- บทที่ 2 จนถึง 12 เป็นเรื่องเราเข้ามาหาพระเจ้า
- บทที่ 14 เป็นเรื่องพระเจ้าเข้ามาหาเรา
- บทที่ 15 คำอุปมาเรื่องเถาองุ่นและกิ่ง เป็นเรื่องของการสนิทของเราที่ต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพื่อรับการสนิทของพระเจ้ามากขึ้นในแต่ละวัน
คำอุปมาเรื่องเถาองุ่นและกิ่ง
** มาถึงบทที่ 15 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระเยซูใกล้จะถูกจับและถูกนำไปประหาร เพราะฉนั้นเรื่องการสร้างบ้านใหม่ในเราเพื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา (บทที่14) การมีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้า (บทที่ 15) การมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้สอน นำพา เลี้ยงดู ดูแล ช่วยเหลือผู้เชื่อทุกด้านของชีวิต (บทที่16) และการคุ้มครองปกปักรักษา ชำระด้วยพระคำเพื่อให้ผู้เชื่อเติบโตสู่ชีวิต และนิสัยของพระเจ้าเนื่องมาจากการทูลขอของพระเยซู และพระเจ้าทรงตอบ (บทที่ 17) จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะเป็นคำสั่งสอนสุดท้ายก่อนพระเยซูจะจากไปในฐานะบุตรมนุษย์
** เรื่องเถาองุ่นและกิ่ง ไม่ใช่เรื่องศาสนาหรือการใช้ชีวิตตามแบบรูปแนวศาสนา แต่เป็นเรื่องการเชื่อมต่อ ต่อติดระหว่างพระเจ้ากับเราผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นบุตร เป็นเพื่อน เป็นเจ้าสาวที่เป็นที่รักของพระองค์ เราพบว่าเมื่อเราเริ่มต้นชีวิตคริสเตียน เราเน้นที่การการปฏิบัติการรับใช้ การกระทำทุกสิ่งเพื่อผลตอบแทนเหมือนศาสนาทั่ว ๆ ไปโดยไม่มีความรักและผูกพันที่ดีกับพระเจ้า
** พระเจ้าย้ำเรื่องการให้เราสนิทก็เพื่อให้เรามีชีวิตที่เกิดผลมาก ซึ่งนั่นก็คือผลของพระวิญญาณซึ่งเป็นชีวิตและนิสัยของพระเยซูเพื่อโลกจะเห็นพระองค์ผ่านเรา พระเจ้าได้รับเกียรติ เราได้รับบำเหน็จรางวัล
- ถ้าหากเราใช้ชีวิตที่เอาแต่ทำทำทำเพื่อพิสูตรว่าเราเป็นคริสเตียนที่ดีแต่ไม่สนิท สุดท้ายก็ได้แต่สวมหน้ากากเข้าหากัน ซึ่งผู้เชื่อที่ไม่รู้จักพระคำล้ำลึกจะดูยากมากและเชื่อว่าคริสเตียนศาสนาเข้มแข็ง
- การสนิท คือการพูดคุยสนทนากับพระเยซูที่อยู่ในเราอย่างสม่ำเสมอในแต่ละชั่วโมงทุกวัน
- เมื่อพบพระคำล้ำลึก จากรู้น้อยก็ได้รู้มาก จากรู้ผิดก็ได้รู้ถูก และเมื่อสนิทในพระเยซูจากรักพระเจ้าและเพื่อนบ้านน้อย ก็รักได้มาก จากเป็นคนดีปลอมก็ได้เป็นคนดีจริง ๆ
คำอุปมาเรื่องเถาองุ่นและกิ่ง
15:1 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา
** "เถาองุ่นแท้" คือพระเยซูเป็นคนกลาง หรือผู้ที่ทำให้มนุษย์ได้เข้ามาหาพระเจ้า และพระเจ้าเข้ามาหามนุษย์ พระเจ้าและมนุษย์จึงกลายเป็นหนึ่งเดียวได้
** "พระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา" คือพระบิดาทรงเป็นชาวไร่ชาวสวน ทรงเป็นผู้วางแผน เป็นชีวิต เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นอากาศ เป็นแสงแดดเป็นทุกสิ่งเพื่อให้เรารับชีวิตที่ครบบริบูรณ์เพื่อสำแดงพระเจ้า (เกิดผลแห่งพระวิญญาณใน