เราขอบพระคุณพระบิดาที่วันนี้พระองค์ให้เราได้รับอาหารที่มาจากสวรรค์ พระเยซูเป็นต้นเหตุที่นำอาหารมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนพระองค์ให้อยู่ในส่วนเอเดน และอาดัมเอวาไม่มีโอกาสได้รับ และเราทุกวันนี้จะได้รับพระองค์ เมื่อเราต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราสรรเสริญพระบิดา เราขอบพระคุณพระองค์ที่ให้ความรักของพระองค์มาถึงพวกเราผ่านทางพระเยซูคริสต์
สำหรับอาหารที่มาจากสวรรค์ คือผ่านทางพระคำพระเจ้า เราพบว่าเมื่อสาวกออกเดินทางไปประกาศ ผู้ที่เชื่อต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือได้รับอาหารนั้น ครั้งแรกที่เราทั้งหลายได้กินก็คือเราได้เชื่อ เราต้อนรับพระองค์ก็คือได้กินแล้ว หลังจากนั้นก็ได้ชีวิตพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา
ผู้เชื่อหลายคนกลายพันธุ์ กลายมาเป็นคริสเตียนศาสนา กลายเป็นศาสนาคริสต์โดยไม่รู้ตัว ซึ่งการปรนนิบัติพระเจ้า การดำเนินชีวิต การฝึกเดินฝ่ายวิญญาณ การรับใช้ทั้งหลาย คือล้มเหลวทั้งหมด เนื่องจากว่าเขาไม่รู้ว่าเขาตายกับพระเยซูเมื่อสองพันปีก่อน เขาไม่รู้ว่าเขาฟื้นขึ้นมากับพระเยซูเมื่อสองพันปีก่อน เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทำลายชีวิตเก่า และให้ชีวิตใหม่ เพื่อที่จะสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซู โดยที่พระเยซูเป็นคนกระทำกิจในเรา โดยที่เรายอมให้พระองค์ใช้ร่างกายใหม่นี้
ซึ่งหนังสือเอเสเคียลก็พูดถึงในบทที่ 36 ที่บอกว่าพระองค์จะให้วิญญาณใหม่แก่เรา พระองค์จะให้จิตใจใหม่แก่เรา พระองค์จะใส่วิญญาณ ซึ่งถูกก่อขึ้นอีกไม่นานแก่เรา แต่ชาวยิวรอคอย รอคอย คิดว่าเขาจะได้รับตอนที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย แต่จริงๆ แล้วจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่ เราได้รับตอนที่พระเยซูเสด็จมา แล้วเราทั้งหลายต้อนรับพระเยซู (ยอห์นบทที่ 20:22 "ครั้นพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจออกเหนือเขา และตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด")
พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ และเสด็จมา สาวกทั้งหลายก็นั่งอยู่ พระเยซูระบายลมหายใจและตรัสกับทุกคนว่าจงรับพระวิญญาณเถิด ตอนนั้นเป็นตอนที่เราทั้งหลายได้รับชีวิตพระเจ้า ความหมายก็คือการได้กิน ในยอห์นบทที่ 6 พระเยซูย้ำหลายครั้ง แล้วพระเยซูต้องการอธิบาย พระเยซูต้องการให้เขาทั้งหลายเข้าใจ มันเป็นเรื่องของการฝ่ายวิญญาณที่เข้าใจยากมาก
เพราะฉะนั้นพระเยซูพูดแล้วพูดอีก เราจะเห็นยอห์นบทที่ 6 ทั้งบท พระเยซูพูดถึงรับชีวิต รับชีวิตๆๆๆ และรับชีวิตๆๆๆ และรับชีวิตๆๆๆ เราเห็นว่าข้อสุดท้ายสาวกทั้งหลายก็ยังสับสนอยู่ และชาวยิวก็ไม่รับไม่ต้อนรับ และกล่าวหาว่าพระองค์จะให้กินเนื้อกินเลือดของพระเยซู ซึ่งเป็นกลุ่มศาสนากลุ่มหนึ่งในอิสราเอลทั้งอาณาจักรโรมันด้วย คือมีศาสนาที่เขากรีดเลือดกรีดเนื้อกินเนื้อดื่มเลือดเพื่อสาบานเพื่อปฏิญาณตน เพื่อจะเข้าเป็นกลุ่มในศาสนานั้นๆ เขาคิดว่าพระเยซูกลายเป็นนิกายเป็นกลุ่มนั้นไปแล้ว เขาจึงหนีแล้วก็ต่อต้าน
แต่สำหรับพวกเราเราขอบคุณพระเยซูที่เราติดตามคำสอนของพระองค์ เราจึงเข้าใจว่าการกินพระเยซู การดื่มเลือดของพระเยซู แท้ที่จริงแล้วก็คือเป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ สรรเสริญพระเจ้า
และการกิน การดื่มนี้ คือการต้อนรับพระเยซู อันนี้อันแรก
การกินเนื้อพระเยซูและดื่มเลือดพระเยซูครั้งแรกของพวกเรา ก็คือการได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
ต่อมาการกินและการดื่ม การกินเนื้อของพระเยซูและการดื่มเลือดของพระเยซูในเวลาต่อมา ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ก็คือการที่เราได้พูดคุยกับพระเยซู ที่เรียกว่าอธิษฐาน เราเข้าใจกันคำว่าอธิษฐาน คำว่าอธิษฐานก็คือการพูดคุยสนทนากับพระเยซู ว่าเราต้องการที่จะได้รับชีวิต ได้รับพระวิญญาณ ได้รับการเติมเต็มโดยพระวิญญาณ ก็คือไม่เพียงแต่พูดคุยเท่านั้น ขอให้เราเชื่อด้วย
