ท่านลูกาเป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมเดินทางของเปาโล ท่านลูกาเขียนหนังสือ 2 เล่ม คือหนังสือลูกาและหนังสือกิจการ หนังสือลูกากล่าวถึงการทำงานของพระเยซูคริสต์ในสภาพของมนุษย์ ส่วนหนังสือกิจการกล่าวถึงการทำงานของพระคริสต์เยซูในสภาพของพระวิญญาณร่วมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผู้เชื่อส่วนมากมักจะเข้าใจว่าหนังสือกิจการ คือหนังสือประวัติศาสตร์คริสตจักร มีเรื่องราวการประกาศ และการสำแดงฤทธิ์เดชของพระเจ้าผ่านสาวก การถูกข่มเหง ฯลฯ
แต่จริงๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้ พระเจ้าให้ท่านลูกาเขียนขึ้น เพื่อเป็นพยานถึงการแพร่ขยายของชีวิตพระคริสต์ผ่านผู้เชื่อไปทั่วโลกในฐานะของราษฎรแห่งอาณาจักรของพระเจ้า
** เป้าหมายของหนังสือกิจการ
เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายพระองค์อยู่กับเหล่าสาวกอีก 40 วัน เพื่อสั่งสอนและอธิบายเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าแก่พวกเขา
พระเยซูในฐานะของพระเมสีอาห์จะทำให้พระสัญญาของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมสำเร็จ คือก่อตั้งอาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้ และพระเจ้า 3 พระภาคจะอยู่ท่ามกลางคริสตจักรของพระองค์ที่เต็มด้วยความรัก พระคุณ พระเมตตา และพระพร
พระเจ้าต้องการรวบรวมผู้เชื่อชาวยิวที่ต้อนรับพระเยซูทุกชนเผ่า และผู้เชื่อชาวต่างชาติที่ต้อนรับพระเยซูทุกชาติ ให้เป็นประชากรแห่งอาณาจักรของพระเจ้า และมีพระเมสีอาห์เป็นกษัตริย์ของพวกเขา เพื่อแพร่ขยายตัวตนของพระคริสต์ในโลกนี้ผ่านผู้เชื่อทุกคนท่ามกลางอาณาจักรของพระองค์
** คริสตจักร หรืออาณาจักรของพระเจ้า คือผู้เชื่อทั้งหลาย
หนังสือกิจการเป็นเรื่องของการเคลื่อนไหวของพระคริสต์เยซูท่ามกลางผู้เชื่อ คือ “คริสตจักร” ไม่ใช่ตึกอาคารสถานที่ แต่เป็นเหล่าผู้เชื่อทั้งหลาย
ไทม์ไลน์ timeline (ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลา) ของกิจการของพระเยซูผ่านอัครสาวกเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม แคว้นยูเดีย จากนั้นก็สะมาเรีย และทั่วโลก
** คริสตจักรเคลื่อนไปด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
สำหรับกิจการงานของพระเจ้าต้องใช้อำนาจที่มาจากพระองค์จึงกระทำภารกิจให้สำเร็จได้
พายุ และไฟ ที่อยู่เหนือเต็นท์พลับพลาในสมัยของโมเสส เล็งถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เคลื่อนไหวท่ามกลางชนชาติอิสราเอล และการทำพระสัญญาต่อพวกเขา เช่นเดียวกันกับ พายุ และไฟ ที่อยู่เหนือผู้เชื่อในกิจการบทที่ 2 ซึ่งเล็งถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เคลื่อนไหวท่ามกลางคริสตจักร และการทำสัญญาต่อคริสตจักร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ในพระคัมภีร์เดิมไม่มี ก็คือ รูปลิ้น ซึ่งเล็งถึงพระสัญญาของพระเจ้าไม่ได้มีไว้เพื่อชาวยิวเท่านั้น แต่จะไปถึงคนทุกชาติทุกภาษาทั่วโลก
** พระวิหารหลังใหม่ของพระเจ้า
พระวิหารหลังเก่ามีไว้สำหรับชาวยิว เป็นตึกอาคาร ส่วนพระวิหารใหม่มีไว้สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย และเป็นผู้เชื่อทั้งหลายที่มาร่วมกัน เพื่อสำแดงชีวิตพระคริสต์ ประกาศข่าวประเสริฐและนมัสการพระเจ้า
** การเปลี่ยนแปลงของพระวิหารหลังใหม่
พระวิหารมีหลายแห่ง เราพบว่าพระวิหารสำหรับคนยิวอยู่ใจกลางนครเยรูซาเล็ม และมีที่เดียวเท่านั้น แต่พระวิหารสำหรับผู้เชื่ออยู่ทุกที่ทุกแห่งหนที่พวกเขามารวมตัวกันร่วมกันในพระนามพระนามพระเยซู
** การดำเนินชีวิตของพระวิหาร (พระกาย)
สำหรับชาวยิวต้องรักษาพระบัญญัติ 10 ประการ และอีก 200 กว่าข้อ สำหรับคริสเตียนมี 2 ข้อเท่านั้น คือรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง และที่เหลือก็คือการกระทำที่ผ่าน 2 ข้อนี้ โดยพระคริสต์เยซูเป็นผู้ดำเนินชีวิตผ่านพวกเขา ซึ่งการรักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูในหนังสือมัทธิวบทที่ 5,6 และ 7 และจดหมายฝากหลายฉบับก็รักษาสำเร็จแล้วโดยพระคริสต์ในพวกเขา
** ยิ่งขัดขวางก็ยิ่งเติบโต
การประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรได้เริ่มขึ้น พร้อมกับการข่มเหงต่อต้านขัดขวางจากผู้นำศาสนายิว แต่ยิ่งมีการขัดขวางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเติบโตมากเท่านั้น
1:1 ข้าพเจ้าได้เขียนหนังสือก่อนหน้านี้แล้ว โอ ท่านเธโอฟีลัส เกี่ยวกับบรรดาสิ่งซึ่งพระเยซูได้ทรงตั้งต้นกระทำและสั่งสอน
1:2 จนถึงวันนั้นที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไป หลังจากที่พระองค์โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ตรัสคำบัญชาทั้งหลายแก่พวกอัครทูต ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้แล้วนั้น
1:3 ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงแสดงพระองค์เองว่าทรงพระชนม์อยู่ หลังจากการทรงทนทุกข์ของพระองค์แล้ว ด้วยการพิสูจน์อย่างแน่นอนหลายอย่าง และทรงถูกพบเห็นโดยพวกเขาเป็นเวลาสี่สิบวัน และตรัสถึงสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรของพระเจ้า
** พระเยซูใช้เวลา 33 ปีกว่า เพื่อประกาศสั่งสอนเรื่องอาณาจักร ความรอด สันติสุข พระคุณ การไถ่บาป พระบัญญัติใหม่ และ 40 วันสุดท้ายพระองค์เน้นเรื่องอาณาจักร เนื่องจากว่าเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญสำหรับพระเจ้า เพราะฉะนั้นผู้เชื่อจึงควรแสวงหาอาณาจักรดังกล่าว (มธ 6:33)
1:4 และเมื่อพระองค์ได้ทรงชุมนุมกันกับพวกเขา จึงกำชับพวกเขาว่า พวกเขาไม่ควรออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา ซึ่งพระองค์ตรัสว่า “ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ
** การทำงานของคริสเตียน ถ้าหากปราศจากฤทธิ์เดชฤทธิ์อำนาจการเคลื่อนไหวการนำพาของพระเจ้าก็จะไม่มีผลอะไร เนื่องจากว่าความรอด ข่าวประเสริฐ การไถ่ การกลับใจ และการบังเกิดใหม่ เป็นเรื่องของการฝ่ายวิญญาณ
การเชื่อ ไม่ใช่การเชื่อในลักษณะของศาสนาทั่วๆ ไป แต่การเชื่อ ในที่นี้ คือการเชื่อเข้าในพระเยซู คือเอาชีวิตหัวใจทุกสิ่งเข้าไปในโลกของพระเยซูในฝ่ายวิญญาณ ความเชื่อนี้จึงนำผู้เชื่อมาถึงการบังเกิดใหม่ การได้คืนดีกับพระเจ้า และได้รับความรอดได้
เพราะฉะนั้น การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่เบื้องหลังสาวกทั้งหลายจึงสำคัญมาก
1:5 เพราะว่ายอห์นได้ให้รับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่ท่านทั้งหลายจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกไม่กี่วันนับจากนี้”
** บัพติศมาด้วยน้ำ และบัพติศมาด้วยพระวิญญาณ คำที่เหมาะสมที่สุดก็คือ “ใน”
- บัพติศมาในน้ำ ก็คือ จุ่มทั้งตัวลงไปในน้ำ ซึ่งเล็งถึงการยอมรับการที่ผู้เชื่อได้ตายร่วมกับพระเยซูเมื่อ 2,000 ปีก่อน
- ส่วนบัพติศมาในพระวิญญาณ ก็คือ ทันทีที่มีคนกลับใจเชื่อ พระเยซูจะเสด็จมาเอง แต่ตาเรามองไม่เห็น เพื่อจุ่มเขาเข้าไปในพระวิญญาณ ก็คือให้เขามีส่วนในพระองค์ เขาจึงได้บังเกิดใหม่ ได้คืนดีกับพระเจ้า และได้รับความรอด
- ขณะที่บัพติศมาในไฟ ก็คือ การจุ่มคนที่ไม่เชื่อลงไปในบึงไฟ (ดูคำอธิบายในมัทธิวบทที่ 3 และยอห์น บทที่ 3)
1:6 เหตุฉะนั้นเมื่อพวกเขาได้ประชุมพร้อมกัน พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ โดยทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ณ เวลานี้พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่อิสราเอลหรือ”
** สาวกของพระเยซูเข้าใจว่า พระองค์จะมาก่อตั้งอาณาจักรฝ่ายร่างกายสำหรับชนชาติอิสราเอลขึ้นมาใหม่ และเป็นกษัตริย์ครอบครองเหนืออาณาจักรนั้น แต่สำหรับพระเจ้า พระเยซูมาเพื่อที่จะก่อตั้งอาณาจักรที่ตามองไม่เห็น ซึ่งเริ่มขึ้นที่คริสตจักร หรือผู้เชื่อทั้งหลาย จากนั้นก็ยุคพันปี และฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่
1:7 และพระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของพวกท่านที่จะทราบเวลาหรือวาระทั้งหลาย ซึ่งพระบิดาได้ทรงกำหนดไว้ให้อยู่ในสิทธิอำนาจของพระองค์
** การก่อตั้งอาณาจักรของพระเจ้า และเวลากำหนดของยุคพันปีเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนสำหรับพระเจ้า พระองค์ไม่เคยเชื่องช้า พระองค์ตรงเวลา
แต่ในอีกแง่หนึ่งพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เต็มด้วยรัก และเมตตา และอดทนนาน จึงต้องเลื่อนเวลาการก่อตั้งอาณาจักรพันปีไปอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อช่วยคนอีกมากมายให้ได้รอด และพระองค์ต้องการให้สาวกทั้งหลายไม่ประมาท และเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ จึงไม่มีใครรู้เรื่องเวลากำหนดที่พระองค์จะเสด็จมาเพื่อก่อตั้งอาณาจักร
พระเยซูในสภาพพระเจ้าพระบุตร พระองค์ทรงทราบดีเรื่องเวลากำหนด ส่วนพระเยซูในสภาพของมนุษย์พระองค์ประกาศว่า ไม่รู้ และไม่ใช่สิทธิอำนาจของพระองค์ที่จะรู้ หรือเป็นคนกำหนด
1:8 แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาบนพวกท่าน และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเราทั้งในกรุงเยรูซาเล็ม และในแคว้นยูเดียทั้งหมด และในแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแห่งแผ่นดินโลก”
** การทำงานของพระเยซูจบสิ้นลง เมื่อพระองค์ถูกตรึงที่กางเขนเพื่อไถ่บาปโลก จากนั้นพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ และกลับมาอยู่กับผู้เชื่อ อยู่ในผู้เชื่อ พร้อมกับการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากว่าการทำงานของพระบุตรจบสิ้นลงแล้ว ต่อจากนี้ไปก็คือการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเป็นผู้รับช่วงต่อ
พระกายของพระเยซู ถ้าหากปราศจากฤทธิ์อำนาจ การเคลื่อนไหว การทำงาน การนำพา การประทานฤทธิ์เดชของประทานให้ผู้เชื่อ การรับใช้ก็จะไม่เกิดผลอย่างแน่นอน เพราะว่าซาตานครอบคลุม ควบคุม ปิดบัง และทำให้มนุษย์ตาบอด มาถึงพระเจ้าและความสว่างไม่ได้ จึงต้องพึ่งพาอาศัยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อที่จะช่วยปลดปล่อยเปิดตานำเขามาถึงความจริง เพื่อให้เขาได้เชื่อ และได้รับการยกโทษบาปโดยทางพระโลหิต จากนั้นก็บันดาลให้เขาได้บังเกิดใหม่กลายเป็นบุตรพระเจ้า
ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจเรื่องการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงพยายามประกาศ ขยันในการประกาศ และพยายามทำให้คนมาเชื่อด้วยการโน้มน้าวจิตใจ เกลี้ยกล่อม ใช้ทุกวิถีทาง แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่จะได้รับความรอดก็เนื่องมาจากการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง และเป็นทางเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้เชื่อ ผู้รับใช้ สาวก ไม่มีใครอวดได้ว่าเขาเองเป็นคนทำ
สรุป ผู้รับใช้ที่ได้รับการเปิดตา จึงไม่ใช้คำว่า ผมเป็นคนนำคนมาเชื่อ ผมเป็นคนสร้างคริสตจักรหลายแห่งหลายที่ ผมเป็นคนวางมือให้เขาหาย เหล่านี้คือผลงานของผม ฯลฯ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดที่ตรง หรือพูดอ้อมๆ
