- ผู้เชื่อส่วนมากไม่รู้ว่าหนังสือยอห์น เป็นหนังสือที่เน้นความหมายฝ่ายวิญญาณ
- ยอห์น บทที่ 13 ไม่ได้พูดถึงเรื่องความรอดและพระพรฝ่ายวิญญาณ ซึ่งอยู่ในบทที่ 1 - 12
พอเราเชื่อและไปโบสถ์ เราจะได้ยินคำสอนเกี่ยวกับยอห์นบทที่ 13 ผู้นำมากมายสอนว่าคือการล้างเท้าจริงๆ เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ได้อ่านด้วยการขอสติปัญญาจากพระวิญญาณ พอล้างเท้ากันและกันเสร็จก็อิจฉา แตกแยกแบ่งแยก ชิงดีชิงเด่น ไม่ได้รักกันและกันฉันพี่น้อง
- หนังสือยอห์นเน้นความหมายฝ่ายวิญญาณ ซึ่งคริสเตียนมากมายไม่รู้
- ตั้งแต่บทที่ 1 จนถึง 12 ก็ฝ่ายวิญญาณ และแน่นอนที่สุดบทที่ 13 ก็ฝ่ายวิญญาณเช่นกัน
บทที่ 1 - พระเยซูเป็นความสว่างคือความเป็นจริงของพระเจ้าที่เข้ามาดับความมืด/ความสว่างฝ่ายวิญญาณ ความสว่างนี้คือความจริงหรือสภาพความเป็นจริงของพระเจ้า
บทที่ 2 - เรื่องเหล้าองุ่นเก่าและใหม่/พระเยซูเปลี่ยนความตายให้เป็นชีวิตได้
บทที่ 3 - เรื่องบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ/พระเยซูเป็นเหตุให้มีการบังเกิดใหม่ได้
บทที่ 4 - เรื่องน้ำคือสันติสุข และการนมัสการแบบใหม่ คือนมัสการในวิญญาณและความจริง/พระเยซูเป็นผู้ทำให้เรามีสันติสุขทุกวันได้
บทที่ 5 - เรื่องการรักษาโรคด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า/พระเยซูรักษาโรคฝ่ายร่างกายได้
บทที่ 6 - เรื่องอาหารฝ่ายวิญญาณ คือพระคริสต์ในสภาพของอาหารที่เราต้องกิน/พระเยซูเป็นอาหารแห่งชีวิตให้เราเต็มอิ่มได้
บทที่ 7 - เรื่องหนทางสู่ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ คือยุคพันปี และฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่/พระเยซูนำเราไปสู่อาณาจักรและฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่ได้
บทที่ 8 - เรื่องพระเยซูคือผู้เดียวที่ยกโทษบาปมนุษย์ได้/พระเยซูคือผู้เดียวที่ยกโทษบาปมนุษย์ได้
บทที่ 9 - เรื่องพระเยซูช่วยให้เราหายอาการบอดฝ่ายวิญญาณได้/พระเยซูช่วยให้เราหายอาการบอดฝ่ายวิญญาณได้
บทที่ 10 - เรื่องพระเยซูนำเราออกจากพระบัญญัติ สู่ทางแห่งพระคุณได้
บทที่ 11 - เรื่องพระเยซูเป็นเหตุ ให้มีการฟื้นขึ้นมาจากความตายเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ได้
บทที่ 12 - เรื่องพระเยซูเป็นผู้นำเราออกจากระบบศาสนา เข้าสู่พระกายเพื่อเลี้ยงดูเรา
บทที่ 13 - เรื่องการหนุนใจพี่น้องให้อยู่ในฝ่ายวิญญาณ และเดินในพระวิญญาณอย่างสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ใครกลับไปอยู่ในความมืดและเป็นเหยื่อของมาร
.....
