ถาม.
ถามหน่อยครับ ผมเข้าใจแบบนี้ถูกไหมครับ ผมเข้าใจว่าสิบลดไม่ใช่ธรรมบัญญัติเเละไม่อยุ่ใต้พระบัญญัติ เพราะสิบลดหรือสิบชักหนึ่งเกิดก่อนตั้งเเต่อับราฮัมถวายสิบลดให้กับเมลคีเชเดค.
"อับราฮัมก็ได้ถวายของหนึ่งในสิบแห่งของทั้งปวงแก่เมลคีเซเดค เมลคีเซเดคนั้นเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความชอบธรรม ตามความหมายของนามของท่าน และเป็นกษัตริย์แห่งสันติสุข ตามความหมายของชื่อเมืองซาเลม" (ฮีบรู 7:2)
สาธุการแด่พระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในเงื้อมมือของท่าน>> อับรามก็ยกหนึ่งในสิบจากข้าวของนั้นถวาย แก่กษัตริย์เมลคีเซเคด (ปฐมกาล 14:20)
ผมอ่านเลยเชื่อว่าพระสัญญาใหม่ก็ยังพูดถึงการถวายสิบลดอยู่นะครับ ปฐมกาลธรรมบัญญัติยังไม่มา
ตอบ.
เรื่องเกี่ยวกับสิบลด คือสำหรับเรื่องสิบลดในสมัยของอับราฮัม เริ่มจากอับราฮัมสิบลดหรือเรียกกันว่าสิบชักหนึ่ง ในสมัยของท่านอับราฮัมมีผู้ชายคนหนึ่งชื่อเมลคีเซเดค ท่านเป็นกษัตริย์ และเป็นมหาปุโรหิตของพระเจ้า ท่านเชื่อในพระเจ้า และเดินไปกับพระเจ้าในสมัยของท่านอับราฮัม
เมื่ออับราฮัมรบชนะศัตรู ท่านจึงนำสิบลดของสิ่งที่ได้มาถวายแด่พระเจ้าครั้งเดียวเท่านั้นนะครับ ในหนังสือปฐมกาลมีครั้งเดียวที่อับราฮัมถวาย และถวายจำนวนสิบลด คือสิบชักหนึ่ง หรือเรียกกันว่าสิบเปอร์เซ็นของสิ่งที่ได้มาจากศัตรู ถวายแด่พระเจ้าผ่านมหาปุโรหิตที่ชื่อเมลคีเซเดค ขอให้เข้าใจนะครับท่านทำเพื่อแสดงถึงการขอบพระคุณพระเจ้า สำนึกถึงพระคุณพระเจ้าที่ช่วยให้ท่านได้รับชัยชนะจากศัตรู
จากนั้นนะครับท่านก็ไม่เคยถวายสิบลดให้กับเมลคีเซเดคอีกเลย เนื่องจากว่าพระเจ้าไม่เคยสั่ง ไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่พระบัญญัติ พระเจ้าไม่เคยตั้งกฎเกณฑ์ให้ท่านอับราฮัมต้องถวาย ทุกเดือน ทุกปี หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือทุกครั้งที่มีรายได้ หรือได้รับสิ่งที่เป็นรายได้เข้ามา เเล้วแยกออกเป็นสิบลดเพื่อถวายแด่พระเจ้า ไม่มีนะครับ
แต่อับราฮัมตัดสินใจถวายสิบเปอร์เซ็นเนื่องจากว่าท่านเห็นว่าไม่มากเท่าไหร่ หรือพอทำได้ แล้วก็มันไม่มากจริงๆ สำหรับท่าน ส่วนเก้าสิบเปอร์เซ็นท่านก็เก็บเอาไว้ นี่คือการถวายด้วยความพอใจ ไม่ฝืนใจ ไม่บังคับใจ และท่านเองเป็นคนกำหนด ขอให้เข้าใจตรงนี้นะครับ อับราฮัมเป็นคนกำหนดไม่ใช่พระเจ้ากำหนด อับราฮัมถวายด้วยความพอใจเต็มใจ ไม่ใช่พระเจ้าสั่ง ว่าต้องเป็นสิบลด สิบเปอร์เซ็น ขอให้เข้าใจนะครับ อันนี้อยู่ในหนังสือปฐมกาล 14:20 และ ฮีบรู 7:4-5
*** สิบลด คือสิบชักหนึ่ง ในสมัยของท่านอับราฮัมมีผู้ชายคนหนึ่งชื่อเมลคีเซเดค ท่านเป็นกษัตริย์ และเป็นมหาปุโรหิตของพระเจ้า ท่านเชื่อในพระเจ้า และเดินไปกับพระเจ้า เมื่ออับราฮัมรบชนะศัตรู ท่านจึงนำสิบลดของสิ่งที่ได้มาถวายแด่พระเจ้าครั้งเดียวเท่านั้น เพื่อสำแดงถึงการขอบพระคุณพระเจ้าที่ช่วยให้ท่านได้รับชัยชนะ จากนั้นท่านก็ไม่เคยถวายสิบลดให้กับเมลคีเซเดคอีกเลย เนื่องจากว่าพระเจ้าไม่เคยสั่งให้ท่านทำ หรือให้ใครทำ แต่อับราฮัมทำด้วยความสำนึกถึงพระคุณพระเจ้า
อับราฮัมตัดสินใจถวายสิบเปอร์เซ็นจากสิ่งของที่ยึดมาจากศัตรูได้แด่พระเจ้าเนื่องจากท่านเห็นว่าก็ไม่มากเท่าไหร่ ส่วนเก้าสิบเปอร์เซ็นท่านก็เก็บเอาไว้ นี่คือการถวายด้วยความพอใจ ไม่ฝืนใจ ไม่บังคับใจของท่าน (ปฐมกาล 14:20 / ฮีบรู 7:4-5)