กท 5:22-23) ได้
** ภาษากรีก - เราเป็น / เราคือ
** เถาองุ่น / ต้นองุ่น พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า เราเป็นเหมือน เราเหมือน เราเปรียบเสมือน แต่ทรงตรัสว่า เราเป็น/เราคือ ซึ่งความหมายก็คือ พระเยซูทรงเป็นเถา/ต้นองุ่น ซึ่งเราเชื่อว่าต้นไม้ทิพย์หรือต้นไม้แห่งชีวิตอยู่ที่กลางสวนเอเดนก็คือพระเยซูที่มาในสภาพต้นองุ่นเพื่อรอให้อาดัมกินผลไม้แห่งชีวิตจากพระเจ้านั่นเอง (วว 22:2 ในท่ามกลางถนนของนครนั้น และริมแม่น้ำ "ทั้งสองฟาก" (ภาษากรีกแปลว่า อยู่ฟากนั้นและฟากนี้ของแม่น้ำ) มีต้นไม้แห่งชีวิต (ต้นเดียว) ซึ่งออกผลสิบสองชนิด และออกผลของมันทุก ๆ เดือน และใบทั้งหลายของต้นไม้นั้นสำหรับการรักษาบรรดาประชาชาติให้หาย)
15:2 กิ่งทุกกิ่งในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงเอาไปเสีย และกิ่งทุกกิ่งที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดกิ่งนั้น เพื่อให้มันออกผลมากขึ้น
** "ตัดทิ้ง" คือปล่อยให้เป็น คริสเตียนศาสนา ดังที่เราเห็นทุกวันนี้ ที่เกิดผลแห่ง พระวิญญาณ หรือสำแดงชีวิตพระเจ้าไม่ได้ คริสตจักร คริสตียน ครอบครัว จึงได้แค่เชื่อ แบกภาระหนักมาก การกระทำไม่มี (ไม่ได้มาตรฐานที่พระเจ้าต้องการ)
** "กิ่งที่ออกผล" คือผู้เชื่อที่ถ่อม แสวงหา ดิ้นรนเพื่อการเติบโต พระเจ้าเห็นว่ายังพอมีทางที่จะนำเขามาถึงผู้ชนะได้
** "ทรงริด" คือจะทรงชำระ เปลี่ยน เพื่อให้ได้รับจิตใจใหม่ 1. ชำระด้วยพระคำ 2. ชำระด้วยพระวิญญาณ
** กิ่งทุกกิ่งในเรา คือผู้เชื่อทุกคนที่พระเจ้าซื้อ ประหาร และประทานชีวิตใหม่ ให้เราเข้าส่วนในการตายและการเป็นขึ้น อยู่ในพระคริสต์และพระคริสต์ก็อยู่ในเราแล้ว
** ที่ไม่ออกผล ก็คือผลของชีวิต คือความดีความชอบธรรมที่ออกมาจากผลของชีวิตพระคริสต์ที่อยู่ในเรา รักแทนเราทำดีแทนเรา เนื่องจากว่าผู้เชื่อส่วนมากไม่รู้ว่าเขาตายและได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว จึงพยายามทำดี รักเพื่อนบ้านและรักศัตรูด้วยกำลังของเขาเอง จึงหล่นจากพระคุณและกลายเป็นคริสเตียนศาสนาแบบไม่รู้ตัว
** กิ่งทุกกิ่งในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงเอาไปเสีย คือพระเจ้าจะปล่อยทิ้งเขาไว้หรือตัดเขาออกจากผู้เชื่อที่ชนะจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายแห่งยุคพระคุณและตีสอนเขาที่เกเฮนาในยุคพันปี เนื่องจากว่าผู้เชื่อเหล่านี้รอดแต่ไม่ได้เกิดผลของชีวิตพระคริสต์
15:3 บัดนี้ท่านทั้งหลายก็สะอาดแล้วโดยทางคำนั้นซึ่งเรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้ว
