1. ไม่ดูหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์
2. ดับพระวิญญาณ (ไม่ยอมเชื่อฟัง-ตอบสนองต่อพระวิญญาณ)
3. ทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย
สำหรับในพระคัมภีร์บางตอนที่กล่าวถึงบาปที่ยกโทษให้ไม่ได้ อันนั้นไม่ใช่บาปของคริสเตียน อย่าเข้าใจผิดนะ
การที่จะเรียนรู้ในการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ การวางรากฐานที่ถูกต้องของชีวิต ก็คือเราจัดทำบทเรียน 9 บท คือ 001 จนถึง 009
การยกโทษบาปของพระเจ้าต่อผู้เชื่อ ก็คือบาปทุกชนิด ไม่มีแม้แต่บาปเดียว ชนิดเดียว ที่พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้เรา เพราะฉะนั้นความผิดบาปทั้งหลายของคริสเตียน ไม่มีบาปไหนที่พระเจ้าจะไม่ยกให้ ภาษาอังกฤษก็คือ every sin อยู่ใน 1 ยอห์น 1:9
คือพระเจ้าจะยกโทษให้เราไม่ว่าจะเป็นบาปอะไร บาปไหน บาปเล็กบาปใหญ่ บาปมากบาปน้อย บาปนานๆ ทำที บาปทำอยู่เป็นประจำทุกวัน บาปในที่ลี้ลับ ลับลี้ ไม่มีใครเห็น และบาปในที่เปิดเผย บาปที่มนุษย์จะไม่ยกโทษให้เรา สรุปก็คือบาปทุกชนิด หรือแม้แต่บาทที่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย บาปที่ดับพระวิญญาณ พระเจ้าก็จะยกให้
อีกครั้งเรื่องการยกโทษบาปของพระเจ้า เรื่องการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของคริสเตียน การทำบาปแล้วมาสารภาพ ไม่เกี่ยวอะไรกับความรอด ไม่เกี่ยว คือความรอดของคริสเตียนในวันสุดท้าย อยู่ที่ความเชื่อ เราได้รับความรอดโดยทางความเชื่อ นี่คือหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณ ซึ่งไม่เหมือนกับหลักการแห่งความรอดในยุคพระบัญญัติ
การยกโทษของพระเจ้าในแต่ละวัน เมื่อเราสารภาพบาป เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เราจะมี peace in heart with God your heart is at peace with God หัวใจของเราอยู่ในความสงบสุขกับพระเจ้า ไม่เป็นศัตรูต่อกันเป็นฝ่ายเดียวกับพระเจ้า เรากับพระเจ้าไม่มีอะไรกันแล้วเป็นฝ่ายเดียวกัน พระเจ้ารักเรา พระเจ้ายกโทษให้เราทุกครั้งที่เราสารภาพบาปต่อพระองค์
- คริสเตียนจะไม่ดูหมิ่นพระวิญญาณ (blasphemy)
สำหรับพระคัมภีร์บางตอนที่กล่าวถึงบาปที่ยกโทษให้ไม่ได้ อันนั้นไม่ใช่บาปของคริสเตียนนะ อย่าเข้าใจผิดนะ พี่น้องคริสเตียนหลายคนคิดว่า บาปนั้นเป็นบาปที่คริสเตียนทำแล้วพระเจ้าจะไม่ยกโทษให้ ไม่ใช่.
