** สำหรับความจริงของมนุษย์ คือสิ่งที่ตามองเห็นและหูได้ยิน แต่สำหรับความจริงของพระเจ้า คือทุกสิ่งที่พระเจ้ากระทำสำเร็จแล้วในพระคริสต์ อย่าลืมนะครับในพระคริสต์
** ในพระคริสต์ in Christ
a. คำว่า ในพระคริสต์ in Christ มีความหมายมากสำหรับคริสเตียน
ผู้เชื่อมากมายเข้าใจผิดคิดว่า ชีวิตในพระคริสต์ คือการได้มาเป็นคริสเตียน การได้มีส่วนในคริสตจักร ร่วมประกาศรับใช้กับพี่น้องผู้เชื่อในพระกาย
บางคนก็คิดว่าการอยู่ในพระคริสต์ คือการรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ไม่ทำบาป ถ้าเขาทำบาปเมื่อไร ก็คือขณะนั้นไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เขาได้ออกไปจากพระคริสต์แล้ว ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์อีกต่อไป เป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ การอยู่ในพระคริสต์นะครับ ก็คือเชื่อว่าเราอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าเป็นคนกระทำพระเจ้านำเรานะครับเข้าไปอยู่ในพระคริสต์
สรุป คำว่า ในพระคริสต์ คือชีวิตที่พระเยซูเป็นคนทำสำเร็จแล้ว เราเข้ามาอยู่ในพระองค์เพื่อรับทุกสิ่งตามพระสัญญาโดยทางความเชื่อ
ก. ถ้าเหนื่อยก็พูดว่า เอเมนข้าอยู่ในพระคริสต์ ข้าไม่เหนื่อย เอเมน
ข. ถ้าอ่อนแอก็พูดว่า เอเมนข้าอยู่ในพระคริสต์ ข้าเข้มแข็ง
ค. ถ้าทำบาปก็พูดว่า เอเมนข้าอยู่ในพระคริสต์ชีวิตพระเจ้ามีพลังมากข้าทำบาปไม่ได้ เอเมน
ง. ถ้าเป็นทุกข์ก็พูดว่า เอเมนข้าอยู่ในพระคริสต์ข้ามีสันติสุข
- เราจะมีประสบการณ์ “ชีวิตในพระคริสต์” เพราะว่าเราเชื่อว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว
ขอให้เราตระหนักนะครับว่าทุกวันนี้เราได้อยู่ในทุ่งหญ้าเขียวสดแล้ว ข้อ b. เป็นเรื่องของการได้อยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสด
b. การได้อยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสด (ยน 10:9)
ขอบพระคุณพระเยซูที่วันนี้เราได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า ชีวิตในพระคริสต์
พระเจ้านำเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์และพระคริสต์อยู่ในเราทันทีที่เราเชื่อ (1 คร 1:30) นี่คือสิ่งที่พระเจ้ากระทำสำเร็จแล้ว
ชีวิตในพระคริสต์ คือเราบริสุทธิ์ ชอบธรรม ใหม่แล้ว ต่อพระพักตร์พระเจ้า และได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณทุกประการแล้ว
พระคริสต์เป็นทุกสิ่งที่เราต้องการแล้ว เรามีครบแล้ว ทั้ง ๆ ที่เรายังทำบาปอยู่ และเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ในฝ่ายเนื้อหนังก็ตาม
ทุกวันนี้นะครับเราอยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสดและพระเยซูนั้นเเหละที่เป็นทุ่งหญ้าอันเขียวสดของเรา พระองค์เป็นคำตอบของทุกคำถามของเรา พระองค์เป็นทุกสิ่งที่เราต้องการ เพื่อการดำเนินชีวิตอยู่ และเพื่อการเดินในวิญญาณในแต่ละวัน
c. เราต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะมีประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์
คำว่า ในพระคริสต์ เป็นฝ่ายวิญญาณ เป็นความจริงของพระเจ้า เราไม่อาจมองเห็นได้
กุญแจที่จะนำเราเข้าไปมีประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์ในฝ่ายวิญญาณ ก็คือ ความเชื่อ faith
เนื่องจากว่าความเชื่อคือความหวังใจในสิ่งที่ตามองไม่เห็นที่ถูกหวังไว้ว่ามีจริง (ฮบ 11:1)
ความเชื่อยังเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณใช้เดิน เราไม่ได้เดินด้วยเท้า แต่เดินด้วยความเชื่อ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสุดท้าย (โรม 1:17 / 2 คร 5:7)
- เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ ความจริงของพระเจ้าตาเรามองไม่เห็น แต่เราต้องการมีประสบการณ์ในความจริงของพระเจ้าที่ทำสำเร็จแล้วในพระคริสต์ ก็คือใช้ความเชื่อ เราเชื่อเอา
• เราเชื่อ เราได้บังเกิดใหม่
• เราเชื่อ เราได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
• เราเชื่อ เราได้รอด
• เราเชื่อ เราได้รับพระพร
• เราเชื่อ เราได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า
• เราเชื่อ เราได้รับทุกสิ่งแล้วในพระคริสต์
• เราเชื่อ เรากลายเป็นผู้ชนะแล้ว
• เราเชื่อ พระองค์ครอบครองจิตของเราทุกส่วนแล้ว
ขอให้เรายืนหยัดอยู่ในความเชื่อนี้ ซึ่งเราเชื่อในความจริงของพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงที่พระเจ้าทำสำเร็จแล้วในพระคริสต์ ทุกสิ่งสำเร็จแล้วพระองค์กระทำหมดแล้ว
สรุป เราเชื่อ พระวิญญาณนำสิ่งที่พระเจ้าทำสำเร็จแล้วมาสู่เรา
d. สำหรับพระเจ้า ในอาดัมจบแล้ว เป็นเงา
- อย่าไปมอง อย่าไปสนใจ หันมาใส่ใจสนใจพระเยซูเพื่อชีวิตและสันติสุข ร้องว่า เอเมน ข้ารักพระเยซู ขอบพระคุณพระเยซู พระเยซู ฯลฯ
e. ถ้าหากเราปักใจในฝ่ายเนื้อหนัง
- ก็คือความบาป และความตาย และเป็นศัตรูกับพระเจ้า ถ้าหากเราปักใจในฝ่ายวิญญาณ คือในพระคริสต์ ก็คือ ชีวิต และสันติสุข การปักใจคือการใส่ใจ หันความคิด ความสนใจ มาที่พระเยซูพูดคุยสนทนาบอกรักอย่างสม่ำเสมอ (โรม 8:5-7)