ทุกครั้งที่เราพูดคุยกับพระเยซูสนทนากับพระเยซู ก็คือขอให้เราเชื่อว่าเรากำลังรับพระวิญญาณเข้ามาเติมเต็ม และทุกสิ่งก็จะตามเข้ามา เราจะได้รับ และกฎแห่งพระวิญญาณ กฎแห่งชีวิต ก็จะเข้มแข็ง ก็จะมีพลังมากสามารถเอาชนะบาปได้ เราขอบคุณพระเยซูที่พระองค์ให้เราได้พบอาหารที่มาจากสวรรค์ และได้กินอย่างครบ กินอย่างเต็ม กินอย่างอิ่ม กินด้วยความเข้าใจ
แต่คริสเตียนทุกวันนี้บอกว่าการอธิษฐานก็คือการรับพระวิญญาณ การอ่านพระคัมภีร์ก็คือการกิน แต่เขาไม่เคยรู้ว่าเขากำลังกินอยู่ เขาไม่เคยคิดว่าเขากำลังกินอยู่ และเขาไม่เคยเชื่อว่าเขากำลังกินอยู่ คือการกิน การทำอะไรก็ตามถ้าไม่ทำด้วยความเชื่อ ถ้าไม่เชื่อไม่เข้าใจเราจะกินไม่ได้ เราเห็นนะว่าทุกวันนี้คริสเตียนมากมายผอมมากในฝ่ายวิญญาณ ตัวผอมมากๆ เนื่องจากว่าเขาอดเขาอดอยาก เขาไม่ได้กินพระเยซูไม่ได้ดื่มพระเยซูมานานแล้วตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเชื่อ ตอนที่เขาไปโบสถ์ ก็คือร้อนรน กระตือรือร้น รู้สึกดีใจ มีสันติสุข เฉพาะตอนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สวมทับภายนอก
แต่เราขอบคุณพระเยซูเราได้กินจนเต็มอิ่ม เราได้รับการสวมทับ การเต็มล้น การเติมเต็มภายใน ภายใน pleroo เพราะฉะนั้นเราขอบพระคุณพระเจ้าที่ตอนนี้เราไม่เหนื่อย เราไม่อ่อนแอ เราไม่เหนื่อยล้า เราไม่ท้อ เราไม่ขาดกำลัง เนื่องจากว่าเรารู้วิธีที่จะกินและดื่มพระเยซูอย่างถูกต้อง
สำหรับเรื่องการกินการดื่ม เมื่อเราพูดคุยกับพระเยซู หรือเราพูดว่าเอเมน คำนี้เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำที่มีฤทธิ์เดช เอเมนก็คือพระเยซูเอง "เราบอกว่าพระเยซู หรือว่าข้ารักพระเยซู หรือข้ารักพระองค์ หรือพระบิดา หรือขอบคุณพระเยซู สรรเสริญพระเยซู" ถ้อยคำเหล่านี้ที่เราพูดออกมา ก็คือขอให้เราเชื่อว่าเรารับพระวิญญาณเข้ามา รับการเติมเต็มเข้ามา เชื่อว่ากำลังกินพระองค์อยู่
อีกครั้งเราขอบคุณพระเจ้ายอห์นบทที่ 6 ข้อที่ 47 จนถึงข้อที่ 56 และ 58 อันนี้ไม่นับข้อที่ 57 การกินพระเยซูครั้งแรกก็คือการต้อนรับพระเยซูหรือเชื่อเข้าในพระองค์ เพื่อรับชีวิตพระเจ้า เพื่อให้ได้รอด และไม่ต้องถูกพิพากษาในวันสุดท้าย
ยอห์นบทที่ 6 ข้อที่ 47 จนถึงข้อที่ 56 และข้อที่ 58 ไม่นับข้อที่ 57 คือการต้อนรับพระเยซูคือการกินครั้งแรก คือต้อนรับพระเยซูเพื่อจะได้รับความรอด และกลายเป็นบุตรพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่และไม่ต้องถูกพิพากษาในวันสุดท้าย
แต่ข้อที่ 57 ให้เราอ่านสังเกตดูดีๆ เราจะเห็นว่า พระเยซูเสด็จมาเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่โดยพระบิดา พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ 33 ปีกว่า พระองค์ไม่ได้ดำเนินชีวิตของพระองค์เอง ผู้ชายชื่อเยซูคนที่ดำเนินชีวิต แท้ที่จริงคนที่ทำกิจเคลื่อนไหวไป มา พูด นั่ง กิน นอน อะไรทุกอย่าง ก็คือพระบิดา ขอย้ำอีกครั้งคือพระบิดา พระเยซูไม่ได้พูดเอง ไม่ได้ทำเอง ไม่ได้คิดเองอะไรทั้งนั้น คือพระบิดา ให้เราอ่านในยอห์นบทที่ 6 ข้อที่ 57
ต่อมาพระเยซูบอกว่า และ และเรามาเพื่อที่จะให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตและเพื่อเราจะมีชีวิตโดยท่าน เมื่อท่านกินเราดื่มเรา พระบิดาสถิตอยู่ข้างในของพระองค์แล้วก็พูดคุยดำเนินชีวิตทำทุกสิ่งแทนพระองค์
แล้วทีนี้ถึงตาเรา พระเยซูมา และใครที่กินพระองค์ดื่มพระองค์ ก็จะได้รับชีวิตของพระองค์ หลังจากนั้นพระเยซูก็จะดำเนินชีวิต ไม่ใช่เรา ข้อที่ 57 เราสรรเสริญพระเจ้าเราขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ต้องแบกภาระ ไม่ต้องรักษาพระบัญญัติ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแต่เราให้อวัยวะนี้เป็นเครื่องใช้ของพระองค์เพื่อที่จะขับเคลื่อน เพื่อที่จะดำเนินชีวิตอยู่แทนเรา สรรเสริญพระเจ้า พระบัญญัติเราไม่กลัวเราไม่ห่วงอะไรทั้งนั้นแล้ว ขอบคุณพระเจ้า
ถาม.
