เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ที่พระองค์นำเรามาถึงบทเรียนที่ท่านเปาโลเดินทาง แล้วก็มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในข้อนี้
สิ่งแรกขอบคุณพระเจ้าสำหรับเรื่องการสาบาน พระเยซูตรัสว่า “จงอย่าสาบาน” ซึ่งความหมายคือไม่ได้หมายความว่า เราสัญญากับใครไม่ได้ การสัญญา ก็คือการให้คำมั่นสัญญา การบอกญาติเพื่อนมิตรสหาย หรือคนที่รู้จัก ว่าจะไป จะมา อันนี้เราพูดได้ โอเคเราสัญญาจะไป จะไปเยี่ยม แต่ไม่ได้หมายความว่าคือต้อง ต้องไปให้ได้ ถ้าไม่ไปก็คือต้องใช้คำสาบานเพื่อยืนยัน เพื่อให้คนอื่นเขาเชื่อว่าเราจะไปจะมาจะทำอะไร
แต่สิ่งสำคัญเราเป็นบุตรพระเจ้า เป็นลูกแห่งความสว่าง เราอยู่ในความจริง เราไม่โกหก
เพราะฉะนั้นเราจะไม่โกหก หรือจะไม่สัญญาสาบานกับใคร เพื่อให้เขาเชื่อใจเรา เราไม่ใช้สิ่งนี้เพื่อเป็นเหตุผล
แต่จริงก็ว่าจริง ไม่จริงก็ว่าไม่จริง ไปก็ไป มาก็มา ทุกสิ่งอยู่ที่อยู่บนพื้นฐานแห่งความจริงในพระเจ้า เอเมน
สำหรับเรื่องที่สอง ก็คือเรื่องการไปร่วมงานเทศกาลของเปาโล ก็คือชาวยิว ในพระคัมภีร์ข้อนี้ ก็คือพูดถึงเรื่องโกนผมโกนศีรษะ แต่ในความหมายก็คือเทศกาลของชาวยิวที่จะไปขอบพระคุณพระเจ้า เขาจะตัดผมตัดให้สั้น เป็นการตัดผมให้สั้นเพื่อไปร่วมเทศกาล แล้วโดยปกติชาวยิวไม่ได้มีผมยาวเหมือนที่เราเห็นอยู่ในรูปหรือในหนัง แล้วพระเยซูเองก็เป็นคนที่มีผมสั้นแล้วเป็นคนที่ผมหยิก ชาวยิวตระกูลยูดาห์เป็นคนที่ผมผู้ชายจะตัดผมสั้น
แล้วพอก่อนที่จะไปถึงเทศกาลเขาจะตัดผมตัดให้สั้น ขอให้เข้าใจและพระวิญญาณตรัสผ่านเปาโลเรื่องการอย่าถือวัน เราจำกันได้ไหม อย่าถือวันอย่าถือเดือน อย่าถือเทศกาลทั้งหลาย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเงา
แต่ปรากฏว่าในข้อนี้เราเห็นว่าเปาโลไปร่วมเทศกาล แล้วเปาโลปฏิญาณกับพี่น้องชาวยิวว่าจะต้องไปให้ได้ นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาถือรักษา หรือเป็นกฎเป็นข้อบังคับ หรือเป็นพระบัญญัติ คือการรับปากกับพี่น้องว่าจะไปร่วม Thanksgiving day และให้เขามองว่าเราไม่ได้เคร่งศาสนา
สำหรับเรื่องที่สาม ก็คือคริสเตียนศาสนาอาจมีความชำนาญเรื่องพระคัมภีร์เดิม แต่ไม่อาจเข้าใจแผนกานงานและน้ำพระทัยของพระเจ้าในยุคใหม่