** ข้อนี้ คือคำตอบใน ข้อ 2. พระเยซูใช้คำว่า "ชำระ" แทนคำว่า "ริด" แต่เป็นความหมายเดียวกัน
** นี่คือการชำระด้วยพระคำหรือด้วยถ้อยคำของพระเจ้า เรียกว่า การได้รู้และเข้าใจ ถูกเปิดตาให้ได้เข้าใจในความจริงแห่งถ้อยคำของพระเจ้า และเมื่อผู้เชื่อรู้และเข้าใจจริงๆ ก็จะใส่ใจจดจ่อที่การสนิท-บอกรักพระเยซูเพื่อให้ได้เกิดผลของชีวิตพระคริสต์ เมื่อผู้เชื่อรับการชำระด้วยพระคำมากขึ้น (ถูกเปิดตามากขึ้น) ก็จะเข้าสู่การชำระด้วยพระวิญญาณคือเกิดผลชีวิตพระคริสต์ได้อย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน
15:4 จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่านทั้งหลาย กิ่งจะออกผลเองไม่ได้นอกจากกิ่งนั้นเข้าสนิทอยู่ในเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็เกิดผลเองไม่ได้อีกต่อไปฉันนั้นนอกจากท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา
** เราต้องเข้าสนิท (คุย / สามัคคีธรรม) กับพระคริสต์เยซูก่อน เราเข้ามามากเท่าไหร่ใกล้มากเท่าไหร่ พระเจ้าก็ให้เราเกิดผลมากเท่านั้น
** การออกผลเกิดผล ในที่นี้ ไม่ใช่ผลงานหรือผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เป็นผลแห่งชีวิตใหม่ใน (กท 5:22-23) คือผลแห่งพระวิญญาณพระคริสต์เยซู
** การเกิดผลได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่การพยายามหรือฝึกบังคับตนเอง แต่ได้มาด้วยการ "สนิท"
** คริสเตียนมากมายไม่ได้สนิท ถึงแม้เขา อธิษฐาน อ่าน แต่ทำแบบศาสนาทำกัน รีบทำรีบไป รีบอธิษฐาน และอ่านๆ ให้จบ
** จงเข้าสนิทอยู่ในเรา สนิท ในที่นี้ คือการสร้างความสัมพันธ์/ผูกพัน ใกล้ชิดด้วยการด้วยการพูดคุย จดจ่อที่พระเยซูเป็นระยะๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรก็ตาม
** จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่านทั้งหลาย เมื่อเราสนิทในพระเยซูสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือพระเยซูก็จะสนิทในเรา พระองค์ก็จะสร้างความสัมพันธ์/ผูกพัน ใกล้ชิดเราด้วยการพูดคุย ใส่ใจที่เรา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรก็ตาม
** กิ่งจะออกผลเองไม่ได้นอกจากกิ่งนั้นเข้าสนิทอยู่ในเถาฉันใด ท่านทั้งหลายก็เกิดผลเองไม่ได้อีกต่อไปฉันนั้นนอกจากท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้เชื่อส่วนมากไม่สนิทในพระเยซูแต่ชอบขอความรักจากพระเจ้าเพื่อให้ไปรักเพื่อบ้านได้ หรือต้องขอความอดทนเมื่อขาดความอดทน หรือต้องขอสันติสุขเมื่อขาดสันติสุข ฯลฯ แต่พระเจ้าไม่ได้ทำแบบนั้นเพื่อช่วยเรา พระองค์ให้เราสนิทในพระคริสต์และพระคริสต์สนิทในเรา จากนั้นพระคริสต์ก็จะดำเนินชีวิตแทนเรา
ยอห์น (John)
บทที่ 1 - 12 เป็นเรื่องการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เป็นเรื่องของ ชีวิตใหม่ไม่ใช่นับถือศาสนา หรือใช้ชีวิตเก่าเพื่อเดิน และรับใช้
บทที่ 13 ล้างเท้า คือล้างใจเพื่ออยู่ในพระคริสต์ในพระวิญญาณตลอดเวลา
บทที่ 14 พระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเจ้า
บทที่ 15 คือการสร้างความผูกพันระหว่างเรากับพระเจ้า เราสนิทก่อนพระเจ้าจึงสนิทในเราเพื่อไม่เป็นการบังคับเรา เราสนิท ไม่ทำ เราจึงทำได้มากโดยพระคริสต์เป็นคนทำในเรา
บทความเพิ่มเติม: จากรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านน้อยก็จะได้รักมากขึ้นๆๆ
คริสเตียนเป็นมิตรสหายของพระคริสต์