ขอถามข้อที่ 57 ค่ะ ที่ว่า (พระชนม์) แปลว่าอะไรคะ พระบิดาผู้ทรงดำรงพระชนม์ เอเมนค่ะ
ตอบ.
คือดำรงชีวิตอยู่ คือเป็นอยู่ มีชีวิตอยู่
อีกครั้งนะครับคือพระเยซูตรัสว่า พระบิดาใช้ชีวิตของพระเยซูอยู่ในโลกนี้เป็นเวลา 33 ปีกว่า ไม่ใช่พระเยซูเอง แล้วทีนี้ก็คือคนที่กินพระเยซูและดื่มพระเยซูจะมีชีวิตอยู่โดยพระเยซูเอง ไม่ใช่โดยเรา เมื่อพระองค์เข้ามาหน้าที่ของพระองค์เข้ามาเพื่อที่จะใช้ชีวิตของเราแทนเรา พระองค์ทำทุกสิ่ง คิดแทนเรา ตัดสินใจแทนเรา เป็นอะไรแทนเราทั้งหมดเลย
ถาม.
ขอถามข้อที่ 54 ที่ว่าฟื้นขึ้นในวันสุดท้าย ความแตกต่างระหว่างคริสเตียนศาสนา กับพระกายเที่ยงแท้แตกต่างกันยังไงครับ
ตอบ.
แตกต่างมากครับ
การฟื้นขึ้นในวันสุดท้ายก็คือคริสเตียนศาสนาเขาจะเป็นแค่ราษฎรเป็นพลไพร่ของโลกใหม่
ส่วนเราที่ฟื้นขึ้นมาเป็นผู้ชนะ ก็คือเข้าสู่การครอบครองร่วมกับพระเยซูต่อไป อย่าลืมนะครับเราร่วมครอบครองกับพระเยซูตั้งแต่ยุคพันปีแล้วนะครับ
เมื่อมีการฟื้นขึ้นในวันสุดท้ายอีก ก็คือเพื่อการพิพากษาที่พระบัลลังก์ใหญ่สีขาว ก็คือตอนที่เรายังจะสืบต่อเพื่อครอบครองร่วมกับพระเยซู
สำหรับยอห์นบทที่ 6 นี้ พระเยซูเน้นถึงการดำเนินชีวิต ของคนที่จะกินและดื่ม กินเนื้อของพระเยซูและดื่มเลือดของพระเยซู ก็คือการรับพระคำพระเจ้า ก็คือการหายใจเข้า ก็คือการอธิษฐาน ก็คือการพูดคุยสนทนา เราพูดเอ่ยถึงพระนามพระเยซู เราพูดถึงการยกย่องสรรเสริญ ทุกสิ่งเราเชื่อว่ารับชีวิตพระเจ้าเข้ามา รับพระวิญญาณเข้ามาเพื่อเติมเต็ม เราก็จะได้รับ จะเกิดมีอาการบางอย่างที่เกิดขึ้นที่เคลื่อนไหวในเรา แต่ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานแบบเฉยๆ แบบไม่ได้คิดไม่ได้เชื่อว่าเรากำลังรับเข้ามา เราก็จะไม่รับอะไร
ถาม.
การกินพระเยซู ทำยังไงคะ
ตอบ.
