* เราจะนั่งลักษณะเป็นวงกลม ให้ทุกคนได้เห็นหน้ากันหมด *
- อธิษฐาน ขอบพระคุณ ยกย่อง สรรเสริญพระเจ้าร่วมกัน
* พระเยซูพวกเรารักพระองค์...เอเมน
* ขอบพระคุุณพระเยซูที่เป็นชีวิตของพวกเรา...เอเมน
* เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณของพวกเรา...เอเมน
* เป็นน้ำแห่งชีวิตของพวกเรา...เอเมน
* เป็นขนมปังแห่งชีวิตของพวกเรา…เอเมน
* เป็นสันติสุขของพวกเรา...เอเมน
* เป็นพระบิดาของพวกเรา...เอเมน
* ขอบพระคุณพระเยซูที่อยู่ท่ามกลางพวกเราในเวลานี้…เอเมน
* พวกเรารักพระองค์พระเยซู...เอเมน
* เช้าวันนี้พวกเรานำตัวใหม่มาถวายแด่พระองค์...เอเมน
* และถวายพระเยซูคริสต์เป็นเครื่องถวายอันหอมหวนแด่พระองค์...เอเมน
* เรามานมัสการยกย่องสรรเสริญแด่พระองค์...เอเมน
* เรามีหัวใจบริสุทธิ์ และหัวใจเดียวมาถวายแด่พระองค์...เอเมน
* พวกเรารักพระองค์พระเยซู...เอเมน
พี่น้องทุกๆ คนมีโอกาสได้อธิษฐาน ขอบคุณพระเจ้าร่วมกัน เราไม่รีบ อธิษฐานทีละคน ทุกๆ คนมีโอกาสได้อธิษฐานได้พูดไม่มากก็น้อย เมื่อทุกคนอธิษฐานเสร็จ ทุกคนเงียบสักระยะ เมื่อมีคนหนึ่งพูดว่า เอเมน ก็เป็นสัญญาณว่า เราอธิษฐานกันเสร็จแล้ว
- ร้องเพลงนมัสการ เมื่อเพลงจบลง เราร่วมกันปราศรัยด้วยบทเพลงสดุดี
* คำอธิษฐานมหาสนิท
พระบิดาขอบพระคุณพระองค์สำหรับพันธสัญญาใหม่
พระองค์ทรงตั้งพระโลหิตใว้ เพื่อเป็นพันธสัญญาให้พวกข้าพระองค์เข้าสู่พระคุณของพระองค์ และขอบพระคุณที่พระองค์ทรงแตกหักอยู่ที่กางเขนเพื่อพวกเราจะเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์
ขอบพระคุณที่พระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลเพื่อให้ข้าพองค์ทั้งหลายได้รับการยกโทษบาป และเป็นการยกโทษบาปชั่วนิรันดร์
ขอบพระคุณพระเยซู ที่พวกเราจะจดจำว่า พระองค์ทรงอยู่ในพวกเราเสมอ
ขอบพระคุณพระเยซูที่อยู่ท่ามกลางพวกเราในวันนี้
สรรเสริญพระเยซู สรรเสริญพระบิดา และสรรเสริญพระวิญญาณบริสุทธิ์...เอเมน
* แจกขนมปัง น้ำองุ่น อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า ร่วมกันร้องเพลงขณะที่พี่น้องกินและดื่ม
- แบ่งปันเผยพระวจนะ เพื่อเสริมสร้างพระกายพระคริสต์
เผยพระวจนะหลักลุกขึ้นพูด 15-20 นาที เผยพระวจนะหลักพูดเสร็จ และพี่น้องคนอื่นลุกขึ้นพูดเสริม แบ่งปันเพิ่มเติมได้ (แต่ให้พูดในเรื่องเดียวกันในหัวข้อที่เผยพระวจนะหลักแบ่งปันในวันนั้น) ใครจะลุกขึ้นพูดแบ่งปันก็ได้ เป็นพยานได้ คนละ 5 นาทีหรือไม่เกิน 10 นาที แต่ลุกขึ้นพูดทีละคน และไม่มีอธิษฐานเปิดและอธิษฐานปิด ใครไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ก็ลุกขึ้น บอกรักพระเยซู ทุกคนก็ เอเมน นี่คือการเผยพระวจนะ และทำทุกสิ่งร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
* พี่น้องทุกคนที่เผย หรือเป็นพยาน ควรลุกยืนขึ้น เพื่อให้ทุกคนเห็นและจดจ่อ (focus) ไปที่เขา
* ไม่พูดนานหรือเยอะเกินไป พูดน้อยแต่มีน้ำหนัก มีความหมาย และพี่น้องได้รับการเสริมสร้าง
* เราควรอยู่ในห้องประชุมจนกว่าการประชุมจะเสร็จสิ้นลง
* เราเน้นทำทุกสิ่งร่วมกัน ด้วยความรักความอบอุ่น เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
* ถ้าเราเหนื่อยอยากพักผ่อนอยากจะกลับบ้านก่อน หรือใครจะอยู่ต่อจนถึงบ่าย ใครจะกลับก่อนก็ได้ไม่เป็นไร
* การตักเตือนกัน เราตักเตือนกันด้วยความรักและความอบอุ่น
* เราทำทุกสิ่งเพื่อโชว์อวดพระเจ้า เราทำหน้าที่ปุโรหิตหลวงของพระเจ้าให้ดีที่สุด
* รักษาห้องประชุมให้อยู่ในความสงบ
* อยากอธิษฐานหรือนมัสการก่อนก็ได้ ให้พระวิญญาณในแต่ละคริสตจักรนั้นๆเป็นผู้ขับเคลื่อน
* เราทำทุกสิ่งทุกอย่างให้คล้าย เหมือนในหนังสือกิจการที่เหล่าสาวกทำ
เราทุกคนเป็นพี่น้องกัน พี่น้องทุกคนคือส่วนหนึ่งของพระกายของพระคริสต์ เราคืออวัยวะของร่างกายเดียวกัน เราต้องการกันและกัน และขาดกันไม่ได้ พี่น้องทุกคนล้วนมีความสำคัญต่อพระกายของพระคริสต์ ขอให้ท่านเชื่อว่า ท่านคืออวัยวะส่วนหนึ่งของพระกายของพระคริสต์
ขอให้พี่น้องทุกท่านอ่านและทำความเข้าใจ และเตรียมตัวเตรียมหัวใจของพี่น้องให้พร้อมที่จะมาร่วมนมัสการยกย่องสรรเสริญพระบิดาร่วมกัน เสริมสร้างพระกายและเป็นพระกายวิญญาณเที่ยงแท้ของพระเยซู เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเป็นตามน้ำพระทัยของพระบิดา
ขอพระบิดาทรงขับเคลื่อนพระกายเที่ยงแท้ของพระองค์
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนพี่น้องคนอื่นๆ ขณะประชุมนมัสการ ขอความร่วมมือพี่น้องทุกท่าน งดใช้เครื่องมือสื่อสาร หรือปิดเสียงแจ้งเตือนไว้ก่อนการเข้าร่วมประชุม
* ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี *
* ขอให้ทุกท่านจำเริญขึ้นในพระคุณความรักของพระเจ้า เอเมน *
พระประสงค์หลักที่พระเจ้าก่อตั้งคริสตจักรในแต่ละท้องถิ่น แต่ละเมือง หรือแต่ละประเทศ ก็เพื่อให้คริสเตียนสำแดงชีวิตของพระเยซูให้โลกเห็น เพราะฉะนั้น เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่เราเป็นคริสตจักรที่จะสำแดงชีวิตของพระคริสต์ เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดา และเราสะสมบำเหน็จรางวัล
“คริสตจักร” คือกลุ่มคน (ภาษากรีก คือกลุ่มคนที่ออกมาจากที่ที่พวกเขาอยู่ เพื่อมารวมตัวกัน) คริสตจักรมีชีวิต มีขา และเดินได้ คริสตจักรไม่ใช่ตึก อาคาร หรือสถานที่ แต่เป็นกลุ่มคนที่พระเจ้าเรียกออกมา เพื่อสำแดงพระองค์ทั้งด้านชีวิตและฤทธิ์เดช
1. ความหมายในภาษากรีก
a. “คริสตจักร” คือ กลุ่มคน ให้เราอ่าน มธ 16:18 และใช้คำว่า “เอ-เกล-เซีย” ἐκκλησίαν (กลุ่มคน) แทนที่คำว่า “คริสตจักร” เราจะเห็นความหมายที่ชัดเจนกว่า
b. คริสตจักรไม่ใช่ตึก อาคาร สถานที่ บ้านเรือน หรือโบสถ์ แต่เป็น “กลุ่มคน”
เมื่อก่อนเราเข้าใจผิด คิดว่าคริสตจักรเป็นสถานที่ เป็นตึก หรือเป็นอาคาร แต่แท้ที่จริงแล้ว ถ้าเราเข้าใจคำนี้ก็จะง่าย คือคริสตจักรมีขา คริสตจักรคือพวกเรา คือกลุ่มคน ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่ห้องนี้ ไม่ใช่ตึก ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นกลุ่มคน หรือพวกเรานี่เอง
สมมติว่าตอนนี้เรานมัสการอยู่ที่นี่ คริสตจักรก็อยู่ที่นี่ ถ้าเราย้ายไปอยู่อีกห้องหนึ่ง คริสตจักรก็ตามไป ก็คือกลุ่มคนนี่แหละที่ตามไป เมื่อเราหิวข้าว เราก็ลงไปทานข้าวที่ชั้นล่าง ก็คือคริสตจักรไปทานข้าว
คริสตจักรเป็นกลุ่มคน มีชีวิต และเป็นบุคคล มาร่วมกันในพระนามพระเยซู เรียกว่า “คริสตจักร”
คริสตจักร คือกลุ่มคน คริสตจักรไม่ใช่ที่นั่น ที่นี่ หรือที่ที่เรานมัสการทุกวันนี้
คริสตจักร คือเอเกลเซียส “เอเกลเซียส” หรือ “เอเกลเซีย” ก็คือกลุ่มคน เราลองอ่านใน มธ 16:18 พระเยซูบอกว่า “บนศิลานี้เราจะสร้างกลุ่มคนของเรา” ไม่ใช่สร้างคริสตจักรที่เป็นตึก แต่พระเยซูจะสร้างกลุ่มคน
คริสตจักร คือผู้ที่ถูกเรียกออกมา ผู้ที่เรียกออกมาก็คือคน หรือผู้เชื่อทั้งหลาย
และเมื่อผู้เชื่อสองคนนี้ไปสามัคคีธรรมอีกที่หนึ่ง คริสตจักรก็อยู่ที่นั่นแล้ว
คริสตจักรคือกลุ่มคน กลุ่มคนร่วมกันสามัคคีธรรม และออกพระนามพระเยซูอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็คือคริสตจักร
มีบางคนบอกว่า “อ้าว แค่สองคนจะเป็นคริสตจักรได้เหรอ” พระเยซูบอกว่าเป็นได้ “ถ้าหากสองคนหรือมากกว่าสองอยู่ที่ไหนในนามของเรา เราก็อยู่ที่นั่น” สองคนร่วมกันอยู่ที่ไหน ก็คือคริสตจักรแล้ว
แล้วถามว่า จะเป็นไปได้ยังไง ไม่มีศิษยาภิบาล ไม่มีศาสนาจารย์ ไม่มีผู้นำ ไม่มี Elder ไม่มีผู้ปกครอง เป็นไปได้
การมีคริสตจักรด้วยการมีสองคน คือจุดเริ่มต้นเท่านั้น ก็แค่เริ่มต้น หลังจากนั้นเราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐ ต้องไปชวนคนมาเชื่อ และเมื่อมีคนเพิ่มขึ้นๆ ก็มีการพัฒนา ก็ต้องการผู้นำ ต้องการมีผู้ดูแลปกครอง เราก็ตั้งผู้หนึ่งขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ผู้หนึ่งเป็นผู้ประกาศ อีกผู้หนึ่งก็เป็นผู้ดูแล หรือเป็นศิษยาภิบาล แต่การเริ่มต้นของคริสตจักรจะต้องมีสอง สาม หรือสี่คนก่อน ไม่ใช่ว่าว่าต้องมีห้าคนก่อน หรือมีสิบคนก่อน
ขอย้ำอีกครั้งว่า คริสตจักรไม่ใช่ตึก อาคาร หรือบ้านเรือน แต่เป็นคนหรือกลุ่มคน
“คริสตจักร” ความหมายเดิม คำว่าคริสตจักร แปลได้ชัดอย่างเข้าใจง่ายในกลุ่มคนที่อยู่ในความเชื่ออื่นว่า “กลุ่มคน”
ἐκκλησία - เอเกลเซีย (G1577) คือกลุ่มคนที่ออกมาจากที่ที่ตนอยู่ เพื่อแยกออกมา กลุ่มไหนก็ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา การเมือง หรือธุรกิจการค้า ฯลฯ
ภาษาอังกฤษคือ “The Called Out One” ภาษากรีกคือ “เอเกลเซีย” มีความหมายว่า “บรรดาผู้ที่ถูกเรียกออกมา”
เป็นคำที่พระเยซูใช้ เพื่อเรียกสาวกทั้งหลายของพระองค์
การนมัสการ คือการกราบไหว้ บูชา เคารพยกย่อง สรรเสริญ เทิดทูน ถวายพระเกียรติพระเจ้า
นมัสการด้วยความเชื่อ เชื่อว่าเรากำลังสามัคคีธรรมกับพระเจ้าบนสวรรค์ทั้งสามพระภาคพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เราร้องเรียกพระนามของพระองค์ได้ พระเจ้าอยู่ในเรา อยู่กับเรา สรรเสริญยกย่องพระองค์ในเรา (ยน 14:20 ในวันนั้นท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และพวกท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน)
- มาด้วยจิตใจว่างเปล่า
- คือเราเชื่อว่าเรากำลังเป็นคนใหม่ เดินด้วยความเชื่อ ไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึก
- เราเชื่อว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของพระกายของพระเยซูคริสต์
- เราเชื่อว่าพระเยซูอยู่ที่นั่นเพื่อนำเรานมัสการพระบิดา
- เราร้องนมัสการ กล่าวยกย่องสรรเสริญ เราเชื่อ ระลึก ปักใจ จดจ่อ เราเชื่อว่าพระเจ้าที่อยู่ในเราทั้งสามพระภาคทรงรับฟังเราอยู่ตลอดเวลา
- เราเชื่อว่าพระวิญญาณสถิตอยู่ที่นั่น เราไม่ต้องอัญเชิญ
- เราเชื่อว่าพระวิญญาณกำลังเคลื่อนไหวทำงานเพราะเป็นหน้าที่ของพระองค์อยู่แล้ว เราไม่ต้องขอให้ทำงาน
- เราสามารถนมัสการในรถ ในบ้าน ทุกที่ทุกทางทุกเวลานาที ในวิญญาณ เราเกิดมาเพื่อนมัสการเราบังเกิดใหม่เพื่อการสรรเสริญยกย่องในวิญญาณไม่มีเวลาไม่มีกฎเกณฑ์
- ให้เราสารภาพบาปมาจากบ้าน เรามาหาพระเจ้า มาเพื่อความชื่นชมยินดี เราสามารถแบ่งปันได้ ถ้าพระเจ้าทรงนำเรา ศิษยาภิบาล อาจารย์ ผู้นำ มีสิทธิเท่าเทียมกัน เป็นพี่น้องกัน เรามีพี่ชายคนโตคือพระเยซูที่อยู่ในการนมัสการนั้น
- การได้สัมผัสหรือไม่ เราไม่ใส่ใจ แต่เรารู้ว่าพระเจ้าอยู่ในสถานที่นั้นกับเรา เราขอบพระคุณ เราใส่ใจที่การยกย่องสรรเสริญ ไม่เห็นอะไร ไม่รู้สึกอะไร ไม่สัมผัสอะไร ไม่สำคัญ แต่เราใส่ใจที่พระเยซูที่เป็นบุคคลและการยกย่องสรรเสริญมากกว่า
- เมื่อการนมัสการจบสิ้นลงเราขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงรับคำยกย่องสรรเสริญจากเราแล้ว ขอบพระคุณที่พระวิญญาณทำงานแล้ว บางครั้งเราไม่ได้สัมผัสอะไรเลย แต่เรารู้ว่าทรงทำงานแน่นอนเพราะเป็นหน้าที่ของพระวิญญาณอยู่แล้ว การทำงานนี้คือการก่อสร้างภายใน คือการทำงานอย่างต่อเนื่องในเราซึ่งเรามองไม่เห็น
- คริสเตียนฝ่ายวิญญาณหรือผู้ใหญ่ ในวิญญาณเขาจะไม่ตื่นเต้นอะไรกับการสัมผัสหรือเคลื่อนไหว เราถือว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องรองและไม่สำคัญเท่าการได้สนิทและบอกรักและติดอยู่กับตัวตนของพระเยซู
- เราไม่อาศัยอารมณ์ความรู้สึก และเพลงเพื่อกล่อมเราให้ใจอยากร้องไห้หรือยินดี แต่เอาวิญญาณนมัสการพระบิดา
- เรื่องเพลงและการสัมผัสทุกสิ่งให้เป็นเรื่องรอง เรื่องการยกย่องแสวงหาการเข้ามาใกล้และได้กอดพระเยซูเป็นเรื่องหลัก
- ขณะนมัสการร่วมกับพี่น้อง เราทำ แบบง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องมีกำหนดกฎเกณฑ์อะไรให้ยาก
เมื่อเราเห็นว่าเราทำท่าทีที่เหมาะสมและถวายเกียรติแด่พระเจ้าเราก็ทำ
ไม่ชูมือ ยกมือ ไม่ต้องวางมือกลางอก พี่น้องคนหนึ่งยืน เราก็จะยืนกับเขา นั่งก็นั่งกับเขา กิริยาก็เป็นตัวของเราเอง และอยู่ในความเรียบง่าย เรียบร้อย ร่วมกับพระกาย
การนมัสการพระบิดา เรานมัสการด้วยตัวใหม่ เรามาในฐานะของน้องๆ ของพระเยซู และมองทุกคนคือพระกายของพระเยซู เรามาเพื่อสรรเสริญยกย่องพระบิดาในวิญญาณและในความจริง ตามกำลังและความสะดวกของทุกคน ไม่ต้องฝืนใจบังคับกายให้คุกเข่านานๆ หรือยืนนานๆ จนเมื่อยมือเมื่อยเท้า เราไม่เน้นที่กฎเกณฑ์
---------
สมมุติในบ้านของเรามีสองห้องคือ
(1) ห้องจิตใจ เมื่อใจไม่นิ่ง ใจก็จะวอกแวกมองคนโน้นทีคนนี้ที มองดูการแต่งตัวอย่างไร ขับรถรุ่นไหน เกิดการตัดสิน กล่าวโทษ (โรม 12:2 อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม) ทุกวันนี้พี่น้องมาถึงคริสตจักร แต่มาไม่ถึงพระเจ้า
(2) ห้องวิญญาณ ในความจริงคือเราเป็นคนใหม่แล้วเราจะไม่ตัดสินไม่กล่าวโทษ พระเยซูนำเราในการนมัสการ วันอาทิตย์เป็นวันที่เราจะเฉลิมฉลองยกย่องสรรเสริญพระเยซู ถ้าไม่มีการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเท่ากับว่าเราไม่มีความหวัง
- สาวกใช้วันอาทิตย์ฉลองพระเยซูในคริสตจักรสมัยของกิจการวางแบบคริสตจักรไว้ได้อย่างถูกต้องแต่ทุกวันนี้มีการตีพระคำผิดหลายอย่างทำให้เรามาไม่ถึงพระเจ้าเพราะเรารู้มาผิดๆ
- การเตรียมเพลงเนื้อเพลงให้ตรวจดูว่าตัดสินคนอื่นไหม ว่าคนอื่นไหม สมควรไหม ให้เรามาถึงความเป็นหนึ่งเดียว ในการนมัสการ มาถึงความชื่นชมยินดี และมีส่วนในงานรับใช้ นำพี่น้องมาหาพระเยซู นำพระเยซูให้กับพี่น้อง นำความรักเข้ามาในคริสตจักร เราก็จะถูกเรียกว่าบุตรที่รักของพระเจ้า
- ทำยังไงก็ได้ แต่ไม่ให้คนอื่นมองเราว่าเด่นดังดีเกินใคร
----------
ยอห์น 4:23 แต่เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้วคือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดาในวิญญาณและความจริงเพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์
** เมื่อถึงยุคพระคุณ ผู้เชื่อทุกคนมีพระเจ้าทั้งสามพระภาคอยู่กับเขา เรือนของพระเจ้าคือวิญญาณของผู้เชื่อ พระเจ้าย้ายที่ประทับจากพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มมาอยู่ในเราแล้วเพราะฉะนั้นการนมัสการพระเจ้าจึงต้องนมัสการในวิญญาณและในความจริง ไม่ใช่ในสถานที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไป ที่ไหนก็ได้ที่มีผู้เชื่อ ที่นั่นเรานมัสการพระเจ้าได้
** ด้วยวิญญาณ คือคำแปลที่ผิด คำที่แปลถูกคือ ในวิญญาณ (in the Spirit) not “by the spirit” By the spirit คือ ด้วยวิญญาณ แต่ in the spirit คือในวิญญาณ
4:24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"
** เมื่อพระเจ้าทรงประทับอยู่ที่พระวิหาร ทรงประทับที่นั่นชั่วคราว จนกว่าเรือนที่แท้จริงของพระเจ้าคือผู้เชื่อจะถูกก่อสร้างสำเร็จ และเมื่อพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตายและมาจัดเตรียมบ้านเรือนของพระบิดา พระเจ้าจึงมีเรือนที่ถาวร และเราสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าหรือเข้าสนิทในพระเจ้าในวิญญาณได้ทุกวันและตลอดไปเป็นนิตย์
** เมื่อถึงโลกหน้า พระวิญญาณก็ยังอยู่กับเราและตลอดไปไม่มีวันพรากจากกันไปได้อีกเลย มธ 13:43 พระเยซูตรัสว่า คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะส่องแสงอยู่ในอาณาจักรพระบิดาของเขาดุจดวงอาทิตย์ใครมีหูจงฟังเถิด
** ส่องแสง ในที่นี้คือพระคริสต์ในเราเป็นผู้ส่องแสงผ่านชีวิตของเราเพราะว่าเราไม่มีแสงที่จะส่องได้
สิ่งที่ต้องระมัดระวังก่อนรับมหาสนิท (คริสเตียนรับมหาสนิทแบบไม่ครบ)
ผู้ที่จะรับมหาสนิทได้ต้องรับบัพติสมาแล้ว
- เรื่องของการกินขนมปังและการดื่มน้ำองุ่น (มหาสนิท) นั้นเป็นความหมายในฝ่ายวิญญาณอยู่แล้วในตัวเอง แต่ ในด้านการตีความหมายพระคัมภีร์นั้น เราไม่ตีความหมายอะไรอีก เพราะพระเยซูตรัสตรงไปตรงมา ว่า ขนมปังคือกายของพระองค์ และน้ำองุ่นจากถ้วยคือโลหิตของพระองค์ และจงทำเช่นนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงพระองค์ (จดจำพระองค์) ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า เรื่องนี้ไม่มีในหนังสือยอห์น ฉะนั้นในด้านการตีความพระคัมภีร์ จึงไม่ต้องตีความหมายในฝ่ายวิญญาณ
- มหาสนิท เราไม่ควรเรียกว่าพิธี เพราะคือการหักขนมปังและดื่มเหล้าองุ่นร่วมกันทุกครั้งที่เราร่วมสามัคคีธรรม
- การหักขนมปังเพื่อขอบพระคุณพระเยซูที่ทรงให้พระกายแตกหัก เพื่อเราจะเป็นหนึ่งเดียวในพระกายของพระองค์
- การกินขนมปังจากก้อนเดียวกัน คือเพื่อจะยอมพร้อมเต็มใจกลายเป็นหนึ่งในพระกายของพระคริสต์
- เพื่อเตือนใจ หนุนใจให้ทุกคนเดินในวิญญาณ
“Do this to remember me” จงกระทำสิ่งนี้เพื่อ จดจำ เรา (that I am in you and with you จดจำว่าพระคริสต์อยู่กับเราเสมอทุกเวลา)
- รับมหาสนิทด้วยการขอบพระคุณ
- เราไม่จดจำการตายของพระเยซู แต่เมื่อเรารับมหาสนิท เราประกาศการวายพระชนม์ของพระองค์จนกว่าพระคริสต์จะกลับมา
- เพื่อประกาศ/รอคอยการกลับมาของพระเยซู นี่คือความหวังใจของเรา
- การร่วมโต๊ะกับพระเยซู คือการแทนที่เทศกาลปัสกา (มธ 26)
- ขนมปังต้องหักจากขนมปังแผ่นเดียว ไม่ใช่แบบที่เราเคยทำกันในศาสนา ส่วนเหล้าองุ่นเราใช้น้ำองุ่นแทนทุกวันนี้ เราไม่ควรใช้เหล้าองุ่นจริงๆ เนื่องจากว่ามีแอลกอฮอลล์สูงมาก
-----
ผู้ที่จะรับมหาสนิทได้ต้องได้รับบัพติสมาแล้ว
เด็กๆ ที่ไปคริสตจักรด้วยประมาณ 4-5 ปี รับมหาสนิทได้ ถ้าเขารับบัพติศมาแล้วก็รับได้
แต่เราสอนเขาให้เข้าใจว่าคืออะไรเพื่ออะไร และต้องสารภาพบาปก่อนที่จะมาร่วมประชุมในวันนั้น
- การสารภาพบาปก่อนมาร่วม และสำรวจดูภายในจิตใจว่าฟ้องผิดหรือไม่ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อเราจะไม่ได้รับการตีสอนจากพระเจ้า (1 คร 11:30-34)
- พระเยซูตรัสว่า จงกระทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” "Do this to remember me" (ข้อ 25) เรามักจะคิดว่าคือการระลึกถึงการวายพระชนม์เพื่อไถ่บาปของเราที่กางเขนเท่านั้น แต่ความหมายที่แท้จริงคือเราระลึกถึงการทรงสิ้นพระชนม์และการสถิตอยู่ในเราของพระเยซูคริสต์ด้วย เพราะเรามักจะลืมว่าพระคริสต์อยู่ในเราอยู่กับเราทุกวันและทุกเวลา
- ชีวิตคริสเตียนที่แท้จริง และการรับมหาสนิทที่ครบถ้วนคือ เราดำเนินชีวิตและรับใช้ ในพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์และเพื่อพระคริสต์ อย่าลืมพระเยซูที่อยู่ในเรา
-----
คำอธิบาย 1 คร 11:27-30
- การรับมหาสนิท ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องเล่น
- ทุกครั้งที่มาประชุมร่วมกับพี่น้องในพระกาย เราต้องสำรวจดูจิตใจเราก่อนว่าฟ้องผิดหรือทำผิดอะไรหรือไม่ ถ้ามี เราสารภาพก่อนที่จะมาร่วมมหาสนิท (สารภาพที่บ้านก่อน)
- เมื่อสารภาพ เราขอบพระคุณทันทีเพราะเราได้รับการยกโทษบาปแล้ว จากนั้นก็นำพระคริสต์ที่เป็นพี่ชายคนโตของเราในเรามาร่วมชื่นชมยินดีกับพี่น้อง
- เราจะไม่ได้รับโทษภัยใดๆ ทั้งสิ้น
- ถ้าเราไม่สารภาพบาป ไม่ตรวจดูจิตใจว่าฟ้องผิดหรือทำบาป เรามารับมหาสนิทร่วมกับพี่น้อง เราจะรับการตีสอนและอาจถึงอ่อนแอ คือป่วยไข้หรือหลับไปก็ได้ (ตาย)
- พี่น้องผู้เชื่อมากมายถูกตีสอนลงโทษ เพราะไม่ได้ตรวจดูจิตใจ และคิดลบกับผู้อื่น เขาไม่สนใจเรื่องการแสวงหาการเปลี่ยนใหม่ของจิต เขาจึงรับการตีสอนอยู่เป็นเนืองๆ ไม่มีวันจบสิ้น
-----
การทำมหาสนิท มาจาก หนังสือ มัทธิว มาระโก และ ลูกา แต่ยอห์น ไม่มี...
มัทธิว 26:26-28
26 ขณะรับประทานอาหารพระเยซูทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้เหล่าสาวกและตรัสว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา”
27 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้า แล้วยื่นให้กับพวกเขาและตรัสว่า “ท่านทุกคนจงรับไปดื่มเถิด
28 นี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งหลั่งรินเพื่ออภัยโทษบาปแก่คนเป็นอันมาก
...
มาระโก 14:22-24
22 ขณะรับประทานอาหารพระเยซูทรงหยิบขนมปัง ทรงขอบพระคุณพระเจ้าแล้วหักส่งให้เหล่าสาวกพร้อมทั้งตรัสว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา”
23 แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ทรงขอบพระคุณพระเจ้าและยื่นให้กับพวกเขา และพวกเขาทุกคนก็ดื่ม
24 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่คือโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งหลั่งรินเพื่อคนเป็นอันมาก
...
ลูกา 22:17-20
17 พระองค์ทรงหยิบถ้วย ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วตรัสว่า “จงรับถ้วยนี้แบ่งกันดื่ม
18 เพราะเราบอกท่านว่า เราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นอีกจนกว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาถึง”
19 และพระองค์ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักส่งให้พวกเขาและตรัสว่า “นี่คือกายของเราซึ่งให้แก่ท่าน จงทำเช่นนี้เป็นการระลึกถึงเรา”
20 หลังจากรับประทานแล้ว พระองค์ทรงหยิบถ้วยและกระทำอย่างเดียวกัน แล้วตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา ซึ่งหลั่งรินออกเพื่อท่าน
การสารภาพแต่ละครั้งที่ครบตามน้ำพระทัยคือ...
1. เราพูดด้วยแสดงอาการเสียใจจริงๆ ว่า "พระบิดาข้าขอสารภาพความผิดที่ข้าได้กระทำ ขอทรงยกโทษบาปข้าเถิด"
- เราเพียงแต่นึกถึงสิ่งที่เราทำแต่ไม่จำเป็นต้องนับมีกี่บาปหรือพูดออกมาทั้งหมดว่ามีบาปอะไรบ้าง พระเจ้าทรงทราบอยู่แล้ว
- รอ 4-5 วินาทีแล้วพูดต่อข้อที่สอง
2. ข้าขอบพระคุณพระบิดาที่ทรงเมตตาอภัยบาปของข้าแล้ว ข้าขอบพระคุณสำหรับพระโลหิตของพระเยซูเพื่อลบล้างความผิดบาปของข้า แต่ข้าต้องการมากกว่านี้คือการปลดปล่อยให้เลิกทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อพระนามของพระองค์และเพื่อพระกายของพระเยซู ขอชำระ (เปลี่ยน) ข้าเถิด อาเมน
- จากนั้นเรากลับมาสนิทกับพระบิดาและไม่ฟ้องผิดเพราะว่าพระบิดาทรงอภัยและลบล้างความผิดบาปของเราแล้ว
- สิ่งที่พี่น้องคริสเตียนพวกเราไม่รู้ไม่เข้าใจคือ ทันทีที่เราสารภาพ การยกโทษก็รออยู่ที่นั่นแล้ว
(1 ยน 1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากความผิดบาปทั้งสิ้น)
1. เราแบ่งเวลาเป็นชั่วโมง ๆ
2. เราพูดคุยเหมือนคนสองคนคุยกัน
3. เราพูด และเชื่อว่าทุกครั้งพระเยซูทรงฟังเราอยู่
4. การพูดตอบของพระเยซูมากน้อยอยู่ที่เรา ถ้ามีใจเดียวไม่หลายใจ และจดจ่อที่พระองค์ เราจะได้เห็นและได้ยินชัดเจนมาก
5. พระเยซูตอบเราไม่ใช่เฉพาะเสียงจากใจหรือได้ยินที่หูเท่านั้น แต่ผ่านพระคำพระเจ้า ผ่านพี่น้องผู้เชื่อ ผ่านทุกสิ่งที่พระเยซูใช้เพื่อสื่อสารกับเราได้
-----
การอธิษฐานเผื่อผู้อื่น (ตามน้ำพระทัย)
- ไม่ว่าเราจะอธิษฐานเผื่อเราเองหรือเผื่อใคร / เผื่อปัญหาหรือเรื่องอะไรก็ตาม :
1. อธิษฐานด้วยตัวใหม่ (บุคคลที่ชอบธรรมแล้วในพระคริสต์)
2. อธิษฐานขอเผื่อเขาวันละหลายครั้งได้ แต่อย่าพูดซ้ำในชั่วโมงที่เราขอเผื่อเขา แต่เราบอกรัก ยกย่องสรรเสริญซ้ำๆ ได้
3. เชื่อว่าพระบิดาทรงฟังเราอยู่
4. หยุดพูด แต่อ่าน หรือเงียบสงบเพื่อรอฟังพระเจ้าตรัสผ่านใจ หรือผ่านพระคำของพระองค์
5. เชื่อว่าได้รับแล้ว ด้วยการขอบพระคุณล่วงหน้า ถ้าต่อมาไม่ได้รับก็ขอบพระคุณที่พระเจ้าตอบว่า ไม่
6. พูดคำนี้ถ้าเราอยากได้บำเหน็จรางวัล คือ ขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในชีวิตของ (ชื่อเขา) อย่าให้เป็นตามใจข้า อาเมน
7. อย่ากระวนกระวาย เมื่อพระเจ้าตอบ YES ก็ขอบพระคุณ พระเจ้าตอบ NO ก็ขอบพระคุณ