15:5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นบรรดากิ่ง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นเองก็เกิดผลมาก เพราะแยกจากเราแล้ว ท่านทั้งหลายทำสิ่งใดไม่ได้เลย
** พระเยซูเป็นเถาองุ่นหรือต้นองุ่น ที่เป็นต้นไม้แห่งชีวิตที่อยู่ในกลางสวนเอเดน พระองค์ถูกซ่อนไว้และเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่จะประทานชีวิตที่ครบบริบูรณ์จากต้นไม้แห่งชีวิตอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่อาดัมและลูกหลานยังไม่มีโอกาสได้รับ พระเยซูตรัสว่าเราผู้เชื่อทุกคนเป็นกิ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้เกิดผลของชีวิตใหม่จากต้นไม้แห่งชีวิต และแน่นอนที่สุดกิ่งทั้งหลายต้องต่อติดกับต้นเพื่อรับชีวิตของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่เข้าสนิทคือคนที่ได้พบพระคำล้ำลึก และตระหนักถึงความสำคัญของการสนิทว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้ามากกว่าการทำทำทำเพื่อพระองค์ และรู้จักวิธีสนิทอย่างถูกต้อง เพื่อให้ต้นองุ่นส่งชีวิตมาหล่อเลี้ยงพวกเราให้เติบโต และเกิดผลมาก เราขอบพระคุณพระเจ้า การสนิทไม่ใช่การอธิษฐานวันละสามครั้ง หรือการรับใช้ทั้งวัน แต่คือการพูดคุยสนทนากับพระเยซูที่อยู่ในเราอย่างสม่ำเสมอ (1 ธส 5:17)
** "จะเกิดผลมาก" คือการดำเนินชีวิตใน มธ บทที่ 5-7 และน้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จในตัวเขา กลายเป็นผู้ชนะ
** ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเกิดผลชีวิตใหม่ ไม่เกี่ยวกับผลงานหรือผลแห่งของประทาน นำคนมาเชื่อ งานรับใช้ต่างๆ แต่คือผลแห่งพระคุณ (ผลของชีวิตใหม่) เพื่อมนุษย์จะเห็นพระเจ้าผ่านตัวเรา
** วิธีเดียวที่เราจะเลิกทำบาปได้และเกิดผลชีวิตพะคริสต์ในเราได้คือการสนิท ไม่มีทางอื่น เนื่องจากว่าพระเจ้าต้องการความรักและการสนิทในแต่ละวันของเราต่อพระองค์ เรื่องการทำดีพระเจ้าจะจัดการเอง เรายิ่งสนิทมากเราก็จะเกิดผลมาก และถ้าหากเราไม่สนิทเราก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าเราได้ทำดีพยายามเชื่อฟัง แต่พระเยซูตรัสว่า ทำสิ่งใดในพระคริสต์ไม่ได้เลย มันเป็นแค่เพียงการกระทำดีในอาดัมหรือเกิดผลของชีวิตเก่าเท่านั้น
15:6 ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกทิ้งเสียเหมือนกิ่ง และเหี่ยวแห้งไป และผู้คนก็รวบรวมกิ่งเหล่านั้นไว้ และทิ้งพวกมันไว้ในไฟ และพวกมันก็ถูกเผาเสีย
** นี่คือผลของชีวิตผู้เชื่อที่ไม่ได้ถูกเปิดตา หรือชำระด้วยถ้อยคำของพระเยซู ชีวิตนี้ก็เหี่ยวแห้ง
** และทิ้งพวกมันไว้ในไฟ และพวกมันก็ถูกเผาเสีย คือการถูกตีสอนในยุคพันปีเพื่อให้ได้รอดในวันสุดท้าย
** "ถูกทิ้ง" คือทิ้งในเวลานี้ "เหี่ยวแห้ง" คือชีวิตที่สุขบ้างทุกข์บ้าง ขึ้นลง ๆ ๆ ๆ ในชีวิตนี้
** "รวบรวมไปทิ้งในไฟ" คือก่อนเข้ายุคหน้าต้องถูกทดลองด้วยไฟ เมื่อผลของชีวิตผ่านไฟไม่ได้ ก็จะไม่ได้รางวัล และถูกบังคับให้สุกงอมเป็นเวลาพันปี