ยอห์น บทที่ 13 พูดถึงเรื่อง ปัญหาเรื่องบาปในแต่ละวันที่ผู้เชื่ออาจเผลอออกจากพระคริสต์ไปอยู่ในเนื้อหนัง หรือไม่ได้สนิทในพระคริสต์ จึงต้องมีการล้างเท้ากันและกันเป็นประจำ เพื่อนำพี่น้องกลับเข้ามามีส่วนในพระกายอีกครั้งหนึ่ง
- ตลอดพระคัมภีร์มีที่เดียวเท่านั้นที่พูดถึงเรื่องการล้างเท้า คือยอห์น 13:1-20
- การล้างเท้า คือการหนุนใจ แบ่งพระคำ ชวนพี่น้องอธิษฐาน ร่วมกับเรา เพื่อนำจิตเขากลับมาอยู่พระวิญญาณในฝ่ายวิญญาณ
- ผู้เชื่อต้องการกันและกัน ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้รับใช้ หรือแม้แต่คนที่ไม่มีใครสนใจ
- คริสตจักรส่วนมากมักคิดว่าผู้รับใช้ไม่ต้องการการล้างเท้า เพราะทุกคนจะคิดว่าหน้าที่ของเขาคือแบ่งปันเลี้ยงดูผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วพระกายของพระเยซู ทุกคนต้องการ “การล้างเท้ากันและกัน”
ก่อนเทศกาลปัสกา
13:1 ก่อนถึงเทศกาลเลี้ยงปัสกา เมื่อพระเยซูทรงทราบว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาจนถึงที่สุด
** พระเจ้าทรงเลือกสาวกทั้งหลาย พระเยซูใช้เวลากินนอนไปมา ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาเป็นเวลาสามปีกว่า พระองค์ได้รู้จักและเห็นพวกเขา จึงทรงรักพวกเขามากที่สุด
ทรงล้างเท้าของพวกสาวก
13:2 ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว มารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท บุตรชายของซีโมน ให้ทรยศพระองค์ไว้
** เดิมที พระเจ้าทรงเลือกยูดาสเนื่องจากว่าพระองค์ทรงทราบดีว่าเขาจะเกิดมาและเป็นคนไม่ดี แต่ซาตานไม่รู้สิ่งนี้ที่เป็นแผนการของพระเจ้าเพื่อให้การตายเพื่อไถ่โลกสำเร็จลงได้ และเมื่อถึงเวลามารก็เริ่มทำงานในยูดาส
13:3 พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาได้ประทานสิ่งทั้งปวงให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้า และจะไปหาพระเจ้า
** การจากไปของพระเยซูครั้งนี้ก็เพื่อไปหาพระบิดาเพื่อรับเกียรติจากพระบิดาและกลายเป็นพระวิญญาณผู้ที่สามารถแจกจ่ายชีวิตให้ผู้เชื่อทุกคนได้ จากนั้นพระองค์ก็จะกลับมาอยู่กับเราในเราทุกคน
13:4 พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารเย็น ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวพระองค์ไว้
** ฉลอง – คือเสื้อของพระเยซู การถอดฉลองออก เล็งถึงการสำแดงในสิ่งที่ชอบธรรมต่อผู้อื่น
** ผ้าเช็ดตัวหรือผ้าเช็ดมือ ยิวใช้เช็ดมือ/เท้าหลังจากล้างเสร็จแล้ว เล็งถึงการกระทำที่ถ่อมใจของพระองค์
13:5 แล้วก็ทรงเทน้ำลงในอ่าง และทรงตั้งต้นเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น
13:6 แล้วพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร และเปโตรทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ"
13:7 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "สิ่งที่เรากระทำในขณะนี้ท่านยังไม่เข้าใจ แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ"
** ความหมายของการล้างเท้า
- ชาวยิวรู้ดีเรื่องธรรมเนียมการล้างเท้า ถ้าหากมีแขกมาเยี่ยมบ้านเจ้าของบ้านจะล้างเท้าให้แขกเพราะเท้าสกปรกและมีกลิ่นเหม็น เพราะชาวยิวนั่งเอนกายยกขาขึ้นที่นั่งแล้วรับประทานอาหารร่วมกัน
