เรื่องเกี่ยวกับปัญหา ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราในแต่ละวันในแต่ละครั้ง ขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รู้ความจริงก็คือ
1. ไม่นานเกินไป มีกำหนดเวลา
2. ก็คือไม่หนักเกินไป คือไม่หนักเกินความอดทนของเราที่จะทนได้
ซึ่งพระเจ้ารู้ว่าเรารับได้น้ำหนักกี่กิโลสำหรับสิ่งที่เราจะแบก ก็คือปัญหาที่จะเข้ามาพระเจ้าก็ชั่งดูว่าเราจะรับได้มากน้อยเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงว่าเราจะเจ็บปางตาย หรือมันหนักมันร้ายแรงเกินไป อันนี้จะไม่มีในท่ามกลางของผู้เชื่อที่เดินไปกับพระเจ้า เอเมน
และสิ่งที่สำคัญ ก็คือเมื่อเราเจอะเจอปัญหา แน่นอนที่สุดพระเยซูก็อยู่กับเราเป็นหนึ่งเดียวร่วมกับเราและสนิทอยู่ในเรา เพราะฉะนั้นพระองค์ไม่ได้ปล่อยให้เราที่จะเจอมรสุมเพียงแค่คนเดียว พระเจ้าก็รับรู้พระเจ้าก็เห็นพระเจ้าก็รับทุกสิ่งที่เข้ามาเหมือนกัน เพราะว่าวิญญาณของพระเจ้าตอนนี้เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเราไม่ใช่ 2 แล้ว คือเป็นหนึ่งเดียว ก็เป็นหนึ่งเดียว คือไม่ใช่ 2 คือหมายเลข 1 คืออันหนึ่งอันเดียวกัน เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนี้ที่เรามีวิญญาณใหม่และพระเจ้าเข้ามาอยู่ในวิญญาณของเราและทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันแยกจากกันไม่ได้พรากจากกันไปไหนไม่ได้
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราที่จะโฟกัสไปที่ปัญหา แต่เราควรจะโฟกัสไปที่พระเยซู การโฟกัสไปที่ปัญหาเราจะล้มเราจะล่ม และถ้าหากเราโฟกัสไปที่พระเยซูเราก็จะถูกไถ่ถูกช่วยดึงขึ้นมาจากน้ำ เปโตรเมื่อเจอคลื่นมรสุมเจอคลื่นใหญ่ซัดเข้ามา เปโตรบอกว่าขอเดินไปหาพระเยซูหน่อย พระเยซูบอกว่ามาเลย เปโตรก็เริ่มลงจากเรือแล้วก็เดินไปบนหน้าน้ำ ปรากฏว่าตอนที่เดินก็คือท่านกลัวมากกลัวมากๆ เพราะว่ามันน่ากลัวคลื่นใหญ่ซัดเข้ามา ทีนี้เปโตรมองซ้ายมองขวาก็ลืมที่จะโฟกัสไปที่พระเยซูและคำพูดที่พระเยซูตรัสว่าเดินมาเลยมาหาเราเลย เขาก็จมลงไปในน้ำ แต่พระเยซูก็ยังเมตตาดึงเขาขึ้นมา
เราเมื่อเจอปัญหาเจอมรสุมชีวิตคลื่นของปัญหาเข้ามาแต่ละคลื่น หน้าที่ของเราไม่ใช่ไปมองมัน แต่หน้าที่ของเราก็คือมองไปที่พระเยซู โอ้ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเคล็ดลับสำหรับความเข้าใจสำหรับการเปิดเผยต่อพวกเราทั้งหลายที่เป็นบุตรที่รักของพระองค์ วันนี้พวกเราจะวางใจในพระองค์มองไปที่พระองค์โฟกัสไปที่พระองค์ และไม่มองที่ปัญหาเพราะว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับพวกเราทั้งหลาย แล้วพระองค์ไม่อนุญาตให้มันหนักเกินไป หนักเกินความอดทนของเรา ไม่นานเกินไปมีกำหนดเวลา แล้วพระองค์ก็เป็นผู้ปลอบประโลมเราเมื่อเราเจอกับปัญหาเหล่านั้น รักพระเยซูเอเมน
และการเป็นคริสเตียน ถ้าหากเราคาดหวังว่าเมื่อมาเชื่อพระเยซูทุกสิ่งจะราบรื่น อันนี้เราคาดหวังผิดเราเข้าใจผิดเราเชื่อผิด ในพระคัมภีร์พระเยซูยังตรัสว่าเมื่อเราโดนข่มเหงเมื่อเราเจอปัญหาเราที่เป็นนายพวกท่านทั้งหลาย แล้วลูกน้องล่ะ จะไม่เจอเลยเหรอ แน่นอนที่สุดพวกท่านก็จะเจอเหมือนกันพระเยซูตรัสเอาไว้
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้นเราก็ขอบพระคุณ เมื่อมันเกิดขึ้นอีกเราก็ขอบพระคุณอีก เมื่อมันเกิดขึ้นอีกเราก็ขอบพระคุณและสรรเสริญ เมื่อเราขอบพระคุณและสรรเสริญ ก็คือทุกสิ่งมันจะสั่นสะเทือน ปัญหาจะสั่นสะเทือน คนที่ทำร้ายเราจะสั่นสะเทือน ทุกสิ่งจะสั่นสะเทือน เพราะว่าพระเยซูยิ่งใหญ่กว่าปัญหาเหล่านั้น
เราเมื่อมองทุกสิ่งในโลกนี้ดูเหมือนว่ามันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าหากเรามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วเห็นพระที่นั่งของพระเจ้าเห็นสวรรค์ทั้งหลาย ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามันยิ่งใหญ่มากกว่าปัญหาในโลกนี้และสิ่งที่เราเห็นในโลกนี้หลายเท่า เอเมน
ถาม.
ก็อยากจะถามอาจารย์ค่ะว่า ถ้าปัญหาเราอ่ะไม่มีทางออก เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูแล้ว คือเราจะต้องทำอย่างไร คือยกให้พระองค์ทั้งหมดเลย แล้วก็วางใจกับพระองค์แล้วรอให้พระองค์ทำแทนกำหนดในทุกๆ สิ่งในชีวิตของเราใช่ไหมค่ะ คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย คือหยุด Stop ทุกอย่าง แล้วก็รอการทรงนำ รอการทำแทน รอการเปิดเผยค่ะ เอเมน
ตอบ.