** เราพบว่าผู้เชื่อมากมายทุกยุคทุกสมัยขึ้นลงสุขทุกข์ดีบาปอยู่ในชีวิตที่เหี่ยวแห้งไปทีละน้อย เนื่องจากว่าไม่สนิทใน
** "ในไฟ" ในที่นี้ ไม่ใช่ไม่รอด ไม่ใช่บึงไฟ เพราะเป็นเรื่องของผู้เชื่อที่ไม่เข้าใจการสนิทเพื่อเกิดผลแห่งชีวิตพระคริสต์ที่แท้จริง
15:7 ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และบรรดาคำของเราฝังอยู่ในท่านทั้งหลายแล้ว ท่านทั้งหลายจะขอสิ่งใดซึ่งท่านทั้งหลายปรารถนา และสิ่งนั้นจะถูกกระทำแก่ท่านทั้งหลาย
** บรรดาคำของเราฝังอยู่ในท่านทั้งหลายแล้ว ผู้เชื่อที่แสวงหาการเติบโตในชีวิตฝ่ายวิญญาณควรเข้าสนิทในพระคริสต์ในแต่ละวัน และสะสมถ้อยคำของพระเยซูที่เป็นความจริงไม่มีเชื้อยีสผสม การฝังถ้อยคำ ก็คือการสะสมให้มากเท่าที่จะมากได้ เรานำมาขีดเขียน แยกเรื่องต่างๆ เพื่อให้จดจำง่ายและนำมาใช้ได้ง่ายขึ้น
** เมื่อเรามีพระคำที่เป็นความจริง เรานำมาฝึกในชีวิตประจำวัน ในฐานะคนชอบธรรม และสนิทในพระเยซู เราจะขอสิ่งใดพระเจ้าก็จะตอบเนื่องจากว่าสิ่งที่เราขอ คือขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระบิดา ไม่ใช่ตามใจเรา
15:8 ในสิ่งนี้พระบิดาของเราทรงได้รับสง่าราศี คือที่ท่านทั้งหลายเกิดผลมาก ดังนั้นท่านทั้งหลายก็จะเป็นพวกสาวกของเรา
** สาวก ในที่นี้ ก็คือ สาวกที่พระเยซูทรงรัก เนื่องจากว่าเขาเกิดผลแห่งชีวิตพระคริสต์ได้มากมาย
** สิ่งเดียวที่พระเจ้าแสวงหาในเรา คือการให้พระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเรา โอ้ พระเจ้าจะได้รับเกียรติมากมาย และเราก็คือสาวกที่รักของพระคริสต์ (ฟป 1:21 สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็ "คือ" พระคริสต์ ไม่ใช่ "เพื่อ" พระคริสต์)
15:9 พระบิดาทรงรักเราแล้วฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายแล้วฉันนั้น ท่านทั้งหลายจงเข้าสนิทอยู่ต่อไปในความรักของเรา
** คือการร้อนรน กระตือรือร้น ในวิญญาณของเรา ในการเข้าสนิท รัก สร้างสัมพันธ์ พูดคุยอย่างต่อเนื่อง
** การสนิทในพระเยซูเท่านั้นยังไม่พอหรือไม่ครบถ้วน สิ่งที่พระเยซูต้องการให้เราทำให้ครบก็คือ สนิทและบอกรัก เพราะว่าพระองค์รักเราและต้องการความรักจากเราเช่นเดียวกัน
15:10 ถ้าท่านทั้งหลายรักษาบรรดาบัญญัติของเรา ท่านทั้งหลายก็จะเข้าสนิทอยู่ในความรักของเรา เหมือนที่เรารักษาบรรดาพระบัญญัติของพระบิดาของเราแล้ว และเข้าสนิทอยู่ในความรักของพระองค์
** พระเยซูทรงรักษาพระบัญญติได้ครบเพื่อไถ่เราตอนที่เป็นมนุษย์ และตอนนี้พระเยซูทรงรักษาพระบัญญัติได้ครบในเราเพื่อช่วยเราที่รักษาไม่ได้ สิ่งนี้เกิดมาจาก ความรัก ที่พระองค์มีต่อเรา
** "พระบัญญัติ" ในที่นี้ คือพระบัญญัติใหม่ ไม่เกี่ยวกับ พระบัญญัติเดิมอีกแล้ว
** เราจึงไม่เอ่ยคำว่า พระบัญญัติ 10 ประการอีกต่อไปเพราะว่าเป็นอันเดิม
** พระบัญญัติเดิม นำมาซึ่งการถูกแช่งสาป และนำเราเข้าอยู่ใต้พระบัญญัติ และตกจากพระคุณ
** เมื่อเราพบคำสั่งว่า จงรักษา พระบัญญัติ ของเรา เรารู้ดีว่าเรามีผู้รักษาแทนเราในเรา เพราะฉะนั้นอย่าเริ่มทำเริ่มเชื่อฟังด้วยตัวเราเอง เพราะเราจะหล่นจากพระคุณของพระคริสต์
15:11 สิ่งเหล่านี้เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อความปีติยินดีของเราจะดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และเพื่อความปีติยินดีของท่านทั้งหลายจะเต็มเปี่ยม