1:9 และเมื่อพระองค์ได้ตรัสสิ่งเหล่านี้แล้ว ขณะที่พวกเขากำลังพินิจดู พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไป และมีเมฆก้อนหนึ่งคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของพวกเขา
** คือการเสด็จขึ้นของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย เพื่อไปนั่งที่ข้างขวาของพระบิดา และอีกไม่นานพระองค์ก็จะกลับมาในสภาพของวิญญาณ คือพระคริสต์เยซูเป็นล้านๆ องค์ เพื่อสถิตในผู้เชื่อทุกคน
1:10 และขณะที่พวกเขากำลังเขม้นดูฟ้าสวรรค์ ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น ดูเถิด มีชายสองคนยืนอยู่ข้าง ๆ พวกเขาสวมเสื้อสีขาว
** พระเยซูในฐานะมนุษย์ฟื้นขึ้นมาจากความตายทรงเสด็จขึ้นเพื่อประทับที่ข้างขวาของพระบิดา เพื่ออีกไม่นานพระองค์จะเสด็จกลับมาอยู่กับเราในสภาพของพระคริสต์เยซู
1:11 ซึ่งกล่าวด้วยว่า “พวกท่าน ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนพวกท่านจึงยืนเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์เดียวกันนี้ ซึ่งทรงถูกรับไปจากพวกท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกันตามที่พวกท่านได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น”
** นี่คือสัญญาของพระเจ้าที่เปิดเผยต่อมนุษย์ คือการที่พระเยซูคริสต์ในฐานะบุตรมนุษย์จะเสด็จกลับมายังโลกนี้ในลักษณะเดียวกันกับที่พระองค์เสด็จขึ้นไปสู่ท้องฟ้าอากาศ เพื่อกลับมาพิพากษาทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ ก่อนและหลังยุคพันปี
1:12 แล้วพวกเขาได้กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มจากภูเขาที่เรียกกันว่า มะกอกเทศ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มเท่ากับระยะที่อนุญาตให้เดินทางในวันสะบาโต
** วันสะบาโตของยิว คือเริ่มตั้งแต่หกโมงเย็นของวันศุกร์จนถึงหกโมงเย็นของวันเสาร์ ห้ามชาวยิวทั้งเจ้าของบ้าน และคนใช้ ทาส ทำงานทำกับข้าว และห้ามเดินทางไปไกลแต่อยู่ในระยะที่อนุญาตเท่านั้น
1:13 และเมื่อพวกเขาได้เข้ามาแล้ว พวกเขาได้ขึ้นไปในห้องชั้นบนห้องหนึ่ง ซึ่งมีทั้งเปโตร และยากอบ และยอห์น และอันดรูว์ ฟีลิปกับโธมัส บารโธโลมิวกับมัทธิว ยากอบบุตรชายของอัลเฟอัส และซีโมนเศโลเท และยูดาสน้องชายของยากอบ พักอยู่นั้น
** พวกสาวกจึงมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องชั้นบนของบ้านหลังหนึ่งเพื่ออธิษฐาน
1:14 คนเหล่านี้ทุกคนอยู่พร้อมใจกันต่อเนื่องในการอธิษฐานและการอ้อนวอน กับพวกผู้หญิง และมารีย์มารดาของพระเยซู และกับพวกน้องชายของพระองค์
** เมื่อได้ยินได้ฟังพระเยซูสั่งสอนเรื่องอาณาจักรจนเป็นที่เข้าใจแล้ว ว่าอาณาจักรของชาติยิวจะถูกยึดไป และยกให้คนต่างชาติทั่วโลก อาณาจักรไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็นแต่เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ และอีกมากมายหลายเรื่อง ฯลฯ พวกสาวกทั้งหลายจึงขะมักเขม้นร่วมใจกันอธิษฐาน และอ้อนวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
1. พระเยซูคริสต์ และพระคริสต์เยซู
- พระเยซูคริสต์ ในสภาพของผู้ชายชื่อเยซู หรือบุตรมนุษย์จะเสด็จขึ้นไปยังพระบิดา และจะกลับมาก่อน และหลังยุคพันปีเพื่อตัดสินผู้เชื่อก่อน และจากนั้นก็คนที่ไม่เชื่อ
- ส่วนพระคริสต์เยซู ที่เป็นวิญญาณจะเสด็จมาอยู่กับผู้เชื่อในผู้เชื่อ เพื่อดำเนินชีวิตแทนเขา และเป็นทุกสิ่งสำหรับผู้เชื่อ
2. สาวกเริ่มเข้าใจว่า อาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อชาวยิวอีกต่อไป และไม่ใช่ฝ่ายร่างกาย แต่เป็นฝ่ายวิญญาณ และเพื่อคนทั่วโลก คืออาณาจักรของพระเจ้าย้ายจากยุคนี้แต่เป็นยุคหน้า หรือยุคพันปี สาวกจึงเริ่มใส่ใจ อธิษฐานอ้อนวอน และเตรียมตัวเพื่อรอรับของประทานเพื่อการประกาศ และรับใช้
3. พระเจ้าดลใจท่านลูกาให้เขียนหนังสือลูกาและกิจการ เพื่อสอนผู้เชื่อเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าเป็นหลัก ซึ่งในยุคนี้ ก็คือคริสตจักร และยุคหน้า ก็คือยุคพันปี และสุดท้าย ก็คือฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่
ก. คริสตจักร คืออาณาจักรของพระเจ้า คือการมาอยู่ร่วมกันของผู้เชื่อทั้งหลายเพื่อปรนนิบัตินมัสการสรรเสริญ และรับใช้พระเจ้าในพระนามของพระเยซู
- ทุกคนมาเพื่อสำแดงชีวิต และนิสัยของพระเยซูตามขนาดของความเชื่อ ขณะที่โลกนี้สำแดงชีวิต และนิสัยของซาตาน
- ผู้เชื่อเน้นที่การกระทำทุกสิ่งด้วยเอารักนำหน้า เอารักเป็นหลัก และเป็นที่หนึ่ง ใครรักได้มากก็จะเป็นใหญ่ในอาณาจักร ไม่ใช่นำคนมาเชื่อได้มาก หรือสร้างผลงานมากมาย ฯลฯ
ข. ยุคพันปี คืออาณาจักรของพระเจ้า เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา ระยะสุดท้ายของโลกนี้จะเกิดมียุคพันปีที่มีพระเยซูเป็นกษัตริย์ และผู้ที่สำแดงความรักอย่างเสมอต้นเสมอปลายจะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ชั่วนิรันดร์
ค. ฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่ คืออาณาจักรของพระเจ้านิรันดร์ ส่วนฟ้าสวรรค์เก่า และแผ่นดินโลกเก่าจะถูกทำลายให้หมดสิ้นไป ผู้เชื่อทุกคนจะรอด และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไปเป็นนิจ
ง. เราในฐานะของราษฎรแห่งอาณาจักรของพระเจ้า เรารอการการกลับมาของพระเยซูคริสต์ด้วยการอธิษฐานอย่างขะมักเขม้นอยู่หรือไม่ เราดำเนินชีวิตใต้พระบัญญัติใหม่สองข้อของพระเยซูอยู่หรือไม่ คือเอารักเป็นหลัก เอารักเป็นที่หนึ่ง เพื่อการดำเนินชีวิต รับใช้ และทำมาหาเลี้ยงชีพ อยู่หรือไม่
เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ โลกนี้ คืออาณาจักรของพวกเขา แต่เนื่องจากว่าการไม่เชื่อฟังทำให้อาณาจักรของมนุษย์ตกอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน อาดัม และลูกหลาน จึงใช้ชีวิตห่างไกลพระเจ้า ไม่มีพระเจ้า และสำแดงชีวิต และนิสัยของซาตาน พระเจ้าจึงเตรียมการไถ่มนุษย์โดยทางพระเจ้าพระบุตร
หนังสือฉบับแรกของท่านลูกากล่าวถึงการมาประสูติของพระเจ้าเพื่อรับสภาพเป็นมนุษย์อย่างครบถ้วน พระองค์ประกาศสั่งสอนรักษาโรคไล่ผี เพื่อเตรียมก่อตั้งอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในโลกนี้ เพื่อให้มนุษย์สำแดงชีวิต และนิสัยของพระเจ้า เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์
อาณาจักรของพระเจ้า จึงไม่ใช่เรื่องของการกินดื่มสนุกสนานตามอำเภอใจในชีวิตนี้ แต่เป็นเรื่องของความชอบธรรมสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระเจ้า
การตายไถ่บาปของพระเยซูบนกางเขนเป็นที่ชอบพระทัย และยอมรับของพระบิดา พระเยซูจึงได้รับสิทธิอำนาจให้เป็นวิญญาณที่สามารถแจกจ่ายชีวิตของพระองค์ได้ เพื่อการก่อตั้งอาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้จะสำเร็จ
อาณาจักรของพระเจ้า คือพระวิหารหลายแห่งที่เรียกว่า คริสตจักร หรือพระกายทั่วโลก ทุกคนที่เป็นราษฎรแห่งอาณาจักรจะต้องบังเกิดใหม่ในน้ำ และในพระวิญญาณ มีชีวิต และเดินในพระวิญญาณด้วยตัวใหม่ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น เขามีพระคริสต์เป็นกษัตริย์ และชีวิตของเขาควรอยู่ในการสนิทกับพระองค์
อาณาจักรของพระเจ้า มีพระบัญญัติใหม่ และราษฎรแห่งอาณาจักรรักษาพระบัญญัติใหม่ดังกล่าว โดยกษัตริย์ของเขาเป็นผู้กระทำแทนในทุกสิ่งทุกเรื่อง เนื่องจากว่าเขาทำไม่ได้ นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับการก่อตั้งอาณาจักรของพระองค์
ซาตานรู้ดีว่าพระเจ้าต้องการอะไรจากมนุษย์ มันจึงพยายามขัดขวาง และทำให้อาณาจักรของพระเจ้ากลายเป็นศาสนาคริสต์ แต่ท่ามกลางพระวิหารทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้ยังมีคริสตจักร หรือพระกายเที่ยงแท้ที่เกิดขึ้นโดยพระคุณ และพระเมตตาของพระเจ้า
หนังสือกิจการเราพบว่ามีทั้งผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตในรูปแนวศาสนา และมีผู้เชื่ออีกจำนวนหนึ่งที่ดำเนินชีวิตในรูปแนวของชีวิต เราควรตระหนักถึงชีวิต รูปแนวชีวิต การสนิทสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรา และพระคริสต์เยซูผู้เป็นกษัตริย์ของเรา
เราใส่ใจที่พระบัญญัติใหม่ของพระเยซู โดยเชื่อ และยอมรับการทำแทนของพระองค์ในแต่ละวัน พระวิหาร หรือคริสตจักร หรือพระกาย ที่วิ่งแข่ง และดำเนินชีวิตของราษฎรแห่งอาณาจักรได้สำเร็จ ก็จะได้รับบำเหน็จ คือมงกุฎแห่งอาณาจักรในยุคพันปี และฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่
วันนี้คุณดำเนินชีวิตในฐานะของราษฎรแห่งอาณาจักรของพระเจ้าอยู่หรือไม่ ???
การงานของพระเยซู หรือบุตรมนุษย์จบลงแล้ว และการงานของพระคริสต์ได้เริ่มขึ้นแล้ว
หนังสือกิจการ พระคริสต์ทรงดำเนินชีวิต และประกาศ รับใช้ ทำทุกสิ่งผ่านผู้เชื่อ
ตอนที่เป็นมนุษย์พระเยซูมีชีวิต และนิสัยของพระบิดา หรือพระบิดาเป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนพระองค์ และใช้ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผู้เชื่อจึงต้องมีสองสิ่งที่พระเยซูมี..
• สิ่งแรก ก็คือชีวิต และนิสัยของพระเยซู และ
• สิ่งที่สอง คือฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ขณะที่คริสเตียนศาสนามองว่าหนังสือกิจการ เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์คริสตจักร/ แต่สำหรับคริสเตียนฝ่ายวิญญาณมองว่าหนังสือกิจการ คือการใช้ชีวิตของพระคริสต์ และประกาศรับใช้ผ่านผู้เชื่อทั้งหลาย
คริสเตียนศาสนาเน้นที่การประกาศเพื่อนำคนมาเชื่อ และเน้นที่การทำๆๆ เพื่อพระเจ้า/ ขณะที่คริสเตียนฝ่ายวิญญาณ เน้นที่การสำแดงชีวิตนิสัยของพระเยซูที่เอาความรักเป็นหลัก เป็นที่หนึ่ง เป็นศูนย์กลาง และเน้นที่การสร้างความผูกพันที่ดีกับพระเยซูคริสต์
การดำเนินชีวิต การประกาศรับใช้ การร่วมนมัสการพระเจ้าในสภาพของคนใหม่ที่บังเกิดใหม่แล้ว ตัวใหม่ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตายกับพระเยซูแล้ว การเกิดผลของพระวิญญาณของพระคริสต์ในผู้เชื่อ และการใช้ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อการงานของพระเจ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อการก่อขึ้นจะกลายเป็นทองคำเงิน และเพชรพลอย
ซาตานรู้ตั้งแต่แรกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์เพื่อให้เป็นที่สถิตของพระองค์ และเพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระองค์ มันจึงขัดขวางและทำได้สำเร็จ และมันยังรู้อีกว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมาเพื่อทำให้แผนการงานของพระเจ้าสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง มันจึงพยายามขัดขวางและมันก็ทำได้สำเร็จ
สุดท้ายคริสเตียนก็กลายเป็นศาสนาคริสต์ และไม่มีโอกาสได้สำแดงชีวิตและนิสัยของพระเจ้า
ขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทำงานหนัก เพื่อช่วยเหลือผู้เชื่ออีกมากมายให้ได้รับการเปิดตา เพื่อเข้าสู่การดำเนินชีวิต และรับใช้ตามพระประสงค์ และตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
.....