สำหรับผมสมัยก่อน ก็คือจด อยากรู้อะไรอยากถามอะไร ผมเป็นคนที่เจาะลึกพระคัมภีร์เดิมอย่างมาก สุดท้ายก็มาพบว่าในยุคพระคุณ พระคัมภีร์ใหม่พันธสัญญาใหม่ของพระเจ้า อันนี้เจาะลึกไม่ได้ เราใช้สติปัญญาของอาดัมไม่ได้ ใช้ความเข้าใจของมนุษย์ดินไม่ได้ สมองของเรามันมีแค่ 10% หรือมากที่สุดก็คือ 20% คนที่ฉลาดมากนะครับ แต่เรามันมีประมาณสัก 5% 10% 15% ใช่ไหมที่ใช้กันอยู่
เรื่องยุคพระคุณยุคนี้ ยุคพระสัญญาใหม่ มันเป็นเรื่องของตา เอเมนมันเป็นเรื่องของตา พระเยซูตรัสในมัทธิว มันเป็นเรื่องของตา
ตาที่สว่าง ก็เหมือนเราจุดตะเกียง
ตาที่สว่าง ก็จะเห็นทุกสิ่งในทุกส่วนในร่างกายว่าครบสมบูรณ์ยังไง
แต่ตาที่บอด เดินในความมืดไม่เห็นอะไรเลย นี่คือความหมายที่พระเยซูต้องการอยากจะบอกพวกเราว่า การใช้ชีวิตในยุคพระคุณ ในยุคใหม่พระสัญญาใหม่นี้ ต้องมีตาที่ไม่บอด ก็คือตาสว่าง อยู่ในความสว่างของพระเจ้า
ตาสว่างความสว่างของพระเจ้า อยู่ที่ไหน?
อยู่ที่พระคำล้ำลึก ขอบพระคุณพระเจ้าอยู่ในมานาที่ซ่อนไว้ สรรเสริญพระเยซูเราได้พบของจริง เราได้พบพระคำ เราได้พบความสว่างที่นำมาใช้เพื่อดำเนินชีวิตและการรับใช้และการนมัสการพระเจ้า เราเห็นผลที่มันเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย เราเห็นผลที่มันเกิดขึ้นมากเมื่อเราฝึกมาก สนิทมาก ตาเราก็สว่างมากขึ้น
ขอบคุณพระเยซูสำหรับวันนี้ที่เราอาจจะมีความรู้ ชำนาญเรื่องพระคัมภีร์เดิมหลายคน ขอบคุณพระเยซูสำหรับสิ่งนี้ แต่สิ่งที่สำคัญถึงแม้ว่าเราจะรู้มากเท่าไหร่ เจาะลึกพระคัมภีร์จนครบทะลุหมด ทั้งปฐมกาลจนถึงมาลาคี แต่ก็ไม่มีความหมายถ้าหากเราไม่ได้ถูกเปิดตาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราควรจะขอบพระคุณพระเจ้าอย่างมาก เป็นบุญคุณของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์เปิดตา และพระองค์เลือกเรากลุ่มคนส่วนน้อยที่ได้มาพบของดีไข่มุก สรรเสริญพระเจ้าสำหรับวันนี้ เอเมน
เราพบว่าท่านอปอลโลเป็นผู้ที่มีความชำนาญ แต่สุดท้ายก็ได้รับการเปิดเผย การช่วยเหลือจากพี่น้อง 2 ท่าน ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานของเปาโล เปาโลไปเปิดตาเขาก่อน
เรื่องข้อที่สี่ เรื่องที่สี่ ก็คือเรื่องบัพติศมาในน้ำของยอห์น และบัพติศมาในน้ำของพระเยซู
การบัพติศมาในน้ำของยอห์น ก็คือผู้นำอาจจะบัพติศมาอาจจะเป็นการพรม ไม่ได้จุ่มน้ำ หรืออาจจะเป็นการจุ่มน้ำ แต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการบัพติศมาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือไม่ได้เอ่ยถึงว่าเราบัพติศมาท่านในพระนามของพระเยซู ถ้าไม่เอ่ยถึงก็จะกลายเป็นบัพติศมาของยอห์น อันนี้เป็นอันตราย
