเนินชีวิตและการรับใช้เพื่อพระคริสต์เท่านั้น
ยุคนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระคริสต์ เพื่อพระคริสต์ และเพื่อพระคริสต์ (สำหรับเรา ยุคหน้า)
ยุคนี้เป็นยุคทำนา แต่ยุคหน้าเป็นยุคที่เรารับค่าจ้างรางวัล เป็นช่วงเวลาแห่งการได้รับสันติสุข ความสุขทั้งฝ่ายกาย ฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายจิตใจ ครบบริบูรณ์ แต่เวลานี้เป็นเวลาที่ต้องทำงาน
มัทธิว 7:24-27 เหตุฉะนั้น “ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราแล้วประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนนั้นมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งไว้บนศิลา”
พระเยซูตรัสว่า “เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้” ก็คือได้ยินคำสั่งสอน ได้ยินรัฐธรรมนูญใหม่ พระบัญญัติใหม่ของพระเยซู ตั้งแต่มัทธิวบทที่ 5 จนถึงบทที่ 7 พระเยซูสรุป ก็คือ “ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา แล้วประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา” คนที่ได้ยินถ้อยคำของพระเยซู (กฎหมายใหม่) และปฎิบัติตาม
ทุกวันนี้ชีวิตของเราอยู่ภายใต้การปฎิบัติตามกฎหมายใหม่ของพระเยซูหรือไม่? หรือว่าเรากระทำแค่บางข้อ รักษาบางข้อ ข้อง่ายๆ ที่ทำได้ใช่ไหม และอีกหลายๆ ข้อเราปล่อยปละละเลย เราทำไม่ได้ และเราก็รอ ว่าที่จะทำได้ แต่ไม่เคยมีวันนั้นสักที ขอพระเจ้าช่วยเรา เรารู้เคล็ดลับแล้วพี่น้องติดตามคลิปมาก็นานพอสมควร และเราจะเห็นว่าผู้ที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู คือรักษาถ้อยคำประพฤติตามถ้อยคำของพระเยซูในมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 ก็คือพระวิญญาณที่อยู่ในเรา ไม่ใช่เรา
“ก็เหมือนกับคนที่สร้างเรือนไว้บนศิลา” ก็คือเหมือนกับคนที่ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู คือคนที่มีกฎหมาย คนที่รักษากฎหมายของพระเยซูได้
“ฝนก็ตกลงมา น้ำก็ไหลท่วม ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น” ฝนก็ตก หมายความว่ายังไง การทดลองที่มาจากพระเจ้า ฝนก็คือมาจากข้างบน พระเจ้าอยู่ข้างบน
ส่วน “น้ำก็ไหลท่วม” ก็คือแม่น้ำไหลท่วม แม่น้ำหรือน้ำ มาจากแผ่นดิน แม่น้ำ น้ำ มาจากแผ่น ก็คือมาจากมนุษย์ การทดลองที่พระเจ้าอนุญาตให้เข้ามาทางมนุษย์ ผ่านทางมนุษย์ คือ "คน" คนที่อยู่รอบข้างเรา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะนำการทดสอบการทดลอง จะนำการข่มเหง จะนำปัญหาเข้ามาสู่ชีวิตของเรา และพระเจ้าเป็นคนอนุญาต สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้นได้
“ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น” ลมคืออะไร ลมก็คือการทดลองที่มาจากผีมารซาตาน ทุกวันนี้อาณาจักรของมารซาตานอยู่ท้องฟ้าอากาศ ซึ่งเราจะเห็นว่าพระเจ้าก็อนุญาตให้ซาตานนำปัญหาเข้ามาสู่ชีวิตของเรา แต่พระองค์จำกัด หรือให้มีขีดจำกัดว่าให้แตะต้องเราได้มากน้อยแค่ไหน
อีกครั้ง 1. ฝน คือการทดลองที่พระเจ้าส่งมา พระเจ้าเองเป็นคนทำ 2. ก็คือมนุษย์ พระเจ้าให้มนุษย์นำปัญหาเข้ามาสู่ชีวิตของเรา 3. พระเจ้าอนุญาตให้ซาตานนำปัญหานำสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาสู่ชีวิตของเรา
- พระเจ้าอนุญาตให้ปัญหาเข้ามาสู่เราเพื่ออะไร ?
พระเจ้าอนุญาตให้ปัญหาเข้ามาสู่เรา ก็คือเพื่อทดสอบ เพื่อการทดลอง เพื่อการเติบโต และเพื่อการที่จะพิสูจน์ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซูหรือไม่ และถ้าว่าการทดลองปัญหาเหล่านี้เข้ามาสู่ชีวิตของเรา เรามีสันติสุขทุกวันเวลา เราอยู่ในกระบวนการการเปลี่ยนแปลง เราดับความโกรธ ความหยิ่งผยองพองตัว การหลงรักโลกนี้ การมีความใคร่ เรามีกำลังเหนือสิ่งเหล่านี้ได้ ปัญหาการทดลองเหล่านี้จะเข้ามาถึงเรา เราชนะได้ เพราะว่าเรามีพระคริสต์ทำแทนเรา พูดง่ายๆ ก็คือความหมายที่พระเยซูต้องการสื่อกับเราในบทสรุปของพระเยซู ก็คือคนที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้และประพฤติตาม ก็คือมีพระคริสต์ทำแทนเรา เรามีพระคริสต์ทำแทนเราแล้ว เรามีสันติสุขแล้ว
ไม่ว่าฝนจะตกลงมา
ไม่ว่าลมจะพัด
หรือไม่ว่าแม่น้ำไหลเชี่ยว
สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรเราได้ เราขอบพระคุณพระเจ้า
ซึ่งถ้าหากว่าพี่น้องคนไหน เจอลม เจอฝน เจอพายุ เจอแม่น้ำไหลเชี่ยว และเราพ่ายแพ้ แสดงว่าชีวิตของเรายังไม่มาถึงผู้ชนะ สันติสุขก็ยังไม่มี การเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงก็ยังไม่มาถึง
แต่ถ้าหากเราได้พบพระคำล้ำลึก พบมานาที่ซ่อนไว้ เรามีความหวัง ขอบพระคุณพระเจ้าเป็นการเริ่มต้นที่ดี และเป็นเริ่มเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง อีกไม่ช้าไม่นานเราก็จะสามารถรักษาถ้อยคำ ปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเยซูในมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 นี้ได้
และในลักษณะเดียวกัน “ผู้ที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ของเรา” ก็คือมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 ซึ่งเป็นพระบัญญัติใหม่ และ “ไม่ประพฤติตามเขาก็เปรียบเสมือนคนโง่สร้างเรือนของตนไว้บนทราย” สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ก็คือการดำเนินชีวิตที่ไม่รักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู ก็คือการสร้างเรือนอยู่บนทราย
และเนื่องจากพี่น้องคริสเตียนเหล่านี้ไม่เคยมีโอกาสได้พบ ถูกเปิดตาให้เห็นข้อลึกลับที่ลึกลับที่สุด ก็คือพระคริสต์อยู่ในเรา ที่เป็นความหวังของสง่าราศี คือผู้ที่จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ภายในเราได้ เกิดผลแห่งพระวิญญาณ และอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซูได้อย่างสบาย ซึ่งพี่น้องที่ไม่มีโอกาสได้พบ ก็คือคนที่สร้างบ้านอยู่บนทราย เมื่อมีปัญหาเข้ามา เราก็ล้ม ปัญหาเข้าทีไรจากฝน เราก็ล้ม จากลมพายุ เราก็ล้ม จากแม่น้ำไหลเชี่ยว เราก็ล้ม
เพราะฉะนั้นแล้ว การพังทลายของเรือนก็จะเป็นการเสียหายใหญ่ยิ่ง คือการพินาศ ความพินาศและการเสียหายใหญ่ยิ่ง ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่รอด แต่เป็นการเสียหาย การสูญเสียบำเหน็จ รางวัล เป็นการที่เราไม่มีโอกาศได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ คือยุคพันปี ที่พระเยซูกำลังจะนำมาตั้งอยู่บนโลกนี้ แต่รอดเหมือนรอดผ่านไฟ ซึ่งใน 1 คร 3:12–15 กล่าวไว้
ข้อที่ 28 “ต่อมาครั้นพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ผู้คนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์” “ผู้คน ” ในที่นี้ ก็คือสาวกทั้งหลายของพระเยซูที่ฟังอยู่ ที่นั่งฟังพระเยซูตรัส สอน ก่อตั้งพระบัญญัติใหม่ ส่วนผู้คนมากมาย ยังรออยู่ข้างล่าง ผู้คนไม่รู้กี่ร้อยกี่พันยังรออยู่ข้างล่าง แต่การก่อตั้งกฎหมายใหม่ของพระองค์ ก็คือพระองค์ก่อตั้งรัฐธรรมนูญใหม่ กฎหมายใหม่ต่อสาวกทั้งหลาย และสาวกจะนำไปสั่งสอนต่ออีก
อ่านเพิ่มเติม: อะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้า