*** เมื่อโมเสสนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ ท่ามกลางพวกเขามีพลับพลาของพระเจ้า และมีพนักงานที่คอยทำหน้าที่เป็นปุโรหิตซึ่งพนักงานเหล่านี้มาจากตระกูลเลวี ที่เป็นลูกหลานของอาโรนพี่ชายของโมเสส พวกเขามีหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าเท่านั้นในท่ามกลางชนชาติอิสราเอล (อพยพ บทที่ 28-29) พระเจ้าห้ามไม้ให้นำเงินมาถวายสิบลด (พบญ 14:22–29)
*** เมื่อพระเยซูเสด็จมา และพระองค์กระทำพระราชกิจประกาศข่าวประเสริฐตอนนั้นยังอยู่ในยุคพระบัญญัติเดิม พระองค์จึงไม่คัดค้านเรื่องการถวายสิบลด
เมื่อพระเยซูเสด็จมา และพระองค์กระทำพระราชกิจประกาศข่าวประเสริฐ ตอนนั้น พระเยซูยังอยู่ในยุคพระบัญญัติเดิม พระองค์จึงไม่คัดค้านเรื่องการถวายสิบลด พระองค์ก็ตรัสว่าอะไรก็ตามที่ทำ ที่ถวายได้ ก็ถวายไป แล้วก็ต้องรักษาพระบัญญัติเรื่องสิบลดเหมือนเดิม ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเนื่องจากพระองค์ยังอยู่ในยุคเดิมอยู่
*** เมื่อพระวิหารถูกทำลายลงในปี ค.ศ. 70 ชาวยิวไม่มีใครถวายสิบลด เนื่องจากว่าตระกูลเลวีไม่ได้ทำหน้าที่ปุโรหิตที่พระวิหาร ชาวยิวจึงไม่กล้าถวายสิบลด เนื่องจากว่าไม่มีใครกล้ารับสิบลดดังกล่าว เนื่องจากว่าเป็นคำสั่งของพระเจ้า คือตระกูลเลวีเท่านั้นที่สามารถรับสิบลดได้
และเมื่อพระวิหารถูกทำลายลงในปี ค.ศ. 70 ชาวยิวไม่มีใครถวายสิบลดไม่มีใครกล้าถวายเลย เนื่องจากว่าตระกูลเลวีไม่ได้ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต และไม่มีพระวิหารอีกต่อไปแล้ว พระวิหารถูกทำลายลงแล้ว ชาวยิวไม่มีใครกล้าที่จะถวายสิบลด เนื่องจากว่าไม่มีใครกล้ารับ เพราะว่าตระกูลเลวีเท่านั้นที่พระเจ้าสั่งให้เป็นคนที่มีสิทธิรับสิบลดเท่านั้น ตระกูลอื่น ตระกูลไหนก็ตามไม่มีใครที่จะรับได้ เพราะฉะนั้นชาวยิวทั้งหลายทั่วโลกตั้งแต่ ค.ศ. 70 จนถึงทุกวันนี้ชาวยิวไม่กล้าที่จะถวายสิบลด และไม่มีใครถวายสิบลด
*** เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย ยุคเก่าก็ผ่านไป ยุคใหม่ก็เข้ามา พระบัญญัติเดิมก็จบลง และพระบัญญัติใหม่ก็เริ่มขึ้น พันธสัญญาเดิมก็เป็นโมฆะ พันธสัญญาใหม่ก็เริ่มมีผลใช้ได้กับมนุษย์
ฮีบรู 7:12 เพราะเหตุตำแหน่งปุโรหิตได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ก็จำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติไปด้วย พระเยซูเป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดค
เราจึงย้อนกลับไปดูว่าการถวายที่อับราฮัมถวาย คือท่านทำอย่างไร ไม่ใช่คำสั่งของพระเจ้า เราให้ด้วยความรัก และเพื่อสำนึกถึงพระคุณพระเจ้า เราให้เท่าไหร่ก็ได้ที่ไม่บังคับใจ และไม่ฝืนใจ แต่ให้อยู่บนพื้นฐานของคำว่า พระเจ้าทรงซื้อเราแล้ว ทรงเป็นเจ้าของชีวิต และทั้งหมดที่เรามีก็เป็นของพระองค์แล้ว สำหรับพี่น้องที่เน้นคำว่า สิบลด หรือมากกว่าก็ขอให้ทำด้วยใจรัก เต็มใจ พอใจ และเราเองทั้งครอบครัวของเราก็ไม่เดือดร้อน และไม่เป็นทุกข์ หรือเสียดาย
และสำหรับเราที่เป็นคริสเตียน ที่พระบัญญัติเดิมถูกยกเลิก พระบัญญัติใหม่เริ่มมีผลใช้ พันธสัญญาเดิมจบแล้ว ตอนนี้เราอยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่ เป็นพระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัม และพระเยซูนำพระสัญญาของพระเจ้า ที่มีต่ออับราฮัมมาถึงพวกเรา ที่เป็นคริสเตียน ที่เป็นลูกหลานของอับราฮัมฝ่ายวิญญาณ