ข้อต่อไปนะครับเพื่อการฝึกเดิน เพื่อที่เราจะกลายเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณที่จริงนะครับ ก็คือ ข้อ 4 เรื่องเดินไปกับพระเยซู หรือเดินไปกับพระเจ้า
- การเดินไปกับพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมไม่ใช่เรื่องที่ใหม่
ในพระคัมภีร์เดิมสมัยก่อน ลูกหลานหลายคนของอาดัมเดินไปกับพระเจ้า อาเบลเดินไปกับพระเจ้า โนอาห์ก็เดินไปกับพระเจ้า อับราฮัมก็เดินไปกับพระเจ้า ฯลฯ
เนื่องจากว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์เพื่อให้เขาเดินไปกับพระเจ้า และผู้ที่เดินไปกับพระเจ้าก็ได้รับพระพร และการเลี้ยงดู ดูแลเป็นอย่างดี
- เมื่อพระเยซูเสด็จมา และทรงสั่งสอน ถ้อยคำของพระองค์ในยอห์น 15:5 เป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือพระองค์ต้องการให้เราเดินไปกับพระเจ้า
คริสเตียนได้รับสิทธิพิเศษ คือมีพระคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา การเดินไปกับพระเจ้าจึงมีความลึกซึ้งมากกว่าแต่ก่อน
เราไม่เพียงแค่เดินเท่านั้น เรานั่ง นอน ไป มา กิน หายใจ พูด กระทำทุกสิ่งร่วมกับพระองค์ ยิ่งเราสนิทในพระองค์มากเท่าไหร่ พระองค์ก็ยิ่งสนิทในเรามากเท่านั้น
นี่คือชีวิตในพระคริสต์ หรือการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แท้จริง คือมีสองคนอยู่ในร่างเดียว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่รักและผูกพันธ์ ฉันสามีภรรยา
จงสนิทในเรา และเราสนิทในเจ้า แล้วเจ้าจะเกิดผลมาก
ขอบพระคุณพระเยซูนะครับการเกิดผลมาก มาจากการสนิทในพระองค์ มาจากการเดินไปกับพระเจ้านั้นเอง ซึ่งไม่ใช่การพยายามเกิดผลด้วยเรี่ยวแรงกำลังของเราเอง
สรรเสริญพระเยซู การเกิดผลมากมาจากการสนิทในพระองค์นี่เอง ไม่ใช่การพยายามเกิดผลด้วยเรี่ยวแรงกำลังของเราเอง
อีกครั้งขอย้ำ การเกิดผลมากมายในชีวิตของเรา การเลิกทำบาปได้ เราได้มาจากการเดินไปกับพระเจ้า ซึ่งคำที่พระเยซูใช้นะครับ ก็คือจงสนิทในเรา และเราสนิทในเจ้า แล้วเจ้าจะเกิดผลมาก
สรุป การเดินไปกับพระเจ้า / เดินไปกับพระเยซู / เรื่องการสนิท / เป็นเรื่องของชีวิตต่อติดกับชีวิตเพื่อรับชีวิต ต้นองุ่นคือต้นไม้แห่งชีวิต คือพระคริสต์ ยน 15:1-5 ความเชื่อของคริสเตียนไม่ใช่ศานาแต่เป็นเรื่องของ ชีวิต ความรัก และความสัมพันที่ดีระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
a. กฎของจิตใจในเรา the law of my mind
- ในจิตของมนุษย์มีกฎแห่งจิตใจ ซึ่งรักชอบในความดี ชอบธรรม เที่ยงธรรมและบริสุทธิ์ชอบธรรม แต่กฎนี้อ่อนแอกว่ากฎแห่งบาปที่อยู่ในเขา
- กฎนี้เกิดมีขึ้นตอนที่พระเจ้าสร้างอาดัม คือพระองค์สร้างมนุษย์ในแบบพระฉายาของพระองค์ เขาจึงรักในสิ่งดีทั้งหลาย
- เมื่ออาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า กฎของจิตใจก็ถูกควบคุมบังคับให้ทำบาปโดยตัวบาปที่อยู่ในเขา มนุษย์จึงตกเป็นทาสของบาป
เอเมนเราขอบคุณพระเยซู ที่พระองค์นำเราเข้าสู่ความจริง เพื่อการดำเนินชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงได้ และหลุดพ้นจากการเป็นคริสเตียนศาสนา และการเดินในวิญญาณ
เรื่องที่สำคัญมากที่เราต้องรู้และเข้าใจ
โลกนี้มีสองโลก ก็คือในอาดัมกับในพระคริสต์ เราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าหากเราไม่เชื่อ เราก็อยู่ในอาดัม และคริสเตียนที่ไม่เชื่อเอา ว่าเขาอยู่ในพระคริสต์ เขาก็ยังอยู่ในอาดัมเหมือนเดิม
แต่สำหรับเรา เราขอบคุณพระเจ้า การอยู่ในพระคริสต์ ก็คือพระเจ้าย้ายเราออกจากอาดัมไปอยู่ในพระคริสต์แล้วตั้งแต่นาทีแรกที่เราเชื่อในพระเยซู
เพราะฉะนั้นการอยู่ในพระคริสต์ ก็คือการเชื่อเอา เราเชื่อเอาว่าทุกวันเราอยู่ในพระคริสต์ เราไปไหน เราอยู่ที่ไหน เราทำอะไรก็ตามน่ะ เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในบริษัท โรงงาน หรือที่ไหนก็แล้วแต่น่ะ ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ เราขอบคุณพระเจ้าทุกวันนี้เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว
ทีนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าหากเราอยู่ในพระคริสต์ มีน่ะ. มีสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม จำกันได้น่ะว่าพระองค์จะประทานผู้เชื่อมากมายเต็มโลก จะเป็นลูกหลานฝ่ายวิญญาณของอับราฮัม และพระเจ้าจะประทานพระพรให้ และสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าจะให้ ในสัญญาของพระองค์แก่อับราฮัมก็คือ เราคริสเตียน จะได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ ความชอบธรรมของเราน่ะจะเท่ากับชาวยิวที่เคร่งศาสนามากๆ