- เรื่องธรรมเนียมล้างเท้า สาวกทุกคนรู้ดี แต่พระเยซูตรัสว่า ท่านไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำ (ยน 13:7, 12) เพราะว่าเป็นความหมายฝ่ายวิญญาณ
- ยอห์นตั้งแต่บทที่ 1-12 เป็นเรื่องของการบังเกิดใหม่ หรืออาบน้ำ ผู้เชื่อจะอาบน้ำครั้งเดียวตลอดชีวิตเขา (อาบน้ำ คือการบังเกิดใหม่)
- ส่วนยอห์นบทที่ 13 เป็นเรื่องของการล้างใจ จากความคิดที่ผิดบาปฝ่ายเนื้อหนัง
13:8 เปโตรทูลพระองค์ว่า "พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้"
** ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้" นี่คือเหตุผลที่พระเยซูให้สาวกทั้งหลายล้างเท้ากันและกัน
13:9 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า มิใช่แต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอทรงโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย"
13:10 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็สะอาดแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคน"
** ขณะนั้นเปโตรยังไม่เข้าใจความหมายฝ่ายวิญญาณ ท่านจึงขอล้างมือและศรีษะด้วย
13:11 เพราะพระองค์ทรงทราบว่า ใครจะเป็นผู้ทรยศพระองค์ไว้ เหตุฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า "ท่านทั้งหลายไม่สะอาดทุกคน"
** ข้อที่ 8 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้”
- การล้างเท้าไม่ใช่เพื่อแสดงการถ่อมใจ แต่เพื่อให้เราได้มีส่วนในพระคริสต์
- การล้างเท้า คือการล้างใจ เพราะเมื่อเราอาบน้ำสะอาดทั้งตัวแล้วรอดแล้ว แต่จิตใจเราจะคิดบาปทำบาปปักใจไปที่ฝ่ายเนื้อหนังเป็นระยะๆ และถ้าหากเราอยู่ในเนื้อหนังเราจะมีส่วนในพระกายของพระเยซูไม่ได้
- ยกตัวอย่าง พี่น้องคนหนึ่งดูหนัง ขณะนั้นเขาก็ได้ออกจากพระวิญญาณไปอยู่ในเนื้อหนัง จิตใจเปื้อนสกปรก ไม่มีส่วนในพระคริสต์ แล้วมีพี่น้องอีกคนหนึ่งมาชวนเขาอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐานจิตใจเขาจึงกลับมาอยู่ในพระวิญญาณ ในความหมายฝ่ายวิญญาณ พี่น้องคนนั้นได้ล้างเท้าพี่น้องคนแรก
** คำพูดของพระเยซูที่น่าคิดสำหรับบทที่ 13
1. ตอนนี้ท่านไม่เข้าใจ แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ
2. ถ้าหากเราไม่ล้างเท้าของท่าน ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้
3. ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็สะอาดทั้งตัวแล้ว ไม่ต้องล้างมือและศรีษะ (คือไม่ต้องอาบน้ำอีก)
ผู้เชื่อถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้ได้อยู่ในพระคริสต์ทุกวันและเวลา เพื่ออยู่ในร่มพระคุณ
** จงสนิทในเรา / จง อธิษฐาน อย่างสม่ำเสมอ / จงอยู่ในพระวิญญาณ / จงเดินในพระวิญญาณ
13:12 เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าเขาทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์ และเอนพระกายลงอีกตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายเข้าใจในสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านหรือ
** พวกเขารู้ดีว่าการล้างเท้าคืออะไร แต่พระเยซูถามถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ต่างหาก ซึ่งก็คือ การล้างใจกันและกันของพี่น้องในพระกาย
13:13 ท่านทั้งหลายเรียกเราว่า พระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นเช่นนั้น