สิ่งไหนที่เราอาจจะต้องทำเพื่อ เมื่อถูกบังคับ หรือเมื่อต้องแก้ไขสถานการณ์ตอนนั้น เราเชื่อว่าเราทำกับพระเยซูอยู่และเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนทำในเรามากกว่า เราเป็นคนที่ถวายอวัยวะให้พระองค์เป็นคนใช้ร่างกาย สายตา หู การตัดสินใจ พระองค์เป็นสติปัญญา แล้วก็ให้พระองค์เป็นคนทำ แล้วก็ทำไปนะครับ
ถ้าหากว่าไม่มีใครบังคับเรานะครับ เรานิ่งสงบ เราหยุดนิ่ง เราไม่เคลื่อนไหว แต่ถ้าจะเคลื่อนไหวก็คือเคลื่อนไหวไปด้วยตัวใหม่แล้วเชื่อว่าพระองค์เป็นคนทำอยู่ เอเมน
อย่าลืมนะครับว่า การช่วยเหลือของพระเจ้าเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ พระองค์เลือกที่จะช่วยเหลือตอนที่มันคือคับขัน แล้วก็ทางตันนะครับ มาถึงทางตันจริงๆ มาถึงที่ที่มันไม่มีทางออกจริงๆ อ่ะ คือตอนที่พอจะมีทางออกได้พอจะไปมาได้พอจะทำอะไรได้คิดได้พอจะเลือกทางได้ แต่ปรากฏว่าวิธีทางของพระเจ้าการช่วยเหลือของพระเจ้าจะมาก็ต่อเมื่อเราหมดทางแล้ว
ถามว่าทำไมพระเจ้าเลือกที่จะช่วยตอนที่เราหมดทาง เราหมดเรี่ยวแรง เราอ่อนแอมากจนช่วยชีวิตเราเองไม่ได้แล้ว ก็คือเพื่อให้เรารู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่เราจะต้องพึ่งพา คล้ายๆ กับเรื่องผู้ชายที่ตกน้ำที่ว่ายน้ำไม่เป็น แล้วปรากฏว่าหลายคนก็ยืนมองแล้วก็บอกเขาว่ายเอามือว่ายไปทางซ้ายไปทางขวาว่ายแบบนี้ว่ายแบบนั้น กระดิกน้ำก็สอนก็บอก แต่ไม่มีใครกระโดดลงไปช่วย แล้วบางคนจะกระโดดลงแต่มีผู้ชายคนหนึ่งเห็นเขาก็ห้าม ไม่ต้องกระโดดลงไปรอก่อน แล้วผู้ชายคนนี้ก็โกรธว่าไม่กระโดดได้ไงเขากำลังจะตายก็ต้องรีบลงไปช่วยสิ รอก่อนผู้ชายคนนั้นบอกว่าใจเย็นรอก่อนเราช่วยเขาแน่
ปรากฏว่าเขาว่ายน้ำคือทำยังไงก็จะไม่รอดแล้ว ก็คือจะจมลงไปแล้ว หมดเรี่ยวแรงแล้ว ผู้ชายคนนี้จึงตัดสินใจกระโดดลงไปแล้วดึงขึ้นมา เพราะว่าถ้าหากเราไปช่วยเขาตอนที่เขายังมีแรงอยู่ การช่วยเหลือนะครับคืออาจจะไม่สำเร็จ เขาอาจจะดึงเราไปตายด้วยกันทั้งสองใช่ไหม
คือการที่คนยังไม่มาถึงทางตัน เขาอาจจะคิดว่าเขาก็อาจจะมีทางทำดีได้ช่วยตัวเองได้ พระเจ้าก็เข้ามาช่วยนิดนึง เป็นผลงานของเขาบ้าง นี้คือสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการให้เราคิด เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการให้เราเห็น คือเราต้องยอมจำนนจริงๆ ยอมรับจริงๆ ว่าคนที่ช่วยฉันไม่ใช่ฉันเลยแม้แต่นิดเดียว ก็คือเป็นพระเจ้านี่แหละ เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงให้เรามาจนถึงทางตัน แต่ถ้าหากเราเรียนรู้ เราฝึกตลอดเวลาเรื่องการวางใจในพระเจ้า เรื่องการปล่อยวางฉันจะไม่เคลื่อนไหว แต่ถ้าจะเคลื่อนไหวก็คือเชื่อว่าฉันเป็นคนใหม่แล้วพระคริสต์เป็นคนที่เคลื่อนไหวในฉัน ก็ทำนะครับ
การฝึกในการวางใจพระเจ้าแบบนี้นะครับ ซึ่งหลายครั้งที่พระเจ้าอาจจะไม่นำเรามาจนถึงทางตันก็ได้ ขอบคุณพระเยซูเอเมน
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมจำไม่เคยลืม เพราะว่ามันเป็นบทเรียนที่ผมใช้อยู่เสมอกับการเดินในฝ่ายวิญญาณ คือผมสมัยที่ตอนยังเป็นเด็ก 5-6 ขวบ คือเป็นคนที่หัวดื้อมากชอบไปกวนคนนู้นคนนี้แล้วไปกวนไม่ใช่กวนเด็กอายุเท่ากัน ก็คือกวนผู้ใหญ่ ก็คือไปตีเขาแล้วก็วิ่งหนี ปรากฏว่าเขาก็วิ่งตามเขาก็จะมาตีผมนะครับ ผมก็วิ่งหนี แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งผมก็เดินไปแล้วก็เห็นผู้ชายคนนึงผมก็ไปตีเขา เขาก็วิ่งตามจะตีผม ปรากฏว่าผมวิ่งไปๆๆๆ เขาก็วิ่งตามมา พอดีมาจนถึงจุดที่ผมคือเหนื่อยไม่ไหวแล้ว แล้วก็กำลังจะหยุดแล้วจะหันไปบอกว่ายอมแล้วๆ มาตีเถอะ ปรากฏว่าพอหยุดนะครับหยุดวิ่งแล้วก็หันไปมองกำลังจะเอ่ยปากบอกว่ายอมแล้ว ปรากฏว่าผู้ชายคนนั้นก็เดินหนี
เมื่อเรามาถึงทางตัน ทางตันไม่ได้หมายความว่ามันคือความพ่ายแพ้น่ะ แต่สำหรับพระเจ้าเมื่อเรามนุษย์มาถึงทางตัน มันคือการเริ่มต้นสู่ชัยชนะของพระเจ้าที่ทำกับเราทำในเรา
ชีวิตที่มีแต่ความสุขชีวิตที่มีแต่สันติสุขชีวิตสวรรค์บนดินนะครับมันอยู่ที่นี่ อยู่ที่สองคนสนิทในกันและกัน
พระเจ้าไม่เคยมุสาคำตรัสของพระเจ้าเป็นความจริงเสมอ จงสนิทในเราแล้วเราก็สนิทในเจ้าแล้วเจ้าจะเกิดผลมาก
ขอบคุณพระเยซูสำหรับถ้อยคำนี้ที่เกิดขึ้นที่เป็นจริงในชีวิตของผู้เชื่อที่ฝึกเดินแล้วขยับเข้ามา เข้าใกล้พระเจ้า สนิทในพระเจ้า
แล้วขอบคุณพระเจ้าสำหรับบุตรของพระองค์ที่ผ่านเรื่องราวการฝึก และพระองค์ให้บทเรียน
และขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความรักของพระองค์พระคุณของพระองค์พระเมตตาของพระองค์
และการแตะเพียงครั้งเดียวของพระองค์เท่านั้น ฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์จะทำให้ลูกบุตรคนนี้หายดี
วันไหนที่พระองค์เห็นว่าเป็นวันที่พระองค์ทรงกำหนด การแตะครั้งเดียว
พวกเราทุกคนเชื่อวางใจและขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จเอเมน
ทั้งพี่น้องที่ป่วยที่ไม่สบายทุกๆ คนที่อยู่กับพวกเราด้วย เอเมนพระเยซูพวกเรารักพระองค์
2 สัปดาห์ที่ผ่านมานะครับขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาใจเราให้รู้มากขึ้นและเข้าใจมากขึ้นเข้าสู่ประสบการณ์มากขึ้น
เรื่องแรก การเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า be one with God
เรื่องที่ 2 ร่วมกันกับพระเจ้า ก็คือ join with the Lord
เรื่องที่ 3 ก็คือเรื่องการสามัคคีธรรมที่เราขาดไม่ได้ในแต่ละชั่วโมง ก็คือ abide in Him สนิทในพระองค์พระองค์สนิทในเรา
แล้วสิ่งที่สอง ก็คือผมอยากจะบอกพวกเรานะครับว่า พระเจ้าทรงเรียกเรามาให้รอดนี่เป็นแผนการของพระเจ้า พระเจ้าทรงเลือกเรามาให้เข้าสู่การชำระ หรือแยกออก เรียกว่า sanctified เพื่อให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่เลิกจากการทำบาปในแต่ละวัน เพื่อเข้าสู่สง่าราศีทั้งในชีวิตนี้ และชีวิตหน้า ก็คือเข้าสู่ glorified เอเมน
ตั้งแต่วันที่เราเชื่อชีวิตของเราอยู่ภายใต้การดูแลและแผนการงานของพระองค์ ทุกสิ่งจะสำเร็จในผู้เชื่อทุกคนตามที่พระเจ้ามองเห็นตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลก เพราะฉะนั้นเมื่อรู้เราจึงวางใจในพระองค์ และปล่อยวางกับชีวิตการอธิษฐานการรับใช้การกระทำทุกสิ่งเราวางไว้ที่พระเจ้า คือคนมันรู้แล้วใช่ไหมว่าทุกสิ่งจะเกิดพระเจ้าเป็นคนกำหนด อันนี้ไม่ใช่พรหมลิขิตอันนี้ไม่ใช่ดวงชะตาลิขิต แต่เรียกว่าพระเจ้าลิขิต เอเมน
เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เราเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เข้าสู่การลิขิตของพระเจ้า พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่งทรงรู้ทุกสิ่ง และเลือกเรียกชำระตามที่พระองค์เห็นว่าใครที่สมควรจะรับมรดก ใครที่สมควรจะรับอาณาจักร ใครที่สมควรจะรอดเฉยๆ ใครที่สมควรจะรับอะไร ก็คือพระเจ้ากำหนดไว้ทุกสิ่งแล้ว แล้วเราจะไปห่วงทำไม ก็คือปล่อยวาง สงบนิ่งปล่อยวาง
แต่ก่อนเราถามพระเจ้า เรามักจะถามใช่ไหมว่าทำไม ทำไม ทำไมอันนี้เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทำแบบนี้พระองค์ทำแบบนั้นทำไม ทำไม แต่เดี๋ยวนี้เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งพระเจ้ากำหนดตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างโลกแล้ว เราอธิษฐานคำเดียวนะครับ “ว่าพระองค์ทำเถิด” เราไม่พูดว่าทำไมแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เราพูดว่า “ทำเถิดพระองค์ ทำเถิด ให้มันเข้ามา ข้าพระองค์ขอบพระคุณที่มันเข้ามา พระองค์อนุญาตให้เข้ามา พระองค์ทำเถิด” เลิก "ทำไม" แต่พูดว่า "ทำเถอะ" แทนที่