ในภาษาอังกฤษมี 2 คำ คือ 1. blasphemy ก็คือดูหมิ่นพระวิญญาณ คือการเหยียบย่ำ เหยียบหยาม ดูถูก ดูหมิ่น การไม่ยอมรับ การไม่เชื่อ การปฏิเสธพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ก็คือ การดูหมิ่นพระวิญญาณ หรือ blasphemy The Holy Spirit ไม่ยอมรับพระเยซู ข่าวประเสริฐเรื่องความรอด ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ ความรอดผ่านพระเยซูคริสต์ที่พระองค์กระทำเมื่อสองพันปีก่อน พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อตายไถ่บาปของเรา
ทุกวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำมา เป็นการงานของพระวิญญาณ ถ้าหากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่นำมาทุกยุคทุกสมัยทุกเวลา มนุษย์ทั่วโลกก็จะไม่มีโอกาสได้รับความรอด
แต่การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระองค์จะตามมา ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนสมัยไหนประเทศไหน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะตามมาและทำงาน และถ้าหากใครไม่ยอมรับข่าวประเสริฐ ไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ก็คือการดูหมิ่นพระวิญญาณ และถ้าหากว่าเขาเห็นการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านคริสเตียน แต่ไม่เชื่อ แสดงว่าเขาดูหมิ่นพระวิญญาณ ดูหมิ่นฤทธิ์อำนาจของพระองค์
และคริสเตียน ไม่มีทางที่จะกระทำโดยเด็ดขาด คือเราไม่เคยดูหมิ่นดูถูกพระวิญญาณในลักษณะนี้ ไม่เคยเหยียดหยามพระวิญญาณบริสุทธิ์
- (เป็นเหตุให้พระวิญญาณเสียพระทัย ดับพระวิญญาณ 1 ธส 5:19; โรม 12:11)
แต่คริสเตียนน ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย
และอีกคำหนึ่ง ก็คือดับพระวิญญาณ
ดับ ก็คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องการที่จะเผาไหม้จิตใจของเรา เผาไหม้ในวิญญาณของเรา และทำให้จิตใจของเรากระตือรือร้น ร้อนร้อนรน ขยัน มีความกระตือรือร้นที่จะอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน นมัสการพระเจ้า ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ เป็นพยาน นี่คือความหมายของการไม่ดับพระวิญญาณ
ส่วน การดับพระวิญญาณ ก็คือเราไม่ทำอะไร เราไม่ร้อนรน เราขี้เกียจ เราอยู่นิ่งเฉย ไม่มีอาการใดๆ ทั้งสิ้น คือเป็นอุ่นๆ อยู่ นี่คือการที่เราดับพระวิญญาณ
การเผาไหม้ในพระวิญญาณ ในวิญญาณของเรา ก็คือการที่เรารับการกระตุ้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายใน เราตอบสนองการเรียกร้องการทำงานของพระองค์ เราลุกขึ้น เราอธิษฐาน เราอ่านพระคัมภีร์ เราเป็นพยาน เรารับใช้ เรานมัสการ มีชีวิตที่กระตือรือร้นอยู่ในฝ่ายวิญญาณ
แต่คริสเตียนทุกวันนี้ เราดับพระวิญญาณ และเราทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย
ส่วน การดูหมิ่นพระวิญญาณ คือ blasphemy เราไม่ทำ คริสเตียนไม่ทำเด็ดขาด
สรุปก็คือ บาปทุกชนิดของคริสเตียน เป็นบาปที่พระเจ้ายกโทษให้ได้
- (พระเจ้าต้องการยกโทษให้เรา แต่เราไม่รับการยกโทษ)
และเรื่องบาปของชาวโลกที่ไม่เชื่อพระเยซู ไม่ยอมรับพระเยซู ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าเกลียดเขา แต่เขารับการยกโทษของพระเจ้าไม่ได้ คือพระเจ้าต้องการที่จะยกโทษให้มนุษย์ทุกคน ยุคนี้เป็นยุคพระคุณ คือพระเจ้าไม่ได้บอกว่าฉันเกลียดแก ฉันไม่ชอบหน้าแก แกปฏิเสธบุตรชายของฉัน ไม่ใช่นะ แต่นี่คือการดูหมิ่นพระวิญญาณ ทำให้เราไม่สามารถที่จะรับความรอดได้ เรายืนอยู่บนพื้นฐานของการที่จะรับการยกโทษจากพระเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะไม่ยกโทษให้ หรือว่าพระเจ้าโกรธเกลียดเรา ไม่ใช่นะ