ถามว่าอันตรายยังไง การบัพติศมาของพระเยซูก็ต้องจุ่มลงไปในน้ำจุ่มให้มิดเลย ไม่มีการพรมน้ำ เมื่อจุ่มลงไปให้มิด ผู้นำจะต้องพูดสิ่งนี้สิ่งสำคัญมาก ก็คือ “เราบัพติศมาท่านในพระนามของพระเยซู หรือจะพูดว่าเราบัพติศมาท่านในพระนามของพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์” นี่คือคำสั่งของพระเยซูในหนังสือมัทธิวบทที่ 28
ถามว่าเมื่อเราบัพติศมาถูกต้อง รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูให้พี่น้องจะมีอะไรเกิดขึ้น
สิ่งที่จะเกิดขึ้นขอให้ฟังนะ เมื่อเราบัพติศมาใครสักคนหนึ่ง หรือมีผู้นำมาบัพติศมาให้เราในพระนามของพระบิดาพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือในพระนามของพระเยซู พระเยซูจะมาเอเมน
พระเยซูจะเสด็จมาหาเราในขณะนั้นเดี๋ยวนั้น แล้วพระองค์จะจุ่มเราเข้าไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ อันนี้อยู่ในมัทธิวบทที่ 3 พระเยซูจะมาเองจะเป็นคนจุ่มเราเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งคือการรับบัพติศมาอย่างครบ เราได้รับบัพติศมาในน้ำและรับบัพติศมาในพระวิญญาณเดี๋ยวนั้นขณะนั้น
หลังจากนั้นชีวิตเราก็จะอยู่ในภายใต้การดูแล การเลี้ยงดูของพระเจ้า การปกปักรักษาคุ้มครอง ช่วยเหลือ อวยพร พระพรของพระเยซูคริสต์ครบทุกประการจะมาถึงเรา และเราเองก็จะมีโอกาสได้เข้าไปและได้เห็นอาณาจักร เอเมน
เพราะฉะนั้นถ้าเราสงสัยไม่มั่นใจในการบัพติศมาที่เราทำเมื่อก่อน เราอาจจะคิดไม่ถึงหรือจำไม่ได้หรือลืมไปแล้วว่า อาจารย์ผู้นำคนที่บัพติศมาเราเขาทำถูกไหมหรือไม่ถูกหรือยังไง อยากจะรับใหม่ก็ไม่ผิดก็รับได้ เมื่อสงสัยเมื่อไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจหรือลืมไปแล้วว่ามันคืออะไร เป็นของจริงหรือของยอห์น เรารับใหม่ได้ไม่ผิด
การทำทุกสิ่งด้วยความมั่นใจ คือการอยู่ในความสว่างของพระเจ้า
และข้อที่ห้า ข้อสุดท้าย อันนี้อยู่ในกิจการบทที่ 18 ข้อที่ 21 เปาโลพูดถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาหาท่าน คำนี้เป็นคำที่เปาโลใช้บ่อยมากๆ และเปาโลเวลาที่ท่านพูด ท่านสอน ท่านดำเนินชีวิต ท่านรับใช้ ท่านเดินทางไปประกาศ ท่านจะใช้คำนี้ “ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า”
การรับใช้ เปาโลจะไม่พูด ไม่ทำ และไม่เดินตามทางที่ท่านต้องการ หรือตามใจของท่านเอง แต่ท่านจะทำทุกสิ่งตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำตามสิ่งที่เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
เราพบว่าคริสเตียนมากมายทุกวันนี้ ก็คือคริสเตียนใช้ ฟาง ไม้ และหญ้าแห้ง คือสิ่งที่พวกเขาก่อขึ้นในการดำเนินชีวิตการรับใช้ เนื่องจากว่าเราคิดว่ามันดี หรือคิดว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าใช่ไหม คิดว่าพระเจ้าคงจะชอบ
การคิดว่า และการไม่รู้ ความลึก กว้าง สูง ยาว แห่งแผนการบริหารจักรวาลและคริสตจักรของพระเจ้า เราอาจจะได้รับผลตอบแทนบ้างในชีวิตนี้ ใช่ แต่ไม่มีผลตอบแทนในยุคหน้าและแผ่นดินโลกใหม่ น่าเสียดายนะ
เพราะฉะนั้นการดำเนินชีวิตคริสเตียนในแต่ละวัน การจะพูด จะทำ จะไป จะมา จะรับใช้ จะนมัสการพระเจ้า ทุกสิ่งขอให้อยู่ที่คำนี้ ให้เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าก่อน เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ พระเจ้าจะพอพระทัยหรือไม่ สำหรับสิ่งที่เราจะคิด พูด กระทำ
ถ้าใช่และเราทำด้วยตัวใหม่ สิ่งที่เราได้รับก็คือ การก่อขึ้นด้วย ทองคำ เงิน และเพชรพลอย
- ทองคำ ก็คือ ความคิดปัญญา สติปัญญา การนำพาของพระเจ้าพระบิดา
- เงิน ก็คือ ตัวตนใหม่ คนใหม่ ที่มีพระคริสต์สถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกับเราเป็นคนใหม่
- เพชรพลอย ก็คือ การใช้ชีวิตของเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนใช้เป็นคนนำ เป็นคนทำให้เกิดผล
ซึ่งเราสนิทมากเท่าไหร่ พระเจ้ายิ่งสำแดงมานาฯ ให้แก่เรา มากเท่านั้น เราได้รู้จักน้ำพระทัย และรักชอบที่จะเดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากกว่าที่จะเดินตามใจของเราเอง
ขอให้เราเน้นที่การทำทุกสิ่ง เรากระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าครั้งเดียว ดีกว่าการทำตามใจตนเอง แล้วคิดว่าพระเจ้าคงจะชอบคงจะดี เป็นตั้งร้อยพันครั้ง
ถาม.
การที่อาจารย์เปาโลโกนหัวโกนศีรษะ คือความเป็นมาเป็นยังไงครับ แล้วก็จะเห็นว่าพี่น้องบางคนที่เชื่อในพันธสัญญาเดิมบอกว่าใช้พระคัมภีร์ข้อนี้เพื่อสนับสนุนว่ายังต้องถึงรักษาประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ ของยิวครับ คืออยากทราบว่าการโกนหัวการโกนผมการโกนศีรษะเป็นนาซีเนี่ยคือความเป็นมาเป็นยังไงครับ
ตอบ.