ขอบคุณพระเจ้า อยู่ดีๆ น่ะเมื่อเราเชื่อพระเยซู พระองค์ก็ให้เราได้รับสิทธิ์กลายเป็นผู้ชอบธรรม ที่มีความชอบธรรมเท่ากับยิวที่เคร่งศาสนา โอ้โห้ เป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ เพราะว่าเมื่อเราได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว พระเจ้าก็ให้เรารอด เอเมน คือได้กลายเป็นคนชอบธรรม คือมันจะมีผลต่อมากับชีวิตของเรา ก็คือเราได้รอด รอดจากบึงไฟ รอดจากการพิพากษาครั้งสุดท้าย นี่แหละที่เรียกว่าความรอดเป็นของขวัญ ความรอดเป็นมาโดยพระคุณทางความเชื่อ ไม่เกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติ เราเชื่อในพระเยซูคริสต์พระองค์ให้เรากลายเป็นคนชอบธรรมและได้รอด สรรเสริญพระเยซู
ทีนี้การอยู่ในพระคริสต์มีสิ่งที่ดีมากๆ อีกสิ่งหนึ่ง ก็คือพระพรฝ่ายวิญญาณ คือเราอยู่ในความหวัง อยู่ใต้พระคุณ การทำงาน การนำพา การเลี้ยงดูุ การปกปักรักษา และที่สำคัญก็คือเพื่อให้เราเลิกทำบาปได้ ก็คือการก่อขึ้นสู่ชีวิตของพระคริสต์ เพราะฉะนั้นการอยู่ในพระคริสต์น่ะ เราจะได้รับการก่อขึ้น เมื่อเราได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณทุกประการ อยู่ภายใต้การดูแลปกปักรักษาเลี้ยงดูของพระเจ้าแล้ว เราขอบคุณพระเยซู
ฉะนั้นก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องการก่อขึ้นเรา เรามาดูที่ข้อหนึ่ง ก็คือการอยู่ภายใต้การดูแลคุ้มครองปกปักรักษาของพระเยซู
ไม่ใช่ว่าชีวิตของเรามันจะราบรื่นไปตลอด
คือพระเจ้าอนุญาติให้มีการทดสอบเมื่อเราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
จริงๆ แล้วพระเจ้าทดสอบเราตั้งแต่วันแรกที่เราเชื่อ เราเชื่อปุ๊ป เราอ่านพระคัมภีร์ เราไปโบสถ์ ผู้นำที่คริสตจักรสอนเรา
การทดสอบก็จะมา สิ่งใหม่ๆ ที่เราเรียนรู้การทดสอบก็จะมา
และ..
• เมื่อเราพบมานาฯ (การทดสอบยิ่งใหญ่ก็จะมา)
• เพราะว่าการรับมานาฯ (เป็นความรู้ที่พิเศษ)
• เพื่อนำชีวิตคริสเตียนเข้าสู่ระดับ VIP (เราเป็นคริสเตียนพิเศษ)
เราจะต้องดำเนินชีวิตที่พิเศษ
ความรู้ที่เราได้รับ ก็คือความรู้พิเศษ
สันติสุขก็พิเศษ พิเศษไหม? เราได้สันติสุขทุกวันเวลา ไม่เหมือนแต่ก่อน
และชีวิตที่มีพลังเหมือนระเบิดไดนาไมต์ ที่เราสามารถเอาชนะบาปได้ มันเป็นสิ่งที่พิเศษน่ะ
ขอบคุณพระเจ้าปัญหาที่เข้ามา ก็คือปัญหาที่ยิ่งใหญ่กว่าเป็นปัญหาที่พิเศษน่ะ เราต้องทำใจและเรารับมือกับมันโดยที่พระคริสต์อยู่เคียงข้างเราเสมอและปัญหาต่างๆ น่ะ พระเจ้าตรัสไว้ผ่านเปาโลน่ะ ก็คือมันไม่มากเกินไป ไม่นานเกินไป และไม่หนักเกินไป และพระเจ้าปลอบประโลมใจเรา ทุกเวลาที่เราเจอปัญหาเหล่านั้น
...
ทีนี้มาพูดถึงเรื่องการก่อขึ้นน ขอบคุณพระเจ้าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ได้รับการก่อขึ้น และการก่อขึ้นนี้ ก็คือพระคริสต์เข้ามาแทนที่เรา และพระองค์ทำดีเป็นธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าที่รักษาพระบัญญัติ จริงๆ แล้วพระบัญญัตินะครับ ก็คือนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา พระองค์ดำเนินชีวิตแทนเรา ก็คือดำเนินตามนิสัยของพระเจ้าในพระบัญญัติ
ขอบคุณพระเยซู มันไม่ได้มีอะไรยาก พระเยซูไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องพยายามทำอะไรที่ฝืนใจพระองค์ แต่มันเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องการทำอยู่แล้วนะครับ เพราะฉะนั้นขอบคุณพระเยซู เมื่อพระองค์เข้ามาแทนที่เรา เราตายไป แล้วคนใหม่นะครับเป็นอวัยวะให้พระเยซูใช้เพื่อการสำแดงความชอบธรรมของพระองค์
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ เราอยากอยู่ในพระคริสต์ เราไม่ต้องพยายามเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เราเชื่อว่าพระองค์นำเราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ 24 ชั่วโมง 7 วัน เอเมน และต่อมาเราเชื่อน่ะว่าพระองค์กำลังก่อเราขึ้น และเราเชื่อน่ะว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เพื่อการก่อขึ้น เพื่อการเติบโตของเรา พระเจ้าทดสอบ ปัญหา มรสุมชีวิต ทุกสิ่งที่เข้ามา เป็นการกระทำของพระเจ้า เพื่อก่อชีวิตของเราขึ้นสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซู
เพราะฉะนั้นเราขอบคุณพระเจ้า เราเชื่อว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าพระองค์ก่อชีวิตของเราขึ้น เราเชื่อว่าเราเป็นผู้ชนะแล้ว เราเชื่อว่าตอนนี้ในพระคริสต์ เป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ พระเยซูน่ะเป็นทุ่งหญ้าที่เขียวสดเป็นทุ่งหญ้าอันเขียวสด
คุณเข้าใจไหมว่าทุ่งหญ่าอันเขียวสด คืออะไร
จริงๆ แล้วถ้าเราไม่ใช่วัว ไม่ใช่ควาย หรือแกะ เราอาจจะไม่เห็นคุณค่า หรือความหมายที่แท้จริงของคำว่า ทุ่งหญ้าอันเขียวสด ใช่ไหม
แต่ถ้าเป็นวัวเป็นแกะ มันรู้มันชอบ มันจะไปที่ ที่ไหน ที่มีทุ่งหญ้าอันเขียวสด มันกินเป็นอาหารที่เอร็ดอร่อย
แต่ขอบคุณพระเยซู พระองค์เป็นทุ่งหญ้าอันเขียวสด ความหมายก็คือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณและชีวิตฝ่ายร่างกายด้วย พระองค์เป็นทุ่งหญ้าอันเขียวสด ก็คือพระองค์เป็นคำตอบ พระองค์เป็นทุกสิ่งที่เราต้องการ เราต้องการอะไร พระองค์มีให้