แต่เป็นการที่เราอยู่ในสภาพที่พระเจ้ายกโทษให้ไม่ได้ เหมือนกับพระเจ้าต้องการที่จะเทฝนลงมา และเรานะเอาฝาปิดโอ่งหน้าบ้านของเราเอาไว้ แล้วเราไม่สามารถที่จะรับน้ำนั้นได้ ก็คือรับความรอดรับการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข่าวประเสริฐจึงมาไม่ถึงเรา
- (เพราะเหตุพระโลหิตไม่เกี่ยวอะไรกับเรา)
และการยกโทษบาปของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้มองมาที่เราว่าเราเป็นคนดี เป็นคนไม่ดี เป็นคนบาป เป็นคนชั่ว เป็นคนยังไง เป็นอะไรไม่สำคัญ ทุกครั้งที่เราสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าจะมองไปที่พระโลหิต พระโลหิตเป็นเหตุให้พระเจ้ายกโทษให้เรา ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการทำดีทำชั่ว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไร ความบาปของเราจะมีมากน้อยแค่ไหนไม่เกี่ยว
ทุกครั้งที่เราสารภาพ พระโลหิตเป็นเหตุเป็นต้นเหตุให้พระเจ้าพระบิดายกโทษให้เรา
เพราะฉะนั้นพี่น้องบางท่านบอกว่าถ้าหากเราตั้งใจทำบาป ตั้งใจๆๆ หรือว่าถ้าหากเราทำบาปบ่อยๆ แล้วมาสารภาพเหมือนกับเล่นเกมกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะไม่ยกโทษให้ ไม่ใช่นะ เรากล้าสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าก็จะยกโทษให้เรา และเป็นความต้องการของพระเจ้า พระเจ้าต้องการที่จะแตะต้องเรา พระเจ้าต้องการที่จะทำงานอย่างต่อเนื่องในชีวิตของเรา
เพราะว่าเราทุกวันนี้ ถ้าหากเราไม่สารภาพบาป เราไม่มาหาพระเจ้า ซาตานก็มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตของเรา และดึงเราออกจากการอยู่ในพระคริสต์
เพราะฉะนั้นแล้ว การยกโทษบาป มีอยู่ทุกวันทุกเวลาทุกนาที 24 ชั่วโมง และไม่มีขีดจำกัด พระเยซูสอนเปโตรนะว่า จงยกโทษให้เขา 70×7 คือ 490 ครั้ง (มธ 18:21-22) แล้วถ้าหากว่าเรามาสารภาพบาป แค่ 5 ครั้ง 6 ครั้ง หรือ 10 ครั้ง พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้เราหรอ ลองคิดดูนะ
เราได้ยินกันบ่อยๆ นะ ว่าถ้าหากใครตั้งใจทำบาป ตั้งใจ แล้วก็มาสารภาพ พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้ หรือว่าทำบาปแล้ว กลับมาสารภาพ แล้วกลับไปทำใหม่ ไม่เปลี่ยนแปลงไม่กลับใจ พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษให้ อันนี้ไม่มี ไม่มีนะ
เราทุกวันนี้ ทุกคนก็ยังทำบาปไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าผู้ชนะได้เป็นผู้ชนะแล้ว แต่เราก็ยังทำบาปอยู่ แต่ทำบาปน้อยนะ
แล้วเรื่องของการยกโทษของพระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับการทำของเรา การกระทำดี ทำบาปทำมากทำน้อย ทำในที่ลี้ลับ ไม่สำคัญ การยกโทษของพระเจ้าอยู่ที่พระโลหิต เพราะเห็นแก่พระโลหิต มีคนจ่ายให้แล้ว คือพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 9:12 พระเยซูคริสต์นำพระโลหิตของพระองค์ ขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ เข้าไปในพระวิหารชั้นในสุด และถวายพระโลหิตแก่พระบิดา พระเจ้าจึงตั้งพระโลหิตนี้เป็นค่าไถ่บาปนิรันดร์ บาปในอดีตของเราพระเจ้าก็ยก บาปในปัจจุบันก็ยก บาปในอนาคตที่เราจะกระทำก็ยก
ขอเพียงแต่เราเอ่ยปากร้องทูลสารภาพบาปต่อพระเจ้า เสียใจนะครับ ไม่ใช่ว่าสารภาพแล้วบอกว่ายิ้มหัวเราะ ไม่ครับ เราทุกคนเสียใจใช่ไหมครับ เมื่อเราทำบาป แต่เราเนี่ยต้องกลับไปทำใหม่ ถามว่าทำไม เพราะว่าเรายังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง
เมื่อเราสารภาพบาปมากเท่าไหร่ การทำงานของพระเจ้าก็จะมีมากเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงก็จะตามมา
- (การยกโทษบาปเป็นระบบที่ทรงตั้งไว้แล้ว ฮบ 9:12; 1 ยน 1:9)
และอีกข้อหนึ่ง ก็คือการยกโทษบาปของพระเจ้า เป็นระบบ เป็น System ภาษาอังกฤษเรียกว่า System ก็คือระบบ หมายความว่ายังไง ก็คือทุกครั้งที่เราสารภาพบาปต่อพระเจ้า เราไม่ต้องรอถึง 5 นาที ถึง 10 นาที ถึงชั่วโมงนึง หรือว่ารอดูว่าเรามีอาการได้สัมผัสจากพระเจ้า มีสันติสุขมากขึ้น หรือว่ารู้สึกว่าพระเจ้าทำงานในจิตใจเรา เราก็คิดว่านั่นคือการยกโทษของพระเจ้า ไม่ใช่นะ
การยกโทษของพระเจ้าเป็นระบบ เหมือนกับเรากดสวิตซ์เปิดปิดไฟ เปิดปิดไฟในห้อง พอเรากดสวิตช์ปุ๊บห้องก็จะสว่างทันที การยกโทษบาปของพระเจ้าอยู่ที่การสารภาพของเรา เมื่อเราสารภาพเสร็จสิ้นลงเมื่อไหร่ การยกโทษก็ตามมาเมื่อนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องรอดูอาการของจิตใจเรา ว่ามีใจที่สดชื่น มีสันติสุข หรือว่าได้รับการสัมผัสจากพระเจ้า ไม่ใช่นะ แต่เป็นระบบนะ
เมื่อคำสารภาพของเราจบลง เราขอบพระคุณพระเจ้าทันที ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงยกโทษให้ข้าพระองค์แล้ว และยิ้ม ยิ้มขอบพระคุณพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้าใหม่ และเข้าอยู่ในการสนิทกับพระองค์ พูดคุย บอกรัก สรรเสริญ ยกย่อง อธิษฐานเผื่อพี่น้อง ไม่ต้องมีจิตใจที่ฟ้องผิด ไม่มี
เพราะว่าถ้าหากเรารู้ความจริงนี้แล้ว ซาตานจะทำงานมาก คือมันจะทำให้เรามีจิตใจที่ฟ้องผิด กลัว ว่าพระเจ้าคงจะไม่ยกโทษให้หรอก นี่มันเหมือนเล่นเกมกับพระเจ้าน่ะ คือมันทำให้เราเนี่ยไม่เชื่อในความจริงนี้
แต่ถ้าเราดูดีๆ 1 ยอห์น 1:9 "ถ้าหาก" ถ้าหากคือคำว่า "ถ้าหาก" if ภาษาอังกฤษ ก็คือในอนาคต พระเจ้าตรัสบอกไว้แล้วล่วงหน้าว่าถ้าหากเราจะกระทำผิด พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมจะยกโทษให้เรา คือพระเจ้าเอาความสัตย์ซื่อและความเที่ยงธรรมของพระองค์เป็นเดิมพัน รับประกันว่าจะยกโทษให้ และจะยกโทษให้บาปของเราทุกชนิด ไม่มีบาปไหนที่ไม่ยกโทษให้
เพราะฉะนั้นแล้วเราขอบพระคุณทันที เมื่อเราสารภาพเสร็จ การสารภาพของเราเสร็จสิ้นลง
- (ปัญหาเรื่องบุคคลที่สาม)
ส่วนบุคคลที่ 3 ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องจ่ายนะ คือถ้าหากสมมุติว่าเราทำผิดอีกคนคนหนึ่ง เราสารภาพบาปพระเจ้ายกโทษให้เราเรียบร้อยไม่มีอะไรไม่มีปัญหาต่อกันแล้ว แต่เราต้องจ่ายหนี้ที่เราทำกับผู้อื่น กับบุคคลที่ 3
สำหรับเรากับพระเจ้านะ เมื่อเราสารภาพบาป พระเจ้าทรงยกโทษให้เรา ไม่ว่าจะเป็นบาปไหนบาปอะไร บาปมากบาปน้อย บาปทุกชนิด พระเจ้าจะทรงยกโทษให้เรา ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่าเนื่องจากพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่พระบิดาทรงยอมรับเป็นค่าใช้หนี้บาปของเราแล้ว
แต่ว่าบุคคลที่ 3 ที่เราจะต้องจ่ายหนี้ให้เขา คือถ้าหากเราทำผิดกับใคร สำหรับเรานะครับสารภาพบาปต่อพระเจ้า ความโกรธปัญหาอะไรก็ตามที่เรามีอยู่ เราสารภาพพระเจ้าก็ยกโทษทันที แต่เนื่องจากว่าเราทำผิดกับบุคคลที่ 3 ก็คือใครสักคนหนึ่งที่เราทำผิดกับเขา เราต้องจ่ายหนี้ ก็คือการขอโทษ การยอมรับความผิด การใช้หนี้ในสิ่งที่เขาเสียหาย
แต่ว่า พระเจ้าก็ยังมีพระทัยเมตตา ถ้าหากเราขอความช่วยเหลือ ขอความเมตตา ขอพระเมตตาจากพระเจ้า พระองค์ก็อาจจะยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้หนักกลายเป็นเบา ทำให้ยากกลายเป็นง่าย หรืออาจจะไม่ต้องสูญเสียอะไรมากมาย ซึ่งสุดแล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้า
ถามว่าทำไม พระเจ้าพร้อมที่จะยกโทษให้เรา และการยกโทษของพระเจ้า 70×7 ก็คือไม่มีขีดจำกัด 490 ครั้ง ถึงเราจะนับได้ แต่แท้ที่จริงแล้วความหมาย ก็คือ 70×7 ไม่มีขีดจำกัด
เพราะฉะนั้นแล้ว การยกโทษของพระเจ้าไม่มีขีดจำกัดต่อเรา ทำไม พระเจ้าทรงทราบดีนะว่าเราจะทำบาป การเข้ามาเป็นคริสเตียน การเชื่อพระเยซู เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่การบังเกิดใหม่ในฝ่ายวิญญาณ ชีวิตเนื้อหนังไม่นับนะ ความดีของอาดัมที่เราได้มาไม่นับ
- (พระเจ้าทรงนับเฉพาะผลของพระวิญญาณเท่านั้น)
พระเจ้าต้องการให้เราเริ่มต้นจากศูนย์ จากศูนย์เลยนะ คือเริ่มจากการเป็นเด็กในฝ่ายวิญญาณ รับการเปลี่ยนแปลง รับพระนิสัย รับการชำระ ซึ่งเราจะต้องเข้าสู่กระบวนการที่อาจจะต้องใช้เวลา เนื่องจากว่าพระเจ้ารับความชอบธรรมของอาดัมไม่ได้ ความดีที่ตายแล้วเนี่ยไม่ได้ ความชอบธรรมก็ใช้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องเริ่มจากศูนย์ ไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบ บางคนที่ดีมีพื้นฐานดี เป็นคนนิสัยดี เข้ามาเป็นคริสเตียนแล้วเนี่ยก็จะได้เปรียบ อันนั้นไม่ คือพระเจ้าต้องการให้ทุกคนมีพระบุตรเป็นคนทำแทน ผลของพระวิญญาณเท่านั้นที่พระเจ้ารับได้ เพื่อการที่จะไม่มีใครเอารัดเอาเปรียบใคร
และเหตุผลที่แท้จริง ก็คือพระเจ้ายอมรับความดีที่ตายแล้วไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ และนี่แหละคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงพร้อมที่จะยกโทษให้เรา 70×7 คือเพื่อรอการเปลี่ยนแปลงที่จะมา กระบวนการการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้นแล้วพระเจ้าพร้อมที่จะยกโทษให้เรา 70×7 ไม่มีขีดจำกัด
- (เมื่อเราผิด เราต้องสารภาพบาป)
ถามว่าจำเป็นไหมที่เราจะต้องสารภาพบาป จำเป็นมากมาย เนื่องจากว่าการสารภาพบาป การยกโทษบาปของพระเจ้า เป็นสิ่งที่ก๊อป ก๊อปมาจากระบบเดิมนะ ซึ่งในพระบัญญัติเดิมมีการยกโทษบาป การถวายเครื่องบูชาไถ่บาปของคนยิว
เพราะฉะนั้นแล้ว ยุคใหม่ยุคพระคุณ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะตั้งระบบแห่งการยกโทษบาปผ่านพระโลหิต แต่เมื่อไหร่ที่เราทำผิดทำบาป เราจำเป็นที่จะต้องสารภาพบาปต่อพระเจ้า ในมัทธิวบทที่ 6:12 พระเยซูสั่งให้เราอธิษฐานสารภาพบาป เมื่อเรารู้สึกว่าเราทำผิดบาป 1 ยอห์น 1:9 พระเจ้าสั่งให้เราสารภาพบาปเมื่อเราทำผิด
พี่น้องบางคนบอกว่าหนังสือ 1 ยอห์น 2 ยอห์น 3 ยอห์น เป็นเรื่องของชาวโลก เป็นเรื่องของคนที่ไม่เชื่อ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ ถ้าหากเราจะดูใน 1 ยอห์น 5:13 ท่านยอห์นกล่าวว่า เราเขียนถึงท่านผู้เป็นบุตรพระเจ้า เราไปอ่านดูดีๆ นะครับ 1 ยอห์น 5:13 ท่านยอห์นเขียนจดหมาย 1 ยอห์น 2 ยอห์น 3 ยอห์น ถึงคริสเตียน ถึงผู้เชื่อทั้งหลาย ถึงเหล่าบุตรพระเจ้า