ถ้าหากจงใจทำบาป เครื่องถวายบูชาจะไม่เหลืออยู่อีกเลย คืออะไรกันแน่
ในฮีบรูบทที่ 10:26 เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีกเครื่องบูชาไถ่บาปก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย
บางฉบับนะครับเขียนว่า เมื่อเราได้รับรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำบาป หรือว่าถ้าเรายังจงใจทำบาป เครื่องบูชาไถ่บาปก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย
หมายความว่ายังไง พี่น้องคริสเตียนบางท่านเข้าใจผิดคิดว่าพระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคริสเตียนที่ทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก และจะไม่มีการยกโทษบาปให้ อันนั้นเป็นการเข้าใจผิดมากครับ
สำหรับพระคัมภีร์ฮีบรู หนังสือฮีบรูเขียนเพื่อคนฮีบรู คนฮีบรูก็คือคนยิว ชาวยิวเชื้อชาติเผ่าพันธุ์เดิมของเขา เขามาจากเผ่าฮีบรูนะครับ ซึ่งชาวยิวที่เป็นฮีบรูเมื่อมาเป็นคริสเตียน เขาเกิดมีความสงสัย กลัว กังวลว่าถ้าเชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้นจะรอดไหม เพราะว่าศาสนายิวมีมานานแสนนานแล้ว แต่จู่ๆ มีการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ ความรอดที่ได้มาโดยทางการเชื่อในพระเยซู โดยการไถ่ของพระเยซูคริสต์
เพราะฉะนั้นแล้วชาวยิวที่กลับใจเป็นคริสเตียนเชื่อพระเยซู ก็กังวลกลัวว่าจะไม่รอด และอาจจะคิดกลับไปนับถือศาสนายิวเหมือนเดิม
แต่ผู้เขียนหนังสือฮีบรูหรือพระคัมภีร์ฮีบรู เขียนเพื่อเตือนคริสเตียนชาวยิว เมื่อเราได้รู้เรื่องความจริงแล้ว ในข้อที่ 26 นะครับ หมายถึงได้รู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ เรื่องความรอด เรื่องการไถ่บาปผ่านทางพระโลหิตของพระเยซู การตายและการเป็นขึ้นมาจากความตาย ถ้าหากชาวยิวได้รู้เรื่องความจริงนี้ และยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา แต่ยังขืนทำผิดอีก ก็หมายความว่า ยังขืนกลับไปนะครับ กลับไปนับถือศาสนายิวเหมือนเดิม อันนี้เรียกว่าทำผิดหรือทำบาป
อีกครั้ง การทำบาปการทำผิด ไม่ได้หมายความว่าโกหก โกรธ กิเลสตัณหาโลภโกรธหลง ไม่ครับ อันนั้นเป็นบาปชนิดหนึ่ง บาปมีหลายชนิดนะครับ และการที่กระทำบาปอีกชนิดหนึ่ง ก็คือการที่ไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หรือไม่เดินตามแผนการงานบริหารของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้ายกเลิกยุคเดิม เข้าสู่ยุคใหม่ พระเจ้ายกเลิกพันธสัญญาเดิม ก่อตั้งพันธสัญญาใหม่ เราคริสเตียนก็ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่และพันธสัญญาใหม่ รักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู และพระเยซูทำแทนเรา นี่คือแผนการงานบริหารของพระเจ้า