ขอบคุณพระเยซู สำหรับคำตอบ สำหรับการช่วยเหลือ การไถ่ การทำงาน การทำแทน การก่อขึ้น ความรัก พระเมตตา พระคุณ ความหวัง ทุกสิ่งเป็นมาโดยพระเยซู นี้คือทุ่งหญ้าอันเขียวสด ขอบคุณพระเจ้าเราไม่เห็น แต่เราเชื่อเอา
ชีวิตเราน่ะอาจจะขึ้นๆ ลงๆ ชีวิตเราน่ะอาจจะยังขัดสนบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราขอบคุณพระเจ้า "ขอบคุณ" ไม่ต้องขอแต่ให้ ขอบคุณ ๆๆๆ เพราะว่าตอนนี้เราอยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสดแล้ว ขอบคุณพระเยซูที่ตอนนี้เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว
สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิตคริสเตียน ก็คือ ให้เราเชื่อและตั้งมั่นอยู่ในความคิดความเชื่อที่ว่า "เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว" เมื่อคุณเชื่อ เมื่อคุณนับ เมื่อคุณบอกตัวคุณเองน่ะและบอกพระเจ้าว่า ข้าพระองค์อยู่ในพระคริสต์แล้ว ..เธออยู่ในพระคริสต์น่ะ จะมีอะไรเกิดขึ้น ก็คือพระวิญญาณก็จะทำงาน
อย่าลืมน่ะว่า การกระทำของเรา ความเชื่อของเรา ความคิดของเรา ทุกสิ่งที่เราทำอยู่ เรานับอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ รอ รอที่จะทำงานตามความเชื่อของเรา ที่เชื่อและการนับของเราที่นับอยู่ เอเมน สรรเสริญพระเยซู เราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย ทุกครั้งที่เราฝึก ทุกครั้งที่เราทำอะไร ทุกครั้งที่เราอยู่ในความเชื่อ อยู่ในพระคริสต์ พระองค์จะนำประสบการณ์ชีวิตที่อยู่ในพระคริสต์มาให้เรา และพระองค์จะนำประสบการณ์ชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสดมาสู่เรา ให้ชื่นชมยินดี ให้มีความสุข ให้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ด้วยสันติสุขอย่างยืนยาวทุกวันเวลานาที ขอบคุณพระเจ้าเอเมน
อีกครั้งน่ะ สำหรับพี่น้องบางคนที่ใหม่ในความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "ในพระคริสต์"
ขอสรุปสั้นๆ ก็คือ "คำว่าในพระคริสต์" คือชีวิตที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว เราเข้ามาอยู่ในพระองค์ เพื่อรับสุข รับทุกสิ่งตามพระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้อับราฮัมและพระเยซูนำมาถึงเรา พระสัญญานี้ เป็นสิ่งที่พระเยซูทำ แล้วก็ทำสำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว จบแล้ว ผ่านไปแล้ว คือมันมีอยู่พร้อมให้เรารับมา รับมาเพื่อใช้จ่าย รับมาเพื่อกินดื่ม รับมาเพื่อมีประสบการณ์ชีวิตที่อยู่ในพระคริสต์ที่สำเร็จแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าสมมุติว่าวันนี้เราเหนื่อย เรารู้สึกเหนื่อย แต่ในพระคริสต์ไม่มีคำว่าเหนื่อย เราบอกว่ายังไง "เอเมนข้าพระองค์อยู่ในพระคริสต์ ข้าพระองค์ไม่เหนื่อย เอเมน เอเมน" เราเห็นอยู่นะครับว่าเรารู้สึกเหนื่อยอยู่ แต่อย่าไปเชื่อความรู้สึก การดำเนินชีวิตคริสเตียนเราดำเนินชีวิต เราเดินด้วยความเชื่อเอา ไม่ใช่ตามองเห็น
คือการเหนื่อย อ่อนแอ ก็คือสิ่งที่ตามองเห็น อารมณ์ ความรู้สึกของเรามันพาไป เราบอกว่า "เอเมนข้าพระองค์ไม่ได้อยู่ในอาดัม แต่อยู่ในพระคริสต์ ข้าพระองค์ไม่เหนื่อย เอเมน" ความเข้มแข็งก็จะมา
เมื่อเราอ่อนแอ เราพูดว่า "เอเมนข้าพระองค์อยู่ในพระคริสต์ ข้าพระองค์เข้มแข็ง" ความเข้มแข็งก็มา
ถ้าหากเราทำบาปอยู่ เราบอกว่า "เอเมนข้าพระองค์อยู่ในพระคริสต์ ชีวิตพระเจ้ามีพลังมากและชนะบาปได้ ข้าพระองค์เป็นของพระคริสต์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว เอเมน เอเมน" เราก็ไม่อยากทำบาป และเราทำบาปก็ทำไม่ได้ เพราะว่าชีวิตในพระคริสต์ไม่อนุญาติให้ทำบาป และพระองค์น่ะเป็นคนกระทำเองในเรา คือไม่ทำบาปในเรา
และถ้าหากสมมุติว่าวันไหนที่เรามีทุกข์ ไม่มีสันติสุข มีทุกข์อยู่ กังวล กระวนกระวายในชีวิต เราบอกว่า "ในพระคริสต์มีแต่สันติสุข ในพระคริสต์มีแต่ความว่างเปล่า ปล่อย ปลง วางได้แล้ว ในพระคริสต์ เอเมนดีทั้งหมด ในพระคริสต์ดี ๆๆๆ เอเมน" พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำจิตใจที่ว่างเปล่า ปล่อย ปลง วาง จิตใจเย็นสบาย จิตใจดี จิตใจพระเจ้าเข้ามา เราก็จะมีประสบการณ์ในชีวิตพระคริสต์
การอยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสด อันนี้ก็คืออยู่ในยอห์นบทที่ 10:9 อย่าลืมน่ะว่าเราเชื่อความจริงของพระเจ้า คือ "เราอยู่ในพระคริสต์" พระวิญญาณจะเป็นคนนำประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์มาสู่เรา เอเมน
คือสำหรับเรา เราใช้อากาศร้อน อากาศหนาว รถติด คำพูดด้านลบของคนที่อยู่รอบข้าง ปัญหารอบข้าง พระเจ้าให้เราใช้สิ่งนี้เพื่อการฝึกอยู่ "ในพระคริสต์" เอเมน
ถ้าไม่มีอากาศร้อน ไม่มีอากาศหนาว ไม่มีรถติด ไม่มีคำพูดลบของคน คนรอบข้างไม่นำปัญหาเข้ามาสู่เรา เราจะฝึกได้ยังไงใช่ไหม
เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ในอาดัม สิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นด้านลบทั้งหลาย เราฉวยโอกาสที่จะใช้ในสิ่งเหล่านี้ เพื่อฝึก
...