** ความรัก/การสนิท ทำให้เกิดความชื่นชมยินดีจากวิญญาณและหลั่งไหลมาสู่จิตใจของเรา เราจึงไม่ขาดน้ำแห่งชีวิตและเผชิญกับทุกสิ่งได้
** ความปิติยินดี ภาษากรีกคือ χαρά, ᾶς, ἡ (คาร่า) ภาษาอังกฤษคือ Joy, delight, gladness คืออาการชื่นชมยินดี ดีใจ จนยิ้มหรือหัวเราะออกมาได้ ซึ่งผู้เชื่อต้องเข้าใจว่าคือการยิ้มดีใจหัวเราะตามแบบนิสัยของพระเจ้าที่สุภาพอ่อนโยน ไม่ใช่ตามแบบของมารที่หัวเราะดังลั่นกลิ้งไปมา
15:12 นี่แหละเป็นบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เรารักท่านทั้งหลายแล้ว
** คำว่า รัก ที่พระเยซูใช้ ในที่นี้ คืออกาเปา ἀγαπάω ซึ่งมาจาก อกาเปนั่นเอง
** เมื่อเราสนิท-รักพระเยซู ความรักอากะเปก็หลั่งไหลเข้ามาสู่จิตของเรา เราจึงทำทุกสิ่งด้วยรักได้ และรักพี่น้อง รักเพื่อนบ้าน รักศัตรูได้ อย่างไม่มีเงื่อนไข
** "รัก" คือพระบัญญัติใหม่ “ รัก ” ขอย้ำ ไม่ใช่ทำโน่นทำนี่ อธิษฐานมากๆ อ่านมากๆ รับใช้มากๆ อดอาหารมากๆ ทำดีมากๆ แต่คือ รักก่อน
** พระเจ้าต้องการรัก
** พี่น้องคริสตจักรต้องการรัก
** คุณก็ต้องการรัก
** ชาวโลกต้องการรัก
** "รัก" คือสิ่งที่เราส่งออกไปจากใจในแต่ละวัน
** ถ้าเราใส่ใจเรื่องรัก มากเท่าไหร่ จิตใจใหม่ก็เพิ่มมาก น้ำมันแห่งการเกิดผลพระวิญญาณก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไม่แห้งและจวนจะดับเหมือน คริสเตียนศาสนา
15:13 ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือที่ผู้หนึ่งจะสละชีวิตของตนเพื่อเหล่ามิตรสหายของตน
** ขอบพระคุณพระเยซูที่ทรงถ่อมใจและรับเราเป็นเพื่อนที่รัก หรือมิตรสหายของพระองค์
** คำว่า เพื่อน หรือมิตรสหาย ที่พระเยซูใช้ในข้อนี้ มีความหมายมาก คือการรัก เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ คอยดูแล ช่วยเหลือ อยู่เคียงข้างเรายามที่เราไม่มีค่า ตกต่ำ เป็นทุกข์และหมดหนทาง พระองค์จะไม่ทิ้งเราและซ้ำเติมเรา
15:14 ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา ถ้าท่านทั้งหลายกระทำสิ่งใดก็ตามที่เราสั่งท่านทั้งหลาย
** เราสนิท-บอกรัก สะสมถ้อยคำที่เป็นความจริงของพระเยซู เรามีสันติสุขและพลังที่จะเกิดผลชีวิตพระคริสต์และเราถูกนับว่าเป็นเพื่อนรัก/เพื่อที่รัก/มิตรสหายของพระองค์
15:15 เราไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าทาสอีก เพราะทาสไม่ทราบว่านายของเขาทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว
** ถึงแม้ว่าเราจะถวายตัวเป็นทาสของพระองค์ ซึ่งนั่นคือการยอมให้พระเยซูใช้อวัยวะของเราเพื่อพระองค์จะสำแดงชีวิตผ่านเรา แต่พระเยซูก็ยังยกเราขึ้นและไม่เรียกเราว่าทาส แต่เป็นเพื่อนของพระองต์ พระองค์จึงเปิดเผยมากมายหลายสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระบิดาแก่เรา
15:16 ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านจะไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านอยู่ถาวร เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
** เพื่อให้ผลของท่านอยู่ถาวร คือผลของชีวิตใหม่ที่ตัวใหม่ให้พระเยซูดำเนินชีวิตในเราแทนเราเพื่อเรา ซึ่งจะไม่สูญเสียและถูกไฟเผาไหม้เนื่องจากว่าเป็นผลแห่งทองคำเงินและเพชรพลอย สุดท้ายคือมงกุฏเพื่อครอบครองร่วมกับพระองค์ในยุคหน้า และฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่
15:17 สิ่งเหล่านี้เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ว่า ท่านจงรักซึ่งกันและกัน
** พระเยซูย้ำคำนี้บ่อยมาก คือรักกันและกัน เพราะว่าความรักต่อพี่น้องและเพื่อนบ้านทั้งศัตรู คือน้ำพระทัยของพระบิดา
บทความเพิ่มเติม: ทำไมเราต้องสนิทและบอกรักพระเยซู ยอห์นบทที่ 15 คือคำตอบ
คริสเตียนที่ดีจะถูกเกลียดชัง
15:18 ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน
** พระเยซูเน้นคำว่า "โลก" คือ "คนที่ไม่เชื่อ"
** ผู้เชื่อส่วนมากจะถูกคนที่ไม่เชื่อเกลียดชัง ถ้าเราเข้าถึงพระเจ้า ทิ้งโลกได้จริงๆ
15:19 ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะรักท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังท่าน
** เรากับโลก (คนที่ไม่เชื่อ) ถ้าไม่ถูกเขารักก็ถูกเกลียดชัง ไม่มีลูกครึ่ง
** "แต่เราได้เลือกท่านออกจากโลก" คือไม่มีส่วนอะไรกับชาวโลกอีกแล้ว
** การเกลียดชังของโลกที่มีต่อเรา ที่เราทำผิดพลาด คือแสดงอาการ หรือใช้คำพูดในลักษณะที่ไม่สมควร
ทำให้โลก หรือเพื่อนญาติมิตร มองเห็นว่าเราถือตัวว่าสูงกว่า ดีกว่า ถูกกว่า อันนี้ไม่ใช่การเกลียดชังที่พระเยซูตรัสเอาไว้
เนื่องจากว่า เราผู้เชื่อต้อง รัก ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ ไม่ใช่แสดงตัวเป็นเหมือนนักบุญ เราผู้เชื่อยังต้องทำดี ช่วยเหลือ ช่วยงานต่างๆ ทั้งเพื่อน ญาติ มิตรสหาย คนในที่ทำงาน หรือเจ้านาย ไม่ใช่ออกมาจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง หรือก่อตั้งหมู่บ้านเพื่ออยู่ด้วยกันเฉพาะคริสตจักรของตน
สำหรับน้ำพระทัยของพระบิดา คือไม่หนีไปไกลจากเขา เพราะว่าเรายังอยู่ในโลกนี้กับพวกเขาเพื่อทำดีสำแดงพระคริสต์ และประกาศข่าวประเสริฐ และเราเองก็ไม่เข้าใกล้จนเกินไปตามขนาดของความเชื่อ เพื่อจะไม่เข้าสู่การทดลอง และทำบาป
** เราพบว่าพระเยซูรักบิดามารดา และรักทุกคน และสอนให้เรารักทั้งคนที่เชื่อ และไม่เชื่อ พระเยซูตรัสอีกว่าผู้เชื่อต้องดำเนินชีวิตที่ตรงข้ามกับคนที่ไม่เชื่อ คือรักซึ่งทำให้เรายกโทษ 70X7 และไม่จดจำความผิดของผู้อื่นได้ ต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกไม่มี และต้องการให้ทุกคนเป็น เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง และโลกมนุษย์ แต่ซาตาน