การกินพระเยซู อันแรก ก็คือการอธิษฐาน การบอกรัก การพูดคุย การสนทนา ก็คือเราเอ่ยถึงพระเยซู เราพูดเรื่องอะไรก็ตามขณะที่เรากำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่ ขอให้เราเชื่อว่าเรากำลังรับ กำลังกินอยู่ กำลังดื่มอยู่ ก็แค่นี้ไม่ได้ยากอะไร เพียงแต่เราเชื่อว่าเรากินอยู่ อย่าลืมนะครับทุกครั้งที่เราพูดคุยกับพระเยซู บอกกับพระเยซู สรรเสริญ ยกย่อง นมัสการ หายใจเข้าออกก็เหมือนกัน อย่าลืมนะครับคือสิ่งที่เราทำทุกวันนี้ ก็คือหายใจ แล้วเราเพิ่มเสริมสิ่งหนึ่งเข้ามา ก็คือเราเชื่อว่าการหายใจทุกครั้งก็คือการรับพระเยซู เพราะว่าลมหายใจ ลมหายใจมีความหมายเดียวกันในภาษากรีก ลมหายใจและพระวิญญาณเป็นคำเดียวกัน
เพราะฉะนั้นเมื่อเราหายใจเข้า ถ้าหากเราเชื่อ เรื่องฝ่ายวิญญาณชีวิตฝ่ายวิญญาณการฝ่ายวิญญาณก็จะเกิดขึ้น ก็คือเราไม่เพียงแต่รับเอาลมเท่านั้นที่เข้ามา เรารับพระวิญญาณด้วย ตอนที่พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้วมาหาสาวก แล้วพระองค์ก็ปล่อยลมหายใจไปให้ทุกคน เราไปอ่านดูนะครับยอห์นบทที่ 20 ข้อที่ 22 พระเยซูระบายลมหายใจ พระเยซูปล่อยลมหายใจไปถึงทุกคน ก็คือเป่าใส่เลยนะครับ
หลังจากนั้นพระเยซูตรัสว่าจงรับพระวิญญาณเถิด เห็นไหมครับ พระเยซูวันนั้นนะครับไม่ได้วางมือบนหัวของใคร แต่พระเยซูเป่าลมหายใจไปถึงเขา แล้วบอกว่ารับพระวิญญาณเถิด เพราะฉะนั้นเมื่อเราหายใจเข้าขอให้เราเชื่อว่าเรารับพระวิญญาณเข้ามาเติมเต็มมาเสริมมาเพิ่ม อันนี้ก็คือเรื่องการอธิษฐาน
ต่อมา ก็คือเรื่องการอ่านพระคำพระเจ้า เมื่อเราอ่านทุกครั้งขอให้เราเชื่อว่าเรากำลังกินอยู่ ขอให้เราเชื่อ เมื่อเราเชื่อ การอธิษฐานและการอ่านก็จะเกิดผลสิ่งหนึ่งขึ้นมา ก็คืออยู่ภายในเราจะเริ่มมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหว การได้อิ่มเต็ม การที่หัวใจเราคือมันเบามาก ภาระในหัวใจ การแบกภาระ ความคิด ความกังวล ความกลัว หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็คือมันจะหายไป เราจะทำใจได้ ปล่อย ปลง วางได้ทุกสิ่ง คือเราคิดถึงลูกหลานได้ เราคิดถึงอนาคตได้ เราคิดถึงเรื่องการงานธุรกิจอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เราทำใจและปล่อย ปลง วาง ไม่ต้องกังวลเหมือนเมื่อก่อน คือได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็คือไม่คาดหวัง
ถาม.
ขอถามหน่อยนะคะ อย่างดิฉันที่เข้ามา ที่มาพบมานา เป็นการนำพาจากพระวิญญาณหรือเปล่าคะ
ตอบ.
ทุกคนที่ได้ฟัง ได้ยิน พระคำล้ำลึกหรือมานาที่ซ่อนไว้นี้ ไม่ใช่บังเอิญ แน่นอนไม่ใช่บังเอิญพระเจ้าเลือกมา แล้วหัวใจที่ปรารถนาที่หิวกระหายมากเท่าไหร่ พระเจ้าก็จะป้อนให้มากเท่านั้น และจะอยู่กับพระเจ้าอยู่กับมานานี้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
แล้วบางคนที่พระเจ้าเลือกมา พระเจ้าต้องการช่วยเขา แต่ปรากฏว่าความหิวกระหายมันไม่มากพอ เพราะฉะนั้นตาก็ไม่ถูกเปิดมากพอ มันอยู่ที่เราว่าเราหิวกระหายมากเท่าไหร่ จำได้ไหมพระเยซูสัญญา คนที่หิวกระหายพระเจ้าจะให้อิ่มบริบูรณ์ (มธ 5:6)
เราขอบคุณพระเยซูเมื่อเรากินเราดื่มตอนแรกเราได้รอด เราได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่ เราได้เข้าสู่พระสัญญาที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้อับราฮัมผ่านพระเยซูคริสต์
ตอนนี้เรากินทุกวันเพื่อที่เราจะให้พระคริสต์เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเรา เป็นผู้ดำรงอยู่แทนเรา เราไม่ต้องทำอะไร เราไม่ต้องห่วงเรื่องพระบัญญัติอีกแล้ว เรารู้ว่าพระเจ้าเป็นคนที่จะทำงาน เป็นคนที่จะช่วยเรา เป็นผู้ที่จะดูแลเรา
พ่อนะครับเมื่อมีลูกพ่อก็ต้องรักลูกสิ ก็ต้องดูแลลูกสิใช่ไหม ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราถูกเปิดตาตรงนี้ เห็นชัดเจนตรงนี้ คือเราจะไปห่วงอะไรอีก
เด็กชายคนหนึ่งที่เกิดมาพอเขาโตมานิดหนึ่ง เขารู้จักเขาเข้าใจเขาเห็นว่าพ่อเป็นเศรษฐีมีฐานะร่ำรวยมาก ทำอะไรก็ได้ เก่งมีความสามารถ ซื้ออะไรก็ได้ให้เขา แล้วเขาจะไปดิ้นรนทำไม เขาจะห่วงเรื่องอนาคตด้วยเหรอใช่ไหม เรามีพระบิดานะครับ พระเจ้าที่เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าเศรษฐีอีกตั้งเยอะ เรากลัวอะไรล่ะ
ถาม.