** พระอาจารย์ กรีกคือ ครู / องค์พระผู้เป็นเจ้า กรีกคือ เจ้านาย
13:14 ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ของท่าน ได้ล้างเท้าของพวกท่าน พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย
** พระเยซูคือครูและเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ทรงล้างใจผู้เชื่อเป็นคนแรกและสืบ ๆ ไป เราที่เป็นสาวกของพระองค์ก็ควรล้างใจกันและกันเพื่อรักษาทุกคนให้มีส่วนในพระองค์ในแต่ละวัน
13:15 เพราะว่าเราได้วางแบบแก่ท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่าน
** ไม่ใช่ล้างเท้าจริง แต่ทำในสิ่งที่เป็นความหมายที่ซ่อนอยู่ซึ่งก็คือการล้างใจนั่นเอง
13:16 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ทาสจะเป็นใหญ่กว่านายก็ไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าผู้ที่ใช้เขาไปก็หามิได้
** คือการยอมถ่อมตนของผู้เชื่อเพื่อคอยหนุนใจล้างใจของพี่น้อง
13:17 ถ้าท่านรู้ดังนี้แล้ว และท่านประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข
** บุคคลผู้ใดที่ชอบล้างใจโดยการเผยพระวนจะและหนุนใจพี่น้องเพื่อรักษาเขาให้ผู้ในความเชื่อ เพื่อให้เขามีส่วนในพระคริสต์อยู่เสมอก็เป็นสุข บำเหน็จมากมายและพระคุณก็อยู่กับเขาอย่างเต็มล้น
** เนื่องจากว่าโลกนี้มาถึงใกล้ที่สุดปลายแล้ว การทดลองการล่อลวงก็ย่อมมีมาก ทำให้การมีชีวิตและเดินในพระคริสต์อย่างสม่ำเสมอในแต่ละวันนั้นยากมาก เพราะฉนั้นพระเยซูจึงให้มีพระกายและการล้างใจกันและกันเพื่อช่วยกันให้เดินในทางแห่งความสว่าง
13:18 เรามิได้พูดถึงพวกท่านสิ้นทุกคน เรารู้จักผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว แต่เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่ว่า `ผู้ที่รับประทานอาหารกับเราได้ยกส้นเท้าต่อเรา'
13:19 เราบอกท่านทั้งหลายเดี๋ยวนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อว่าเราคือผู้นั้น
13:20 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดได้รับผู้ที่เราใช้ไป ผู้นั้นก็รับเราด้วย และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นได้รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา"
บทความเพิ่มเติม: "ท่านทั้งหลายเข้าใจในสิ่งที่เราได้กระทำแก่ท่านหรือ"
พระเยซูพยากรณ์ถึงการทรยศพระองค์
13:21 เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย และตรัสเป็นพยานว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเราไว้"
13:22 เหล่าสาวกจึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือผู้ใด
** ยูดาสอยู่กินไปมากับพระเยซูสามปีกว่า พระเจ้าทรงเลือกเขาก่อนที่จะสร้างโลกเพราะทรงทราบดีว่าเขาเป็นคนไม่ดีเพื่อให้การงานของพระองค์สำเร็จผ่านเขา แต่สาวกทั้งหลายไม่รู้ เมื่อถึงเวลาพระเยซูก็เป็นทุกข์เพราะไม่อยากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น คือสงสารยูดาสและกลัวความเจ็บปวดทุกข์ทรมานและความตาย
13:23 มีสาวกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักได้เอนกายอยู่ที่พระทรวงของพระเยซู
** เชื่อว่าสาวกคนนี้คือยอห์น ที่เป็นหนึ่งในสามที่พระเยซูรักมาก ชาวยิวที่ถ่อมใจไม่อยากมีหน้ามีตาจึงพูดหรือเขียนในลักษณะนี้ ท่านเปาโลก็ทำเหมือนกันคือท่านเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านคือท่านได้ขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นที่สามแต่ไม่อยากอวดใคร 2 คร 12:2-6 (สวรรค์ชั้นที่หนึ่งคือเมฆที่มองเห็น ชั้นที่สองคือท้องฟ้าที่มีดาวมากมาย ชั้นที่สามคือไกลออกไปและมีเมืองสวรรค์ที่พระเจ้าทรงประทับอยู่)
13:24 ซีโมนเปโตรจึงทำไม้ทำมือให้เขาทูลถามพระองค์ว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือผู้ใด
13:25 ขณะที่ยังเอนกายอยู่ที่พระทรวงของพระเยซู สาวกคนนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า คนนั้นคือใคร"
13:26 พระเยซูตรัสตอบว่า "คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้" และเมื่อพระองค์ทรงเอาอาหารนั้นจิ้มแล้ว ก็ทรงยื่นให้แก่ยูดาสอิสคาริโอทบุตรชายซีโมน
13:27 เมื่อยูดาสรับประทานอาหารนั้นแล้ว ซาตานก็เข้าสิงในใจเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆ เถิด"
13:28 ไม่มีผู้ใดในพวกนั้นที่เอนกายลงรับประทานเข้าใจว่า เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับเขาเช่นนั้น
13:29 บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือถุงเงิน พระเยซูจึงตรัสบอกเขาว่า "จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับเทศกาลเลี้ยงนั้น" หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้ทานแก่คนจนบ้าง
13:30 ดังนั้นเมื่อยูดาสรับประทานอาหารชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน
13:31 เมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงตรัสว่า "บัดนี้บุตรมนุษย์ก็ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับเกียรติเพราะบุตรมนุษย์
13:32 ถ้าพระเจ้าได้รับเกียรติเพราะพระบุตร พระเจ้าก็จะทรงประทานให้พระบุตรมีเกียรติในพระองค์เอง และพระเจ้าจะทรงให้มีเกียรติเดี๋ยวนี้
** การได้รับเกียรติของพระเยซูคือการเป็นขึ้นมาจากตายและไปถึงพระบิดาเพื่อถวายพระโลหิตและกลายเป็นบุตรหัวปีของเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใหม่คือเผ่าพันธุ์มนุษย์วิญญาณที่เป็นอมตะ พระองค์จึงแจกจ่ายชีวิตใหม่คนใหม่นี้ให้ผู้เชื่อได้ (ยอห์น 7:39 / 12:23-24)
13:33 ลูกเล็กๆ เอ๋ย เรายังจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกขณะหนึ่ง เจ้าจะเสาะหาเรา และดังที่เราได้พูดกับพวกยิวแล้ว บัดนี้เราจะพูดกับเจ้าคือ `ที่เราไปนั้นเจ้าทั้งหลายไปไม่ได้'
** เรายังจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกขณะหนึ่ง คือพระเยซูตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
** `ที่เราไปนั้นเจ้าทั้งหลายไปไม่ได้' คือพระเยซูต้องไปตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์ ซึ่งการไถ่บาปดังกล่าวไม่มีใครสามารถทำได้เนื่องจากว่าทุกคนเป็นคนบาปแต่พระเยซูทำได้เนื่องจากว่าพระองค์เสด็จมาจากสวรรค์และไม่มีบาปเลย
13:34 เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลายคือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น
13:35 ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"
