ทุกศาสนาสอนว่า ความรอดได้มาโดยการทำดี แต่พระเยซูนำความรอดมาโดยทางความเชื่อ
- ทุกศาสนา: “ทำดี” ได้เป็นคนชอบธรรม และได้รอดจากนรกบึงไฟ
- คริสเตียน: “เชื่อพระเยซู” ได้เป็นคนชอบธรรม และได้รอด
อับราฮัมผู้เป็นแบบอย่าง
4:1 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอับราฮัมบรรพบุรุษของเราได้ประโยชน์อะไรตามเนื้อหนังเล่า
** สำหรับพระเจ้า เนื้อหนังเสื่อมและตกต่ำ ถูกสาปแช่งแล้ว จึงไม่มีประโยชน์อะไร
พระเจ้าไม่ทรงถือโทษบาปต่อคนชอบธรรม
4:2 เพราะถ้าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการกระทำ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้แต่มิใช่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
4:3 ด้วยว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า ‘อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’
** เปาโลยกตัวอย่างท่านอับราฮัมในพระคัมภีร์ (ปฐก 15:6) เพื่อยืนยันว่ามีคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้าโดยเชื่อในพระองค์ ไม่ต้องทำดีเพื่อให้กลายเป็นคนชอบธรรม (โรม 4:9, 22-25; / กท 3:6) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำดีเป็นงานของพระเจ้าในเราผ่านพระคริสต์เพื่อที่จะไม่มีใครอวดได้
4:4 ดังนั้นคนที่อาศัยการกระทำก็ไม่ถือว่าบำเหน็จที่ได้นั้นเป็นเพราะพระคุณ แต่ถือว่าบำเหน็จนั้นเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ
** "พระบัญญัติ" คือเราต้องทำเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าเพื่อพระองค์จะประทานบำเหน็จเป็นค่าจ้างรางวัลแก่เรา ส่วนพระคุณนั้นพระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์ และทรงประทานบำเหน็จพระพรความรอดแก่เรา เราเพียงแค่เชื่อ (เอา) ในการงานของพระองค์ที่ทรงกระทำในเราเท่านั้น
4:5 ส่วนคนที่มิได้อาศัยการกระทำแต่ได้เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงโปรดให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ความเชื่อของคนนั้นต้องนับว่าเป็นความชอบธรรม
4:6 ดังที่ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นคนชอบธรรมโดยมิได้อาศัยการกระทำ
4:7 ว่า ‘คนทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงโปรดยกความชั่วช้าของเขาแล้วและพระเจ้าทรงกลบเกลื่อนบาปของเขาแล้วก็เป็นสุข
4:8 บุคคลที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงถือโทษบาปของเขาก็เป็นสุข’
** (สดด 32:1-2
32:1 บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุขคือผู้ที่บาปของเขาได้รับการกลบเกลื่อนแล้วนั้น
32:2 บุคคลซึ่งพระเยโฮวาห์มิได้ทรงถือโทษความชั่วช้าก็เป็นสุขคือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา)
ความรอดของอับราฮัมเป็นแบบอย่างแก่ทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติ
4:9 ถ้าเช่นนั้นความสุขมีแก่คนที่เข้าสุหนัตพวกเดียวหรือหรือว่ามีแก่พวกที่มิได้เข้าสุหนัตด้วย เพราะเรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อนั้นเองทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม”
4:10 แต่พระเจ้าทรงถืออย่างไร เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วหรือ หรือเมื่อยังไม่ได้เข้าสุหนัตมิใช่เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วแต่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต
4:11 และท่านได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตราแห่งความชอบธรรมซึ่งเกิดโดยความเชื่อที่ท่านได้มีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัตเพื่อท่านจะได้เป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ ทั้งที่เมื่อเขายังไม่ได้เข้าสุหนัตเพื่อจะถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย
4:12 และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่เข้าสุหนัตที่มิได้เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้นแต่มีความเชื่อตามแบบของอับราฮัมบิดาของเราทั้งหลายซึ่งท่านมีอยู่เมื่อท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต
เรารับเอาพระสัญญาโดยความเชื่อ
4:13 เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่าจะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มีมาโดยพระราชบัญญัติแต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ
** พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะให้มนุษย์กลายเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่เนื่องจากจิตใจมนุษย์แข็งกระด้างหยิ่งผยองพองตัว พระองค์จึงประทานพระบัญญัติแก่พวกเขาสอนเขาว่าเนื้อหนังนั้นอ่อนแอและมีชีวิตที่เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าไม่ได้ จากนั้นทรงได้ประทานพระบุตรเพื่อมาทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ คือ ทำให้เราชอบธรรมโดยความเชื่อ
4:14 เพราะถ้าเขาเหล่านั้นที่ถือตามพระราชบัญญัติจะเป็นผู้รับมรดกความเชื่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร และพระสัญญาก็เป็นอันไร้ประโยชน์
** พระสัญญาของพระเจ้ามาถึงอับราฮามก่อน จากนั้นพระเจ้าได้ทรงประทานพระบัญญัติผ่านโมเสสชั่วคราวจนกว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮามจะมาถึงทางพระเยซูคริสต์
4:15 เพราะพระราชบัญญัตินั้นกระทำให้ทรงพระพิโรธ แต่ที่ใดไม่มีพระราชบัญญัติที่นั่นก็ไม่มีการละเมิดพระราชบัญญัติ
** คำว่า "แต่ที่ใดไม่มีพระบัญญัติ ที่นั่นก็ไม่มีการละเมิด" คือคนต่างชาติทั่วโลกไม่มีพระบัญญัติของโมเสส พระเจ้าก็ไม่ใช้พระบัญญัติเพื่อตัดสินหรือวัดการกระทำของเขาด้วยพระบัญญัติดังกล่าว แต่พระเจ้าจะให้พรหรือลงโทษคนต่างชาติตามกฎแห่งความดีชั่วภายในจิตใจ สำหรับชาวยิวพระเจ้าจะลงโทษและให้พรตามการรักษาพระบัญญัติของพวกเขา
4:16 ด้วยเหตุนี้เองการที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อเพื่อจะได้เป็นตามพระคุณเพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่แน่ใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคนมิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือพระราชบัญญัติพวกเดียวแต่แก่คนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเราทุกคน
** พระสัญญาเกี่ยวกับมรดกที่พระเจ้าจะประทานแก่อับราฮัมและลูกหลาน ผู้เชื่อทุกคนมีส่วนในมรดกนั้นได้โดยความเชื่อของคริสเตียนยิวและต่างชาติ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำดีชั่วของต่างชาติและการรักษาพระบัญญัติของชาวยิว
4:17 (ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ‘เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย’) ต่อพระพักตร์พระองค์ที่ท่านเชื่อ คือพระเจ้าผู้ทรงให้คนที่ตายแล้วฟื้นชีวิตขึ้นมาและทรงเรียกสิ่งของที่ยังมิได้เป็นให้เป็นขึ้น
4:18 ฝ่ายอับราฮัมนั้นเมื่อไม่มีหวังซึ่งเป็นที่น่าไว้ใจก็ยังได้เชื่อไว้ใจมีความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ตามคำที่ได้ตรัสไว้แล้วว่า ‘เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น’
4:19 และความเชื่อของท่านมิได้หย่อนถอยลงถึงแม้อายุของท่านได้ประมาณร้อยปีแล้วท่านก็มิได้คิดว่าร่างกายของท่านเปรียบเหมือนตายแล้วและมิได้คิดว่าครรภ์นางซาราห์เป็นหมัน
4:20 ท่านมิได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้นจึงถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า
4:21 ท่านเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์สามารถกระทำให้สำเร็จได้ตามที่พระองค์ตรัสสัญญาไว้
4:22 ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
** เนื่องจากว่าอับราฮัมเชื่อและไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงนับความเชื่อของท่านว่าเป็นความชอบธรรม พูดง่ายๆ ก็คือ ท่านกลายเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อนั่นเอง
4:23 แต่คำว่า ‘ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ นั้นมิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว
** "ความเชื่อ" เท่ากับ "ชอบธรรม" (Faith = righteous) คือมีความเชื่อก็ได้ชอบธรรม (ไม่ใช่มีความหมายของคำเหมือนกัน)
4:24 แต่สำหรับพวกเราด้วยจะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรมคือเราที่เชื่อวางใจในพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฟื้นขึ้นจากความตาย
4:25 คือพระองค์ผู้ทรงถูกมอบไว้เพราะการละเมิดของเราและได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม
** นี่คือฐานะคนชอบธรรมของผู้เชื่อทุกคนที่ได้รับเมื่อเชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์