แต่ปรากฏว่าคริสเตียนยิวเหล่านี้กลัว ก็เลยเกิดสงสัยและข้องใจ เพราะฉะนั้นผู้เขียนนะครับต้องการหนุนใจและเตือนว่า ถ้ากลับไปนับถือศาสนาเดิม เครื่องถวายบูชาไถ่บาปก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย ซึ่งเราจะเห็นนะครับว่าพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายตั้งแต่ปี ค.ศ 70 แล้ว และนี่คือที่มาของพระคัมภีร์ฮีบรูบทที่ 10:26 และด้วยเหตุนี้ฮีบรูบทที่ 10:26 ใช้ไม่ได้กับคริสเตียนครับ
คริสเตียนนะครับ ถ้าหากเราทำบาปพระเจ้าก็ยกโทษให้เรา กิเลสตัณหาโลภโกรธหลงทั้งหลาย พระเจ้ายกโทษให้เราโดยทางพระโลหิต
และเราจะดูข้อที่ 29 ด้วยกันนะครับ ก็คือ “ท่านทั้งหลายคิดดูซิว่าคนที่เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า และดูหมิ่นพระโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งชั่วช้าเป็นสิ่งไม่ดี” ก็คือการที่ยิวเมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว ได้รับรู้เรื่องความจริงแล้ว ถ้าหากกลับไปอยู่ในศาสนาเดิมศาสนายิว คือไม่ยอมรับพระเยซูอีกต่อไป ก็เหมือนกับการที่ได้เหยียบย่ำพระบุตรของพระเจ้า ดูหมิ่นพระโลหิตของพระเยซู เป็นพระโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงตั้งไว้เพื่อชำระให้ทุกคนที่เชื่อกลายเป็นคนบริสุทธิ์
ถ้าหากเขาเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีนะครับ เป็นสิ่งที่ชั่วช้า เขาประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงพระคุณ ควรจะต้องถูกลงโทษนะครับ เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าการที่อยู่ในพันธสัญญาเดิมของคุณยิว คือการที่ถูกสาปแช่งลงโทษเพราะว่าพระเจ้ายกเลิกไปแล้ว
เพราะฉะนั้นแผนการงานบริหารของพระเจ้าอยู่ในยุคใหม่ ยุคพระคุณ ก็คือการที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่ เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า และเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ เพื่อเป็นการใช้หนี้บาปของเรา เป็นการชำระให้บริสุทธิ์ ทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ได้รับการชำระโดยพระโลหิต ได้เป็นคนบริสุทธิ์ ชอบธรรมแล้วต่อพระพักตร์พระเจ้าทุกวันทุกเวลานาที เราเป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์แล้ว (ฮบ 10:10; โรม 5:1, 19-21; 2 คร 5:17)
สำหรับพี่น้องที่เข้าใจผิดนะครับ ที่คิดว่า บาปที่พระเจ้ายกโทษให้ไม่ได้ ก็คือบาปที่หมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือว่าดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ การดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์คือเป็นบาปของคนที่ไม่เชื่อครับ การดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือการไม่ต้อนรับพระเยซู
การงานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำทุกวันนี้ ก็คือนำข่าวดีเรื่องการตายและการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูสองพันปีก่อน และการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทุกวันนี้ พระองค์ทรงกระทำต่อมนุษย์ทั้งหลาย และถ้าหากว่าใครไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือการที่เขาได้ดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง
ซึ่งคริสเตียนเราจะไม่ดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอันขาด คำว่า ดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในที่นี้ ก็คือ Blasphemy ก็คือดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม เหยียบย่ำ ไม่นับถือ ไม่เคารพ ไม่ยอมรับโดยเด็ดขาด หมิ่นประมาท ซึ่งเป็นการลบหลู่พระวิญญาณบริสุทธิ์ครับผม
ส่วนคริสเตียนนะครับ ทำ 2 สิ่ง ในชีวิตประจำวันของเขา ก็คือ 1. ดับพระวิญญาณ และ 2. ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย
การดับพระวิญญาณ ก็คือการที่เราไม่ร้อนรน ไม่กระตือรือร้น ไม่รับการเผาไหม้จากพระวิญญาณที่อยู่ภายใน โรมบทที่ 12:11 คือจงรับการเผาไหม้ในวิญญาณของท่าน ในพระคัมภีร์ข้อนี้ผู้ที่เผาไหม้ในวิญญาณของเรา ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่ในวิญญาณของเรา
ซึ่งเมื่อเรารับการเผาไหม้ เรากระตือรือร้น "การรับการเผาไหม้" ก็คือการสนิท การพูดคุย การสนทนา การยิ้ม การสรรเสริญพระเจ้า การร้องออกพระนามพระองค์ การใช้คำว่า เอเมน เอเมน ซึ่งเป็นพระคริสต์ พระคริสต์พระเยซู ก็คือพระเอเมน (วว 3:14)
เมื่อไหร่ที่เราพูดคำว่าทเอเมน สรรเสริญพระบิดา สรรเสริญพระเจ้า สรรเสริญพระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ ข้ารักพระองค์ คำเหล่านี้นะครับ เป็นคำที่เราจะได้รับการกระตุ้น ได้รับการเผาไหม้ในวิญญาณของเรา เพียงแต่เราเชื่อว่า เรากำลังรับการเผาไหม้ในวิญญาณ เราก็จะมีอาการตื่นเต้น กระตือรือร้น ร้อนร้อนรน ชื่นชมยินดี มีสันติสุข มีพลัง มีกฎแห่งพระวิญญาณและกฎแห่งชีวิต เคลื่อนไหวอยู่ในเรา
และการดับพระวิญญาณ พูดอีกแง่หนึ่งก็คือการที่เราขี้เกียจ ไม่ทำอะไร ไม่ออกไปประกาศ ไม่อ่านพระคัมภีร์ ไม่อธิษฐาน ไม่นมัสการพระเจ้า คือเป็นคริสเตียนที่เป็นอุ่นๆ นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการ จะร้อนก็ร้อน จะเข้าใกล้พระเจ้าก็เข้าใกล้ จะเย็นก็เย็น จะออกไปเลยก็ออกไป พระเจ้าไม่ได้ไล่นะครับ แต่ความหมายที่แท้จริง ก็คือพระเจ้าต้องการให้เราเข้ามาใกล้ๆ คือการรับการเผาไหม้ไม่ดับพระวิญญาณบริสุทธิ์
และการทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย ก็คือการทำบาป กิเลสตัณหาโลภโกรธหลง การใช้ชีวิตอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ไม่สนิทกับพระเจ้า และปักใจอยู่ในฝ่ายเนื้อหนังมากกว่าในฝ่ายพระวิญญาณ
สำหรับบทเรียน 001 ถ้าจะพูดให้ครบแล้ว ก็คือการยกโทษบาปของพระเจ้า พระเจ้ายกโทษบาปให้เราเนี่ย ก็คือบาปทุกชนิด ไม่มีบาปไหนที่พระเจ้าไม่ยอมยกโทษให้เรา ซึ่งบาปทุกชนิด ในที่นี้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า every sin ก็คือบาปทุกชนิด 1 ยน 1:9 กล่าวถึงบาปทุกชนิด ไม่มีแม้แต่บาปเดียวที่พระเจ้าไม่ยกให้เรา