อยากถาม อ. เรื่องการกินพระคำ ช่วงแรกๆ ทำไมเราถึงมีอาการรีบกินพระคำค่ะ คือช่วงที่พบมานาใหม่ๆ จะมีความหิวกระหายในการอยากอ่านพระคำมากเลย เหมือนกับร่างกายภายในตื่นตัวไม่อยากหลับอยากนอน คือคิดถึงแต่พระคำแล้วก็เหมือนกับเรารีบกินจะอ่านจนถึงตี 2 ตี 3 พอตื่นเช้ามาก็มาเริ่มอ่านอีกคือจะหมกมุ่นอยู่กับพระคำ คือสังเกตช่วงแรกๆ ค่ะจะเป็นอยู่อย่างนี้ประมาณ 2-3 เดือน แต่หลังๆ มาพอเรารับมานาได้ 4-5 ปีเหมือนกับเราทำไมถึงไม่เหมือนช่วงแรกๆ ที่เรารีบกินคืออยากรู้ คือเราอยากจะเป็นเหมือนกับช่วงแรกๆ แต่ทำไมถึงไม่มีอาการแบบนั้น คือทุกวันนี้เรากินแบบปกติเรื่อยๆ ว่างก็อ่านหรือนึกถึงพระเจ้าที่พระเจ้าทรงนำให้อ่านก็อ่าน แต่ความชื่นชมยินดีความสุขสันติสุขก็มีอยู่ในนั้นค่ะ แต่เรามาสังเกตตัวเองว่าทำไมเราไม่เหมือนเมื่อก่อนมันเกิดอะไรขึ้นค่ะ
ตอบ.
ปัญหานี้พระเจ้าเข้าใจมนุษย์ ว่ามนุษย์มีจุดอ่อนตรงนี้ คือมนุษย์จะไม่ใส่ใจอะไรที่มันนานเกินไป เห็นอะไรก็รีบๆ กิน รีบๆ ทำ รีบๆ คือตื่นเต้นตอนแรก แต่ต่อมาไม่นานก็ไม่สนไม่ค่อยสนใจ นี่คือเหตุผลที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องทำต้องรีบเร่งทำงาน
เห็นไหมครับคนที่ได้รับมานาใหม่ๆ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะรีบป้อนเขาเลย ป้อนให้มากเท่าที่จะมากได้เพราะว่ารู้นะครับว่าอีกไม่นานเขาจะไม่ค่อยอยากกิน
เพราะฉะนั้นตอนแรกๆ ใครที่รับมานาได้มากแล้ว ก็สนใจใส่ใจกระตือรือร้นร้อนรนมากที่จะอ่าน รีบอ่าน รีบใช้เวลากลับมานา ทีนี้พอเราได้รับการเปิดตาได้มากแล้ว ก็ได้รับจนเกือบจะครบ ก็ขอบคุณพระเจ้าคือเรามีต้นทุนที่เยอะ หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตในการฝึกตามที่เราได้รับมานะครับ
เพราะปัญหา ก็คือจิตใจเราเองที่ออกจากการใส่ใจ ในการที่จะอ่านพระคำพระเจ้า หรืออ่านมานา
คำอธิษฐานนะครับที่จะรักษาเราให้อยู่ในการหิวกระหายอยู่เสมอ ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปีก็ตาม ก็คือ "ขอพระองค์รักษาทางของข้า ขอพระองค์รักษาข้าให้หิวกระหาย" เพราะว่าอย่าลืมนะครับใครดำเนินชีวิตอยู่ในเรา พระเยซูใช่ไหม? เชื่อเอาว่าเราหิวกระหาย เชื่อว่าพระองค์เป็นคนกระตุ้นให้เราอ่าน เชื่อว่าพระองค์นำเรา เชื่อว่าพระองค์ตื่นแต่เช้า อ่าน เชื่อ เมื่อเราเชื่อเราก็จะเห็นการทำงานของพระเยซู
เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่เราอธิษฐานขอให้พระองค์รักษาทางของเราให้อยู่ในทางของพระองค์ รักษาทางของเราให้อยู่ในทางของฝ่ายวิญญาณ รักษาทางของเราให้อยู่ในการหิวกระหายพระคำพระเจ้า นี่คือเป็นเรื่องของการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นะครับ เป็นหน้าที่ของพระเจ้าทำ แต่ถ้าจะพึ่งมนุษย์อาดัม คือเราจะอยู่ไม่นาน
ถาม.
อยากถาม อ. คือตอนนี้ที่ไปโบสถ์ มันไม่มีโบสถ์ส่วนมากมันจะเป็นโบสถ์ไฟ แล้วเราไปเราก็จะโดนวางมือทุกครั้งเลย เราจะทำยังไงดีไม่ต้องไปได้ไหมคะโบสถ์
ตอบ.
ถ้าจะตอบตามตรงนะครับ ถ้าหากเรามาถึงจุดที่ คือรับมานามาก มากแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้เราออกมา อันนี้พูดตามตรงเลยนะครับ สำหรับพี่น้องที่อยู่กับโบสถ์ทั่วๆ ไปก็อยู่ต่อ แต่อันนี้ผมพูดถึงพี่น้องที่ได้รับมานาที่มากเกินไปแล้ว ที่มากพอแล้ว เราจะพบว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่อยากให้เราอยู่และอยากให้เราออกมา
เนื่องจากว่ากลุ่มไฟ กลุ่มแบ๊บติสต์ กลุ่มอะไรก็ตาม กลุ่มความรู้ กลุ่มอะไรก็แล้วแต่ คือศาสนาคริสต์ครับ อันนี้ผมขอพูดความจริงนะครับ เราเรียกกันว่าศาสนาคริสต์ไม่ผิดนะครับ เนื่องจากว่าเขาไม่เคยฝึกเดินในฝ่ายวิญญาณ เขาไม่เข้าใจการฝ่ายวิญญาณ สิ่งที่เขาทำก็คือการเต็มล้นภายนอก คือการวางมือ รับการสวมทับโดยพระวิญญาณข้างนอกภายนอกเพื่อรับฤทธิ์เดช เพื่อรับการสัมผัสของพระเจ้า อันนี้เขาทำได้พระเจ้าก็ไม่ได้ห้ามเขา
แต่สิ่งสำคัญเขาไม่แสวงหา ก็คืออาณาจักร ก็คือพระเยซูทำแทน ไปถามเขา เขาก็ไม่รู้ว่าพระเยซูตาย เขาตายกับพระเยซูไหม เขาไม่เคยรู้นะ เขาไม่รู้ว่าเขาตายกับพระเยซูแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่ร่วมดีกว่า เมื่อเราไป เราจะกินเชื้อยีสต์กับเขา เชื่อผิดกับเขา ทำผิดกับเขา นมัสการผิด ทำทุกสิ่งผิดหมด เมื่อเราทำผิดนะครับ พระพรก็มาไม่ถึง การช่วยเหลือก็มาไม่ถึง การเติบโตก็มาไม่ถึง สันติสุขทุกวันเวลาก็มาไม่ถึง เอเมนไหมครับ
ถ้าเราออกมาได้ก็ออกมา ถ้าพี่น้องที่ยังอยู่กับโบสถ์ทั่วไปก็อยู่ต่อไปไม่เป็นไร สะสมมานาให้มากขึ้น เรียนรู้มานาให้มากขึ้น ขอพระเจ้าเปิดตาให้มากขึ้น ในที่สุดนะครับเราจะออกมา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะให้ออกมา
แล้วถามว่าถ้าออกมาผิดไหม ไม่ผิดนะครับ ในพระคัมภีร์มีบ่อยมากมีหลายครั้งที่พระเจ้าให้กลุ่มคนของพระเจ้าที่เลือกไว้ ออกจากเมืองของตน อย่างอับราฮัมให้โลทออกจากเมืองของตน แล้วก็ให้โมเสสและนำชนชาติอิสราเอลออกจากเมืองบ้านเมืองของอียิปต์
เพราะฉะนั้นหลายครั้งที่พระเจ้าให้ออกมา มันไม่ได้ผิดนะครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าหากคริสตจักรทั่วไปทุกวันนี้ถูกต้อง เราอยู่ เราควรจะอยู่ ถ้าออกมาก็ผิดแน่นอนครับ
แต่ปัญหาก็คือตรงนี้ คริสจักรทุกวันนี้กลายเป็นคริสตจักร 6 คริสตจักรในหนังสือวิวรณ์ที่พระเจ้าเตือน แต่เขาไม่ฟัง พระเจ้าเตือนแต่เขาไม่ฟัง กลายเป็น 6 คริสตจักรที่ตกต่ำไปแล้ว ทุกวันนี้กลายเป็นศาสนาคริสต์ไปแล้ว
และพี่น้องที่รับมานาพระคำล้ำลึกมาก ก็คือผมพูดถูกไหม สิ่งที่ผมพูดเราจะเห็นนะครับ อยู่กับเขาไม่มีสันติสุข มีแต่ใส่หน้ากากเข้าหากัน มีแต่แสดงละคร ความรักจอมปลอม คืออิจฉากันอยู่ แย่งชิงตำแหน่ง ทำดีเพื่ออวด ทำดีเพื่อหน้าตาชื่อเสียง แล้วเป็นความไม่จริงใจที่อยู่ร่วมกัน มันรู้สึกอบอ้าวแทนที่จะอบอุ่นใช่ไหมครับ