** ใครเป็นสาวกแท้หรือเมล็ดพันธุ์ใหม่ของพระเยซู...
- ความรักและการทำดีต่อกันในคริสตจักรที่เราเห็นกันทุกวันนี้คือรักแบบมนุษย์และการทำดีต่อกันแบบเนื้อหนังอาดัม คือรักและทำดีโดยมีเหตุและผล คือเราเลือกทำกับคนที่เรารักพอใจทำและทำดีต่อคนที่ดีกับเราก่อน และมีกำหนดมีขีดจำกัด ใช้เหตุใช้ผล นี่คืออาการที่ทำให้คริสตจักรตกต่ำ แล้ว การยกโทษพี่น้องก็ทำได้แค่ 2-3 ครั้ง
- สำหรับคริสเตียนที่เป็นสาวกและติดตามพระเยซู พระองค์ประทานพระบัญญัติใหม่ให้เราและนั่นก็คือ รัก (อกาเป) ซึ่งกันและกัน เราดูแลเอาใจใส่กันและกันทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณตามขนาดของความเชื่อ ใครโตมากก็ทำมากและใครโตน้อยก็ทำน้อย โดยใช้คนใหม่ทำในพระคริสต์ ยกโทษพี่น้อง 70×7 สิ่งสำคัญคือเราให้พระคริสต์ก่อชีวิตขึ้นเพื่อให้ชีวิตและนิสัยถึง อกาเป อย่างเต็มล้นในเราเพื่อคนทั้งปวงจะได้รู้ว่าเราคือสาวกแท้ของพระเยซู
บทความเพิ่มเติม ยูดาสกับความรอด
ทรงพยากรณ์ว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์
13:36 ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ที่ซึ่งเราจะไปนั้น ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ภายหลังท่านจะตามเราไป”
** ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ คือพระเยซูต้องไปตายเพื่อไถ่บาปมนุษย์ที่กางเขน
** แต่ภายหลังท่านจะตามเราไป” คือการติดตามพระเยซูของสาวกทั้งหลายในหนังสือกิจการและเราผู้เชื่อทุกคน
13:37 เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ทำไมข้าพระองค์จึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ข้าพระองค์จะสละชีวิตของข้าพระองค์เพื่อเห็นแก่พระองค์”
** นี่คือคำสัญญาของเปโตรที่เป็นเนื้อหนังที่ตกต่ำแล้ว ผู้เชื่อมากมายมักจะทำในลักษณะเดียวกันกับเปโตรว่าจะซื่อสัตย์และไม่ทิ้งพระเจ้าหรือทิ้งความเชื่อเป็นอันขาด แต่เมื่อเหตุการณ์เลวร้ายร้ายแรงเกิดขึ้นความกลัวจะทำให้เขาทำตามที่สัญญาไม่ได้ ดังนั้นอย่าคิดว่าเราดี เด่น เข้มแข็ง และมั่นใจ แต่จงถ่อมใจและสรรเสริญพระบิดาที่เป็นผู้ที่ทำให้เราเข้มแข็ง
13:38 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเห็นแก่เราหรือ แท้จริงแล้วเรากล่าวแก่ท่านว่า ไก่จะไม่ขัน จนกว่าท่านได้ปฏิเสธเราถึงสามครั้งแล้ว”
** การปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง คือเพื่อให้เปโตรยอมรับในความอ่อนแอของเขา เนื่องจากว่าเปโตรและผู้เชื่อมากมายคิดว่าพวกเขาทำดีเชื่อฟังและจะละทิ้งความเชื่อไม่ได้ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดและพระเจ้าต้องให้เรามีประสบการณ์เรื่องความอ่อนแอและยอมจำนนต่อพระเจ้าเพื่อให้พระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเราในเรา
สรุปเรื่องการล้างเท้า
** การล้างเท้าในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม และภาคพันธสัญญาใหม่
ในสมัยก่อนที่จะมีชนชาติอิสราเอล