แล้วชีวิตของเราจะพบสวรรค์บนดินชีวิตของเราจะพบความแตกต่าง อยู่ในทางของพระเจ้าอยู่ในพระคริสต์อยู่ในพระพรอยู่ในการดูแลปกปักรักษาเอาใจใส่เลี้ยงดูเสริมสร้างก่อขึ้น สุดท้ายเราก็เป็นผู้ชนะ เคล็ดลับก็คือเลิกพูดว่าทำไม แต่เริ่มมาพูดว่าทำเถิด
แล้วสำหรับเรื่องการข่มเหง ก็คือปัญหาก็ดี มรสุมชีวิตก็ดี ที่เข้ามาล้วนแต่พระเจ้าอนุญาตอันนี้เรารู้กันดีเราเข้าใจ ขอพระเจ้าเปิดตาเราเข้าสู่ประสบการณ์นี้
อย่าลืมนะครับว่าสิ่งเหล่านี้ปัญหาการข่มเหงมัน คือแสงแดด เพื่อเราจะเข้มแข็ง และเพื่อพิสูจน์ว่าเราจะไม่ทิ้งพระเจ้าเมื่อเราเจอมรสุมชีวิตหรือเจอปัญหาเราจะไม่ทิ้งพระเจ้าเราจะไม่บ่นว่า แต่ขอบพระคุณและรักพระองค์แทนที่ เบื้องหลังนะครับก็คือบำเหน็จพระพร
เมื่อเราผ่านมันไปได้โดยพระคริสต์อยู่ในเรา โดยพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกับเรา โดยเราร่วมกับพระคริสต์ พระคริสต์ร่วมกับเรา และโดยที่เราสามัคคีธรรมไม่ขาด เพื่อรับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เต็มล้นด้วยสันติสุข เต็มล้นด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ที่เราจะทนกับทุกสิ่งได้ เอเมนพระเยซู
และอีกครั้ง เราที่มาเชื่อพระเจ้าเป็นคริสเตียน อย่าคิดหรือคาดหวังว่าพี่น้องผู้เชื่อด้วยกันจะไม่ทำร้ายทำลายเรา มนุษย์ที่ยังไม่ได้รับการชำระหรือพูดจริงๆ แล้วก็คือไม่มีอะไรที่แน่นอน วันนี้คนนี้รักเรา รักมากด้วย เราก็รักเขา ดีต่อกัน แต่อีกวันนึงการเปลี่ยนแปลงก็มา เขาเกลียดเรา เขาอาจจะหันกลับมาทำร้ายเราทำลายเราก็เป็นได้ คือมันเกิดขึ้นมากับหลายคนแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่มีอะไรแน่นอน
สำหรับผมตั้งแต่ประกาศมานาฯ มาจนถึงทุกวันนี้ ผมเห็นคนที่รักมากๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็กลับมาเกลียดชัง ผมเห็นคนที่เลื่อมใสในพระคำแห่งความจริงนี้ แล้วอยู่ดีๆ ก็หันมาต่อต้าน คือประสบการณ์นี้เนี่ยผมเจอมาเยอะนะครับ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคาดหวังว่าวันนี้ที่เขารักเรา ไม่ทำร้ายทำลายเรา และช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี แต่อีกวันนึงเขาเป็นในสิ่งที่เป็นตรงข้าม เพราะฉะนั้นการปล่อยวาง การทำใจ เป็นสิ่งที่เราควรจะทำ
เราที่เป็นบุตรที่รักของพระบิดา แน่นอนครับ เราจะไม่ทำร้ายไม่ทำลายใคร เราเดินด้วยความรัก
เรายกโทษอภัย 7 ครั้งต่อสัปดาห์โอเคไหมครับ (เอเมน) โอเคหรอแค่ 7 ครั้งพอเหรอครับ !
ต้อง 70×7 นะครับ ฝากขอให้ฟังให้ดีนะครับ เรา 7 ครั้งไม่พอนะครับ แต่ 70×7
ถ้า 7 ครั้งก็คือไปเป็นศิษย์ของเปโตร แต่ศิษย์ของพระเยซูสาวกของพระเยซูก็คือ 70×7 เอเมน
แล้วอย่าลืมเมื่อเราอภัยให้เขา เรายกโทษให้เขา เราไม่ถือสา เรารักเขา มันจะเกิดอะไรขึ้น พระบิดานะครับตรัสว่าการแก้แค้นเป็นของใคร (พระเจ้า) สนามรบเป็นของใคร (พระเจ้า) ขอบคุณพระเจ้าเราไม่ต้องทำอะไรพระเจ้าเป็นคนแก้แค้นพระเจ้าเป็นคนตอบแทนพระเจ้าเป็นคนทำทุกสิ่ง อย่าลืมพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความเที่ยงธรรม เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม และเป็นพระเจ้าแห่งความชอบธรรม
3 สิ่งนี้ ความชอบธรรม ความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม จะทำให้เราไม่เสียเปรียบในวันที่พระองค์เสด็จกลับมา ตอนนี้เราอาจจะเหมือนว่าเป็นคนที่เสียเปรียบถูกกลั่นแกล้งถูกทำร้ายทำลาย ความชอบธรรมไม่เห็นมีความยุติธรรมเที่ยงธรรมไม่เห็นมี แต่อย่าลืมนะครับเมื่อถึงเวลากำหนดพระเจ้า ผู้ชอบธรรมเที่ยงธรรม และยุติธรรม จะนำผลตอบแทนอย่างสะสมให้คนที่ทำดี และให้คนที่ทำไม่ดีกับเรา
เรื่องเปาโลก็ดีที่ถูกข่มเหงถูกหาเรื่องใส่ร้ายจากพวกยิวที่ต้องการฆ่าท่าน แล้วสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับพระเยซูในสมัยที่พระเยซูถูกจับ คือมีพระคัมภีร์อยู่ตอนหนึ่งในมัทธิวบทที่ 27:25 “แล้วประชาชนทุกคนตอบ และกล่าวว่าให้โลหิตของเขา ให้โลหิตของพระเยซูนะครับ ตกอยู่บนพวกเราและบนบุตรทั้งหลายของพวกเราเถิด” พวกยิวต้องการที่จะฆ่าพระเยซูประหารพระเยซูให้ตายเพื่อกำจัดพระเยซู เขายอมนะครับที่จะสาบานว่าให้โลหิตของผู้ชายคนนี้ตกอยู่บนพวกเราและบนลูกหลานทั้งหลายของพวกเราเถิด
เราจะเห็นว่าตั้งแต่ ค.ศ. 70 จนถึงทุกวันนี้ ฟังดีๆ นะครับตั้งแต่ ค.ศ. 70 จนถึงทุกวันนี้ แล้วยังจะมีมาอีกจนสิ้นยุค ก็คือยิวต้องรับผล โลหิตของพระเยซูตกบนพวกเขาแล้ว แล้วลูกหลานทั้งหลายของพวกเขาทุกวันนี้ก็ได้รับผลนะครับ ซึ่งไม่เคยอยู่ในความสงบ บ้านเมืองวุ่นวายตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วจนถึงทุกวันนี้ สงครามไปตีกับบ้านโน้นไปตีกับเมืองนี้ไปทะเลาะกับคนนู้นคนนี้ แล้วความสุขมันไม่มีความสงบบ้านเมืองไม่มี เป็นผลที่เขาได้รับจากการที่เขาประหารชีวิตพระเยซู และเมื่อเขาทำร้ายเปาโล ก็เหมือนกันเขาก็ได้รับผลตอบแทนเหมือนกัน
และอย่าลืมนะครับขอบคุณพระเจ้า เมื่อใครที่วางแผนทำร้ายทำลายเราโดยเขาเอง หรือโดยยืมมือของผู้อื่น เขาก็จะได้กินผลเพราะว่าโลหิตของเราตกอยู่บนพวกเขา
สำหรับเราที่เป็นบุตรพระเจ้า สรุปสุดท้ายของวันนี้นะครับ
การดำเนินชีวิตของบุตรพระเจ้า เมื่อศัตรูผู้ข่มเหงเข้ามาหาเรา เราจะทำยังไง
เขาเข้ามาหาเรา เพื่อเราจะรักเขา
คนที่เกลียดชังมาหาเราทำไม ก็เพื่อเราจะรักและอภัยให้เขา
คนบาปมาหาเรา เพื่อเราจะทำดีกับเขาและเพื่อส่องสว่างความสว่างของพระเจ้าไปถึงเขา
คนที่พูดใส่พูดประชดประชันพูดให้เราเจ็บมาหาเราทำไม เพื่อเราจะพูดด้วยรสเค็มไม่ใช่ไปตอบโต้ไม่ใช่ไปโต้เถียง ไม่ได้ไปต่อสู้กันไปตีกัน แต่เพื่อให้เราพูดด้วยรสเค็ม
คนที่ชอบเอาเปรียบมาหาเรามาทำไม ก็เพื่อเราจะฝึกเดินเรื่องยอมเสียเปรียบไง
คนที่ชอบถกเถียงมาหาเราทำไม ก็เพื่อเราจะฝึกที่จะสงบนิ่ง ไม่ต่อสู้ไม่ถกเถียง แต่สร้างสันติ บุตรที่รักของพระเจ้าคือคนที่อยู่เพื่อสร้างสันติ แล้วใครที่สร้างสันติอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นของคนนั้น มัทธิวบทที่ 5 เอเมน
เพราะฉะนั้นชีวิตคริสเตียนเรา บุตรที่รักของพระเจ้าเราเดินด้วย 1 โครินธ์บทที่ 13 ความรักก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่จดจำความผิด เราทำดีต่อผู้อื่น นี่คือการใช้ชีวิตด้วยความรัก
คริสเตียนเป็นนักรัก ไม่ใช่นักรบ
คริสเตียนเป็นนักรัก ไม่ใช่นักทะเลาะ
คริสเตียนเป็นนักรัก ไม่ใช่เป็นนักหาเรื่อง
คริสเตียนเป็นนักต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบไม่ใช่ผู้ที่อวด หยิ่งผยองพองตัว โกรธโมโหร้าย แต่คริสเตียนเป็นนักรัก
เอเมนพระเยซูขอบพระคุณพระองค์ที่สอนพวกเราในวันนี้ให้เข้าใจการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่แท้จริง
เพื่อผู้ที่ข่มเหงมาหาเรา เราจะรักเขา
เพื่อผู้ที่เกลียดชังมาหาเรา เราก็จะรักและอภัยให้เขา เพื่อคนบาปมาหาเรา เราจะทำดีกับเขา
เพื่อคนที่พูดใส่ประชดประชันพูดให้เราเจ็บ เราก็จะพูดด้วยรสเค็ม ก็คือพูดด้วยความดีเอาความดีสู้
และเพื่อคนที่ชอบเอาเปรียบมาหาเรา เราจะฝึกในการเดินแบบยอมเสียเปรียบ
คนที่ชอบถกเถียงมาหาเรา เราก็จะฝึกเรื่องการนิ่งสงบสร้างสันติ ขอบคุณพระเยซู
แล้วสุดท้ายเมื่อเราทำแบบนี้ได้ พระเยซูตรัสว่า อาณาจักรก็เป็นของเรา จงมารับอาณาจักรเถิด
ถาม.
อาจารย์คะอยากจะถามว่าก่อนที่จะสร้างโลก ก่อนที่จะมีลูซิเฟอร์ที่ถูกครอบงำด้วยความบาปและเป็นมารซาตานในตอนนี้ ความบาปมาจากไหนคะ ก่อนสร้างโลกก็มีแต่พระเจ้าองค์เดียว แล้วบาปตัวเนี้ยมันมาจากไหนคะอาจารย์ เอเมนค่ะ
ตอบ.
ก่อนที่ผมจะตอบนะครับว่าความบาปมาจากไหน เราต้องเข้าใจความหมายของคำว่า บาป ก่อน
จริงๆ แล้วความบาปไม่น่าจะมีและไม่ควรจะมี แต่เมื่อใครสักคนนึงทำผิดต่ออีกคนหนึ่ง เรียกว่าคนนั้นได้ทำผิดหรือทำบาปต่อคนคนนั้น สำหรับพระเจ้านะครับสำหรับพระคัมภีร์ ความบาป คือการทำในสิ่งที่ผิดเป้าหมาย ผิดเป้า พระเจ้าบอกให้เราเดินไปที่หนึ่ง แต่เรากลับเดินไปอีกที่นึง อันนี้เรียกว่า บาป ในพระคัมภีร์ไม่ใช้คำว่า บาป นะครับ แต่ใช้คำว่า ผิดเป้า หรือ ไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะทำ เราเข้าใจกันนะครับ
ความบาป คำว่า บาป จริงๆ แล้วไม่มีในพระคัมภีร์เดิมนะครับ ความหมายก็คือการทำในสิ่งที่ เราทำในสิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำแต่เราไม่ทำ อีกคำนึงที่ภาษาอังกฤษแปลก็คือ ผิดเป้า คือคนที่ยิงธนูยิงไปใส่เป้า แต่ปรากฏว่ายิงออกนอกเป้า พลาดเป้า ก็คือเรียกว่า ความบาป
สำหรับคริสเตียนเมื่อพระเจ้าต้องการให้เราทำแบบนี้ แต่เราทำอีกแบบนึง พระเจ้าต้องการให้เราพูดแบบนึง แต่เราพูดอีกแบบนึง อันนี้เรียกว่า ความบาป ครับผม
แล้วความบาปมันมาจากไหน เมื่อพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงไม่มีคำว่าผิดบาปไม่มีคำว่าพลาดเป้าหรือไม่มีคำคนที่ขัดใจพระเจ้า ทุกคนทูตสวรรค์ทุกตนทำตามที่พระเจ้าต้องการ ทุกคนโอเคหมด ทุกตนโอเคหมด แต่มีวิญญาณดวงหนึ่งที่พระเจ้าสร้างมันก็คือลูซิเฟอร์ มันก็เป็นวิญญาณแห่งการอารักขาเป็นทูตสวรรค์เป็นคนที่อารักขาพระเจ้า ปรากฏว่าเมื่อลูซิเฟอร์ได้รับตำแหน่ง แล้วพระเจ้าก็ใส่อำนาจฤทธิ์เดชให้เขามีเยอะมาก ปรากฏว่าเมื่อเขามองไปที่ตัวเขา เขาก็เกิดมีความคิด เกิดมีความคิดว่าเอ๊ะเราเนี่ยก็มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่นะ เราก็เก่งอยู่นะ เราก็ฉลาดอยู่นะ ถ้าหากเราเป็นพระเจ้าเองเนี่ยมันจะผิดอะไร
การคิดแบบนี้มันก็เกิดความบาปขึ้นมา การเกิดการคิดที่พลาดเป้าขึ้นมา ไม่ได้คิดเหมือนที่พระเจ้าคิด ไม่ได้คิดที่จะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า พระเจ้าเมื่อสร้างทูตสวรรค์ทั้งหลายพระเจ้าตรัสว่า จงอยู่กับเรา จงซื่อสัตย์ต่อเรา จงรักเรา จงทำทุกสิ่งที่เราสั่งให้พวกเจ้าทำ เราสร้างพวกเจ้าขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่แบบนี้ แบบนี้ แบบนี้ แล้วทูตสวรรค์ทุกตนก็เกรงขามก็ยำเกรงพระเจ้า แต่ทูตสวรรค์ตนนี้ก็คือลูซิเฟอร์มองเห็นว่าเอ๊ะมันไม่จำเป็นมั้งที่เราจะต้องเชื่อฟังพระเจ้าองค์นี้ มันไม่จำเป็นมั้งเพราะว่าเราก็ดูเหมือนว่าจะแข็งแรงมีพลังที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน เขาน่าจะลองทดสอบดูนะครับฤทธิ์อำนาจของเขาเห็นว่าทำอะไรหลายอย่างได้
เพราะฉะนั้นความหยิ่งผยองพองตัว ความอวดตัว ความคิดที่อยากเป็นพระเจ้าที่อยากเป็นใหญ่ก็เกิดขึ้น มันไม่รู้นะครับหรือมันอาจจะรู้ก็เป็นได้ ที่พระเจ้ารู้จักความคิดของมัน พระเจ้าจึงต้องลงโทษมันก็คือให้มันออกจากตำแหน่ง แล้วก็สุดท้ายก็ไล่ลงมาไล่ออกจากสวรรค์ แล้วเมื่อพระเจ้าสร้างโลกมันก็เข้ามาในโลกนี้ นี่คือการเริ่มต้นของคำว่าบาป แต่ความบาปที่แท้จริงเนี่ยไม่มีคำนี้นะครับ ก็คือเป็นการพลาดเป้า คือการทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบให้ทำไม่อยากให้ทำ เอเมน
ถาม.
ถามนิดนึงค่ะ แล้วทูตสวรรค์นี่เขามีความคิดเป็นของตัวเองด้วยเหรอคะ
ตอบ.
ทูตสวรรค์ทุกตนนะครับ ถูกสร้างขึ้นมาและกำหนดให้มีสิทธิเสรีภาพในการเลือกในการคิดในการตัดสินใจว่าจะติดตามพระเจ้าหรือจะไม่ติดตามพระเจ้าก็ได้ เขามีสิทธิ์นะครับ แล้วทูตสวรรค์ส่วนมาก 2 ใน 3 ที่มองเห็นว่าเมื่อพระเจ้าสร้างฉัน แล้วพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่ฉันก็เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แล้วมันเป็นการคิดที่ไม่ฉลาดเลยที่จะกบฏหรือที่จะคิดที่จะแย่งอำนาจของพระองค์ ก็ขอเป็นบุตรพระเจ้าและรับใช้พระเจ้าต่อไปดีกว่า มันสบายกว่าไม่มีอะไรที่จะเดือดร้อน ตรงข้ามกับทูตสวรรค์ตนหนึ่งใช่ไหมที่กบฏ ก็คือมันคิดแตกต่าง ความบาปเกิดจากซาตานที่คิดต่าง ก็แค่นั้นเอง
ถาม.
แสดงว่าบาปไม่มีตัวตนใช่ไหมคะอาจารย์
ตอบ.
บาปไม่มีตัวตนนะครับ บาปไม่มีตัวตน บาปไม่มีคำพูดที่เป็นคำที่เราใช้เหมือนทุกวันนี้ที่พระคัมภีร์ใหม่ใช้คำว่า บาป
คำว่า บาป ในพระคัมภีร์เดิมไม่มี sin ไม่มีบาปนะครับ แต่ภาษาฮีบรูนะครับแปลว่า พลาดเป้า ก็คือพระเจ้าบอกให้ทำแบบนึง เราไปทำอีกแบบนึง อันนี้เรียกว่าพลาดเป้า คือพระเจ้าต้องการให้เรายิงธนูใส่เป้า แต่เรายิงออกนอกเป้านะครับ เรียกว่าพลาดเป้า
ถาม.
เพราะว่าจำได้ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ แล้วก็พระองค์ลงไปในความบาปที่ว่า ความบาปเหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน แสดงว่าความบาปไม่ได้มีอยู่จริง แต่ว่าความบาปเป็นแค่ความคิดที่พลาดเป้าอย่างที่อาจารย์พูด เลยกลายเป็นของเสียใช่ไหมคะ มันกลายเป็นของเสียก็คือของที่ตายไปแล้ว คือมันไม่มีฤทธิ์เดชอะไรใช่ไหมคะ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรานั้นผิดเป้าหมายจากสิ่งที่พระเจ้าตั้งเอาไว้ มันเลยทำให้สิ่งที่ทำไปนั้นสูญเสียเปล่าไม่มีประโยชน์ใช่ไหมคะหรือว่ายังไง เอเมนค่ะ
ตอบ.
ผมจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับความบาป เพื่อให้เราเข้าใจกระจ่างนะครับ
...
สำหรับมนุษย์ สำหรับมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาแล้วไม่มีพระบัญญัติ ไม่ใช่ชาวยิวไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติของโมเสสนะครับ เมื่อเขาไม่รักษาพระบัญญัติพระเจ้าไม่ถือว่าเขาบาป เข้าใจไหม เมื่อเขาไม่รักษาพระบัญญัติเพราะว่าเขาไม่ใช่ชาวยิว พระเจ้าไม่ได้ถือว่าเขาบาปต่อพระบัญญัติ ฟังให้ดีนะครับ แต่เขาบาปต่ออะไร เขาบาปต่อการใช้ชีวิตที่ไม่มีพระเจ้า เป็นชีวิตที่พลาดเป้า ทุกคนที่เกิดมาต้องมีพระเจ้า ต้องอยู่กับพระเจ้า ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ต้องเดินไปกับพระเจ้า แต่เขาไม่เดินเขาไม่เป็นหนึ่งเดียวเขาไม่รู้จักพระเจ้าอันนี้เรียกว่าพลาดเป้า ก็คือความบาปของคนที่ไม่เชื่อ
...
ส่วนชาวยิวนะครับเขาทำบาปตรงไหน ชาวยิวทำบาปก็เพราะว่าเขาละเมิดพระบัญญัติ เข้าใจนะครับ
...
แล้วทีนี้คริสเตียน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าเราเป็นคริสเตียน เราอยู่ในยุคพระคุณที่อาศัยพระเยซูเป็นผู้ที่ไถ่บาปไถ่พวกเราให้รอด คริสเตียนทำบาปอะไร คริสเตียนทำบาปคือเขาทำด้วยตัวเก่า คริสเตียนทำบาปคือเขาทำด้วยหวังผล คริสเตียนที่ทำบาปคือเขาทำเพราะว่าเขาไม่รู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้า
เราจำกันได้ไหมพระเยซูเสด็จมา แล้วมีผู้เชื่อมากมายเต็มมายืนอยู่ต่อหน้าพระเยซู แล้วแต่ละคนรู้ว่าไม่ได้เข้าไปในอาณาจักร เขาก็ต่อว่าพระเยซู พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์รักษาโรค นี่แหน่ะ ข้าพระองค์ไล่ผี นี่แหน่ะ ข้าพระองค์ประกาศข่าวประเสริฐ นี่แหน่ะ ข้าพระองค์ทำมากมายหลายสิ่งต่อพระองค์ไม่ใช่หรือ พระเยซูตรัสว่ายังไงครับ เชิญเข้ามาๆๆ ไม่นะครับ พระเยซูตรัสว่าจงถอยไปเราไม่รู้จักเจ้า เจ้าผู้กระทำการชั่วร้าย ก็คือการไม่อยู่ภายใต้พระบัญญัติใหม่ของพระเยซู (มธ 7:21-23)
เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าในอาณาจักร ไม่ใช่คนที่ทำดีนะ แต่คนที่จะเข้าไปในอาณาจักรก็คือคนที่ทำตามใจพระเจ้า
เราจะทำดีแค่ไหนก็ตามแต่เราไม่ได้ทำดีเพื่อพระเจ้าไม่ได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเจ้าไม่ได้รับเกียรติ ความดีของเรานะครับเรียกว่าไม้ฟางหญ้าแห้ง คือเป็นการทำดีที่พระเจ้ารับไม่ได้และพระเจ้าไม่รับและไม่มีผลตอบแทนไม่มีบำเหน็จให้
นี่คือความบาปของคริสเตียนที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ เขาคิดว่าเขาทำตามใจพระเจ้าแล้ว เขาคิดว่าเขาทำในสิ่งที่ดีแล้ว อะไรดีก็ทำเถิด อาจารย์หลายท่านนะครับผมก็เคยได้ยิน ไปโบสถ์ตอนไหนเมื่อไหร่เขาก็บอกว่าอะไรที่มันดีก็ทำเถิดมันเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ เราไปประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าบอกให้เราไปเมืองนี้ เราไปอีกเมืองนี้ พระเจ้าส่งให้เราไปหนองคาย เราไปขอนแก่น อันนี้ใช่ก็คือไปประกาศข่าวประเสริฐก็คือมันดี แต่มันเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าไหม
คริสเตียนนะครับเราต้องเรียนรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า คริสเตียนนะครับเราต้องเรียนรู้ที่จะฝึกในการฟัง ฟังนะครับเป็นสิ่งที่ดี การฟังเนี่ยก็คือการรู้ใจพระเจ้า การฟังก็คือการรู้ว่าพระเจ้าอยากบอกอะไร อยากให้เราทำอะไร ถ้าพระเจ้าบอกว่านิ่งก็นิ่ง ถ้าพระเจ้าไม่สั่งเราไม่ไป ถ้าพระเจ้าไม่พูดเราไม่ทำเอเมน นี่นะครับคือการใช้ชีวิตที่เป็นตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
ถาม.
เข้าใจแล้วค่ะ แสดงว่าทุกสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ก็คือทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็คือว่ามนุษย์คนเราน่ะพอเชื่อพระเจ้าเลยกลายเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อนี้เป็นเรื่องจริง ก็ขอบคุณพระเยซูที่พระองค์เปิดตาเราให้เราเข้าใจนะคะ เพราะว่าความเชื่ออย่างเดียวค่ะ ความประพฤติของเรานั้นจะตามมาโดยที่พระองค์ทำแทนจริงๆ ค่ะเพราะว่าความเป็นมนุษย์นี่มีอิสระในความคิด พอความคิดของเราไม่ได้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าเราก็กลายเป็นบาป ซึ่งบาปนั้นก็คือว่าตายแล้วบาปก็คือความตายที่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร แต่เป็นความตายอาจจะเวลาเราทำผิดแล้วอาจจะตายด้านฝ่ายวิญญาณ คือเคยทำอ่ะ เคยทำผิดจนตายด้าน เขาเรียกว่าด้านชาในการกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นั่นคือบาป นั่นที่เข้าใจที่อาจารย์บรรยายมาก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นใช่ไหมคะ ขอบคุณพระเยซูเอเมนค่ะ
ตอบ.
คือเมื่อเรามาถึงจุดที่เป็นบทเรียนที่สุดยอดของบทเรียน เป็น the best of the best ของบทเรียนที่เรามาถึงการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ร่วมกับพระเจ้า และสนิทในพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ
ก็คือคริสเตียนเรานะครับจะไปสร้างโบสถ์ 100 หลัง 100 แห่ง หรือไปประกาศได้คนมาเชื่อ 100 คน 1,000 คน 10,000 คน แต่ถ้าหากว่าพระเจ้าไม่ได้สั่งไม่ได้บอกให้เราไปทำ ผลงานของเรามันจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเอามากองต่อหน้าพระเจ้า มันจะถูกเผาทิ้งถูกไหม้ทั้งหมดไม่เหลืออะไร
แต่ถ้าหากคุณนั่งสงบนิ่งรอคำตอบรอคำสั่งจากพระเจ้าและพระเจ้าตรัสว่าจงสร้างคริสตจักรนี้ที่จะมี 5 คน 10 คน จงไปสร้าง เมื่อถึงเวลาเราก็ไปตามที่พระองค์สั่ง แล้วการสร้างคริสตจักรของเราเราเอาผลงานมาสั่งปรากฏว่ามันเป็นทองคำเป็นเงินเป็นเพชรพลอย คุ้มค่าไหมครับ
เราทำร้อยพันครั้งแต่ทำด้วยที่พระเจ้าไม่ได้สั่งไม่ได้บอก กับอีกอย่างนึงก็คือเราทำครั้งเดียวแต่พระเจ้าสั่ง อันไหนคุ้มค่ากว่าอันไหนดีกว่าครับ (พระเจ้าสั่ง) แน่นอนครับ
ชีวิตคริสเตียนพระเจ้าไม่ได้ต้องการอะไร
พระเจ้าต้องการให้พระบุตรเป็นคนดำเนินชีวิตอยู่ในเรา
พระเจ้าต้องการให้พระบุตรเป็นคนไป
พระเจ้าต้องการให้พระบุตรเป็นคนพูด
พระเจ้าต้องการให้พระบุตรสำแดงชีวิตของพระองค์ผ่านเรา
ไม่ใช่เราทำดีต่อหน้ามนุษย์ด้วยกำลังด้วยความดีของเราเอง
ไม่ใช่เราประกาศด้วยคำพูดด้วยลิ้นของเราเอง
ไม่ใช่เราไปสร้างโบสถ์ด้วยฝีมือของเราเองเพื่อเราจะอวดได้ไง
แต่พระเจ้าต้องการให้พระบุตรของพระองค์เป็นคนทำทุกสิ่งเพื่อพระบุตรจะได้รับเกียรติแต่เพียงผู้เดียว เอเมน
เพราะฉะนั้นชีวิตของพวกเราตั้งแต่เช้าจนค่ำ “พระเยซูทำเถิด พระเยซูทำเถิด” เมื่อเราทำผิดเราทำบาปเราออกนอกพลาดเป้า เราก็พูดนะครับเดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อนๆๆๆ เอ๊ะตอนนี้ใครเป็นคนใช้ชีวิตอยู่ ตัวเก่าหรือตัวใหม่ เอ๊ะตอนนี้ใครคิดอยู่ คนเก่าหรือคนใหม่หรือพระคริสต์คิดอยู่ เอ๊ะเดี๋ยว เดี๋ยวๆๆๆ ตอนนี้เราโมโหเราโกรธอยู่แสดงว่าพระคริสต์ไม่ได้ร่วมกับเราไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับเรา และเราก็ไม่ได้สนิทกับพระองค์ ถ้าเราสนิทเราก็ทำ (โกรธ) ไม่ได้ เดี๋ยวๆๆ คือคำว่าเดี๋ยวๆๆๆ เป็นการฝึกที่ใช้ได้ดีนะครับ เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่าพระองค์เคลื่อนไหวอยู่ไหม พระองค์ทำอยู่ไหม เราให้พระบุตรเป็นพระเอก ไม่ใช่เราเป็นพระเอก เอเมน
เราให้เขายกย่องพระเอกพระบุตรอยู่ในเรา แทนที่จะยกย่องเรา เราได้หน้าได้ตาก็คือให้พระเยซูเป็นคนได้หน้าได้ตาไม่ใช่เรา เราเป็นคนที่ unknown , the unknown รู้จักไหมครับ ก็คือคนที่ไม่รู้จัก ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีตัวตน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น เมื่อเราไม่มีตัวตนในชีวิตนี้ในโลกนี้ เมื่อถึงยุคอาณาจักรเราจะเป็นตัวตนที่เบ้อเล่อเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่นั่งใกล้พระเยซูมากที่สุด เอเมน
ถาม.
พอดีว่าที่โบสถ์เก่าผมเขาจะสอนว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าก็คือในมัทธิวบทที่ 28:19-20 คือพระเยซูสั่งให้สาวกออกไปประกาศ คือเขาบอกว่าน้ำพระทัยพระเจ้าคือทุกคนต้องประกาศอยู่แล้ว อะไรประมาณนี้ครับ ดังนั้นคริสเตียนก็เลยเข้าใจว่าน้ำพระทัยพระเจ้าคือเราต้องประกาศประกาศกับทุกคน ขออาจารย์ขยายตรงนี้เลยครับ แต่โดยส่วนตัวของเราก็คือการที่เราจะประกาศ เราต้องคอยฟังเสียงของพระเจ้าส่วนตัวใช่ไหมครับประมานนี้หรือยังไงครับ
ตอบ.
ในมัทธิวบทที่ 28:19 พระเยซูตรัสว่า “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” ตอนนั้นนะครับคือเป็นสิ่งที่ผู้นำมากมายทุกวันนี้ใช้เพื่อสั่งสอนและเพื่อสั่งให้สมาชิกโบสถ์ออกไปประกาศ แต่ถ้าเราจะอ่านดูดีๆ มัทธิวบทที่ 28 พระเยซูตรัสกับใคร กี่คน
ถาม.
เอเมน ข้อ 16 บอกว่าสาวก 11 คนค่ะ
ตอบ.
สาวก 11 คนใช่ไหมครับ พระเยซูไม่ได้บอกให้คนทั้งโลกไม่ได้บอกให้ลูกศิษย์ทั้งหมดเลยที่ออกไปประกาศ แล้วอย่าลืมนะครับสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐเป็นของประทานสำหรับบางคนที่มี พระเจ้าใช้บางคนให้ประกาศข่าวประเสริฐได้
มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นชาวอเมริกันเป็นฝรั่งนะครับ ปรากฏว่าเขาไปแถบๆ เอเชียเดินทางไปตลอดชีวิตของเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณเกือบ 30 ปี พี่น้องทราบไหมครับเขาประกาศข่าวประเสริฐตั้งแต่ตอนที่เดินทางไปช่วงแรกๆ จนถึง 30 ปี มีคนเดียวที่กลับใจ อันนี้ไม่ใช่เรื่องตลกเป็นเรื่องจริงนะครับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มีคนเดียวเท่านั้นที่กลับใจ ในหมู่บ้านนั้นเป็นต่างจังหวัดเป็นนอกเมืองเป็นเขตบ้านนอกแล้วคนก็พอมีเยอะอยู่ แต่เขาไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะช่วยให้ชาวบ้านชาวเมืองเมืองนั้นได้รู้จักพระเยซู แต่ 30 ปีผ่านไป มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่กลับใจเชื่อพระเยซู ถามว่าเขาพูดไม่เป็นหรอ ก็ไม่นะ คือมันเป็นเรื่องของหูฝ่ายวิญญาณ ตาฝ่ายวิญญาณที่จะถูกเปิด ถูกเรียกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ใครที่พระเจ้าให้ของประทานในการประกาศข่าวประเสริฐพอไปประกาศกับใคร 10 คนนะครับจะมีอยู่ประมาณ 7-8 คนที่กลับใจ แสดงว่าเรามีของประทานแล้ว ถ้าเราทำแบบนี้ไปตลอด 10 คนทุกครั้งทุกที่ที่ไป 10 คน 10 คน 10 คน แล้วมี 7-8 คนที่กลับใจ นั่นคือของประทานที่เรามีแล้ว
พระเจ้าไม่ได้ใช้ทุกคนให้ประกาศข่าวประเสริฐเป็นนะครับ พระเจ้าไม่ได้ใช้ทุกคนให้เผยพระวจนะแบ่งปันพระคำพระเจ้าให้เป็น พระเจ้าไม่ได้ใช้ทุกคนให้เป็นศิษยาภิบาล อย่าลืมนะครับเปาโลย้ำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอาจารย์ อย่าเป็นอาจารย์กันเยอะ !