เมื่อพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตายยุคเก่าก็ผ่านไป ยุคใหม่ก็เข้ามา พระบัญญัติเดิมก็จบลง และพระบัญญัติใหม่ก็เริ่มขึ้น พันธสัญญาเดิมก็เป็นโมฆะ พันธสัญญาใหม่ก็เริ่มมีผลใช้กับมนุษย์ ฮีบรูบทที่ 7 ข้อที่ 12 เพราะเหตุตำแหน่งปุโรหิตได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ขอให้เข้าใจตรงนี้ว่าปุโรหิตที่มาจากตระกูลเลวีจบ เปลี่ยนแปลง เรามีปุโรหิตใหม่ ก็คือพระเยซูคริสต์
พระองค์เป็นมหาปุโรหิต ตามแบบของเมลคีเซเดค ทีนี้เมื่อพระเยซูเสด็จมา ปุโรหิตตามแบบของเลวีจบ มีการเปลี่ยนแปลง มาถึงยุคนี้ ก็คือพระเยซูเป็นมหาปุโรหิต เป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดค
เราก็ต้องย้อนกลับไปดูการถวายของอับราฮัมในสมัยก่อนในปฐมกาลบทที่ 14 เราพบว่าอับราฮัมถวายด้วยความพอใจ ท่านเป็นคนกำหนด ไม่ใช่พระเจ้ากำหนด และท่านให้ด้วยความเต็มใจ พอใจ ด้วยความรัก และสำนึกถึงพระคุณพระเจ้าที่ช่วยท่าน
1. ไม่ใช่คำสั่งของพระเจ้า แต่ท่านอับราฮัมเป็นคนกำหนดว่าให้เท่าไหร่ถวายแด่พระเจ้าเท่าไหร่เพื่อสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้า และเราให้ด้วยความรัก
2. ให้ด้วยความรัก และเพื่อสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้าเพื่อขอบพระคุณพระเจ้า
3. เราให้เท่าไหร่ก็ได้ ที่ไม่บังคับใจ ไม่ฝืนใจ แต่เต็มใจให้ ให้อยู่บนพื้นฐานของคำว่า พระเจ้าทรงซื้อเราแล้ว พระองค์ทรงเป็นเจ้าของชีวิตของเราทั้งหมดที่มี ทั้งหมดที่เรามีก็เป็นของพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้นขอให้เราจำตรงนี้ เราให้เท่าไหร่ก็ได้ที่ไม่ฝืนใจ ไม่บังคับใจ แต่เต็มใจให้ด้วยหัวใจรัก และสำนึกถึงพระคุณพระเจ้าที่พระองค์แสนดีต่อเรา
4. สำหรับพี่น้องที่เน้น คำว่า สิบลด หรือต้องการถวายสิบลด หรือมากกว่านั้น หรือเท่าไหร่ก็แล้วแต่ที่ทำได้ ก็เอเมน แต่ขอให้ทำด้วยหัวใจรักเต็มใจพอใจ และสำนึกถึงพระคุณพระเจ้าที่พระองค์มีเมตตา พระองค์รักเรา พระองค์ให้เรามีชีวิตที่เต็มด้วยพระคุณซ้อนพระคุณ ด้วยความรัก ด้วยพระเมตตาอะไรก็แล้วแต่ พระองค์นำเรามาถึงพระคุณของพระเจ้า เป็นพระคุณอย่างล้นเหลือ เราก็ให้พระองค์ถวายแด่พระองค์
และสิ่งที่สำคัญ ก็คือครอบครัวของเราเห็นด้วย คือไม่มีใครเดือดร้อนเมื่อให้ แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ หรือเสียดายทีหลัง แต่ถ้าให้ ถ้าให้ ก็คือไม่อวด ไม่อวดว่าต้องให้เป็นประจำต้องให้ คือเป็นข้อบังคับ หรือเป็นกฎเกณฑ์ อันนี้ไม่ใช่ยุคพระคุณ ไม่ใช่ยุคพระคุณ
เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของมนุษย์ หรือกฎเกณฑ์ของพระบัญญัติเดิม แต่อยู่ภายใต้กฎของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์กำหนด ที่พระองค์ให้เราทำได้เท่าไหร่เราก็ทำเท่านั้น ทำไม่ได้ก็ไม่ทำ และอย่าไปเชื่อ หรืออย่าไปเชื่อความคิด หรือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเพียงครั้งเดียวหรือ สอง สามครั้งว่า โอ้...ถ้าหากเราไม่ถวายสิบลด ก็คือชีวิตเรามันล่มจม หรือไม่มีอะไรดีขึ้น
แต่พอกลับมาสัตย์ซื่อ ซื่อสัตย์ในการถวายสิบลดปรากฏว่าชีวิตก็ดีขึ้น อย่าลืมนะว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ใช่พระเจ้าคนเดียว ไม่ใช่พระเจ้าผู้เดียว มีมารซาตานที่คอยสนับสนุนในการเชื่อผิดของเราด้วย ขอให้ระมัดระวังตรงนี้นะครับ