อย่างที่ผมได้อธิบายมาแล้วนะครับ คือไม่ได้โกนหัว ไม่ได้โกนศีรษะเหมือนนาซีนะครับ ตรงนี้ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เป็นเรื่องของชาวยิวที่เมื่อใกล้จะถึงเทศกาลหรือถึงเทศกาลของยิว ชาวยิวนะครับจะตัดผมสั้น ตรงนี้พระคัมภีร์ข้อนี้ เปาโลไม่ได้พูดเปาโลไม่ได้โกนศรีษะให้หัวโล้น ไม่ใช่แบบนั้น ก็คือตัดผมให้สั้น อย่าเข้าใจผิดนะครับ
และ ใช่ครับ คริสเตียนมากมายทุกวันนี้เข้าใจว่าเปาโลยังรักษาพระบัญญัติเดิม ยังรักษาประเพณีกฎหมายข้อบังคับทั้งหลายของยิวอยู่ แต่เราพบว่าเปาโลสอนใช่ไหมอย่าถึงวันอย่าถือเดือนอย่าถือเทศกาลทั้งหลาย
แต่ทำไมตอนนี้เปาโลทำเอง? ไม่ได้ทำเองครับ คือเขาปฏิญาณตนกับพี่น้องชาวยิวที่เขารู้จักเขารักใคร่สนิทเมื่อก่อน และเขาสัญญาว่าจะไปร่วมงาน ถ้าหากจะไปร่วมงานกับชาวยิวและเราเองเคยเป็นคนยิวมาก่อน เราต้องตัดผมให้สั้นเหมือนพวกเขา การที่จะไปร่วมกับเขาก็ตัดผมให้สั้น
เหมือนกับมีญาติมีพี่น้องมีเพื่อนบางคนที่ชวนเราไปงานแต่งงาน เราจะสวมใส่กางเกงธรรมดาๆ ไปเหรอ ก็ต้องใส่สูทผูกไท้ใช่ไหม ต้องแต่งกายให้มันเหมาะกับงานใช่ไหมครับ
เพราะฉะนั้นเปาโลนะครับไปร่วม แต่ไม่ได้ไปร่วมในลักษณะของการอยู่ใต้ข้อบังคับใต้กฎเกณฑ์ใต้พระบัญญัติ แต่เขาไปด้วยความเต็มใจและไปเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่งก็คือ เขาจะประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องชาวยิวเหล่านั้น เอเมน
ถาม.
คำอธิบายข้อนี้ได้เข้าใจ 2 ข้อครับ คือ 1. อาจารย์เปาโลไม่ได้โกนหัวจริงๆ แต่ว่าท่านเตรียมตัวก็คือเพื่อที่จะไปงานเลี้ยงก็คือท่านตัดผมนี่เอง แล้วก็ข้อที่ 2. ก็คือถ้าเกิดเราไม่ได้รับการอธิบาย ก็คือเราจะดูข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ก็สนับสนุนว่าต้องยังมีการรักษาประเพณีของชาวยิวใช่ไหมครับ แต่ด้วยคำอธิบาย เราจะเห็นว่าเปาโลก็ทำเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ แล้วก็เพื่อเห็นแก่พี่น้องที่ได้สัญญากันไว้ เอเมน ก็เมื่อกี้ได้เห็นคำอธิบายก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ว่าอาจารย์เปาโลแค่ตัดผมให้สั้น แต่ว่าในพระคัมภีร์ก็ยังเห็นว่าโกนศีรษะ ก็เลยไม่เข้าใจชัดเจน แต่ว่าตอนนี้ได้ถามใหม่ก็ได้เข้าใจเอเมนขอบคุณพระเจ้า
ตอบ.
สำหรับพระคัมภีร์ภาษากรีกนะครับ คือถ้าสมมุติจะให้เราเข้าใจคำว่าโกนผมโกนหัวโกนศีรษะ หรือตัดผมนะครับ เป็นคนละคำไม่ใช่คำเดียวกัน ในภาษากรีกใช้คำว่าคือเป็นภาษาอังกฤษก็คือ shear ไม่ใช่ shave นะครับ shave ก็คือโกน แต่ shear ก็คือตัด ก็คือตัดให้มันสั้น
ซึ่งเรารู้กันดีชาวยิวปกติเขาจะเป็นคนที่ผมสั้น แต่ผมมันจะยาวเป็นระยะๆ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่ยิวจะไปร่วมเทศกาล ต้องดูที่ผมที่ศีรษะนะครับ ต้องผมสั้นทุกคน
สรุปนะครับเปาโลไม่ได้โกนผมไม่ได้โกนหัวเหมือนนาซี หรือโกนหัวโล้น ไม่ใช่นะครับ แต่ตัดผมสั้นครับผม
ไม่ใช่แต่เปาโลน่ะ ตอนที่พระเยซูยังอยู่กับพวกเขา และสาวก 12 คน และทุกคนผู้ชายทุกคนก็ทำ พระเยซูก็ทำก็ตัดผม