- การล้างเท้าเป็นธรรมเนียมของคนบางกลุ่ม ในสมัยก่อนที่จะมีชนชาติอิสราเอลเกิดขึ้น
- (ปฐก 18:4, 19:2, 24:32, 43:24; ผู้วินิจฉัย 19:21)
(ปฐก 18:4 อับราฮัมล้างเท้าพระเยโฮวาห์และทูตสวรรค์) “ข้าพเจ้าขอความกรุณาจากท่านยอมให้เอาน้ำนิดหน่อยมาล้างเท้าของท่าน และให้ท่านทั้งหลายพักใต้ต้นไม้เถิด”
(ปฐก 19:2 โลดล้างเท้าทูตสวรรค์) “แล้วเขากล่าวว่า "ดูเถิด เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านโปรดกรุณาแวะไปบ้านผู้รับใช้ของท่าน ค้างแรมคืนนี้ ล้างเท้าของท่าน แล้วท่านจะได้ตื่นแต่เช้าเดินทางต่อไป" ทูตเหล่านั้นกล่าวว่า "อย่าเลย แต่พวกเราจะค้างแรมที่ถนนในคืนนี้"
(ปฐก 24:32 ลาบันพี่ชายของเรเบคาห์ให้น้ำล้างเท้าแก่คนใช้ของอับราฮาม) “ชายนั้นจึงเข้าไปในบ้าน ลาบันก็แก้อูฐของเขา ให้ฟางและอาหารสำหรับอูฐ ให้น้ำล้างเท้าเขาและคนที่มากับเขา”
(ปฐก 43:24 คนต้นเรือนให้น้ำล้างเท้าแก่พวกพี่ชายของโยเซฟ) “คนต้นเรือนพาคนเหล่านั้นเข้าไปในบ้านของโยเซฟ แล้วเอาน้ำให้เขา เขาก็ล้างเท้าและคนต้นเรือนจัดหญ้าฟางให้ลาเขากิน”
(ผู้วินิจฉัย 19:21 ชายแก่ในเมืองกิเบอาห์ให้น้ำล้างเท้าคนเลวี) “เขาจึงพาชายคนนั้นเข้าไปในบ้าน เอาอาหารให้ลา ต่างก็ล้างเท้าของตน และรับประทานอาหารและดื่ม”
- ยิวยังทำเรื่อยมาจนถึงสมัยพระเยซู ควบคู่กับธรรมเนียมล้างมือก่อนกินข้าว และอีกมากมาย
...
ในสมัยพระเยซู
- ถึงแม้ว่าพระเยซูจะไม่สั่งให้สาวกล้างเท้ากันและกัน เขาก็จะต้องทำอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นธรรมเนียมของชาวยิว
- คืนนั้น ก่อนที่พระเยซูจะล้างเท้าสาวก เจ้าของบ้านได้ล้างเท้าทุกคนก่อนเข้าบ้านหลังนั้นแล้ว
- เนื่องจากชาวยิวใส่รองเท้าที่มีสายรัด (sandal) ซึ่งทำให้ร้อนอบอ้าวและเท้ามีกลิ่นเหม็นแถมยังสกปรกอีกด้วย
- ยิวจึงต้องล้างเท้าเพราะว่าเวลานั่งคุยกันหรือรับประทานอาหาร เขาจะนั่งเอนกายและยกเท้าขึ้นมาวางบนที่นั่งและเท้าจะอยู่ข้างคนถัดไป
- ไม่มีบันทึกว่า สาวกล้างเท้าให้กัน แต่เรารู้ดีว่าเขาต้องทำเพราะเป็นธรรมเนียมยิว
- พระเยซูล้างเท้าสาวกในบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่ เพราะว่าตามปกติเจ้าของบ้านต้องล้างเท้าแขกทันทีที่มาถึง
- แต่สิ่งที่สาวกจะต้องทำอีกอันหนึ่ง ก็คือล้างเท้าฝ่ายวิญญาณ เนื่องจากจิตใจที่ชอบออกจากพระคริสต์ไปอยู่ในฝ่ายเนื้อหนังเป็นระยะๆ ในแต่ละวัน ทำให้ผู้เชื่อมีส่วนในพระเยซูไม่ได้ เพราะเขาออกไปมีส่วนในโลกและในอาดัมแล้ว
- เราจะเห็นว่า ตั้งแต่ ยอห์นบทที่ 1-12 เป็นเรื่องของการอาบน้ำ (บังเกิดใหม่) ส่วนยอห์นบทที่ 13 เป็นเรื่องของการล้างเท้าที่สกปรก (ล้างใจ)
- เราต้องการกันและกัน ท่านต้องการพี่น้องที่เป็นพระกาย และพี่น้องก็ต้องการท่าน เราแบ่งปัน หนุนใจช่วยกันล้างเท้า เพื่อรักษาพระกายของพระเยซูไม่ให้ออกไปอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง วันนี้ท่านล้างเท้าพี่น้องของท่านหรือยัง?