สำหรับพี่น้องที่ถวายได้ หรือตั้งใจจะถวายสิบลดแด่พระเจ้าก็ขอให้ทำด้วยหัวใจรัก และทำด้วยตัวใหม่ แต่สำหรับพี่น้องที่ทำไม่ได้ เราก็อาศัยพื้นฐานของความเชื่อ และอยู่ภายใต้พระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม ก็คือท่านเป็นคนกำหนดว่าจะให้เท่าไหร่เหมาะสม และไม่เป็นทุกข์ หรือเสียดาย
และถ้าหากว่าทุกวันนี้ ถ้ายิวมาพูดกับพวกเรา เขาจะบอกว่าเนี่ยนะ พวกเราตั้งแต่ ค.ศ. 70 จนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครถวายสิบลด แต่ทำไมเขาเป็นชนชาติที่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีมากมายเต็มโลก พระเจ้าไม่อวยพรเขาเหรอ ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ถวายสิบลดเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ลูกหลานยิวทุกวันนี้ ไม่มีใครถวายสิบลด แต่เขาก็ร่ำรวย มั่งคั่ง มั่งมี เป็นมหาเศรษฐี มีอยู่ มีกิน เหลือกิน เหลือใช้ มีมากกว่าคนชาติอื่นทั่วไปในโลกนี้
และสำหรับบางคนที่ผมรู้จักดีนะครับที่ได้รับการเปิดตา และไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์พระบัญญัติเรื่องการถวายสิบลด ชีวิตของเขานะครับ ก็อยู่ภายใต้การดูแลของพระเจ้าไม่ยากจน อาจจะไม่มั่งมี อาจจะไม่เป็นคนที่ร่ำรวย แต่ชีวิตไม่เคยขัดสนอยู่ในความสุขกับพระเจ้า () และก็พอมีพอกินพอใช้ ไม่เดือดร้อน ไม่เคยเดือดร้อนนะครับ
ซึ่งอันนี้นะครับผมเห็นว่าการที่เราจะเป็นพยาน หรือยืนยันนะครับ ด้วยประสบการณ์ที่เราได้รับบางครั้งบางคราว หรือเห็นบางคนพูดนะครับ ..ว่าเมื่อซื่อสัตย์ในการถวายสิบลดแล้ว ก็รู้สึกว่าพระเจ้าอวยพร..
ผมอยากจะบอกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าหากเราให้นะครับ ไม่ต้องพูดถึงสิบลดก็ได้ คือเราให้เท่าไหร่ที่หัวใจของเราเต็มใจ พอใจ ไม่เป็นทุกข์ ไม่ฝืนใจ ไม่บังคับใจ ไม่เสียดาย พระเจ้าก็จะให้ สิ่งที่เราให้พระองค์ตอบแทน ยัด สั่น แน่น พูน ล้น เราจำกันได้ไหมสำหรับพระคัมภีร์ข้อนี้ (ลก 6:38) พระเจ้าจะตอบแทน ยัด สั่น แน่น พูน ล้น เพื่อให้เรานำมาใช้เพื่อกิจการงานของพระเจ้าอีกต่อไป ไม่ใช่เก็บนะครับ
ถ้าใครที่ให้มากเท่าไหร่ พระเจ้าก็ให้ ยัด สั่น แน่น พูน ล้น และผลที่ได้รับ สิ่งที่ตามมา คือเราก็กินผลในสิ่งที่พระเจ้าตอบแทนด้วย แล้วก็นำใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ และการช่วยเหลือคนยากจนเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าในโลกนี้
สรุป
คือเรื่องสิบลด ก็คือพระบัญญัติที่พระเจ้าให้โมเสสเพื่อชนชาติอิสราเอล ที่จะถวายสิบลดเพื่อให้เป็นอาหารสำหรับตระกูลเลวี ที่เป็นปุโรหิต ที่เป็นพนักงานประจำพระวิหาร เพื่อปฏิบัติรับใช้พระเจ้า
และสำหรับเราที่เป็นคริสเตียน เราไม่มีพระวิหาร แต่เรามีการใช้จ่ายบ้าง เรื่องเกี่ยวกับการรับใช้ ค่าน้ำค่าไฟ มีมากมายหลายสิ่งที่เราอาจจะต้องใช้
แต่...! แต่ในพระคัมภีร์ใหม่ เปาโล มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เปโตร ไม่มีใครสั่งโดยพระวิญญาณ บอกว่าต้องถวายสิบลด และคำว่า สิบลด ไม่ได้เป็นคำสั่งตั้งแต่หนังสือกิจการ ตั้งแต่หนังสือกิจการจนถึงวิวรณ์
เพราะฉะนั้นเรารู้นะว่าพระเยซูเป็นมหาปุโรหิต เป็นปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดค เราก็ต้องกลับไป ย้อนไป ย้อนกลับไปถึงพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัม และการถวายของอับราฮัม คือเขาทำแบบไหนทำยังไง..