ยกตัวอย่าง:
ผมเมื่อกี้นะครับออกไปซื้ออาหาร แล้วปรากฏว่ามันร้อนมากๆ แดดร้อนวันนี้ร้อนมาก พอดีผมกำลังนึกนะครับกำลังจะคิดในใจนะครับว่า เออ อากาศร้อน แต่ปุ๊บ..พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้คิดในใจบอกว่า "เอเมนในพระคริสต์ไม่ร้อน ในพระคริสต์ไม่ร้อน" มันก็ไม่มีอาการ ไม่มีอาการไม่รู้สึกร้อน จิตใจเย็นก็ครอบคลุม
...
เราจำกันได้ไหมที่เปาโลพูดโดยพระวิญญาณ จงมอบทุกสิ่งปัญหาทุกสิ่งแด่พระเจ้า แล้วขอบพระคุณ แล้วสันติสุขที่เกินความเข้าใจจากครอบคลุมจิตใจของท่าน (ฟีลิปปี 4:6-7) สิ่งนี้น่ะจะเกิดขึ้นบ่อยมาก เมื่อเราฝึกอยู่ในพระคริสต์ ฝึกอยู่ในพระคริสต์ ฝึก ๆๆๆๆ นานเข้า ๆๆๆ สันติสุขก็เหมือนสวิตช์ไฟที่กดปุ๊บพระวิญญาณกดน่ะ เราจะมีอาการเกิดสันติสุขขึ้นมาทันทีเพื่อดับความร้อน เพื่อดับความหนาว เพื่อดับอาการรถติด อาการรำคาญ อาการเหนื่อย เบื่อ สิ่งที่เป็นโลกทั้งหลาย
ก็ขอบคุณพระเจ้าเราใช้มันเพื่อการฝึก กลับบ้านหรือออกไปไหน หรือวันนี้ หรือพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ เห็นสิ่งไหนเห็นอะไรที่เป็นด้านลบเข้ามา ปัญหาเข้ามา ใช้ฝึกครับ อย่าลืมน่ะพระเจ้าให้เราใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อฝึก ไม่ใช่อะไร เอเมน
คือเรารู้ดีน่ะว่าความหวังของคริสเตียนทุกวันนี้อยู่ที่สวรรค์ คือเพื่อจะพ้นทุกข์ใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วขอบคุณพระเยซูน่ะ สวรรค์บนดินคือชีวิตที่อยู่ในพระคริสต์ ในทุ่งหญ้าอันเขียวสด เอเมน อยากเห็นประสบการณ์ชีวิตสวรรค์บนดิน เราเชื่อ เรานับ เราบอกตัวเราเองและบอกพระเยซูนะครับว่า "ข้าอยู่ในพระคริสต์ ข้าอยู่ในพระคริสต์" ทุกสิ่งใหม่หมด อยู่ใต้พระคุณ อยู่ในพระพรครบทุกประการของพระองค์ การเลี้ยงดู ดูแล การเอาใจใส่ การรักษา การนำพา ทุกสิ่งน่ะจะเข้ามาสู่ชีวิตของเรา เอเมน
ขอบคุณพระเจ้า อีกครั้ง การที่จะมีประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์หรือสวรรค์บนดิน อยู่ที่การเชื่อและการฝึกเดิน นับ จำ ท่องของเราว่ามีมากน้อยเท่าไร ก็จะเห็นผลมากมายเท่านั้น ตื่นนอนตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น เรานับ เราท่อง เราจำ "ในพระคริสต์ ในพระคริสต์ ๆๆๆๆ" พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะช่วยเราในการฝึก และสุดท้ายนะครับอาจจะไม่ท่องจำเลยก็ได้ เพราะว่าคือมันเป็นความเคยชินของเรา
...
ยกตัวอย่าง:
สำหรับผมนะครับ ผมฝึกมาเป็นระยะๆ ตื่นนอนตอนเช้าไม่ต้องบอกเลยไม่ต้องพูดเลยว่าอยู่ในพระคริสต์ คือรู้ตัวและตื่นตัว และมีความเชื่อว่าอยู่ในพระคริสต์แล้ว คิดถึงชีวิตปุ๊บ ก็รู้ตัวว่าอยู่ในพระคริสต์ คิดถึงการกระทำ คำพูด ทุกสิ่ง การไป มา นั่ง นอน การพูด การฟัง การทำอะไรก็แล้วแต่ ก็รู้ตัวนะครับว่าอยู่ในพระคริสต์ มาถึงขั้นนี้นะครับ เราอาจจะไม่ใช้คำว่าฝึก เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เรามีความเคยชิน
จำได้ไหมครับที่ผมเคยบอกว่า ตอนฝึกว่านี่คือมือใหม่ ตาใหม่ หูใหม่ พอเราฝึกนานเข้า นานเข้า ๆๆ นะครับ เราจำได้แล้วเรามองดูที่มือ ที่ตา ที่แขน ที่อะไรก็แล้วแต่ เราเชื่อว่าเป็นสิ่งใหม่แล้ว คือการฝึกที่ขอบคุณพระเจ้านะครับสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ว่าคือจะฝึกๆ ไปเรื่อยๆ นะครับ คือเราฝึกไปจนถึงขั้นที่มันเป็นไปแล้ว เป็นแล้ว ได้แล้ว รับแล้ว รู้สึกแล้วว่าใหม่แล้ว ตอนนั้นเราก็ขอบพระคุณพระเจ้า ไม่ต้องพูดบ่อยๆ ก็ได้ เพราะว่าเรามีประสบการณ์ชีวิตนั้นแล้ว และอยู่ในความใหม่ และอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์บนดินตลอดไปแล้ว เอเมน
...
สำหรับพี่น้องที่ยังมาไม่ถึงการฝึกในระดับนี้น่ะ ก็ฝึกต่อไป ไม่นาน ไม่ช้า เกินรอ ไม่นานเกินรอ เราจะเห็นประสบการณ์ชีวิตสวรรค์บนดิน เป็นชีวิตที่มีความสุข เราอยู่ในสวรรค์น่ะ อยู่ในสวรรค์เป็นแบบไหนเราคิดดู และในพระคริสต์ก็เป็นแบบนั้น เอเมน
b. ตัวบาป และ ผู้ชอบธรรมในเรา sin in me and Christ in me
- เมื่ออาดัมไม่เชื่อฟัง ซาตานก็เข้ามาสิงอยู่ในจิตเก่าและร่างกายเก่าของอาดัมในสภาพของตัวบาป ตัวบาปมีชีวิต มีตัวตน และมีนิสัยที่ทำแต่บาปและกบฏต่อพระเจ้า (โรม 7:14-24)
- การตายต่อตัวเก่า คือทางออกทางเดียวที่จะช่วยให้อาดัมได้เป็นอิสระจากตัวบาป (โรม 6:7)
เนื่องจากว่าเราเชื่อว่าเราตายไปกับพระเยซูที่กางเขน ตัวบาปที่อาศัยอยู่ในเนื้อหนังจิตเก่าและร่างกายเก่าก็ไม่มีที่อยู่อีกต่อไป มันจึงบังคับควบคุมเราให้ทำบาปไม่ได้อีก
- ในอาดัม ในตัวเก่าและร่างกายเก่าเรามีตัวบาป แต่ขอบพระคุณพระเยซูเมื่อเราเชื่อว่าตัวเก่าตายไปแล้ว และเราเป็นคนใหม่ เราได้บังเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ และเดินด้วยตัวใหม่ทุกวัน เราอยู่ในพระคริสต์ ในมนุษย์วิญญาณคนนี้มีพระคริสต์สถิตอยู่ พระองค์เข้ามาแทนที่ตัวบาป
ถ้าหากเราปักใจในฝ่ายวิญญาณ และสนิทในพระองค์เราก็จะมีประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์อย่างมากมายในแต่ละวัน
ซึ่งขอบคุณพระเจ้าเมื่อเราเป็นคนเก่าตัวเก่า ตัวบาปเป็นคนควบคุมครอบครองบังคับให้เราทำบาป แต่เมื่อเราเป็นคนใหม่เป็นตัวใหม่ เรามีชีวิตใหม่ตัวบาปก็ไม่มีที่จะอาศัยอยู่ และควบคุมครอบครองบังคับเราให้ทำบาปไม่ได้ แต่เรามีพระคริสต์เข้ามาแทนที่
สรุป ตัวบาป คือชีวิตซาตานที่สิงอยู่ในอาดัมและลูกหลาน ส่วน ผู้ชอบธรรม ในเรา ก็คือพระคริสต์ที่สถิตในเราผู้เชื่อทุกคน และไม่จากเราไปไหน
c. กฎแห่งความบาป the law of sin
- คำว่า กฎ คือสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เดิมๆ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นการกระพริบตา การหายใจ สิ่งที่อยู่ในที่สูงต้องตกลงมาในที่ต่ำกว่า ฯลฯ
- กฎแห่งบาปก็เช่นกัน ซาตานคือตัวบาปนำกฎแห่งบาปเข้ามาเพื่อขัดขวางการพยายามเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติหรือการทำดีเพื่อพระเจ้า
ทุกครั้งที่เราจะเชื่อฟังกฎแห่งความบาปก็จะบังคับให้เราทำบาปแทนที่ เป็นอยู่แบบนี้เดิมๆ ซ้ำๆ เรียกว่ากฎแห่งบาป
สรุป กฎ คือสิ่งที่เกิดขึ้นเดิมๆ ซ้ำๆ คือเมื่อเราจะทำดีเพื่อพระเจ้า ตัวบาปก็ขัดขวาง และให้เราทำบาปแทนที่
d. กฎแห่งความตาย the law of death
- คำว่า ตาย ในที่นี้ ก็คือความอ่อนแอ ค่อยๆ ตายลงไป คือเมื่อเราจะอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน เราพบว่าเกิดมีอาการง่วงเหงาหาวนอนอ่อนแอ
แต่พอไปทำอย่างอื่นก็กลับมามีชีวิตชีวา กระตือรือร้นได้ และเมื่อเรากลับไปอ่านหรืออธิษฐานอีกรอบ เราก็จะพบว่าจะมีอาการง่วงเหงาหาวนอนกลับมาอีกครั้ง เป็นแบบนี้อยู่เดิมๆ ซ้ำๆ วันแล้ววันเล่า เรียกว่ากฎแห่งความตาย นี่คือการทำงานของกฏแห่งความตายในตัวเก่าเนื้อหนัง
สรุป กฎแห่งความตาย คือเมื่อเราจะอ่าน อธิษฐาน นมัสการ เฝ้าเดี่ยว เราง่วงเหงาหาวนอน เหนื่อยเพลีย เรียกว่าตายลงไป
e. กฎแห่งพระวิญญาณ the law of Spirit
- เป็นกฎที่พระคริสต์นำเข้ามาแทนที่กฎแห่งบาป คือเมื่อเราเชื่อว่าเราเป็นคนใหม่ คนเก่าตายไปแล้ว ตัวบาปบังคับเราไม่ได้อีกแล้ว และกฎแห่งบาปก็ไม่มีอำนาจควบคุมเราอีกต่อไป
แต่กฎแห่งพระวิญญาณจะผลักดันเราให้เชื่อฟังได้อย่างง่ายดายโดยธรรมชาติใหม่ของชีวิตพระคริสต์ที่อยู่ภายในเรา
- ทุกครั้งที่เราจะทำดีเพื่อพระเจ้า กฎแห่งพระวิญญาณก็ทำงาน เป็นแบบนี้เดิมๆ ซ้ำๆ
สรุป กฎแห่งพระวิญญาณ คือกฎที่พระคริสต์นำเข้ามาเพื่อเอาชนะกฎแห่งบาป คือเมื่อเราเชื่อว่าเราเป็นคนใหม่และมีกฎแห่งพระวิญญาณในเรา กฏนี้ก็จะผลักดันให้เราเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย
f. กฎแห่งชีวิต the law of life
- เป็นกฎที่พระคริสต์นำเข้ามาแทนที่กฎแห่งความตาย เป็นชีวิตพระเจ้าที่ทรงพลัง เข็มแข็งร้อนรนกระตือรือร้น ไม่เหนื่อย ไม่ง่วงเหงาหาวนอน เราอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ได้ทั้งวัน เป็นแบบนี้เดิมๆ ซ้ำๆ เรียกว่ากฎแห่งชีวิต
สรุป กฎแห่งชีวิต คือกฎที่เข้ามาเพื่อเอาชนะอาการตายลง อ่อนแอ ง่วงเหงาหาวนอน
g. ร่างกายแห่งความบาป