a. การเต็มล้นภายใน (ยอห์น 6:35-37 / 4:14 / 7:37-39 / 20:22 / 10:10)
- เพื่อสันติสุข เพื่อรับการหล่อเลี้ยง การได้ดื่มพระวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทนต่อปัญหาได้ ทุกคนเกิดมาต้องกิน ดื่ม และหายใจฉันใด คริสเตียนที่บังเกิดใหม่ในพระวิญญาณก็ย่อมกินดื่ม และหายใจ เพื่อรับพระวิญญาณ เพื่อจะได้อิ่มเต็มฉันนั้น
- หนังสือยอห์นเป็นหนังสือแห่งชีวิต เราจึงพบคำตอบเรื่องรูปแนวชีวิต และฝ่ายวิญญาณมากมาย เพราะฉะนั้นผู้เชื่อควรอ่านหนังสือยอห์น และเข้าใจการแปลที่ถูกต้อง เพื่อรับการเปิดตาเรื่อง "ชีวิต" ให้มากเท่าที่จะมากได้
ขอบคุณพระเยซูที่พระวิญญาณแห่งความจริงทรงชำระเราให้เข้าสู่พระคำแห่งความจริง เราจึงมีโอกาสได้หลุดพ้นจากรูปแนวศาสนา เข้าสู่รูปแนวชีวิต เพื่อน้ำพระทัยของพระบิดาจะสำเร็จในเรา ยิ่งเราได้รับการเปิดตามากเท่าไหร่ เราจะใส่ใจเรื่องการสร้างความผูกพันกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในแต่ละวัน มากกว่าการใส่ใจเรื่องทำดีเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติ รับใช้พระเจ้าตั้งแต่เช้าจนค่ำ ซึ่งสุดท้ายทุกสิ่งก็นำเราไปสู่ความว่างเปล่า และขาดบำเหน็จ
- การปักใจในพระวิญญาณ การใส่ใจในเรื่องการสร้างความผูกพัน สนิทในพระคริสต์เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับพระเจ้า พระเยซูจึงตรัสว่าศาสดาพยากรณ์ในสมัยก่อนยังเป็นผู้เล็กน้อยกว่าท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่ผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรก็ยังเป็นใหญ่กว่าท่านยอนผู้ให้บัพติศมาเสียอีก
เนื่องจากว่าผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรมีโอกาสได้สนิทบอกรักพระเยซูในแต่ละวัน ขณะที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมา และศาสดาพยากรณ์ในสมัยก่อน ไม่มีพระคริสต์สถิตอยู่ในเขา และไม่ได้อยู่ใกล้ชิด ก็คือพระเจ้าไม่ได้อยู่ในเขา และเขาไม่ได้อยู่ในพระเจ้า
- ขอบคุณพระเยซูสำหรับคริสเตียน เมื่อเราบังเกิดใหม่พระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในเรา และพระองค์นำเราเข้าไปอยู่ในพระเจ้า (1 คร 1:30) เพราะฉะนั้นผู้เชื่อที่เป็นที่ชอบพระทัยของพระบิดา ก็คือผู้ที่แสวงหาการสนิทบอกรักใกล้ชิดสร้างความผูกพันที่ดีกับพระองค์ในแต่ละวัน ส่วนเรื่องการกระทำ การเชื่อฟัง การรับใช้เป็นสิ่งที่จะต้องตามมาอย่างแน่นอน โดยการขับเคลื่อนของชีวิตพระคริสต์ที่อยู่ภายในเรา
- เพื่อชีวิต เพื่อเกิดผลของพระวิญญาณพระคริสต์
ยอห์น 6:63 พระเยซูตรัสว่า คือวิญญาณที่ให้ชีวิตได้ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อะไร หรือให้อะไรไม่ได้เลย พระเยซูในสภาพของเนื้อหนัง จึงต้องไปตายที่กางเขน และฟื้นขึ้นมาจากตาย เพื่อเป็นพระวิญญาณผู้ที่จะให้ชีวิตแก่ผู้เชื่อทุกคนได้
* เราขอบพระคุณพระเจ้าที่ผู้เชื่อทุกคนได้รับชีวิตของพระคริสต์เยซู และได้รับอย่างครบบริบูรณ์แล้ว (ยอห์น 10:10) และถ้าหากผู้เชื่อต้องการมีประสบการณ์ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ของพระเยซูคริสต์ เขาต้องอยู่ในพระคริสต์ "เชื่อ" ยอมรับการตาย และเป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ และเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ดำเนินชีวิตแทนเขาทุกวัน และทุกเวลา (กท 2:20) การสนิท บอกรัก สร้างความผูกพันที่ดีกับพระองค์จะช่วยให้เราเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตลอดเวลา โลกนี้จึงเป็นสวรรค์บนดินสำหรับเขา....ขณะที่โลกนี้เป็นนรกเล็ก ๆ สำหรับผู้คนอีกมากมาย
...
b. การเต็มล้นภายนอก
- ลูกา 24:49 พระเยซูตรัสว่า “และดูเถิด เราจะส่งพระสัญญาแห่งพระบิดาของเรามาเหนือท่านทั้งหลาย แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าท่านทั้งหลายจะประกอบด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน”
* คำว่า “ประกอบ” ภาษากรีก คือ ἐνδύω (enduo = เอน-ดู-โอ) แปลว่า สวม สวมใส่ นุ่ง นุ่งห่ม ในลักษณะของการ...เสื้อที่ครอบคลุมร่างกายภายนอกของเราไว้ทั้งหมด
* คำว่า “ฤทธิ์เดช” ภาษากรีกคือ δύναμις, εως, ἡ (dunamis = ดู-นา-มิส / dynamis = ได-น่า-มิส) แปลว่า พลังที่ยิ่งใหญ่มาก มีกำลังมากมากมาย มีอำนาจมาก
* คำว่า “ที่มาจากเบื้องบน” คือมาจากพระเจ้า
* “ท่านทั้งหลายจะประกอบด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน” คือผู้เชื่อจะได้สวม หรือนุ่งห่ม หรือครอบคลุมด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อกระทำการงานของพระองค์ในโลกนี้
- ลมหายใจ หรือวิญญาณของการเต็มล้นภายใน คือเพื่อชีวิต และเพื่อหายใจเข้าออกเพื่อรับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ /ส่วนลม หรือลมพายุในกิจการ 2:2 เพื่อฤทธิ์เดชของพระเจ้า
- ผู้เชื่อทุกคน คือสาวกของพระเยซู และสาวกของพระเยซูต้องได้รับสิทธิ หรืออำนาจหน้าที่ และพลังจากพระเจ้าเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐ คนที่ได้ยินได้ฟังจึงกลับใจใหม่ และได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง สาวกของพระเยซูต้องได้รับสิทธิ หรืออำนาจหน้าที่ และพลังจากพระเจ้าเพื่อการรับใช้ในหน้าที่การงานต่างๆ ในคริสตจักรเพื่อการก่อขึ้นของพระกาย
- การเป็นคริสเตียนแท้ เรายืนยันว่าเราเป็น ด้วยการสำแดงชีวิตพระคริสต์ ไม่ใช่เพียงแต่คำพูดเท่านั้น ส่วนการเป็นสาวกของพระเยซูเพื่อประกาศรับใช้ เรายืนยันว่าเราเป็นด้วยสิทธิอำนาจ และฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ถ้าหากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้สวมใส่เครื่องแบบ และไม่มีอาวุธย่อมจะไม่มีใครเคารพยำเกรงและกลัว ในลักษณะเดียวกัน สาวกของพระเยซูย่อมจะต้องมีสิทธิอำนาจ และฤทธิ์เดชที่มาจากพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่เราต้องรับการสวมใส่ หรือนุ่งห่ม หรือสวมทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อเป็นที่ยอมรับของมนุษย์ได้
- สรุป ก็คือเราขาดไม่ได้ทั้งการเต็มล้นภายใน และภายนอก
ภายใน คือเพื่อประสบการณ์ชีวิต และสันติสุข และการเติบโต
ภายนอก คือเพื่อประสบการณ์ฤทธิ์เดช เพื่อการรับใช้ และการเติบโตของคริสตจักร
.....
1. ผู้เชื่อส่วนมากไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรื่องการเต็มล้นภายนอก และภายใน เรื่องภาษาต่างๆ พวกเขาจึงสั่งให้สมาชิกโบสถ์แสวงหาการรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฤทธิ์เดช การอัศจรรย์ และพูดภาษาแปลกๆ
2. พระคัมภีร์กล่าวว่า พวกเขาก็เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้นพวกเขาก็พูดภาษาต่างๆ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวว่า พวกเขาทุกคนพูดภาษาต่างๆ ความหมาย ก็คือมีเพียงแค่บางคนเท่านั้นที่พูดภาษาต่างๆ หรือภาษาเดิมของตน เพื่อการระบายความในการยกย่องสรรเสริญพระเจ้าที่มาจากความตื่นเต้นดีใจเป็นที่สุด
3. ขอย้ำอีกครั้งว่าทันทีที่เราเชื่อ เราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา พระคริสต์เยซูบัพติศมาเราในพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือจุ่มเราเข้าในพระวิญญาณ เป้าหมายหลัก คือเพื่อฤทธิ์เดชภายนอก และต่อจากนั้น ก็คือเพื่อการดื่ม กิน หายใจ เพื่อให้ได้เต็มล้นภายใน เป็นการงานของพระเจ้าที่ทำกับเราอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายเราได้รับการสวมทับนุ่งห่มพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้านนอก และเราได้ดื่ม กิน หายใจ รับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้านใน
4. การเต็มล้นภายใน คือการดื่ม กิน หายใจ เพื่อชีวิต หรือเต็มล้นด้วยชีวิตพระเจ้า โดยการเชื่อว่า เมื่อเราหายใจเข้าออก เมื่อเราอธิษฐาน เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ ก็คือการรับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อการเติบโตสู่ชีวิต และนิสัยของพระเยซู ส่วนการเต็มล้นภายนอก คือการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ใช้ร่างกายของเราเพื่อสำแดงฤทธิ์เดชของพระเจ้าเพื่อการรับใช้ และการเติบโตของพระกาย
5. เมื่อเราเชื่อพระคริสต์เยซูก็เสด็จมาเพื่อจุ่มเราเข้าไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่ต้องขอไม่ต้องแสวงหา และไม่ต้องให้ผู้นำคริสตจักรบัพติศมาเรา เราได้กลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของพระกายของพระคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราต้องจดจำเนื่องจากว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างมากมายท่ามกลางพระกายของพระเยซูในยุคนี้ การดื่ม กินหายใจ ในคริสตจักรร่วมกัน จะช่วยให้เราเติบโตตามกำหนดเวลาของพระเจ้า เราต้องการพระกาย และพระกายก็ต้องการเรา
6. บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องของการฝ่ายวิญญาณ เราไม่ควรแสวงหาเรื่องหมายสำคัญ การอัศจรรย์ ฤทธิ์เดช อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราเข้าสู่ประสบการณ์แห่งการเต็มล้นภายนอกไม่มากก็น้อย
a. ก่อนที่จะพบมานาที่ซ่อนไว้ คุณมีความเข้าใจอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์??
b. แต่ก่อนคุณรู้หรือไม่ว่า ทันทีที่คุณเชื่อ พระเยซูจะมาให้บัพติศมาคุณในพระวิญญาณบริสุทธิ์??
c. ทุกวันนี้คุณได้ดื่ม กิน หายใจ เพื่อรับการเต็มล้นด้วยพระวิณญาณบริสุทธิ์ ด้วยการอ่านอธิษฐาน และหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอหรือไม่??
พระเยซูทรงปรากฏกับใครบ้างหลังจากเป็นขึ้นมาจากตาย
1. นางมารีย์ มักดาลา (ยน 20:11-12)
2. พี่น้องหญิงหลายคน (มธ 28:1-10)
3. เปโตร (ลก 24:34)
4. อัครสาวกสองคน (ลก 24:13-15)
5. อัครสาวก 10 คน (ไม่มีโธมัส) (ยน 20:19-23)
6. อัครสาวก 11 คน (หนึ่งสัปดาห์ต่อมา) (ยน 20:26-28)
7. อัครสาวกหลายคนที่ทะเลกาลิลี (ยน 21:1-23)
8. อัครสาวก และสาวกอีกประมาณ 500 คน (มธ 28:16-20)
9. ยากอบ (1 คร 15:7)
10. สั่งสอนเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าต่ออัครสาวกครั้งสุดท้าย 40 วัน (กจ 1:3-9)
11. เซาโล (กจ 22:6-8 / 9:1-12)
- เมื่อพระเยซูปรากฏกับเหล่าสาวกครั้งสุดท้าย พระองค์สั่งสอน และชี้แจงเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าให้สาวกทั้งหลายเข้าใจอย่างชัดเจนเป็นเวลา 40 วัน จากนั้นพระองค์ก็เสด็จขึ้นไปสู่พระบิดา
- สาวกทั้งหลาย จึงกลับไปยังนครเยรูซาเล็มที่ภูเขามะกอกเทศ พวกเขาจึงเลือกคนหนึ่งเพื่อแทนที่ยูดาส
1:15 และในวันเหล่านั้นเปโตรได้ยืนขึ้นท่ามกลางพวกสาวก และกล่าวว่า (จำนวนชื่อรวมกันมีประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบชื่อ)
1:16 “พวกท่านและพี่น้องทั้งหลาย ข้อพระคัมภีร์นี้จำเป็นจะต้องสำเร็จจริงแล้ว ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสไว้ก่อนโดยปากของดาวิด เกี่ยวกับยูดาส ซึ่งเป็นผู้นำทางของคนเหล่านั้นที่จับพระเยซู
1:17 เพราะยูดาสนั้นได้ถูกนับเข้ากับพวกเรา และได้รับส่วนของการรับใช้นี้
1:18 บัดนี้ชายผู้นี้ได้ซื้อทุ่งนาแปลงหนึ่งด้วยบำเหน็จแห่งความชั่วช้า และเมื่อล้มลงหัวทิ่ม เขาก็แตกออกกลางตัว และไส้พุงทั้งหมดของเขาก็ทะลักออกมา
1:19 และเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันแก่บรรดาคนที่อาศัยอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม จนถึงขนาดที่ว่าทุ่งนานั้นได้ถูกเรียกตามภาษาของพวกเขาว่า อาเคลดามา คือทุ่งนาแห่งโลหิต
1:20 เพราะมีเขียนไว้แล้วในหนังสือสดุดีว่า ‘ขอให้ที่อยู่อาศัยของเขารกร้าง และอย่าให้ผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น’ และ ‘ขอให้อีกคนหนึ่งมายึดตำแหน่งของเขา’
1:21 ดังนั้นจากชายเหล่านี้ซึ่งได้ร่วมคณะกับพวกเราตลอดเวลาที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้ามาและออกไปท่ามกลางพวกเรา
1:22 ตั้งแต่บัพติศมาของยอห์น จนถึงวันเดียวกันนั้นที่พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปจากพวกเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องถูกแต่งตั้งไว้ให้เป็นพยานคนหนึ่งกับพวกเราถึงการคืนพระชนม์ของพระองค์”
1:23 และพวกเขาได้แต่งตั้งคนสองคน คือโยเซฟที่ถูกเรียกว่าบารซับบาส ผู้มีนามสกุลว่ายุสทัส และมัทธีอัส
1:24 และพวกเขาจึงอธิษฐาน และกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้ทรงทราบใจทั้งหลายของมนุษย์ทุกคน ขอทรงสำแดงว่าในสองคนนี้พระองค์ทรงเลือกคนไหน
1:25 เพื่อเขาจะรับส่วนในการรับใช้นี้ และตำแหน่งอัครสาวก ซึ่งโดยการละเมิดนั้นยูดาสได้หลงไปจากตำแหน่งอัครสาวก เพื่อเขาจะไปยังสถานที่ของเขาเอง”
1:26 และพวกเขาจึงจับสลากกัน และสลากนั้นได้ตกแก่มัทธีอัส และเขาจึงถูกนับเข้ากับอัครทูตสิบเอ็ดคนนั้น
** เรื่อง ยูดาส ผู้ทรยศ
- พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งตามแผนการงานที่อยู่วางไว้ของพระองค์ จึงไม่ใช่บังเอิญที่พระเจ้าทรงเลือกยูดาส พระเจ้าทราบดีว่ายูดาจะทรยศ ยูดาสเป็นคนโลภมักได้เห็นแก่ตัว
- เมื่อยูดาสถูกเลือกเขาไม่รู้เรื่องอาณาจักรของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณเหมือนกับสาวกสิบเอ็ดคน ตอนแรกสาวกเหล่านี้คิดว่า พระเยซูจะมาเพื่อนำพาชาวยิวทำสงครามกับอาณาจักรโรมัน เพื่อกู้อาณาจักรอิสราเอลกลับคืนมา และพระองค์จะเป็นกษัตริย์ของชาวยิว เมื่อยูดาสเห็นว่าทุกสิ่งไม่ได้เป็นตามที่เขาคาดคิดเอาไว้ เขาจึงทรยศพระเยซู
- พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะเลือกคนดีมาเพื่อทำในสิ่งไม่ดี แต่พระเจ้าเลือกยูดาส เพราะว่าพระองค์รู้ดีว่าเขาเป็นคนชั่ว และเป็นคนที่จะทรยศ เมื่อถึงเวลากำหนด
- ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นซาตาน ผี มารและลูกน้องของมัน ทั้งมนุษย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตคริสเตียน และการรับใช้ของคริสเตียนย่อมที่จะมาจากแผนการงานของพระเจ้าพูดง่ายๆ ก็คือทุกคนทุกสิ่งถูกพระเจ้าใช้ แต่พวกเขาไม่รู้ตัว
** เรื่องการตายที่ดูเหมือนว่าไม่ตรงกันของยูดาส
- หนังสือกิจการกล่าวว่า เขาล้มลงศีรษะกระแทกพื้นลำตัวแตกไส้พุงทะลักออกมาหมด แต่ในหนังสือมัทธิวกล่าวว่า ยูดาสฆ่าตัวตาย
- เราเชื่อว่าพระคัมภีร์ไม่มีข้อผิดพลาด เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ในหนังสือมัทธิวเกิดขึ้นก่อน หลังจากนั้น จึงเป็นเหตุการณ์ในหนังสือกิจการ ก็คือยูดาสฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอตาย แต่ตกลงมา และล้มลงศีรษะกระแทกพื้นลำตัวแตกไส้พุงทะลักออกมา (มธ 27:5-8 / กจ 1:18-19)
** เรื่องอัครสาวก และสาวก
- คำว่า อัครสาวก ในพระคัมภีร์ คือผู้ที่จะต้อง กิน อยู่ นั่ง นอนไปมา ร่วมกับพระเยซูขณะที่พระองค์ประกาศข่าวประเสริฐเป็นเวลา 3 ปีกว่า และ อัครสาวก เป็นหนึ่งในของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ อัครสาวก 12 คนที่ถูกเลือก ก็คือผู้ที่ได้กินอยู่นั่งนอนไปมากับพระเยซูขณะที่พระองค์ยังเป็นมนุษย์
- ส่วนอัครสาวกอีกมากมาย ตั้งแต่สมัยแรกจนถึงทุกวันนี้ คือผู้ที่ได้ กิน อยู่ นั่ง นอน ไปมาร่วมกับพระเยซูในแต่ละวัน เขาสนิทบอกรักพูดคุยกับพระเยซูอย่างสม่ำเสมอ พระเจ้าจึงให้คนเหล่านี้ มีของประทานเป็นอัครสาวก
- อัครสาวก ทำงานหลักก็คือ ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขามีของประทานในการประกาศที่เกิดผล ในพระคัมภีร์มีอัครสาวกประมาณ 25 คน มีพี่น้องหญิง 2 คนพี่น้องชาย 23 คน
- แต่หนังสือกิจการยังไม่จบ พูดง่ายๆ ก็คือเราทุกคนยังอยู่ในเหตุการณ์ในหนังสือกิจการจนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาครั้งแรก เพื่อพิพากษาผู้เชื่อทั้งหลายที่พระที่นั่งของพระคริสต์ ขณะที่คำว่า สาวก คือผู้เชื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเยซู ไม่มีสักคนเดียวที่ไม่ได้เป็นสาวกของพระเยซู
พระเจ้าเป็นองค์ฤทธานุภาพ อัศจรรย์ เป็นปริศนา สัพพัญญูล่วงรู้ทุกสิ่ง ซึ่งความคิดของมนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้
แต่โดยการเปิดเผยของพระคัมภีร์ มีพระเจ้าเดียวแต่มี 3 พระภาค หรือ 3 บุคคลอยู่ในพระเจ้าเดียวนั้นๆ พระเจ้าทรงเป็นอยู่ คิด และกระทำทุกสิ่งร่วมกันโดยการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
พระเจ้าเป็นวิญญาณ ดังนั้นพระองค์จึงต้องการสร้างมนุษย์ เพื่อที่จะให้เขาเป็นที่อาศัยของพระองค์ เพื่อสำแดงชีวิต และนิสัยของพระองค์ให้จักรวาล โลก ทูตสวรรค์ มนุษย์ สัตว์ และทุกสิ่งได้เห็นพระองค์ผ่านมนุษย์
เมื่อมนุษย์คู่แรกล้มเหลวที่จะให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคในสภาพของชีวิตที่อยู่ในผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต
หลายพันปีต่อมาพระเจ้าจึงเสด็จลงมาบังเกิด เพื่อทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ ก็คือนำมนุษย์ให้มาถึงพระเจ้า และพระเจ้าเข้าถึงมนุษย์ ก็คือมีส่วนในชีวิตของมนุษย์ หรือจะเรียกอีกว่า มนุษย์ได้รับชีวิตที่ครบบริบูรณ์นั่นเอง
กิตติคุณทั้ง 4 เล่ม กล่าวถึงพระเยซูเดินไปมาประกาศข่าวประเสริฐอยู่ในโลกนี้ จนมีผู้คนมากมายติดตาม และเป็นสาวกของพระองค์
พระองค์ได้สำแดงชีวิตพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคให้ชนชาติอิสราเอลได้เห็น จากนั้นก็สิ้นพระชนม์บนกางเขน ได้รับเกียรติจากพระบิดาให้มีสิทธิอำนาจในการแจกจ่ายชีวิตแก่ผู้เชื่อทั้งหลาย
พอมาถึงหนังสือกิจการ เวลาของมนุษย์ที่จะสำแดงชีวิตพระเจ้าจึงเริ่มขึ้น แต่ซาตานผู้เป็นกบฏต่อพระเจ้าได้รู้ว่าพระองค์ต้องการใช้มนุษย์ เพื่อให้เป็นอวัยวะเพื่อสำแดงชีวิตและนิสัยของพระองค์ มันจึงพยายามขัดขวางและกระทำได้สำเร็จ จนคริสตจักรคริสเตียนกลายพันธุ์เป็นศาสนาคริสต์
เราขอบพระคุณพระเจ้าที่มีผู้เชื่ออีกมากมายที่ได้ถูกเลือก เพื่อร่วมงานกับพระองค์ และทำให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จ
หนังสือกิจการจึงเป็นหนังสือที่ยังเขียนไม่จบ คือเริ่มจากสาวกรุ่นแรกจนถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา เพื่อพิพากษาที่พระที่นั่งของพระคริสต์
วันนี้ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สถิตอยู่ในเราผู้เชื่อทุกคนในฐานะของพระคริสต์เยซู ซึ่งเมื่อก่อนเราเคยให้ซาตานใช้ เพื่อเป็นอวัยวะที่จะสำแดงชีวิต และนิสัยของมันออกมา แต่บัดนี้เรายอมให้พระคริสต์ใช้เพื่อเป็นอวัยวะที่จะสำแดงชีวิต และนิสัยของพระองค์ออกมาเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ชีวิตของเราขณะนี้ คือการเขียนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต่อเนื่องจากบทที่ 28 ของหนังสือกิจการ เราเป็นอัครสาวก เราเป็นสาวก เราเป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า และเป็นวิหารของพระเจ้า เพื่อดำเนินชีวิตอยู่ เพื่อการประกาศรับใช้ และสำแดงชีวิตพระเจ้า
- วันนี้คุณมีพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ในคุณหรือไม่?
- คุณอยู่ในพระคริสต์หรือไม่?
- คุณสำแดงชีวิต และนิสัยของพระองค์อยู่หรือไม่?
- คุณใช้ชีวิตในแต่ละวันโดยเอารักเป็นหลัก รักเป็นที่หนึ่งอยู่หรือไม่?
- คุณดำเนินชีวิตในแต่ละวันในฐานะของราษฎรแห่งอาณาจักรของพระเจ้าหรือไม่?
- คุณได้รับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายใน และภายนอกอยู่หรือไม่?
>>> ถ้าหากคุณตอบว่า ใช่ คุณก็ได้ใช้ชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าแล้ว และบำเหน็จมากมายก็เป็นของคุณ
(โรม 6:13-14 และอย่ายอมให้บรรดาอวัยวะของพวกท่านเป็นเครื่องใช้ทั้งหลายแห่งการอธรรมต่อบาป แต่จงถวายตัวพวกท่านเองแด่พระเจ้า เหมือนคนเหล่านั้นที่มีชีวิตโดยเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงยอมให้บรรดาอวัยวะของพวกท่านเป็นเครื่องใช้ทั้งหลายแห่งความชอบธรรมถวายแด่พระเจ้า เพราะว่าบาปจะไม่มีการครอบงำเหนือพวกท่าน เพราะว่าพวกท่านไม่ได้อยู่ใต้พระราชบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ)
<<< กิจการ (Acts) - บทที่ 2 >>>