เพราะฉะนั้นเราเห็นว่าอับราฮัมเป็นคนกำหนด อับราฮัมเป็นคนให้ด้วยความรัก ด้วยการสำนึกถึงพระคุณพระเจ้า พระเจ้าไม่เคยสั่ง พระเจ้าไม่เคยตั้งกฎเกณฑ์ตั้งพระบัญญัติให้อับราฮัมทำ แต่ท่านเป็นคนทำเพราะว่าท่านรักพระเจ้าและสำนึกถึงพระคุณของพระเจ้าอย่างที่ผมพูดนะครับ
แล้วเราทุกวันนี้พบว่า 2 โครินธ์บทที่ 6 ข้อที่ 7 คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านเปาโล ว่าการให้ หรือการถวายเราจะให้แบบไหน ก็คล้ายๆ กับอับราฮัมที่ให้ในสมัยก่อนในหนังสือปฐมกาลบทที่ 14 ก็คือให้ด้วยความรัก ด้วยการสำนึกถึงพระคุณพระเจ้า ด้วยการไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ไม่เป็นทุกข์ ไม่ฝืนใจ ไม่บังคับใจ ขอให้พี่น้องทุกท่านจำเริญขึ้นในพระคุณของพระบิดา เอเมน
- ท่านถวายแบบ “ ให้ ” เป็นของขัวญแด่พระเจ้า ไม่ใช่จ่ายสิบลดคืนให้พระเจ้าเหมือนชนชาติอิสราเอล
- พระเจ้าไม่ได้สั่งให้ท่านทำ แต่ท่านให้เพื่อสำนึกถึงพระคุณพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ตั้งกฏเกรณ์ หรือพระบัญญัติแก่อับราฮัมว่าต้องจ่ายสิบลดคืนให้พระเจ้า
- เมื่อพระเจ้าช่วยท่านให้รบชนะศัตรู และริบทุกสิ่งที่เป็นของพวกเขามา ท่านจึงให้พระเจ้าสิบชักหนึ่ง
- ท่านให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ไม่ให้พระเจ้าสิบชักหนึ่งอีกเลย
- ปฐก 14:20, ฮบ 7:4-5
...
- สิบลดไม่ใช่พระบัญญัติสิบประการ แต่เป็นหนึ่งในพระบัญญัติสองร้อยกว่าข้อของพระเจ้าต่อชนชาติอิสราเอล (เลวีนิติ 27:30-32; พระราชบัญญัติ 14:22; มาลาคีบทที่สาม)
- พระเจ้าสั่งให้ชนชาติอิสราเอลถวายเพื่อเป็นอาหารแก่ปุโรหิตที่มาจากเผ่าเลวีเท่านั้น (กันดารวิถี 18:24)
- สิบลดของเลวีที่ได้มาจากอิสราเอลก็ต้องถวายสิบลดแด่พระเจ้า (กันดารวิถี 18:26)
- สิบลดไม่ใช่เงิน (พระราชบัญญัติ 14:22-29; กันดารวิถี 18:27-31; เลวีนิติ 27:30-32)
- ถ้าหากยิวซื่อสัตย์ถวายสิบลดพระเจ้าก็อวยพรแต่ถ้าหากไม่ซื่อสัตย์พระเจ้าก็จะลงโทษ (มลค บทที่ 3)
...
- ขณะที่พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐ พระเยซูไม่คัดค้านเรื่องพระบัญญัติเดิม และการถวายสิบลด เนื่องจากว่าอิสราเอลยังอยู่ภายใต้ยุคพระบัญญัติ ในมัทธิวบทที่ 23:23-24 พระเยซูได้กล่าวโทษพวกฟาริสีและสะดูสีเรื่องการถวายสิบลด เมื่อพระเยซูถูกตรึง และตายบนกางเขน พระบัญญัติเดิมก็จบ และพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูก็เริ่มมีผลใช้ในท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลาย เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย
...
- ชาวยิวที่ไม่เชื่อ : หลังจากที่พระวิหารถูกทำลายลงในปี ค.ศ. 70 ไม่มีใครกล้าถวายสิบลดเนื่องจากว่าตระกูลเลวีกระจัดกระจายไป การถวายเครื่องบูชาก็ไม่มีอีก แต่เราคริสเตียนรู้กันดีว่าพระเจ้าไม่อยู่ที่พระวิหารอีกแล้ว และย้ายเข้ามาอยู่ในผู้เชื่อ และทรงอนุญาตให้ทหารโรมันทำลายพระวิหารเสีย
- ทุกวันนี้ยิวทั่วโลกนมัสการพระเจ้าในสถานที่ ที่เรียกว่าธรรมศาลา ค่าใช้จ่ายก็คือเงินที่ได้มาจากการถวาย และการซื้อจองที่นั่งของครอบครัวชาวยิวนั่นเอง
...
- เราอยู่ใต้พระสัญญาของพระเจ้าที่ประทานแก่อับราฮัม คือเชื่อก็ได้รับพระพรทั้งหมด คือได้กลายเป็นคนชอบธรรม และรับมรดกร่วมกับพระเยซูในพระเยซู
- เรื่องเงินทองเพื่อการใช่จ่ายย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าหากสิบลดคือพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู พระองค์และสาวกจะต้องสั่งให้ผู้เชื่อถวายอย่างแน่นอน แต่ปรากฏว่าในพระคัมภีร์ใหม่ไม่มีคำสั่งให้ถวายสิบลดเลย
- มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับปุโรหิตจากตระกูลเลวีสู่พระคริสต์แล้ว (ทรงเป็นปุโรหิตตามแบบเมลคีเซเดค) การถวายจึงเรียกว่า “ ให้ ” ไม่ใช่จ่ายคืน เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงซื้อเราทั้งหมดชีวิต และทุกสิ่งที่เราเป็นเจ้าของแล้ว (ฮบ 7:12; ปฐก 14:20)
- เราให้พระเจ้าเป็นของขัวญเพื่อการงานของพระองค์ และเพื่อช่วยเหลือคนยากจน
- จากสิบลดของยิวกลายเป็นร้อยลดของคริสเตียน (1 คร 6:19-20)
- เราให้ตามขนาดของความเชื่อ ไม่ใช่ตามจำนวณเท่าไหร่ เราให้ด้วยไม่ฝืนใจไม่เป็นทุกข์ และไม่เสียดาย แต่เพื่อสำนึกถึงพระคุณพระเจ้าที่มีต่อชีวิตเรา (2 คร 9:7)
- สิบลด คือพระบัญญัตเดิม และถ้าหากเรารักษาเราจะกลายเป็นเนื้อหนังและจะถูกสาปแช่ง (กท 3:10)
- คริสเตียนที่ใช้เงินของพระเจ้าอย่างฉลาดซึ่งก็คือกินอยู่ใช้จ่ายอย่างประหยัดสำหรับการดำเนินชีวิต และเพื่อข่าวประเสริฐ และเพื่อช่วยเหลือคนยากจนอย่างเหมาะสมตามการทรงนำของพระวิญญาณ พระเจ้าจะเพิ่มให้จนยัดสั่นแน่นพูนล้น (ลก 6:38)
- อย่าเพิ่งด่วนไปเชื่อเมื่อได้เห็นผลดี และคิดว่าเป็นพระพรที่พระเจ้าประทานที่ได้มาจากการถวายสิบลด เนื่องจากว่ายังมีพี่น้องอีกมากมายที่ถวายอย่างซื่อสัตย์แต่ชีวิตกิจการงานล่มจม หรือชีวิตขัดสนก็มี
ถาม.
คำเทศนาเรื่อง (ยอมรวยเพื่อข่าวประเสริฐ)
โลกนี้ คนเราให้เกียรติกันผ่านสถานะทางสังคม คนที่มีตำแหน่ง และคนร่ำรวยมักจะมีเกียรติ และถูกนับถือโดยคนทั่วไป มีเงินนับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่
คริสเตียนไม่ควรจน เพราะว่าความจนเป็นสิ่งที่ผู้คนรังเกียจ ไม่มีใครอยากคบอยากคุยด้วยและอยากนั่งทานอาหารด้วย คนจนเมื่อประกาศก็ไม่มีใครอยากฟัง ไม่เหมือนคนรวย เหตุฉะนั้นคริสเตียนเราจึงควรเป็นคนรวย ควรหาวิธีเป็นคนรวย ไม่ใช่จนอยู่อย่างนี้
ครอบครัวของพระเยซูไม่ได้ยากจน โรงแรมไม่มีที่ว่างจึงต้องนอนที่คอกสัตว์
สภษ 19:7 คือคำสอนสำหรับชาวยิวที่อยู่ในยุคพระบัญญัติ
*** คำสอนของพระเยซูเรื่อง คนจนและคนรวยในพระคัมภีร์ใหม่
ตอบ.
อยู่ในคลิปนะครับ 5 นาที 10 วินาทีอาจารย์ท่านนี้บอกว่า การถวายสิบลด ก็คือมีเงินด้วยนะครับ แต่นี่คือคำสอนที่ผิดนะครับ
ในพระคัมภีร์นะครับเรื่องการถวายสิบลดทุกที่ทุกแห่งทุกหนของชนชาติอิสราเอลนะครับ ขอย้ำของชนชาติอิสราเอลพระเจ้าห้ามนำเงินมาถวาย แต่เป็นพืช ผักผลไม้ สัตว์ ที่หามาได้จากแผ่นดินนะครับ หลักฐานอยู่ที่ พระคัมภีร์พระราชบัญญัติบทที่ 14 ข้อที่ 22 ถึง 29 /กันดารวิถีบทที่ 18 ข้อที่ 27 จนถึง 31 /เลวีนิติ 27 ข้อที่ 30 ถึง 32 พูดถึงเรื่องสิบลดไม่ใช่เงินนะครับ นี่คือประเด็นแรกนะครับ ที่คำสอนผิดนะครับ
...
และเรื่องที่สอง ก็คืออาจารย์ท่านนี้บอกว่าพระเยซูก็สนับสนุนการถวายสิบลดอันนี้ก็ยังผิดอยู่นะครับ คือตอนที่พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐพระองค์เดินไปมาในโลกนี้ ตอนนั้นพระเยซูยังไม่ตาย ยังไม่ถูกตรึงนะครับยังถูกเรียกว่ายุคพระบัญญัติ พระองค์ก็ไม่คัดค้านพระองค์ยังสนับสนุนให้ชาวยิวรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่นะครับและพระองค์ก็ตำหนิกล่าวโทษฟารีสีและธรรมาจารย์พูดถึงเรื่องสิบลดที่เขาถวายแบบไม่ซื่อสัตย์แบบอวด อ้างอวดตัวนะครับ แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ในการถวายสิบลด
พระองค์จงจึงตำหนิเขา แต่อย่าลืมนะครับเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์และฟื้นขึ้นมาจากความตาย ยุคเก่าก็ผ่านไป ยุคใหม่ก็เริ่มขึ้นนะครับ พระบัญญัติเดิมก็จบ พระบัญญัติใหม่ก็เข้ามา และหลังจากนั้นนะครับพี่น้องลองสังเกตดูนะครับว่าใน พระบัญญัติใหม่ของพระเยซู พระองค์ก่อตั้งพระบัญญัติใหม่ในหนังสือมัทธิวบทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 ไม่มีคำว่า จงถวายสิบลด และพระวิญญาณตรัสผ่านผู้เชื่อทั้งหลายนะครับที่เป็นพระบัญญัติใหม่ของพระเยซู ก็คือเปาโลบ้าง ยอห์นบ้าง เปโตรบ้างนะครับ เราพบว่าไม่มีคำสั่งที่พระเยซูสั่งหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์สั่งให้สาวกทั้งหลายเขียนว่า จงรักษาพระบัญญัติเรื่องสิบลด หรือจงถวายสิบลด ไม่มีนะครับ
แต่เป็นการ “ ให้ ” แบบให้พระเจ้าเป็นของขวัญ เหมือนกับอับราฮัมที่ให้พระเจ้าผ่านกษัตริย์หรือปุโรหิตชื่อเมลคีเซเดคในปฐมกาลบทที่ 14
...
คือเรากำลังพูดถึงเรื่องสิบลดของชนชาติอิสราเอลในยุคพระบัญญัติเดิมนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับคริสเตียนเราในยุคนี้นะครับ
...
ส่วนสำหรับคริสเตียนพวกเรา เราไม่ถวายสิบลด แต่เราถวายร้อยลด ความหมายนะครับก็คือเราเชื่อทุกวันว่าทุกสิ่งทั้งชีวิตของเราและทรัพย์สินที่เรามีอยู่นะครับเป็นของพระเจ้าทั้งหมดเนื่องจากพระเจ้าทรงซื้อเราแล้ว แล้วเราไม่เรียกว่าถวายอีกนะครับ เราเรียกว่า “ ให้ ” นะครับ การใช้จ่ายการให้ก็คือให้นะครับเป็นเงินเป็นสิ่งของเป็นอะไรก็แล้วแต่นะครับที่เราสะดวก
ส่วนคำว่า ถวาย เราใช้เพื่อถวายแด่พระเจ้า ก็คือถวายร่างกายนี้อวัยวะนี้ในโรมบทที่ 6 ข้อที่ 13 พี่น้องลองไปอ่านดูนะครับการถวาย ก็คือถวายตัวใหม่ให้พระเจ้า
ส่วนเรื่องการใช้จ่ายเงินนะครับ ก็คือเรียกว่าการ “ให้” ใน 2 โครินธ์ บทที่ 9 ข้อที่ 7 นะครับ
...
ถ้าจะว่าแล้วนะครับอาจารย์ท่านนี้ที่อยู่ในคลิปนะครับ คือท่านไม่เข้าใจเรื่องยุคเก่ายุคใหม่ โลกนี้มีกี่ยุคสำหรับพระเจ้านะครับ เขาไม่ได้เรียนรู้ถึงจุดนี้ เขาจึงสับสน และเขาจึงไม่เข้าใจ และยังสนับสนุนเรื่องสิบลด เนื่องจากว่าพระเยซูพูดในมัทธิว บทที่ 23 ข้อที่ 24 นะครับการถวายสิบลดท่านก็ยังทำอยู่ นั่นคือการที่พระเยซูตรัสกับฟารีสี และธรรมาจารย์ และยังอยู่ในยุคพระบัญญัตินะครับ
เมื่อมาถึงยุคพระคุณนะครับ ยุคบัญญัติก็จบพระบัญญัติก็เป็นโมฆะ ในโรมบทที่ 10 ข้อที่ 4 พระเยซูคือจุดจบของพระบัญญัติ
...
เรื่องการให้นะครับเปาโลพูดชัดเจนมากใน 2 โครินธ์บทที่ 9 ข้อที่ 7 เรา “ให้” แทนที่การถวายสิบลด คำว่าสิบลดจะไม่มีในความคิดของคริสเตียนอีกแล้ว เรา “ให้” ตามขนาดของความเชื่อ ไม่เรียกว่าสิบลด ยี่สิบลด สิบห้าลด ไม่มีอีกแล้วนะครับ เรียกว่าการ “ให้” ตามขนาดของความเชื่อความหมายก็คือไม่มีจำนวนนะครับ ไม่กำหนด ไม่มีเรียกว่าจำนวนเท่าไหร่
แต่ “ให้” ด้วยหัวใจรัก ตามขนาดของความเชื่อ คือไม่เป็นทุกข์ ไม่เสียดายก็ให้ได้นะครับ และทุกวันนี้นะครับ จะให้เงินก็ใด้ให้อะไรก็ได้ที่เราสะดวกนะครับ
ตามขนาดของความเชื่อ คืออะไร...ให้ตามขนาดของความเชื่อก็คือให้ตามความสะดวกของหัวใจ ของภายในจิตใจของเราที่ให้แล้วไม่เป็นทุกข์ ไม่เสียดายครับ
...
สรุปง่ายๆ คือการถวายสิบลดไม่มีในคริสเตียน และไม่ใช่ของคริสเตียน แต่เป็นของยิว การถวายสิบลดนะครับไม่ใช่เงิน ห้ามนำเงินมาถวายเด็ดขาดนะครับ โดยพระเจ้าเป็นคนสั่ง และคริสเตียนพวกเรานะครับ เราชีวิตเราและทรัพย์สินทุกสิ่งที่เรามีเป็นของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าไม่ต้องการสิบลด พระเจ้าต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ของชีวิตของทุกสิ่งที่เรามี และเราใช้นะครับตามขนาดของความเชื่อนะครับ
เราให้เท่าไหร่ได้เราก็ให้ คือผมอยากให้พี่น้องนึกถึงคำนี้นะครับ คือเอาสิบลดออกไปจากความคิดของเรา ถ้าหากพี่น้องนะครับยังรักษาพระบัญญัติในข้อนี้ก็คือการถวายสิบลด พี่น้องก็จะอยู่ในภายใต้การสาปแช่งของพระเจ้า เนื่องจากว่าใครนะครับที่ยังรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่ คนนั้นก็จะถูกสาปแช่ง และหนึ่งในพระบัญญัติเดิมนะครับก็คือ สิบลด
...
เรื่องคำพยานของพี่น้องที่บอกว่ากลับมาถวายสิบลดแล้วพระเจ้าอวยพรนะครับ และก็มีหลายคนที่พูดเหมือนกันในลักษณะนี้ แต่อย่าลืมนะครับมีพี่น้องคริสเตียนอีกมากมายที่ซื่อสัตย์ในการถวายสิบลดกลับล่มจมนะครับไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า ถามว่ามันคืออะไร...เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนไปตัดสินว่า อ๋อ..เห็นผลเมื่อเราถวายสิบลด พระเจ้าก็อวยพร อันนี้ยังยืนยันไม่ได้นะครับ เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้ามาพูด มาตรัส มากล่าวกับเราว่าเนี่ยนะ เจ้าได้ถวายสิบลดเราก็เลยอวยพรเจ้า ถ้ามีคำนี้จริงๆ นะครับถ้ามาจากพระเจ้าจริงๆ ผมจะเชื่อ แล้วผมจะเลิกนะครับเลิกเชื่อเรื่องการถวายสิบลดไม่มีนะครับ
แต่ต้องมีสองสามคนนะครับที่เป็นพยานที่พูดถึงเรื่องนี้ ที่ว่าพระเจ้ามาปรากฏแล้วบอกว่า เราอวยพรเจ้าเนื่องจากว่าเจ้าถวายสิบลดด้วยความซื่อสัตย์นะครับ
...
ทุกวันนี้มีคริสตจักรมากมายที่ยังเชื่อเรื่องสิบลด แต่ก็ไม่ได้ถวายอย่างสัตย์ซื่อ และยังดำเนินชีวิตแบบกล้าๆ กลัวๆ ต่อพระเจ้า กลุ่มที่เชื่อเรื่องสิบลด แต่ละคริสตจักรคนที่ถวายสิบลดจริง ๆ มีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์และพวกเขาก็คือผู้นำเนื่องจากว่ากลัวสมาชิกจะมองว่าเป็นผู้นำที่ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีเรื่องการถวาย
บทความเพิ่มเติม: