1. คนรู้ผิดเชื่อผิด แต่คิดว่าเขาถูก และชอบตัดสินพี่น้องว่าพี่น้องผิด
2. อย่าโยนไข่มุกให้สุกร คืออะไร?
(มธ 7:1-6) ในมัทธิวบทที่ 7 ข้อที่หนึ่งกล่าวว่า..
7:1 อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกกล่าวโทษ
7:2 เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร ท่านจะต้องถูกกล่าวโทษอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด ท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานอันนั้น
7:3 เหตุไฉนท่านมองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่านเอง ท่านก็ไม่รู้สึก
7:4 หรือเหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องของท่านว่า `ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน' แต่ดูเถิด ไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
7:5 ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
สำหรับพระคัมภีร์ข้อนี้พี่น้องคริสเตียนมากมายเข้าใจผิด คิดว่าเป็นเรื่องการตัดสินความผิดของผู้อื่น อาจจะเป็นการทำบาป การโกหก การดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะของใครบางคนที่เราเห็นเขา และก็ไปตัดสินกัน
แต่แท้ที่จริง ถ้าเราจะดูดีๆ พระคัมภีร์ข้อนี้พระเยซูตรัสถึงอะไร หมายถึงอะไร พระเยซูต้องการที่จะสื่อกับเราในเรื่องอะไร พระเยซูตรัสเกี่ยวกับเรื่องตาใช่ไหม มันเป็นเรื่องของตา คือในข้อที่ 3 พระเยซูตรัสว่า เหตุไฉนท่านมองดูเสี้ยนไม้ที่อยู่ในตาของพี่น้องของท่าน (ที่อยู่ในตา) หมายความว่ายังไง?
คือตาของเรา.. มองไม่เห็นเพราะว่ามีไม้ทั้งท่อนมันบังอยู่ ถ้าหากไม้ทั้งท่อนบังตาเรา เรากลับไปมองคนอื่นที่มีผงเล็กน้อย ผงเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยอยู่ในตาเขา หมายความว่ายังไง? มันเป็นเรื่องของตา มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตา "ตาก็คือได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าใจ เป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจ" (เราคิดว่าเขาเชื่อผิด แต่เราเองเชื่อผิดมากกว่าเขาจนถึงขนาดที่ว่าไม้ทั้งท่อนเลย)
ไม้ทั้งท่อนมันบังตาเรา เราไม่สามารถเห็นพระคำพระเจ้า ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะคำของพระเจ้า เราตีความหมายผิด เราเข้าใจผิด เราเชื่อผิด เราอ่านพระคัมภีร์แล้วเราแปลผิด มันเป็นไม้ทั้งท่อนที่บังตาเราไว้
แล้วเราคิดว่าเราถูก เราเห็นคนที่ผิดน้อยกว่าเรา ความผิดของเขาเท่าผงเท่าผงฝุ่นที่บังตาเขาเล็กๆ น้อยๆ เขายังมองเห็นมากกว่าเรา เขารู้ดีกว่าเรา เขาเข้าใจมากกว่าเรา แต่เราคิดว่าเราถูก เราคิดว่าเราเห็น เราก็ไปบอกเขาว่า (ฉันจะเขี่ยผงออกจากตาของเธอ) แต่เราไม่รู้ตัวน่ะว่าเราผิดมากกว่าเขา
เป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจพระวจนะคำของพระเจ้า เป็นเรื่องของการได้รู้น้ำพระทัยของพระเจ้า เราเองไม่รู้น้ำพระทัยของพระเจ้า เราไม่รู้น่ะว่าพระคำพระเจ้าแปลความหมายยังไงตีความหมายยังไง เราใช้ "ไม้" ใช้สติปัญญาของอาดัมทำความเข้าใจกับพระคัมภีร์ ตีความหมายพระคัมภีร์ และคนอื่นน่ะเขารู้มากกว่าเราพระเจ้าเปิดตาเขา พระเจ้าเปิดตาเขาและเขายังเหลือนิดเดียว คือมีฝุ่นนิดเดียวซึ่งเขาไปไกลแล้ว แต่เราคิดว่าเขาผิด
พี่น้องเคยสังเกตไหม มีบางคนที่เขาเชื่อและพระเจ้าเปิดตาเขา เขาได้รู้ข้อลึกลับความล้ำลึกของพระคำพระเจ้า และเราไม่รู้ เราเรียนพระคำพระเจ้า เราเรียนพระคำภีร์ก็เป็นในลักษณะของการใช้สติปัญญาของอาดัมแปลตีความหมาย เราตกเป็นคริสเตียนศาสนา เรากลายเป็นคริสเตียนศาสนา เราไม่รู้ความหมายของพระคำพระเจ้า ไม่รู้น้ำพระทัยพระเจ้า แล้วเราไปบอกคนนั้นว่า (แกเป็นคนผิด..!) แต่แท้ที่จริงเราเป็นคนผิด
พี่น้องจำได้ไหมเรื่องแผ่นดินสวรรค์ เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า เป็นความเชื่อที่เราเชื่อกันมานานเหลือเกิน คือมันแก้ไม่ได้ ถ้าจะมีใครมาบอกว่า (เนี่ยน่ะเป็นการแปลที่ผิด คำว่า แผ่นดินสวรรค์ไม่มี มีแต่คำว่า ราชอาณาจักรสวรรค์) เขารับไม่ได้น่ะ เพราะว่าเราใช้คำนี้มานานแล้ว เราเปลี่ยนไม่ได้
แต่ขอบพระคุณพระเจ้าที่พี่น้องหลายท่านถ่อมใจและเปิดใจ ยอมให้คนอื่นเอาไม้ทั้งท่อนออกจากตาเลย เพราะฉะนั้นทุกวันนี้มีพี่น้องคริสเตียนมากมายเหลือเกินที่ไม่รู้แต่คิดว่าเขารู้ ที่ไม่เห็นแต่คิดว่าเห็น ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของเขามันบังตาเขาไว้อยู่ คือไม่สามารถเห็นพระคำพระเจ้า ไม่เข้าใจน้ำพระทัย ไม่รู้เลยว่ายุคนี้ยุคไหน ไม่รู้ว่ารอดมีกี่รอด ไม่รู้ว่าอาณาจักรสวรรค์คืออะไร ไม่รู้ว่าการรอด เชื่อเท่านั้นก็ได้รอด คือเขารับไม่ได้ คือมันมีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่เขาไม่รู้และเขาคิดว่าเขารู้ แต่ไม้ทั้งท่อนที่บังตาเขาอยู่ เขากลับคิดว่าคนอื่นผิด คนที่พระเจ้าเปิดตาแล้ว เขากลับว่าคนนั้นเป็นคนที่ผิดเชื่อผิด
พระเยซูจึงเตือนเราน่ะว่า อย่าตัดสินผู้อื่น ทั้งๆ ที่ไม้ทั้งท่อนบังตาเราอยู่
สังเกตง่ายๆ คนที่มีแค่ฝุ่นหรือผงบังตาเล็กๆ น้อยๆ เขาเห็นมากขึ้นแล้ว คือคนที่เขาเริ่มเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง ได้พบพระคำที่ล้ำลึก ได้พบพระคำพระเจ้า สติปัญญา ความไพบูลย์ของพระวจนะคำของพระเจ้า เปิดให้เขาเห็น เขาได้เข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง เขาเลิกกลัวพระเจ้าได้แล้ว เขาสัมผัสกับพระคำพระเจ้า วิญญาณของเขาหิวกระหาย และพระเจ้าสัมผัสจิตใจของเขา ชีวิตของเขาเลิกกลัวพระเจ้า และเริ่มเห็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น ในลักษณะของการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเขา
มัทธิวบทที่ 7:1-5 เป็นเรื่องของตา เป็นเรื่องของการรู้ พระเจ้าเปิดตา เพราะว่าพระเยซูตรัสถึงอะไร? "ตา" อะไรปิดบังตา อะไรมีผงอยู่ในตา
แต่เราน่ะ.. เป็นคนที่มีความเชื่อที่ผิดมากเหลือเกินเป็นไม้ทั้งท่อนที่บังตาเราอยู่ แต่ว่าเราคิดว่าเราถูก และเราเองก็อยากไปตัดสินคนอื่นว่าเขาเป็นคนผิด แท้ที่จริงเราผิด เราไม่มีสันติสุขทุกวันเวลานาทีได้ เราไม่อยู่ในความสงบสุขกับพระเจ้ามานานกี่ปีแล้ว และเราไม่เคยเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงเลย ทุกวันพูดแต่พระคำพระเจ้า ทุกวันเทศนาสั่งสอนได้ แต่ชีวิตจริงของเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง เรารักได้แต่ "ฟิเลโอ" ใช่ไหม และชีวิตของเราไม่เคยอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซูเลย ถูกไหม?
เพราะฉะนั้นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าใครมีไม้ทั้งท่อนบังตา คือคนนั้นที่ไม่มีสันติสุขทุกวันเวลานาทีได้ และไม่เชื่อว่าจะมีได้ และไม่ได้อยู่ในความสงบสุขกับพระเจ้า และไม่ได้เข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลงไปจนตลอดชีวิตเลย
และในมัทธิวบทที่ 7 ข้อที่ 6 พระเยซูเตือนเราว่า อย่าให้ของดีแก่สุนัข อย่าเอาของดีโยนให้สุนัข และอย่าเอาไข่มุกโยนให้สุกร
ถามว่า สุนัขคือใคร? สุนัขคือคนที่ไม่ยอมรับข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องความรอด เรื่องไม้กางเขน เพื่อให้ได้รับพระคุณพระเจ้าและได้เข้าสู่การชำระด้วยพระโลหิตและได้รอดในวันสุดท้าย ก็คือของดี
และถามว่า อย่าโยนไข่มุกให้สุกรคืออะไร? ไข่มุกก็คือชีวิตที่มาถึงผู้ชนะ พระคำพระเจ้าที่เข้าสู่ความล้ำลึก ซึ่งเป็นมานาที่ซ่อนไว้ เมื่อเราได้เรียนรู้ ได้เข้าใจ เราเริ่มมีความสัมพันธ์ผูกพันที่ดีกับพระเจ้า เราหลงรักพระเจ้า เราหลงรักในพระคำล้ำลึกนี้ เราอ่าน เราฟัง เราซาบซึ้งในการเปิดตาของพระเจ้า เพื่อให้เราได้เห็นความไพบูลย์ของพระคำพระเจ้า ในที่สุดเราก็มาถึงชีวิตแห่งการเป็นไข่มุก ไข่มุกก็คือชีวิตที่ก้าวเข้าสู่ชัยชนะ ชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย ชีวิตที่เป็นผู้ชนะได้แล้ว
• ของดี คือข่าวประเสริฐ
• สุนัข คือใครก็ตามที่ไม่ยอมรับข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องความรอด
• ไข่มุก ก็คือชีวิตที่ชัยชนะ ที่จะนำเขาเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ และเป็นผู้ร่วมครอบครองกับพระเยซูตลอดไป
• สุกร คือใคร ทุกคนคือใครก็ได้ คริสเตียนก็ได้ ผู้ไม่เชื่อก็ได้ ใครก็ตามที่เมื่อเราประกาศข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรสวรรค์ เราบอกเขาว่า (มีราชอาณาจักรสวรรค์ที่รอเราอยู่ ยุคหน้ายังมีอีกยุคหนึ่ง ยุคนี้ไม่ใช่ยุคสุดท้าย) ถ้าเขารับได้ เขาไม่ใช่สุกร
เราจะเห็นน่ะว่าในมัทธิวบทที่ 7:1-5 เป็นเรื่องของตา คนที่เขาไม่รู้มีไม้ทั้งท่อนบังตาเขาอยู่ และเขาไปบอกคนอื่นไปตัดสินคนอื่นว่า (เธอผิด เธอเพี้ยน เธอเชื่อไม่ถูก ความเชื่อของเธอไม่ได้รับการยอมรับในท่ามกลางของสังคมคริสเตียนทั่วไปทุกวันนี้) และเราน่ะคิดว่าเราถูก อันนี้คือไม้ทั้งท่อนที่บังตาเราอยู่
และสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าใครเป็นคนเชื่อถูกหรือเชื่อผิด ก็คือคนนั้นเขาจะมีสันติสุขทุกวันเวลาได้ มีความสงบสุขในพระเจ้าตลอดวันตลอดเวลาได้ และเขาเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง เริ่มเห็นแล้ว เริ่มเห็นไม่มากก็น้อย เมื่อเวลาผ่านไปชีวิตของเขาก็จะเติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้ใหญ่ และดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู ในมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 และบทที่ 7 ได้ และชีวิตของเขาจะเป็นผู้ชนะ และเขาสามารถเกิดผลให้พระเจ้าได้อย่างมากมาย (ผลนี้ก็คือผลของชีวิตใหม่ ในกาลาเทียบทที่ 5:22-23)
และพระเยซูตรัสว่า ถ้าหากใครไม่ยอมรับ อย่าเสียเวลา ถ้าเขาไม่ยอมรับไข่มุกคือความรู้ล้ำลึก ความรู้ที่ลึกมาก Deeper knowledge / spiritual knowledge คืออาหารแข็ง ที่คริสเตียนเด็กส่วนมากรับไม่ได้ ขอพระเจ้าช่วยเราและช่วยพี่น้องเหล่านั้นที่จะไม่ได้กลายเป็นสุกรดังที่พระเยซูพูด
แต่น่าเสียดายซึ่งทุกวันนี้มีพี่น้องคริสเตียนมากมายเหลือเกินที่เป็นสุกร คือยอมรับเรื่อง ราชอาณาจักร ไม่ได้ เพราะว่าคำว่า แผ่นดินสวรรค์ เราก็เชื่อกันมานานแล้ว และเราเชื่อว่าเป็นความรอดในวันสุดท้ายใช่ไหม
แต่เราขอบพระคุณพระเจ้าที่สวรรค์เป็นของเรา เมื่อเราเชื่อเราก็รอด และเราจะไม่สูญเสียความรอดอีกเลย เราเป็นแกะที่พระเยซูรู้จักดี และพระเยซูก็เป็นผู้ที่เรา (ที่เป็นแกะ) รู้จักพระองค์ดี พระองค์เป็นผู้เลี้ยงของเรา เมื่อให้กำเนิดเราแล้วพระองค์ไม่ทิ้งเราโดยเด็ดขาด
ซึ่งคนที่สูญเสียความรอดได้ คือคนที่ไม่เคยบังเกิดใหม่เลย (ไม่เคยเลย) คือหลงเข้ามาอยู่ในท่ามกลางสังคมคริสเตียน เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน ไปโบสถ์เหมือนกัน อธิษฐานอ่านพระคัมภีร์เหมือนกัน ฟังเทศนาร้องไห้ได้เหมือนกัน แต่อันนั้นเป็น Emotion คือเป็นอารมณ์ความรู้สึกของจิตใจเขาสำแดงออกมา แต่วิญญาณของเขาไม่เคยบังเกิดใหม่เลย
ไม่ใช่เรื่องง่ายน่ะที่เราจะสามารถเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า เราจะสามารถเห็นพระวจนะคำของพระเจ้าซึ่งมาจากพระวิญญาณ เราไม่สามารถที่จะใช้ "ไม้" ซึ่งเป็นสติปัญญาความคิดปัญญาของเรา เพื่อตีความหมายพระวจนะคำของพระเจ้า และเพื่อพยายามเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ เป็นไปไม่ได้..
พระเยซูตรัสว่า เขามีตา แต่เขาจะไม่เห็น เขามีหู แต่เขาจะไม่ได้ยิน (มัทธิว 13:13 เหตุฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ)
อ่านเพิ่มเติม: ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตา