1. คริสเตียนในแคว้นกาลาเทีย ไม่เข้าใจว่าพระโลหิตของพระคริสต์ได้จ่ายหนี้บาปครบแล้ว ความรอด ได้มาจากการถูกตรึงกางเขนของพระเยซู
2. ทันทีที่เชื่อ ผู้เชื่อทุกคนได้รับพระวิญญาณ ไม่ต้องขอ ไม่ต้องพยายามทำดี เชื่อฟัง รักษาพระบัญญัติ เพื่อให้ได้รับพระวิญญาณ
3. การเริ่มต้นด้วยวิญญาณ แต่จบลงด้วยเนื้อหนัง คือเมื่อเราเชื่อ เรากลับพยายามทำดี รักษาพระบัญญัติด้วยเนื้อหนัง ไม่ให้พระคริสต์ทำดีแทนเรา ในเรา
4. เมื่อเราเชื่อ พระเจ้านับเอาความเชื่อนั้นๆ ว่าเป็นความชอบธรรม ขณะที่ทุกศาสนาในโลกสอนให้ทำดี เพื่อจะได้กลายเป็นคนชอบธรรม
5. พระบัญญัติเดิมมีไว้เพื่อยิวเท่านั้น แต่เราเป็นลูกแห่งพระสัญญาผ่านทางอับราฮัม เรารับพระพรทุกประการได้ โดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบัญญัติจบลงแล้ว และพระสัญญาก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
3:1 โอ ชาวกาลาเทียคนเขลา ใครสะกดดวงจิตของท่านเพื่อท่านจะไม่เชื่อฟังความจริง พระเยซูคริสต์ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนต่อหน้าต่อตาท่านแล้ว ทั้งถูกตรึงไว้ท่ามกลางพวกท่าน
** เปาโลตำหนิคริสเตียนแคว้นกาลาเทียได้ เพราะว่าท่านเป็นผู้มาหว่านเมล็ดแห่งข่าวประเสริฐที่นี่
** คนเขลา ในที่นี้ คือทำไมไม่รู้อะไรเลย ถูกเขาหลอกจนได้ หลงคำพูดที่ดีที่น่าเชื่อถือ แต่ที่แท้เป็นหลักคำสอนที่ผิด
** คริสเตียนมากมายทุกวันนี้เขลา แต่ไม่รู้ตัว แต่เราทำอะไรไม่ได้ เพราะการแตกแยก และยึดหลักความเชื่อของใครของมัน มานานแล้ว
** ถ้าหากผู้เชื่อทุกคนรู้จักหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณว่า เชื่อเท่านั้นก็รอดแล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
- ต่อไปนี้ คือความเข้าใจผิดของผู้เชื่อทุกวันนี้ คริสเตียนรอดโดยทาง :
1. เชื่อ และรับบัพติศมา
2. เชื่อ และกลับใจเลิกทำบาป
3. เชื่อ และอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน ไปโบสถ์ รับใช้
4. เชื่อ และรักษาพระบัญญัติทั้งเดิมและใหม่
5. เชื่อ และอื่นๆ อีกมากมาย
** แต่หนังสือกาลาเทีย พระเจ้าเปิดเผยผ่านเปาโลว่า เชื่อเท่านั้นก็รอดแล้ว เพียงแต่ ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 5 คือผลที่เกิดจากการบังเกิดใหม่ ซึ่งผู้เชื่อจะมีไม่มากก็น้อย
3:2 ข้าพเจ้าใคร่รู้ข้อเดียวจากท่านว่า ท่านได้รับพระวิญญาณโดยการกระทำตามพระบัญญัติหรือ..หรือได้รับโดยการฟังด้วยความเชื่อ
** ผู้เชื่อจะได้รับพระวิญญาณ เพราะเหตุพระเยซูคริสต์ได้รับเกียรติจากพระบิดา ซึ่งผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้มักจะเข้าใจผิดคิดว่าเราได้รับพระวิญญาณโดยทางการอดอาหาร ขอ หรือเชื่อฟังมากๆ รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์
3:3 ท่านเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ เมื่อท่านเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณแล้ว บัดนี้ท่านจะให้สำเร็จด้วยเนื้อหนังหรือ
** การเชื่อในพระเยซู คือการเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ หรือฝ่ายวิญญาณ หรือในวิญญาณ
** การพยายามรักษาพระบัญญัติด้วยตัวเก่า ไม่ว่าจะพระบัญญัติเดิมหรือใหม่ เรียกว่าดำเนินชีวิตด้วยเนื้อหนัง
** คริสเตียนแท้จะต้องรู้และเข้าใจการ..
1. บังเกิดใหม่ในพระวิญญาณด้วยความเชื่อ
2. จบลงด้วยความเชื่อ เพื่อการดำเนินในพระวิญญาณในแต่ละวัน ไม่มี กระทำดี หรือเชื่อฟังด้วยตัวอาดัม
3:4 ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ ถ้าเป็นการไร้ประโยชน์จริง ๆ แล้ว
3:5 เหตุฉะนั้นพระองค์ผู้ทรงประทานพระวิญญาณแก่ท่าน และทรงกระทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่าน ทรงกระทำการเช่นนั้นโดยการกระทำตามพระบัญญัติหรือ หรือโดยการฟังด้วยความเชื่อ
** การทำงานของพระเจ้าทุกด้าน ทุกแง่ ทุกมุม ทุกสิ่ง เป็นมาโดยทางความเชื่อ ไม่เกี่ยวกับการรักษาพระบัญญัติเลย
** การพยายามทำดี เชื่อฟัง รับใช้ ทุกสิ่งที่คริสเตียนทำกันทุกวันนี้ ไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับพระเจ้า
3:6 ดังที่อับราฮัม ‘ได้เชื่อพระเจ้า’ และ ‘พระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’
3:7 เหตุฉะนั้นท่านจงรู้เถิดว่า คนที่เชื่อนั่นแหละก็เป็นบุตรของอับราฮัม
3:8 และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติ เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ‘ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพระพรเพราะเจ้า’
** ผู้เชื่อทุกวันนี้เรากลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว นี่คือสภาพใหม่ของเรา และการทำบาปของเราในแต่ละวัน ไม่อาจทำให้เรากลับไปเป็นคนบาปได้อีก
** ความเชื่อนี่เอง ที่พระเจ้าทรงนับว่าเป็น ความชอบธรรม
3:9 เหตุฉะนั้นคนที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ
** ผู้เชื่อทุกคนได้รับพระพรที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้อับราฮัมแล้ว เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงนับว่าท่านอับราฮัมเป็นคนชอบธรรมเพราะเหตุความเชื่อ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเชื่อฟังเลย
ปัญหาของผู้เชื่อส่วนมาก คือเมื่อเชื่อ เราทราบซึ้งถึงพระคุณความรักและการไถ่ของพระเจ้า จากนั้นเราอ่านพระคัมภีร์ และที่โบสถ์ก็สอนเราว่าต้องเลิกทำบาปเพื่อชีวิตจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า จากนั้นเราก็เริ่มเชื่อฟัง และพยายามเลิกทำบาปด้วยตัวเก่า
การได้รับการเปิดตาสู่ความรู้ฝ่ายวิญญาณที่เป็นความจริงแห่งพระคำพระเจ้าโดยพระวิญญาณแห่งความจริงได้เปิดเผยแก่เรา ไม่ใช่การอ่าน และฟังด้วยหูตาเนื้อหนัง จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากการเป็นศาสนาคริสต์ที่ใช้ชีวิตอาดัมหรือเนื้อหนังเพื่อทำทุกสิ่งเพื่อพระเจ้า
ขอบพระคุณพระเจ้าที่ให้การตายบนกางเขนของพระเยซูเป็นจุดจบของชีวิตเนื้อหนัง และศาสนา และเมื่อทรงฟื้นคืนพระชนม์เราก็เข้าสู่ชีวิตในพระคริสต์เดินทุกวันด้วย เชื่อ ไม่ใช่ด้วยการพยายามทำดีเชื่อฟังด้วยเนื้อหนัง
ศาสนายิว และทุกศาสนาทั่วโลกจะเน้นที่เชื่อ และทำดี ละเว้นจากการทำบาปเพื่อให้ได้รับพร และไปอยู่ที่สวรรค์เมื่อตายไป ทำให้คริสเตียนหลงประเด็นตกขอบ เมื่อพระเยซูเสด็จมาหลักการแห่งความรอดคือ “เชื่อ เท่านั้น” “ไม่มี เชื่อและ...”
ส่วนการได้บังเกิดใหม่ การได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า การได้รับพระวิญญาณ การได้รับความรอด การได้รับสันติสุข การได้รับพลังที่มาจากพระเจ้าเพื่อให้เลิกทำบาปได้ ก็ไม่ใช่ด้วยการพยายามทำดีเชื่อฟังอดอาหาร อธิษฐาน รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ แต่เราได้รับทุกสิ่งโดย “เชื่อ” เท่านั้น นี่คือการเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ และสำเร็จด้วยพระวิญญาณ แต่ผู้ที่พยยามทำดีรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์เพื่อรับทุกสิ่งจากพระเจ้าเรียกว่าให้สำเร็จด้วยเนื้อหนัง
- ความเข้าใจผิดเรื่องพระบัญญัคิและตัดสินพระคำล้ำลึกผ่านบุคคลหรือกลุ่ม – ผู้เชื่อบางคน ไม่เข้าใจ เรื่องอยู่ใต้พระบัญญัติ และไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติ พอได้เรียนรู้มานาพวกเขาคิดว่าการไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติ ก็คือไม่มีพระบัญญัติ หรือกฏเกณฑ์อะไรเลย ชีวิตอิสระ เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก “เราไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติ” ความหมายก็คือ ชีวิตเก่าเนื้อหนังเราตายแล้ว เราบังเกิดใหม่และดำเนินชีวิตด้วยคนใหม่คนนี้ทั้งมีพระคริสต์สถิตในเรา พระองค์เป็นผู้ดำเนินชีวิตและนิสัยที่สอดคล้องกับพระบัญญัติใหม่ทั้งหมดของพระเจ้าในเราผ่านเรา ส่วนกฏเกณฑ์ที่มนุษย์ก่อตั้งเพื่อสั่งให้เราทำนั้นไม่มีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้องไม่กิน ไม่ดื่ม ต้องเฝ้าเดี่ยว ต้องอ่าน ต้องอธิษฐาน ต้องไปโบสถ์ ต้อง ๆ ๆ โดยที่เราไม่พร้อม ไม่สะดวก และขนาดของความเชื่อของเรายังไม่ถึงการชำระ
- พระบัญญัติเป็นครูที่มาสอนชาวยิว 430 ปี ให้ได้รู้ว่า เนื้อหนังไม่มีอะไรดีและใช้ดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าไม่ได้ แต่มนุษย์วิญญาณทำได้โดยอาศัยพระคริสต์ในเราเป็นคนกระทำ
- เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคำล้ำลึก อาหารผู้ใหญ่ หรือมานาที่ซ่อนไว้ เมื่อเราได้รับการเปิดตา เราพบการแปลถูก เพื่อให้ดำเนินชีวิต รับใช้และนมัสการพระเจ้าถูกวิธี ยังไม่พอ เราได้เรียนรู้มากกว่าแต่ก่อนที่เราเป็นคริสเตียนมานานหลายปีแต่ความรู้ของเราไม่ถึงไหน และยังสับสนอยู่กับพระคำพระเจ้าหลายที่หลายแห่ง เรื่องที่เป็นคำถามมาตลอดก็ได้รับการเปิดเผย
3:10 เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการกระทำตามพระบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘ทุกคนที่มิได้ประพฤติตามทุกข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือพระบัญญัติก็ต้องถูกสาปแช่ง’
** ชาวยิวอยู่ภายใต้การสาปแช่งเนื่องจากการรักษาพระบัญญัติที่ทำไม่ได้ครบ และกลายเป็นคนบาป และเป็นศัตรูของพระเจ้าแต่พวกเขาไม่รู้ตัว
** ชาวยิวยังคิดว่าเขาเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
** สรุป ก็คือใครก็ตามที่พึ่งการรักษาพระบัญญัติ เพื่อได้กลายเป็นคนชอบธรรมก็ถูกสาปแช่ง
** คริสเตียนมากมายถูกสาปแช่งแต่ไม่รู้ตัว
** พระบัญญัติใหม่ของพระเยซูมีไว้ให้มนุษย์วิญญาณที่บังเกิดใหม่ที่มีพระคริสต์ในเราเป็นผู้ดำเนินชีวิตที่สอดคล้องต่อพระบัญญัติของพระองค์ เราจึงอยู่ใต้พระคุณไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติและไม่ได้ถูกสาปแช่ง
3:11 แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าด้วยพระบัญญัติได้เลย เพราะว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’
** อีกครั้งที่ เปาโลยืนยันว่า ไม่มีใครสักคนเดียวที่กลายเป็นคนชอบธรรมเพราะการรักษาพระบัญญัติได้
** หนังสือกาลาเทียเปิดเผยว่า พระบัญญัติเป็นสิ่งชั่วคราวที่เป็นเหมือนครูเพื่อสอนให้ชาวยิวเข้าใจว่า เนื้อหนังอ่อนแอตกต่ำไม่อาจดำเนินชีวิตตามแบบของพระเจ้าที่มาในรูปแบบของพระบัญญัติได้ พวกเขาต้องยอมรับ และยอมจำนนต่อพระเจ้า และหันมาพึ่งพระเจ้าเรื่องการรักษาพระบัญญัติ (กท 3:24) ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาต่ออับราฮัม คือมนุษย์ได้กลายเป็นคนชอบธรรมได้โดยทางความเชื่อ คือเชื่อในพระเยซูทั้งตายแทนบาปพวกเขา และอยู่แทนเพื่อความชอบธรรมของพวกเขา Christ died for our sins and Christ lives for our righteousness (กท 3:17; 2:20)
3:12 แต่พระบัญญัติไม่ได้อาศัยความเชื่อ เพราะ ‘ผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติ ก็จะได้ชีวิตดำรงอยู่โดยพระบัญญัตินั้น’
** เราดำเนินชีวิตในแต่ละวัน และเรายังทำบาป แต่เราเชื่อว่าเราชอบธรรม เพราะว่าเราสวมเสื้อที่ดีที่สุดทุกวัน เราจึงชอบธรรมแล้ว (ลก 15:22; โรม 5:1)
** การรักษาพระบัญญัตินั้น ไม่มีคำว่าเชื่อวางใจในพระเยซูหรือการตายเพื่อไถ่บาปของพระองค์ และผู้ที่รักษาพระบัญญัติได้ก็จะมีชีวิตอยู่ได้โดยพระบัญญัตินั้น ซึ่งชาวยิวต้องแบกภาระหนักเป็นเวลาสี่ร้อยกว่าปีพระเยซูจึงเสด็จมาเพื่อทำให้พระสัญญาที่ทำกับอับราฮัมสำเร็จ และผู้เชื่อจึงย้ายเข้าไปอยู่ใต้พระคุณ และมีชีวิตอยู่ได้โดยทางความเชื่อ
3:13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความสาปแช่งแห่งพระบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกสาปแช่งเพื่อเรา เพราะมีคำเขียนไว้ว่า `ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่ง'
** ชาวยิวอยู่ภายใต้การสาปแช่งเนื่องจากการละเมิดต่อพระบัญญัติ ไม่ใช่เพราะถูกแขวนบนต้นไม้ (พบญ 21:22-23) และการรับโทษ คือความบาป และความตาย
** แต่พระเยซูทรงรับการสาปแช่งแทนยิวและต่างชาติ เพื่อทุกคนจะมีโอกาสได้หลุดพ้นจากการสาปแช่งนี้
3:14 เพื่อพระพรของอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลายเพราะพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระสัญญาแห่งพระวิญญาณโดยความเชื่อ
** พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่าจะอวยพรท่าน และลูกหลาน (ฝ่ายวิญญาณของท่าน) คือคนต่างชาติทั่วโลกผ่านพระเยซูคริสต์ทางความเชื่อ พระสัญญาเป็นจริงเมื่อยุคพระบัญญัติผ่านไป และยุคพระคุณเริ่มขึ้น
** ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเยซูนำพระพรมาสู่เราโดยเชื่อเท่านั้น เราก็ได้รับสันติสุขโดยไม่กระหายอีกเลย พลังยิ่งใหญ่จากพระเจ้า เราได้รับความรอด เราได้คืนดีกับพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่ เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเหล่านี้ไม่ต้องรักษาพระบัญญัติ แต่เพียงแต่เชื่อเท่านั้น เราจึงชื่นชมยินดีในพระองค์อยู่ทุกวันและเวลา สรรเสริญพระเยซู
3:15 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอพูดตามอย่างมนุษย์ ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้วไม่มีผู้ใดจะล้มเลิก หรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้
3:16 แล้วบรรดาพระสัญญาที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัม และเชื้อสายของท่านนั้น พระองค์มิได้ตรัสว่า `และแก่เชื้อสายทั้งหลาย' เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียว `และแก่เชื้อสายของท่าน' ซึ่งเป็นพระคริสต์
3:17 แต่ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ว่า พระบัญญัติซึ่งมาภายหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปี จะทำลายพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ในพระคริสต์เมื่อก่อนนั้น ให้พระสัญญานั้นขาดจากประโยชน์ไม่ได้
** "พระบัญญัติซึ่งมาภายหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปี" คือนับจากท่านอับราฮัมได้รับพระสัญญาจากพระเจ้าใน ปฐก 12 จนถึงท่านโมเสสได้รับพระบัญญัติ ที่ภูเขาซีนาย
3:18 เพราะว่าถ้าได้รับมรดกโดยพระบัญญัติ ก็ไม่ใช่ได้โดยพระสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงโปรดประทานมรดกนั้นให้แก่อับราฮัมโดยพระสัญญา
** เมื่อพระบัญญัติมาถึงชาวยิว พระสัญญาของพระเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง จนถึงเวลาที่พระเยซูเสด็จมา พระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ท่านอับราฮัมจึงสำเร็จ
** การรับพระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัมนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพระบัญญัติที่ทรงประทานให้โมเสส หรือพระบัญญัติไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระสัญญานี้แต่ประการใด
** พระบัญญัติ คือเราต้องทำเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย ส่วนพระสัญญาหรือพระคุณ คือพระเจ้าเป็นคนทำทั้งหมดเพื่อเราเราเพียงแค่เชื่อเท่านั้น
- หน้าที่ของครู (พระบัญญัติ) ก็คือ เพื่อสอน ควบคุมให้เราอยู่ในกรอบ ขอบเขตของชีวิตตามกำหนดของพระเจ้า และเป็นสิ่งชั่วคราวสำหรับยิวเท่านั้น และข้อลึกลับเรื่องครูก็คือสอนเราให้รู้ว่าเราทำไม่ได้ หรือมาเพื่อให้ยิวละเมิดพระบัญญัติ the law is for us to break not to keep เพื่อเราจะยอมแพ้ยอมจำนน และมาหาพระเยซูเพื่อรับแอกเบาภาระเบากางเขนเบา และได้เข้าสู่การพักผ่อนที่แท้จริง
3:19 ถ้าเช่นนั้นมีพระบัญญัติไว้ทำไม ที่เพิ่มพระราชบัญญัติไว้ก็เพราะเหตุจากการละเมิด จนกว่าเชื้อสายที่ได้รับพระสัญญานั้นจะมาถึง และพวกทูตสวรรค์ได้ตั้งพระบัญญัตินั้นไว้ โดยมือของคนกลาง
** ถ้าหากจะเขียนให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย ก็คือ สำหรับพระเจ้า ไม่เคยมีแผนการที่จะให้มีพระบัญญัติและโลกนี้ไม่ควรจะมีพระบัญญัติตั้งแต่แรก แต่เนื่องจากว่าอาดัมและลูกหลานตกต่ำ ถูกแช่งสาปเนื่องจากการไม่เชื่อฟัง เมื่อพระเจ้าทรงเลือกชนชาติอิสราเอลให้เป็นประชากรของพระองค์ พระองค์จึงประทานพระบัญญัติเพื่อสอนพวกเขาว่า พวกเขาเป็นคนบาปและจะทำดีเพื่อพระเจ้าไม่ได้แน่นอนไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์ มีหนทางเดียวคือต้องพึ่งพระเมตตาของพระเจ้าผ่านทางพระสัญญาที่ทรงประทานแก่อับราฮามคือเชื่อก็ได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว
** โดยมือของคนกลาง ในที่นี้ คือโมเสส ยุคพระบัญญัติ โมเสสคือคนกลางระหว่างพระเจ้ากับอิสราเอล เพื่อพระเจ้าจะนำพระพรและความรอดมาสู่ชนชาติอิสราเอลเท่านั้น ส่วนยุคพระคุณ พระเยซูคือคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์เพื่อนำพระสัญญาของอับราฮัมมาสู่คริสเตียน
3:20 เพราะฉะนั้นคนที่เป็นคนกลางก็ไม่ได้เป็นคนกลางของฝ่ายเดียว แต่พระเจ้านั้นทรงเป็นเอกพระเจ้า (เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว)
** พระเจ้านั้นทรงเป็นเอกพระเจ้า (เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว) ภาษากรีกคือ Theos θεός, οῦ, ὁ ที-โอส คือพระเจ้า God คือพระผู้สร้างสิ่งทั้งปวง และผู้เป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง พระองค์เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว
3:21 ถ้าเช่นนั้นพระบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ พระเจ้าไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะว่าถ้าทรงตั้งพระบัญญัติอันสามารถทำให้คนมีชีวิตอยู่ได้ ความชอบธรรมก็จะมีได้โดยพระบัญญัตินั้นจริง
** ความเป็นจริง ก็คือพระบัญญัตินั้นเป็นมาโดยพระวิญญาณ เพื่อคนที่มีชีวิตพระเจ้าเท่านั้นที่ดำเนินในชีวิตนั้นได้ พระบัญญัติก็ไม่ได้ขัดแย้งกับพระสัญญาถ้าหากมนุษย์ใช้ชีวิตตามแบบอย่างพระเจ้าได้ แต่เนื่องจากว่ามนุษย์ตกต่ำและกลายเป็นคนบาปแล้ว จึงไม่มีใครที่จะรักษาพระบัญญัติได้ เพราะฉนั้น จึงไม่มีใครที่มีอยู่ได้โดยการรักษาพระบัญญัติ เหตุฉนั้นมนุษย์จึงต้องหันมาพึ่งพระสัญญาของพระเจ้าเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า
3:22 แต่พระคัมภีร์ได้บ่งว่า ทุกคนอยู่ในความบาป เพื่อจะประทานตามพระสัญญาแก่คนทั้งปวงที่เชื่อ โดยอาศัยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เป็นหลัก
** (ข้อ 19 จนถึง 22 ดูคำอธิบายในข้อ 23-24)
3:23 แต่ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกพระบัญญัติกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏภายหลัง
3:24 เพราะฉะนั้น พระบัญญัติจึงเป็นครูของเรา ซึ่งนำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ
** หน้าที่ของพระบัญญัติ ก็คือกักขังชาวยิวไว้ชั่วคราว เพื่อรอพระเยซูเสด็จมา เพื่อให้พระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัมสำเร็จ เพื่อให้ชาวยิวยอมจำนน เพราะการแบกภาระหนักมากในการรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม
** แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าประทานพระบัญญัติให้ชาวยิวเพื่อให้เขาละเมิด และเมื่อละเมิดจนตกอยู่ในการสาปแช่งเพราะรักษาไม่ได้ เขาจึงหันมาพึ่งพระเยซู
** แต่ปัญหาอยู่ที่ชาวยิวไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ไถ่ของพวกเขา คนต่างชาติจึงเป็นฝ่ายที่ได้รับพระสัญญามากกว่าชาวยิว
3:25 แต่หลังจากความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับครูนั้นอีกต่อไปแล้ว
** ข้อ 25 กล่าวชัดเจนว่า เราไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติอีกต่อไป
** คือไม่ต้องรักษาพระบัญญัติอีกต่อไปแล้ว
** เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับครูนั้น (พระบัญญัติ) คือไม่ต้องรักษาพระบัญญัติอีก
** ส่วนเรื่องการทำบาป เราทำไม่ได้ เพราะว่าขั้นตอนต่อไปเราถวายชีวิตใหม่นี้เพื่อให้พระเยซูคริสต์ทำแทน เกิดผลแห่งชีวิตใหม่ในเรา (กท 2:20; 5:22-23)
(โรม 7:14 เพราะว่าพวกเราทราบว่าพระราชบัญญัตินั้นอยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป)
ชาวยิวปัจจุบันนี้ยังรักษาพระบัญญัติอยู่หรือไม่ คำตอบคือ..
- ยิวไม่ถวายสิบลดตั้งแต่ ค.ศ. 70 จนถึงทุกวันนี้
- ยิวไม่ได้รักคนต่างชาติแต่เขารักเพื่อนบ้านก็คือคนข้างบ้านที่เป็นยิวเท่านั้น
- ยิวทุกวันนี้ไม่เคร่งพระบัญญัติเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
- จะมีก็บางคนเท่านั้นที่พยายามเท่าที่ทำได้.
3:26 เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
** การได้กลายเป็นคนชอบธรรมเพราะว่าเราได้บังเกิดใหม่ และชอบธรรมโดยการเชื่อในพระเยซูคริสต์
** สำหรับชาวยิวและศาสนาทั่วๆ ไป ต้องทำดี รักษาพระบัญญัติ ไม่ทำบาปตลอดชีวิตจึงจะถูกเรียกว่าผู้ชอบธรรมได้ แต่สำหรับผู้เชื่อ ขอบพระคุณพระเจ้าเราทำสิ่งเดียวและนั่นก็คือ เชื่อ คือการเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และเชื่อวางใจในการตายเพื่อไถ่บาปของพระองค์ต่อคนทั้งโลก แค่เชื่อ เราก็ได้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่ เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตรพระองค์ สรรเสริญพระเยซูผู้เป็นเหตุให้เรามีความหวังใจในพระเจ้า
3:27 เพราะเหตุว่า ทุกคนในพวกท่านที่รับบัพติศมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมชีวิตพระคริสต์
** การได้สวมชีวิตพระคริสต์ ในที่นี้ คือการได้รับการปกปิดชีวิตเก่าที่เป็นเสื้อที่ขาดแล้วใน มธ 9
** พระคริสต์จึงเป็นเสื้อที่ดีที่สุด เพื่อเราจะเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า
** เนื่องจากว่าพระคริสต์เป็นเสื้อที่ดีที่สุดนี่เอง เราจึงถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม พระบิดาจะไม่เห็นเราหรือไม่มองที่เรา แต่มองที่พระคริสต์และความชอบธธรรมของพระองค์นี่เอง ที่มาเป็นความชอบธรรมของเรา (1 คร 1:30)
** จากนั้นเราก็มีพระคริสต์ในเราเป็นคนดำเนินชีวิตแทนเรา เพื่อเรา เพื่อความชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์
3:28 จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระเยซูคริสต์
** ผู้เชื่อทุกวันนี้ สำหรับพระเจ้า เราไม่มีชาติในฝ่ายเนื้อหนังอีกต่อไปแล้ว เราเป็นวิญญาณ และเป็นกายอันเดียวกันในพระคริสต์
3:29 และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นเชื้อสายของอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา
** การได้อยู่ในพระคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เราย้ายมาอยู่ในพระวิญญาณ เรารับมรดกทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์เป็นเจ้าของครอบครอง ที่พระบิดาประทานให้ตามสัญญาที่ให้อับราฮัม ก่อนพระองค์จะประทานพระบัญญัติให้โมเสส