พระเจ้าเตือนผ่านเปาโลเพราะว่าทุกวันนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วจนถึงทุกวันนี้ ก็คืออาจารย์แต่ละโบสถ์แต่ละคริสตจักรเยอะมากใช่ไหม แต่งตั้งกันเองก็มี แล้วส่วนมากนะก็แต่งตั้งกันเอง หรือได้ไปเรียนจบมาก็สมัครเป็นอาจารย์ก็ได้เป็น ซึ่งพระเจ้าเลือกหรือไม่อันนี้ก็ไม่รู้ พระเจ้าให้ของประทานกับเขามั้ยไม่รู้
แล้วส่วนมากก็เข้าไปก็สั่งสอนก็ถูกบ้างผิดบ้างอยู่ในเชื้อยีสต์เต็มไปหมดเลยก็มีบ้างอยู่ในความรู้ที่ถูกต้องก็มีบ้าง ซึ่งเขาใช้ของประทานในการเผยพระวจนะ เป็นศิษยาภิบาล แล้วบางคนก็มีของประทานในการประกาศข่าวประเสริฐก็ไปประกาศก็ได้ผลก็เกิดผล
เพราะฉะนั้นอีกครั้งขอสรุป ก็คือการประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่ทุกคนทำได้และไม่ใช่หน้าที่ของทุกคนที่จะต้องทำแต่เป็นของประทานที่พระเจ้าให้บางคน เมื่อเราลองประกาศแล้วเขากลับใจหลายคนกลับใจ เราทำ เมื่อเราลองประกาศแล้วเห็นว่าไม่มีใครกลับใจ เราก็เป็นพยานได้นะครับ เป็นพยานว่าฉันเชื่อพระเยซูนะ พระเยซูช่วยฉันนะ ชีวิตของฉันได้รับผลดีที่พระเจ้าให้มีสันติสุขมีความสุขนะ ก็เป็นพยานปกติธรรมดาทั่วไป ไม่เน้นที่การใช้หน้าที่ทำเป็นหน้าที่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐอย่างเดียว ไม่ครับผม
เรามีของประทานอะไรเราค้นหาของประทานแสวงหาของประทาน เมื่อเราพบแล้วเราก็ฝึกในการที่จะใช้ให้เกิดผลเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
อย่าลืมนะครับว่ายอห์นไม่เคยประกาศข่าวประเสริฐ ยอห์นไม่ค่อยประกาศ ยอห์นมีผลงานอะไร ยอห์นมีผลงานในการดูแลคริสตจักร ยอห์นเป็นผู้ปกครองเป็นผู้ดูแลคริสตจักรแล้วเกิดผลมาก
ซึ่งตรงข้ามกับเปโตร เปโตรไม่มีผลงานภายในคริสตจักรเยอะเท่าไหร่ ไม่ได้ดูแลคริสตจักรมากเท่าไหร่ แต่เปโตรเน้นที่การเดินทาง เดินทางไปประกาศไปเมืองโน้นเมืองนี้แล้วก็สร้างคริสตจักร พอสร้างคริสตจักรเสร็จก็พูดถึงเรื่องพระเยซูเป็นยังไงเป็นมายังไงไปมายังไง พระเยซูอยู่ในโลกนี้ 33 ปีกว่าแล้ว 3 ปีกว่าที่พระองค์ทำงานเป็นแบบไหน การไถ่เป็นแบบไหน การบังเกิดใหม่เป็นแบบไหน พอมีผู้เชื่อใหม่เต็มในคริสตจักรเขาก็เดินทางหนีไปที่อื่น นี่คือหน้าที่ของเปโตร แต่การสร้างคริสตจักรก่อคริสตจักรขึ้นให้เติบโตเหมือนยอห์นไม่เห็นมีไม่ค่อยมี
แล้วอีกข้อหนึ่งที่ผู้นำมากมายใช้เพื่อข่มขู่คริสตจักรของเขา ก็คือเปาโลพูดว่าถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ ข้าพเจ้าจะวิบัติ (1 คร 9:16) อันนี้เป็นคำพูดที่เปาโลพูดกับท่านเอง ไม่ได้ใช้เพื่อคริสเตียนทุกคนเราเอามาใช้ไม่ได้นะครับ เป็นคำพูดของเปาโลคนเดียว เพราะว่าเปาโลถูกแต่งตั้งให้เป็นอัครสาวก เมื่อเป็นอัครสาวกต้องทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ต้องเดินทางต้องไปตลอดแล้วก็ต้องประกาศข่าวประเสริฐอยู่ที่ไหนต้องประกาศ ตอนค่ำประกาศตอนเช้าประกาศตอนสายบ่ายเย็นประกาศ ประกาศๆๆ คือหน้าที่ของเขาถ้าเขาไม่ทำก็คือเขาจะพบความวิบัติเพราะว่าเป็นหน้าที่ที่พระเจ้าใส่เข้าไปในลิ้นของเขา พระเจ้าให้เขามีของประทานนี้ เปาโลจึงย้ำจึงบอกทุกคนว่าเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องทำไม่ทำไม่ได้ต้องวิบัติแน่นอนไม่ได้เข้าในอาณาจักรแน่นอน
แล้วเราไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้คำนี้นะครับ แต่น่าเสียดายที่ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้เอาคำนี้มาใช้ ถ้าเราไม่ประกาศต้องวิบัตินะ พระเจ้าลงโทษนะ พระเจ้าตีสอนนะ อันนี้เอามาข่มขู่เราไม่ได้นะครับเพราะว่าเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐเป็นของประทานที่พระเจ้าให้บางคนเท่านั้น เอเมน
ถาม.
แสดงว่าก็คือเหมือนอย่างที่อาจารย์บอกก็คือว่า เราจำเป็นต้องแสวงหาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ เพราะว่าคือที่ผ่านมาคริสตจักรต่างๆ เขาคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เขาก็สอนสมาชิกออกไปว่าพระเจ้าบอกให้เราต้องประกาศ ทำนู่นทำนี่ คนก็เข้าใจว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า แต่จริงๆ แล้วถ้าเรารับการเปิดตาถ้าเราพบพระคำล้ำลึกจริงๆ เราก็จะรู้ว่าอะไรคือน้ำพระทัยของพระเจ้าที่แท้จริง แล้วก็อะไรคือสิ่งที่พระเจ้าให้เราทำเราควรจะทำอะไร ประมาณนี้ครับเอเมน
ตอบ.
มีผู้ชายคนหนึ่งไปแต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่ง แล้วก็รับเข้ามาเป็นภรรยาแล้วก็อยู่ในครอบครัวเดียวกันอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แล้วต่อมาตอนแรกๆ ก็ดูโอเคอยู่นะครับเพราะว่าความรักที่มีต่อกัน แต่พอเริ่มมีการเคลื่อนไหว ผู้หญิงเริ่มทำกับข้าวผู้หญิงเริ่มทำนู่นนี่นั่น ปรากฏว่ามีหลายสิ่งที่พอเขาทำไปเนี่ยผู้ชายไม่ชอบไม่พอใจ ทำกับข้าวทำอาหารดูเหมือนว่ามันจะอร่อยสำหรับผู้หญิงแต่ผู้ชายเห็นว่าไม่น่ากินเลยไม่ชอบรสชาติแบบนี้ เขาทำปลาอันนี้ให้ก็ไม่ชอบปลา เขาทำเนื้อแบบนี้ให้ก็ไม่ชอบ สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็มานั่งบ่นเสียใจว่าฉันแต่งงานผิดคนหรือเปล่า ทำไมทำให้เขายังไงเขาก็ไม่พอใจไม่มีความสุข ฉันไม่ดีตรงไหน ทำไม่อร่อยตรงไหนมันก็อร่อยดีนะ
ใช่ครับเราทำอร่อยสำหรับเราสำหรับหลายคน แต่เราทำไม่อร่อยสำหรับพระเจ้า เราทำดีสำหรับหลายคน สำหรับตัวเราเราก็คิดว่าดี แต่มันไม่ได้ดีสำหรับพระเจ้า
เราพูดนะครับเราพูดดี แต่มันก็ไม่ได้ดีสำหรับพระเจ้า เข้าใจนะครับ “สำหรับพระเจ้า” ไม่ใช่สำหรับเรา
เพราะว่าพระเจ้าเป็นคนที่ชอบเป็นคนขี้เอาใจตัวเองหรือ พระเจ้าเป็นคนที่แบบคือชอบให้ทำตามใจพระเจ้าเองหรือ ไม่ใช่. พระเจ้านะครับเมื่อเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทำตามใจพระเจ้า เพราะว่าทุกสิ่งที่เป็นใจของพระเจ้าที่พระเจ้าคิดมันดีทั้งหมด มันไม่ดีวันนี้มันดูไม่ดีวันนี้ “แต่มันดีในอนาคต”
วันนี้พระเจ้าให้เราอยู่ในการข่มเหงโดนข่มเหงโดนคำพูดที่ประชดประชันเอาเปรียบ ดูถูกเหยียดหยาม “แต่ในอนาคตนะครับ” เราอดทนเรายอมเราเสียเปรียบ “แต่ในอนาคตมันคือสิ่งที่ดี”
เราทำตามใจพระเจ้าเถิด พระเจ้าบอกว่ายอมเขาพระเจ้าบอกว่ายอมเสียเปรียบให้เขาพระเจ้าบอกว่าไม่ต้องต่อสู้ คือเรายอมไปหมด แล้วสุดท้ายในอนาคตพระเจ้าก็จะนำของขวัญมาให้เราคือมันดีทั้งหมด
ตอนนี้หน้าที่ของเราก็คือทำตามใจพระเจ้าก่อน เพราะว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่รู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในภายหลัง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการก็คือแสวงหาการทำตามใจพระเจ้าไม่ใช่ทำตามใจมนุษย์
เราจะทำตามใจมนุษย์มันจะมีผลเสียอยู่อย่างน่ะ คือเมื่อเราทำตามใจมนุษย์ร้อยคนในวันนี้ เขาถูกใจเขาดีใจเขาพอใจ แต่อีกวันหน้าเมื่อเราไปทำแบบเดิมแบบเดียวกันที่เราเคยทำ เขากลับเปลี่ยนใจไม่ชอบ แต่เราเอาใจคนเดียวเราทำตามใจคนเดียวคือพระเจ้า มันไม่ยุ่งไม่ปวดหัว เราอยากทำตามใจร้อยๆ คนเนี่ยเราต้องไปเอาใจคนนู้นไปเอาใจคนนี้ให้มันถูกใจเขา แต่เราเอาใจคนเดียวก็คือพระเจ้า พระเจ้าจะทำให้ร้อยคนนั้นมาถูกใจเราได้ เอเมนไหมครับ
เพราะฉะนั้นอย่าแสวงหาให้ถูกใจทุกคน แต่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า อย่าไปประกาศกับทุกคนโดยที่ไม่รอคอยการสั่งของพระเจ้า อย่าไปสร้างคริสตจักรเมื่อพระเยซูไม่บอกไม่สร้างด้วย เอเมน
เราจำกันได้นะสดุดีบทที่ 127:1-2 ที่บอกว่าบ้านที่ถูกสร้าง คุณจะสร้างบ้านแต่ไม่มีพระเจ้าสร้างด้วยก็เหนื่อยเปล่า เพราะฉะนั้นการที่เราจะให้พระเยซูร่วมสร้างด้วยเป็นหนึ่งเดียวกับเราสนิทกับเราให้เกิดผลมาก ก็คือเราแสวงหาการทำในสิ่งที่เป็นตามใจพระเจ้าไม่ใช่ตามใจเรา
ถาม.