เพราะฉะนั้นเราเห็นว่าจุดอ่อนของคริสตจักรศาสนาทั่วไปทุกวันนี้เยอะมาก มันเยอะมากเหลือเกิน แล้วพูดง่ายๆ ก็คือเขากลายเป็นศาสนาคริสต์ไปแล้ว เขากลายพันธุ์แล้ว
เราแสวงหาคริสตจักรเที่ยงแท้ดีกว่า คริสตจักรที่เข้าใจเรื่องการฝ่ายวิญญาณ และก่อตั้งขึ้นเพื่อนมัสการพระเจ้าในวิญญาณ และในความจริง อันนี้จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า ถ้าหากว่ากลุ่มที่บ้านเมืองของเราที่ ที่เราอยู่ยังไม่มี เราอธิษฐานขอและรอ นมัสการร่วมกับพี่น้องในออนไลน์ก่อน รอ เนื่องจากว่าเมืองไทยเมืองลาวเพิ่งจะเริ่มต้นที่จะมีคริสตจักรเที่ยงแท้ ที่ต่างประเทศก็ใช้เวลากันนานหลายปีเหลือเกินนะครับ
อย่างน้อยเราขอบคุณพระเจ้าที่เราได้พบมานา เราขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รับพระคำพระเจ้าที่แปลถูก เราขอบคุณพระเจ้า ที่เราเข้าใจการกินและการดื่มพระเยซูเพื่อมีสันติสุข และเพื่อรับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณ และเราเริ่มเห็นนิสัยชีวิตนิสัยของพระเยซู พระเยซูเริ่มใช้ชีวิตของพระองค์ผ่านเราแล้ว เราสรรเสริญพระเจ้า
ถาม.
อย่างนี้เราไม่ต้องให้เขามาวางมือเราแล้วใช่ไหมคะอ.
ตอบ.
ถ้าเราป่วยเราไม่สบายเราให้เขาวางมือได้ เรื่องของประทาน ฤทธิ์เดช ฤทธิ์อำนาจทั้งหลายพระวิญาณบริสุทธิ์ทำงานในคริสตจักรทั่วไปก็มี ถ้ามีคริสตจักรไหนที่เป็นศาสนาคริสต์ หรือเป็นคริสตจักรศาสนา ถ้าหากว่าเขานมัสการพระเจ้า เขาวางมือ เขาใช้ฤทธิ์เดช เขาใช้ของประทาน เขามีนะครับพระเจ้าไม่ได้ห้ามเขานะครับ พระเจ้าทำงาน เมื่อมีความเชื่ออยู่ที่ไหน พระเจ้าก็ทำงานอยู่ที่นั่น เมื่อมีบุตรพระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้าก็ทำงานอยู่ที่นั่น เพียงแต่ว่าพระเจ้าทำงานไม่ได้เต็มที่ เข้าใจกันนะครับ
คือคริสตจักรทั่วไปหลายคริสตจักรก็มีของประทาน เรื่องการประกาศเขาประกาศได้ รับใช้ได้ วางมือได้ รักษาโรคไล่ผีได้ เราเห็นกันนะครับ แต่จุดอ่อนก็คือเขาไม่มีพระคริสต์อยู่ในเขาและทำกิจอยู่ ดำเนินชีวิตแทนเขาอยู่ เพราะฉะนั้นตอนที่พระเยซูจะตัดสินคริสเตียน พระเยซูพูดว่าอย่างไรกับเขาจำกันได้ไหม (เราไม่รู้จักเจ้า เพราะว่าเจ้าไม่รู้จักเรา) รู้จักก็คือคุ้นเคยสนิท ก็คือพูดคุยบอกรักใกล้ชิดกัน (เราไม่รู้จักเจ้า เจ้าไม่รู้จักเรานะครับ)
ให้เขาวางมือได้ครับถ้าเราป่วยเราไม่สบาย และเราให้พี่น้องกลุ่มมานาอธิษฐานอันนี้จะดีกว่า พระเจ้าทำงานมากกว่า เราเห็นหลายคนที่ป่วยที่ไม่สบายที่มีปัญหาเรื่องอะไรมากมายเสนอให้พี่น้องพวกเราอธิษฐานเผื่อ ผมเห็นว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานได้เยอะมาก เราขอบคุณพระเจ้า
แต่ถ้าว่าอยากจะขอกำลังเสริมจากศาสนาคริสต์จากโบสถ์ทั่วไป กลุ่มไฟเขาเน้นเรื่องนี้ไปหาเขาได้ไม่เป็นไรครับ ไม่ผิดครับ เพียงแต่ว่าอย่าไปหลงใหลฤทธิ์เดช อย่าหลงใหลใส่ใจเรื่องการอัศจรรย์มากเกินไป อันนี้ผิดเป้าหมายแล้ว ผิดประเด็นแล้วครับ พระเยซูตรัสว่ายังไง อย่าตื่นเต้นอย่าดีใจเมื่อเห็นคนรับเชื่อเมื่อเห็นการอัศจรรย์เมื่อเห็นการรักษาโรค แต่จงตื่นเต้นดีใจเมื่อท่านมีชื่อที่บันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิต
ถาม.