และถามว่าทำไมพระเจ้ายกโทษให้เรา สาเหตุไม่ใช่เพราะว่าเราน่ารัก เพราะว่าเรามีดีอะไร ไม่ครับ สาเหตุที่พระเจ้ายกโทษให้เรา เหตุเพราะว่าพระโลหิตของพระเยซู พระเยซูจ่ายแล้วโดยพระโลหิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ คุณค่าของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์มีคุณค่ามากมายที่พระเจ้าสามารถรับได้ ให้เป็นค่าไถ่บาปของพวกเรา
และการยกโทษบาปของพระเจ้า ประการต่อมา ก็คือ เป็น System เป็นระบบ
เป็นระบบ คืออะไร ก็คือเมื่อมีการสารภาพบาปเมื่อไหร่ ก็มีการยกโทษตามมา เราไม่ต้องรอว่าพระเจ้าจะยกโทษให้เราหรือไม่ ไม่ต้องรอให้มีอาการที่ดีขึ้น ไม่ต้องรอให้มีสันติสุข หรือได้สัมผัสพระเจ้า ไม่ครับ การสารภาพอยู่ที่ไหนการยกโทษก็อยู่ที่นั่น เมื่อเราสารภาพจบ การสารภาพเสร็จสิ้นลง เราก็ขอบพระคุณทันที
เพราะว่า อีกครั้งนะครับการสารภาพ การยกโทษ เป็นระบบ เป็น System ที่พระเจ้าก่อตั้งไว้แล้ว ฮีบรูบทที่ 9:12 พระเยซูคริสต์นำพระโลหิตของพระองค์ขึ้นไปฟ้าสวรรค์ เข้าไปในพระวิหารชั้นในสุด เข้าไปถวายแด่พระบิดา และพระเจ้าตั้งพระโลหิตของพระเยซูเป็นเครื่องไถ่บาปนิรันดร์ ไม่ว่าจะเป็นบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคต พระเจ้าก็จะยกโทษให้เรา
และการยกโทษบาปของพระเจ้า เพื่อให้เราได้เข้ามารับ สันติสุข อยู่ในความสงบสุข เป็นมิตรเป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้า ไม่ต้องกลัวพระเจ้าอีก แล้วพระเจ้าเข้าใจเราว่าเราป่วย เยเรมีย์บทที่ 17:9 จิตใจของมนุษย์ป่วย ทุกคนป่วย ข้างนอกจะดูดีมากมายแค่ไหน แต่ข้างในที่แท้จริงแล้ว พระเจ้ามองทุกคนเนี่ยเราป่วย
และพระเจ้านะครับ ประทานจิตใจใหม่ให้เราแล้ว เพียงแต่ตอนนี้พระเจ้ากำลังทำงาน ต้องการทำงานเพื่อเปิดตาเรา ให้เราได้พบความจริง คือเรามีจิตใจใหม่ เราเป็นคนใหม่ คนที่ไม่ป่วยเนี่ยอยู่ในเราแล้ว (อสค 36:26-27; โรม 6:4)
การที่พระเจ้าจะเปิดตาเราได้ ทำงานในชีวิตของเราได้ ก็คือการที่เราอยู่ในพระคริสต์ สนิทในพระองค์ และสิ่งที่เราควรทำประจำ ก็คือการสารภาพบาป ถ้าหากเราไม่สารภาพ ซาตานก็แตะต้องเรา ซาตานก็ดึงเราออกไปจากพระเจ้าได้ และถ้าหากเราสารภาพพระเจ้าก็แตะต้องเราได้และพระเจ้าก็ทำงานในชีวิตของเราได้ และการเติบโต การเปิดตา ก็จะเป็นไปตามฤดูกาลตามเวลาของพระเจ้า
สำหรับการที่เราทำผิดต่อพระเจ้า พระเจ้ายกโทษให้เราแน่นอน แต่ถ้าสมมุติว่ามีบุคคลที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่าง: คือเราทำผิดกับใครอีกคนหนึ่ง หรือเราโกรธแค้นเคือง ด่าว่าเขา แล้วปรากฏว่าเราสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้ายกโทษนะครับ แต่เราจะต้องไปจ่ายหนี้ คือขอโทษคนนั้น หรือจ่ายค่าเสียหายถ้าหากเราทำอะไรผิด หรือทำอะไรให้เขารับความเสียหาย เราก็ต้องจ่ายนะครับ
แต่ด้วยความเมตตา ด้วยความรักของพระเจ้า พระเจ้าอาจจะยื่นมือมาช่วยได้ ถ้าหากเราวิงวอน ทูลขอ ขอการช่วยเหลือขอความเมตตาจากพระองค์ พระองค์ก็จะทรงทำให้หนักกลายเป็นเบา ช่วยให้ยากกลายเป็นง่าย ก็เป็นได้ แต่สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับความเมตตา ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระเจ้า
และการยกโทษบาปของพระเจ้านี้ คือไม่เกี่ยวอะไรกับความรอดในวันสุดท้าย เพียงแต่เราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับความรอดแล้ว และเราจะไม่สูญเสียความรอดอีกเลย
การสารภาพบาปในแต่ละวัน เป็นการที่เราจะสนิทอยู่ในพระองค์ เป็นการที่เรากล้าเข้ามาหาพระองค์ เป็นการที่เราอยู่ในสันติ ความสงบสุข กับพระเจ้าในแต่ละวัน เป็นการที่ไม่กลัวพระเจ้า เราทำผิดร้อยครั้งพันครั้งเราก็สารภาพ สารภาพ สารภาพ พระเยซูสัญญาว่าจะยกโทษให้ 70×7 เพราะว่าพระเยซูสอนเปโตรได้ พระเยซูก็ต้องทำได้ และนี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ต้องการที่จะยกโทษให้เรา
เพราะฉะนั้นเมื่อเราทำบาปเนี้ยอย่ากลัว บอกว่า “พระเจ้าไม่เคยยอมแพ้ พระเจ้าต่อสู้ พระเจ้าทำงานหนักในชีวิตข้า ข้าพระองค์ก็จะต่อสู้เหมือนกัน” นี่คือคำที่เราควรใช้นะครับ คือ “ถ้าพระเจ้าไม่ยอมแพ้ ข้าพระองค์ก็จะสู้เหมือนกัน ข้าพระองค์ก็จะร่วมกับพระองค์ และสู้ ให้พระองค์ทำงานในชีวิตของข้าพระองค์” โดยที่เมื่อเราทำผิดบาปเราสารภาพทันที
สำหรับเรื่องการสารภาพเพื่อการรับสุขในชีวิตนี้ เพื่อการเข้าใกล้พระเจ้า เพื่อพระเจ้าแต่ต้องเราได้ เพื่อการสนิทในพระองค์ แต่ไม่เกี่ยวกับความรอดในวันสุดท้าย แต่เราจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่อง ยุคหน้า ถ้าหากเราเปลี่ยนไม่ทัน พระเจ้าแก้ไขชีวิตของเรา พระเจ้าเปิดตาเราไม่ทัน เราไม่ดำเนินชีวิตใหม่ในพระคริสต์ พระคริสต์ไม่ได้เป็นคนทำแทนเราในแต่ละวัน ไม่มีผลของพระวิญญาณ เราก็จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในราชอาณาจักรสวรรค์
ซึ่งการยกโทษของพระเจ้าในแต่ละวัน เพื่อวันนี้ เพื่อชีวิตนี้ เรามีสันติสุข มีความสงบสุข เป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้า ซาตานแตะต้องเราไม่ได้ เราเติบโตได้ตามเวลาฤดูกาล
แต่ถ้าหากเราเติบโตไม่ทัน เราก็จะมีปัญหาในยุคหน้าครับผม เราจะไม่มีโอกาสเข้าไปในอาณาจักร
และถามว่าสำคัญไหมจำเป็นไหม ที่เราจะต้องสารภาพบาป จำเป็นและสำคัญมากครับ เนื่องจากว่ามีกลุ่มบางกลุ่มทุกวันนี้ที่สอนว่า ไม่ควรจะสารภาพบาปเพราะว่าเรา เป็นคนชอบธรรมแล้วเป็นคนดีแล้วทุกวัน ไม่ครับผม
ลูกาบทที่ 11:4 พระเยซูสอนให้พวกเรา อธิษฐานสารภาพบาป และมัทธิวบทที่ 6:12 และ 1 ยอห์น 1:9
และอีกครั้งพี่น้องบางท่านบอกว่า หนังสือ 1 ยอห์น 2 ยอห์น 3 ยอห์น ไม่ได้เขียนเพื่อคริสเตียน แต่ถ้าเราจะดูดีๆ แล้วนะครับ หนังสือ 1 ยอห์น 2 ยอห์น 3 ยอห์นนี้เขียนเพื่อคริสเตียน ถามว่าอยู่ที่ไหน ใน 1 ยอห์น 5:13 ครับ
“1 ยอห์น 5:13 ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าได้เขียนมาถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ และเพื่อท่านจะได้เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า”