เอเมนค่ะขออนุญาตถามเรื่องความฝันค่ะ ก็หนูคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องดีนะคะ เพราะว่าฝันเห็นอาจารย์นะคะ พอดีว่าในความฝันเป็นกระแสหรืออะไรสักอย่างนึงถามหาอาจารย์ ว่าอาจารย์ไปไหนๆ แต่อีกมุมอ่ะหนึ่งเห็นภาพอาจารย์ขับรถอยู่ แล้วทีเนี้ยคนในรถนั้นน่ะก็มีคนในครอบครัวอาจารย์ที่เป็นพี่น้องกันจริงๆ แล้วก็พี่น้องผู้เชื่อ ก็นั่งประจำที่กันนะคะ แล้วทีนี้อาจารย์ก็มาหยุดอยู่ตรงที่ที่ใดที่นึง มันเป็นต้นไม้แบบใหญ่มาก ซึ่งในความฝันที่เห็นนะคะ แล้วอาจารย์ใช้เลื่อยสเตนตัดไม้อ่ะ ตัดด้วยมือของอาจารย์เอง แล้วแบบให้ถ่ายคลิปออกไปเหมือนกับประกาศชัยชนะ ซึ่งไม่มีใครทำเหมือนอาจารย์นะคะในความฝัน อาจารย์ก็คือแบบตั้งใจมาแล้วก็เอาเลื่อยสเตนตัดกับมืออาจารย์เองเลย ฝันนะคะเอเมน
ตอบ.
ตอนแรกๆ ที่ผมเชื่อพระเยซูนะครับ ก็คือฝันได้รับนิมิตจากพระเจ้าให้ไปประกาศเรื่องมานาประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักร ก็คือเดินไปตามหมู่บ้านนะครับแล้วก็ชี้ไปบ้านไหนบ้านนั้นก็ล่มก็พังลงมา ตอนแรกผมไม่เข้าใจมันคืออะไร แต่สุดท้ายก็รู้ว่าบ้านเล็งถึงชีวิต บ้านเล็งถึงมนุษย์ เล็งถึงคนผู้คน แล้วเวลาเราชี้ใส่ก็คือมันล่มลงมันพังลงก็คือตาย ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้ของประทานในการที่จะมาพาพี่น้องไปตาย ขอบคุณพระเยซู
แล้วตอนนั้นก็คือชี้ใส่ บ้านทุกหลังก็ตาย แล้วตอนนี้ผมก็มาชวนพี่น้องให้ฝึกสำหรับเรื่องการตั้งอารมณ์ตายฝึกนับตายทุกสิ่งก็ตายนะครับ เพื่ออะไรครับ เพื่อเราจะเจริญขึ้นในชีวิตใหม่ในพระเยซู เอเมน
ตอนนั้นแค่ชี้นิ้วใส่นะครับ แต่ตอนนี้ก็คือเอาเลื่อยตัดเลย มันเร็วดีมันทันสมัยดีมันง่ายดี ก็คืออยู่ในการหนุนใจพวกเราอย่างสม่ำเสมอ พูดย้ำบ่อยๆ นี่คือการเข้ามาใกล้ชิดเข้ามาเอาเลื่อยตัดเลย เพื่อให้พวกเราตายสนิทในตัวเก่า เพื่อเราจะอยู่สนิทด้วยตัวใหม่ เอเมน
ผมเชื่อนะครับแล้วก็หวังว่าพี่น้องได้รับการเปิดเผยการเปิดตาและเข้าสู่ประสบการณ์การฝึกเรื่องนับตาย ตั้งอารมณ์ตาย เดี๋ยวนะๆๆๆ ตายแล้ว น่าจะผุดขึ้นมาเมื่อเราดำเนินชีวิตตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันเสาร์ เอเมน ไม่มากก็น้อยนะครับที่เราจะเข้าสู่ประสบการณ์นี้ และอย่าลืมนี่คือหลักการการดำเนินชีวิตประจำวันของเราไม่ใช่แต่เฉพาะอาทิตย์นี้อาทิตย์หน้าต่อไป ก็คือทุกๆ วันนะครับ เราอยู่ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าอยู่เสมอ เราอยู่ในการร่วมกันทำกับพระเจ้าอยู่เสมอ และเราต้องอยู่ในการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอยู่เสมอ เอเมนพระเยซู
ถาม.
ไหนๆ ก็ถามเรื่องความฝันแล้ว เมื่อรับมานาได้ประมาณ 6 เดือนค่ะก็ฝันเห็น อจ. กำลังเดินประกาศไปมาเสียงดัง แต่มันเป็นเสียงเหมือนก้องๆ เหมือนเสียงซ้อน เชื่อว่าเป็นเสียงของพระเจ้าเนาะ ก็คือพูดว่าฮีบรู จำไม่ได้ว่าบทที่เท่าไหร่แต่ได้ยินชัดเจนก็คือฮีบรู พูดอย่างนั้นแล้วก็เดินประกาศไปมา แล้วหนูก็เห็น อจ. ประกาศแบบนั้นหนูก็สนใจก็เดินไปดูใกล้ๆ แล้วสักพักนึงก็เห็นเป็นภาพตัดเป็นภาพขนมปังเป็นคนทำขนมปังเป็นถาดออกมา เราก็หนูเห็น อจ. นั่งลงแล้วก็กินขนมปังให้ดู แล้วหนูก็กินตามค่ะ
หลังจากนั้นคืนถัดมาก็ฝัน ในห้องนอนตรงเพดานมีจุดสีแดง 2 -3 จุดก็เรียกลูกสาวคนเล็กมาดูว่ามันจุดอะไรไม่เคยเห็นไม่เคยมีมาก่อนพอยิ่งจ้องมองดูก็กลายเป็นเพิ่มมากขึ้นๆ เรื่อยๆ แล้วก็หยดลงมา เชื่อว่าเป็นพระโลหิตค่ะแล้วก็ตกลงมาตรงพื้นห้อง เสร็จแล้วก็ได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน เปิดหน้าต่างดูก็เป็นรถสีขาวคันนึงแต่ไม่มีใครลงมาค่ะ ก็อยากจะถามว่าแปลว่าอะไรคะ
ตอบ.
ขอบคุณพระเจ้านะครับสำหรับตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ตั้งแต่ผมประกาศมานาฯ จนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ผมพูดในฮีบรูมี 2 เรื่องนะครับ ก็คือเรื่องพระเยซูเป็นสะบาโตของเรา แล้วก็เรื่องที่ 2 ก็คือเรื่องพระบัญญัติเดิมไม่มีอีกแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็คือเราอยู่ใต้พระบัญญัติใหม่ ที่พระเยซูคริสต์เป็นคนดำเนินชีวิตอยู่ในเรา
ส่วนเรื่องการชวนกินขนมปัง แล้วผมกินขนมปังอยู่นะครับ ก็คือขอบพระคุณพระเจ้าที่สิ่งที่ผมกินได้ทุกวันนี้ ก็คือมานาที่ซ่อนไว้ แล้วมานาที่ซ่อนไว้ก็คือเป็นขนมปังสำหรับพวกเราคริสเตียนฝ่ายวิญญาณที่ต้องกินอยู่สม่ำเสมอทุกวัน โดยอ่านพระคำพระเจ้าเชื่อว่าเป็นขนมปังเป็นอาหารที่มาจากพระเยซู แล้วก็ฟังพระคำพระเจ้าก็เชื่อว่ามาจากพระเยซูเป็นอาหารที่มาจากสวรรค์ เอเมน
อาหารอย่างอื่นผมไม่ชวนกินอะไรหรอก ชวนกินได้อย่างเดียวแหละก็คือขนมปังก็คือมานาที่ซ่อนไว้ เอเมน
ถาม.
แล้วเรื่องพระโลหิตล่ะคะที่คืนถัดมาฝันนะคะ แล้วรถสีขาวมาจอดหน้าบ้านนะคะ
ตอบ.
เราอยู่ในการครอบคลุมของพระโลหิตของพระเยซูพระองค์ตั้งพระโลหิตไว้เพื่อการไถ่บาปเพื่อการยกโทษบาปเพื่อการสารภาพบาป เพื่อการเข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระโลหิต รถสีขาวที่รออยู่ก็คือรถของพระเจ้า สีขาวก็คือสีของพระเจ้า ความสว่างนะครับ เอเมน