มันเกลียดชังบรดดาผู้ที่สำแดงชีวิต และความรักของพระเจ้า มันจึงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของคนที่ไม่เชื่อ หรือคริสเตียนเด็ก เกลียดชังคริสเตียนหนุ่ม และพ่อได้ เนื่องจากมารซาตานอยู่เบื้องหลัง เราจะพบว่าคนมากมายจะเกลียดชังผู้เชื่อโดยไม่มีเหตุ
15:20 จงระลึกถึงคำที่เราได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายแล้วว่า "ทาสมิได้เป็นใหญ่กว่านายของเขา" ถ้าเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามคำของท่านทั้งหลายด้วย
15:21 แต่ทุกสิ่งที่เขาจะกระทำแก่พวกท่านนั้นก็เพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา
15:22 ถ้าเราไม่ได้มาประกาศแก่พวกเขา เขาก็คงจะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องบาปของเขา
15:23 ผู้ที่เกลียดชังเราก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย
15:24 ถ้า ณ ท่ามกลางพวกเขา เรามิได้กระทำสิ่งซึ่งไม่มีผู้อื่นได้กระทำเลย พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ได้เห็นและเกลียดชังทั้งตัวเราและพระบิดาของเรา
15:25 แต่การนี้เกิดขึ้นเพื่อคำที่เขียนไว้ในพระราชบัญญัติของพวกเขาจะสำเร็จ ซึ่งว่า `เขาได้เกลียดชังเราโดยไร้เหตุ
** มนุษย์โลกล้วนเป็นคนบาป และมีความผิดบาปอย่างมากมาย ซึ่งผลที่ได้รับ ก็คือความตาย และการพิพากษา แต่พวกเขาไม่รู้เนื่องจากว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ และไม่ได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องการได้กลายเป็นคนชอบธรรม และได้รอดโดยทางความเชื่อ ส่วนยิวก็รักษาพระบัญญัติ และคิดว่าพวกเขาก็ทำดีอยู่แล้ว และไม่น่าจะมีบาป แต่สำหรับพระเจ้า เมื่อมาถึงยุคพระคุณ และการได้กลายเป็นคนชอบธรรมก็คือต้องเชื่อ และวางใจในพระบุตรที่เสด็จลงมาเพื่อตายไถ่บาปโลก พันธสัญญาใหม่ได้มาถึงแล้ว และถ้าหากใครไม่แสวงหาทางแห่งความรอดโดยพึ่งพระเยซู เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐก็คือความบาปก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว
พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงเป็นพยาน
15:26 แต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา
15:27 และท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว
ยอห์นบทที่ 2-12 เป็นเรื่องเราเข้ามาหาพระเจ้า
ยอห์นบทที่ 14 เป็นเรื่องพระเจ้าเข้ามาหาเรา
ยอห์นบทที่ 15 เป็นเรื่องของการสนิทของเราที่เริ่มก่อน เพื่อรับการสนิทของพระเจ้ามากขึ้นในแต่ละวัน
(อฟ. 1:17 เพื่อพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงสง่าราศี จะทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์
1:18 ขอให้ตาแห่งความเข้าใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับวิสุทธิชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร)
คือการร้อนรน และกระตือรือร้นในวิญญาณของเรา ในการเข้าสนิท รัก สร้างสัมพันธ์ และคุยอย่างต่อเนื่อง