- เมื่อเราอยู่ในอาดัม เราเป็นตัวเก่า ร่างกายที่เห็นเป็นอยู่นี้ คือหู ตา ลิ้น มือ แขน ขาเหล่านี้จะว่องไวต่อบาป และการทำบาปอย่างมาก และถ้าหากเราเชื่อว่าร่างกายนี้ถูกตรึงกับพระเยซูแล้ว และร่างกายนี้ก็จะไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไป แต่จะเป็นร่างกายแห่งการชอบธรรมเป็นอยู่แทนที่ เป็นร่างกายใหม่ เป็นกายแห่งความชอบธรรมเข้ามาแทนที่
สรุป ร่างกายแห่งความบาป คือร่างกายที่เป็นตัวเก่า มันว่องไวต่อความบาปมาก
h. ร่างกายแห่งความตาย
- ร่างกายนี้ หู ตา จมูก ลิ้น มือ แขน ขา ทุกสิ่งจะอ่อนแอหมดเรี่ยวแรงเมื่อเราจะทำอะไรบางอย่างเพื่อพระเจ้า
สรุป ร่างกายแห่งความตาย คือร่างกายเก่า มันว่องไวต่อความเหนื่อยเมื่อยล้า อ่อนแอ ตายลงไป
i. ร่างกายแห่งความชอบธรรม (อวัยวะของความชอบธรรม)
- เมื่อเราเชื่อว่าตัวเก่าเราตายไป และนี่คือตัวใหม่แล้ว ร่างกายที่เห็นเป็นอยู่นี่ก็คือร่างกายใหม่ เป็นร่างกายที่จะว่องไวต่อการทำดีเพื่อพระเจ้า
สรุป ร่างกายแห่งความชอบธรรม คือร่างกายนี้ แต่เราเชื่อว่าเป็นคนใหม่แล้ว ร่างกายนี้ก็จะเป็นกายแห่งความชอบธรรม ว่องไวต่อการเชื่อฟังมาก
j. ร่างกายแห่งชีวิต
- เป็นร่างกายที่ได้รับเมื่อเราเชื่อว่าเราคนนี้เป็นคนใหม่ เราจะขยัน อธิษฐาน และอ่าน และทำดีเพื่อพระเจ้าโดยไม่รู้จักเหน็บเหนื่อย
สรุป ร่างกายแห่งชีวิต คือร่างกายนี้ที่เราเชื่อว่าเป็นคนใหม่แล้ว ว่องไวต่อการอธิษฐาน อ่าน เฝ้าเดี่ยว นมัสการพระเจ้าโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย (เนื้อหนังต่อสู้กับพระวิญญาณของพระคริสต์ในเรา ไม่ได้ต่อสู้กับเรา)
** เนื้อหนังก็ต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง
เมื่อเราพบอาหารผู้ใหญ่ เราเริ่มฝึกเดิน สิ่งที่ตามมา ก็คือตัวบาป กฎแห่งบาปและกฏความตาย ร่างกายแห่งบาปและร่างกายแห่งความตายเหล่านี่จะไม่อยากตายและไม่ยอมตาย มันจะต่อสู้ เรียกว่าเนื้อหนังต่อสู่พระวิญญาณและพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง
กาลาเทีย 5:17 กล่าวว่า เนื้อหนังก็ต่อสู้พระวิญญาณและพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เราพบว่าเนื้อหนังไม่ได้ต่อสู้กับเราหรือจิตของเรา แต่มันต่อสู้กับพระวิญญาณที่จะเข้ามาแทนที่พวกมัน
แต่สุดท้ายพระวิญญาณก็จะชนะอย่างแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว เพียงแค่เราร่วมมือกับพระวิญญาณ ก็คือ เชื่อว่าเราเป็นคนใหม่ และสนิทในพระองค์ เดินไปกับพระองค์ทุกก้าวที่เราเดิน
** เรื่องประสบการณ์การเดินในฝ่ายวิญญาณของคุณเพื่อเสริมสร้างพี่น้อง
a. จากการนับว่าตายและเป็นคนใหม่
b. จากการถวายตัวใหม่ของเรา
c. จากการสนิทบอกรัก + สร้างความผูกพันที่ดีกับพระเยซูของเรา
d. จากการสะสมพระคำแห่งความจริงเพื่อการชำระของเรา
e. จากอาการเฉยชา ไม่อยากฝึก อาการแตกหัก ปัญหาที่พระเจ้าส่งมา และการนำเรากลับมาโดยพระวิญญาณ เมื่อเราท้อ เมื่อเราหนีไป เมื่อเราไม่อยากฝึก เมื่อเราไม่สนใจ ไม่กลัวพระเจ้า เพราะว่าเรารู้แล้วว่าเรารอดแล้วรอดเลย แล้วเรารู้ว่าพระเจ้าเป็นความรัก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พระเจ้าไถ่เรา นำเรามา เพื่อให้เราฝึกเดิน และไม่ท้อ และเราใส่ใจในการฝึก สุดท้ายเราก็จะมาถึงชีวิตผู้ชนะอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว โดยการนำพา โดยการทำกิจของพระวิญญาณที่อยู่ภายในเรา
สรุป... นึกถึงชีวิตคริสเตียนที่พระเจ้าเร็วกว่าเรา เราช้ากว่าพระเจ้า เรามา พระเจ้าไปถึงยุคพระคุณแล้ว พระเจ้านับผู้เชื่อเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว แต่เราตอนนี้ยังอยู่ใต้พระบัญญัติ อยู่ในยุคพระบัญญัติ และยังอยู่ในอาดัม ยังไปไม่ถึงไหน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เมตตาและเลือกเรามาเพื่อที่จะมาถึงยุคพระคุณ ตามทันพระเจ้าแล้วน่ะ เอเมน
สำหรับการดำเนินชีวิตคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ สิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ ต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งให้เห็นอย่างชัดเจน ขอพระวิญญาณเปิดเผยเพิ่มเติมให้เรา เกี่ยวกับเรื่องการเดินไปกับพระเจ้า
จริงๆ แล้วพระเจ้าต้องการเพื่อน พระองค์ต้องการเพื่อน พระองค์ไม่มีเพื่อน แล้วก็พระองค์สร้างทูตสวรรค์นะครับที่เรียกว่าบุตรก็ตาม แต่พระเจ้าต้องการจะสร้างมนุษย์เพื่อให้เขาเป็นเพื่อนกับพระองค์ เป็นสหายของพระองค์
พระเจ้าไม่ถือนะครับ ถ้าเราจะเรียกว่าพระเยซูเป็นสหายของข้า ก็จะดูเกร็งๆ หรือเกรงใจใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าสร้างเรามาแล้วก็ให้เราเป็นมนุษย์วิญญาณเผ่าพันธุ์ใหม่ เป็นน้องๆ ของพระเยซูก็จริง แต่สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรา ก็คือให้เราเป็นเพื่อนกับพระองค์
เพื่อน ในที่นี่ ก็คือเพื่อนที่ถ่อมใจ ถ่อมตน ไม่ถือตัว ไม่อวดตัว และยอมรับการเป็นเพื่อนเป็นมิตรสหายของพระเจ้ากับเรา แล้วพระเจ้าก็ต้องการให้เราเดินไปกับพระองค์
เดินไปกับพระองค์ยังไง
ก็คือตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนเย็น เวลาไหนก็ตาม เราพูดคุยสนทนา บอกรัก สร้างความผูกพัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรากับพระเจ้า นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากเรา เรื่องอื่นปัญหาต่างๆ พระเจ้าจัดการพระเจ้าแก้ไขเองไม่ต้องห่วง สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากเรา ก็คือเป็นเพื่อนกับพระเจ้าและเดินไปกับพระเจ้า
ตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลก อาดัมพระเจ้าก็ต้องการให้เดินไปกับพระเจ้า เอวา โนอาห์ ใครก็แล้วแต่ในพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าต้องการให้เขาเดินไปกับพระเจ้า เพื่ออวยพร เพื่อนำพา เพื่อเลี้ยงดู เพื่อดูแล และเพื่อให้พระเจ้ามีเพื่อน แต่ปรากฏว่ามนุษย์ห่างไกลพระเจ้า มนุษย์ไม่เดินไปกับพระเจ้า จนมาถึงเวลาที่พระเยซูเสด็จมา แล้วพระองค์ก็ให้พระบิดาย้ายออกจากพระวิหาร ถ้าเราจะนึกภาพดูน่ะพระเจ้าอยู่ในพระวิหารอยู่กับชนชาติอิสราเอลที่ไม่ค่อยสนใจพระเจ้าเท่าไหร่ และไม่เดินไปกับพระเจ้า เขารักษาพระบัญญัติก็คือแบบภาระหนักมากและทำเพื่อจะได้รอดและได้รับพระพร เขาไม่ค่อยสนใจพระเจ้า นอกจากผู้รับใช้ผู้เผยพระวจนะบางคนที่มีหัวใจให้พระเจ้ามีใจให้พระเจ้า
แล้วตอนนี้น่ะ คือพระเยซูเสด็จมาตายเพื่อไถ่บาปเรา พระองค์เป็นคนฉีกม่านที่พระวิหารที่พระบิดาสถิตอยู่ข้างใน แล้วพระบิดาทุกวันนี้น่ะ ก็มาอยู่ในเรา ให้เราเป็นบ้านเป็นเรือน แล้วเราเองน่ะก็เป็นมิตรสหายของพระเจ้า พระองค์ต้องการเป็นเพื่อนกับเรา ให้เราเดินไปกับพระเจ้า
เคล็ดลับความลับในพระคัมภีร์ใหม่อยู่ที่ยอห์นบทที่ 15 เราเป็นเถาท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง "เดินไปกับเรา เราก็เดินไปกับเจ้า" สนิทในเรา ภาษากรีกก็คือ อยู่ใน อยู่กับ อยู่ด้วย คืออยู่ในพระคริสต์ อยู่กับพระคริสต์ มีพระคริสต์อยู่ด้วย อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่เช้าจนค่ำ ตลอดเวลา ทุกวัน ถ้าหากใครทำได้บำเหน็จนะครับ ก็คือมงกุฎ
ผู้ชนะหรือคนที่จะได้รับตำแหน่งใหญ่โตในอาณาจักร จะมีส่วนครอบครองกับพระเจ้าตลอดไป ผู้ที่เป็นใหญ่คือใคร คือผู้นำที่สร้างโบสถ์เยอะๆ คือผู้ที่ไปประกาศนำคนมาเชื่อเป็นร้อยเป็นพัน ไม่ใช่น่ะ
ผู้ที่จะเป็นใหญ่ในอาณาจักร คือคนที่เดินไปกับพระเจ้า เดินใกล้ๆ พระเจ้า เดินอยู่ด้วย อยู่ด้วยกันกับพระเจ้า รักพระเจ้ามากกว่าใคร
เราจำกันได้ไหม มารีย์กับมารธา มารธาทำงานหนัก มารธาทำกับข้าวทำอาหาร ทำไปแล้วก็บ่นไป เพราะว่าเราก็เข้าใจนะถ้าเป็นผู้หญิงเป็นแม่บ้านเป็นภรรยา ก็ทำกับข้าวน่าจะเป็นสิ่งที่มันหนักมันยากมันเหนื่อย แล้วมารธาก็บ่น แต่มารีย์นั่งที่พระบาทพระเยซู นั่งใกล้ๆ พระเยซูและฟังพระเยซู แล้วถามว่าพระเจ้ายกย่องใคร พระเยซูยกย่องใคร คนที่ทำงานขยันรับใช้พระเจ้าตั้งแต่เช้าจนค่ำแล้วก็ไปประกาศข่าวประเสริฐนำคนมาเชื่อเป็นร้อยเป็นพัน สร้างโบสถ์หลายหลังสร้างโบสถ์สร้างคริสตจักร คนนี้หรอที่จะเป็นใหญ่ ไม่ใช่น่ะ
ยอห์นเปิดเผยในพระคัมภีร์ว่าคนที่จะเป็นใหญ่ ก็คือคนที่ใกล้พระเยซู คือนางมารีย์ เรื่องการทำงาน การรับใช้ การประกาศ การสร้างคริสตจักร อะไรก็แล้วแต่ เป็นผลที่ตามมาที่พระเยซูทำเพื่อเรา ทำในเรา ทำแทนเรา แต่สิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการจากเรานะครับ ไม่ใช่ขยัน แต่คือการนั่งใกล้ๆ พระเยซู
สรุปก็คือ การเดินไปกับพระเจ้า คือเคล็ดลับในการที่จะเป็นใหญ่ในอาณาจักร
วันนี้เราเดินไปกับพระเจ้าหรือยัง ที่ผ่านมาเราเดินไปกับพระเจ้าหรือยัง เราพูดคุยสนทนา บอกรักกับพระเยซูทุกวันทุกเวลาหรือยัง เราจำกันได้น่ะ 1 เธสะโลนิกา 5:17 จงพูดคุยกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ จำกันได้ไหมเปาโลเป็นคนพูดโดยพระวิญญาณ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระเจ้าต้องการ ก็คือพูดคุย สนทนา บอกรัก พูดคุย คุยอะไรก็ได้ คุยอะไรก็ได้