อยากรู้ว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ถูกต้องหรือเปล่าค่ะ ตั้งแต่ยังไม่รับมานาจนถึงปัจจุบันนี้ก็มีความรู้สึก ว่าเวลาปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า คือไม่อยากได้รางวัลอะไรจากพระเจ้าเลยไม่ได้มีแบบว่าต้องรับใช้พระเจ้าเพราะอยากหวังนู่นหวังนี่อยากได้พระพร คือเรารับใช้เพราะเรารักพระเจ้า รักผู้คน ความรู้สึกจริงๆ มันเป็นแบบนั้น พอมาฟังมานาก็คือแบบว่าอาจารย์แบ่งปันว่าเราจะได้รับรางวัลจากพระเจ้าจะได้ปกครองเมืองนู้นเมืองนั้น แต่ในใจของดิฉันมันไม่รู้สึกอยากได้อะไรเลย คือมันแบบว่าแค่รักพระเจ้าแค่นั้นเอง เราทำเพราะเรารัก มันเป็นความรู้สึกที่แบบผิดปกติหรือเปล่าค่ะหรือว่าผิดพระคัมภีร์ไหมค่ะแบบนี้
ตอบ.
เป็นสิ่งที่ดีงามมากครับ คือพระเจ้าปลูกฝังหัวใจความคิดนี้ไว้ในชีวิตของเรานานมาแล้วนะครับ คือหลายคนได้รับสิ่งนี้ คือเราไม่ต้องการอะไร เราไม่หวังอะไร เรารับใช้พระเจ้าเพราะว่ารักพระเจ้า อันนี้เป็นสิ่งที่เราขอบคุณพระเยซูสรรเสริญพระเยซูครับ
เพียงแต่ว่าอย่าลืมนะครับ พระเยซูรู้ดีว่าถึงแม้ว่าหลายคนจะไม่ต้องการอะไร แต่พระเยซูต้องยืนยัน ต้องบอกเพื่อให้เราเข้าใจ เพื่อความยุติธรรมชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยใช้ใคร ไม่เคยให้ใครทำงานฟรีๆ นะครับ
ทุกสิ่งที่เราทำพระเจ้าให้ แล้วให้ไม่เหมือนมนุษย์ให้ด้วยนะ พระเจ้าให้เยอะมาก เท่าไหร่ครับ ? ร้อยเท่า เรารู้ดีนะครับ ไม่เป็นไรเราไม่หวังอะไรไม่เป็นไรเราไม่ต้องการอะไรเพราะว่าเรารักพระเจ้า แต่พระเจ้าบอกว่าคือเราจะให้ไง เราจะให้ เราไม่เคยใช้ใครฟรีๆ พระเยซูยืนยัน พระเยซูย้ำบ่อยมาก ก็คือคนนี้จะได้ สิบเท่า ร้อยเท่า จะได้ตำแหน่งตรงนี้ ผมเองก็ย้ำเหมือนกันคือเราทำหน้าที่บอกพี่น้องว่าพระเจ้าไม่ได้ใช้เราฟรีๆ
คือรู้ รู้ว่าเราไม่ต้องการอะไร สำหรับพวกเรา เรามีหัวใจบริสุทธิ์ เราบอกพี่น้องนะครับว่าพระเจ้าจะให้ตรงนี้ตรงนั้นไม่ใช่การล่อลวงไม่ใช่การหลอกล่อ หรือล่อให้เราทำงานเพื่อพระเจ้าไม่นะครับ อันนี้เป็นการบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้ชอบธรรมเที่ยงธรรมและพระองค์ยุติธรรมไม่ใช้ใครฟรีๆ
แต่แตกต่างจากคริสตจักรทั่วไปทุกวันนี้ที่หลายโบสถ์ที่พยายามหลอกล่อให้เราถวายเยอะๆ คือใช้ทุกวิธี วิธีรับพระพรเยอะแยะถ้าเราถวาย รับใช้มากๆ จะได้ตำแหน่งสูง คือเราไม่พูดแบบนี้ครับ
เรามีหัวใจบริสุทธิ์ เเล้วก็เราบอกพี่น้องไปว่าพระเยซูก็ยังบอก เราก็ต้องพูดเพื่อแสดงถึงความยุติธรรมของพระเจ้าความชอบธรรมของพระเจ้า
สรุปง่ายๆ ก็คือพระองค์ไม่ต้องการใช้ใครฟรีๆ แล้วค่าตอบแทนไม่เหมือนมนุษย์ให้ บางคนทำงานแทบตายเงินเดือนได้นิดเดียว แล้วยังถูกตัดเงินเดือนด้วยใช่ไหม. แต่พระเจ้านะครับ พระเจ้าของเราให้ร้อยเท่า เอเมน
แล้วถึงวันสุดท้ายที่พระองค์จะแจกรางวัล เราไม่อยากได้พระองค์ก็ต้องให้ เราบอกว่าไม่เอาๆ คือต้องเอานะครับคือต้องเอานั่นแหละ ปากบอกว่าตอนที่ยืนอยู่ที่พระบัลลังก์ของพระเจ้าที่อยู่ตอนการแจกรางวัล เราบอกว่าไม่เอาๆ แต่อยู่ในมือของเรามันมีรางวัลแล้ว มีมงกุฎแล้ว เอเมน