คำสัญญาเรื่องการถูกข่มเหงของคริสเตียน
16:1 “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย ก็เพื่อไม่ให้ท่านสะดุดล้ม
** ข้อนี้พระเยซูตรัสกับสาวกในเวลานั้นซึ่งพระเยซูเตือนพวกเขาก่อนว่าอีกไม่นานจะมีอะไรเกิดขึ้น
** ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้ก็สะดุดล้มเพราะเหตุการข่มเหง หรือเมื่อเชื่อแล้วชีวิตไม่ราบรื่น ไม่ได้สมหวังดั่งที่ผู้ประกาศ และผู้รับใช้สัญญากับผู้เชื่อ
16:2 เขาจะไล่ท่านเสียจากธรรมศาลา แท้จริงวันหนึ่งคนใดที่ประหารชีวิตของท่านจะคิดว่าเขาทำการนั้นเป็นการปฏิบัติพระเจ้า
** สาวกไม่ได้รับการต้อนรับ เนื่องจากความเชื่อ และกลายเป็นศิษย์ของพระเยซูยิวเรียกสาวกทั้งหลายว่าเป็นพวกศาสนาใหม่
** สาวก และผู้เชื่อยิวมากมายถูกฆ่าเพราะเหตุชาวยิวคิดว่าเขารับใช้พระเจ้า และทำร้ายคริสเตียนเพื่อป้องกันพวกเทียมเท็จที่แพร่ขยายในอิสราเอลในเวลานั้น
** คริสเตียนฝ่ายวิญญาณในเวลานี้ก็พบการข่มเหง และถูกไล่ออกจากคริสตจักรศาสนาเช่นเดียวกัน เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าความเชื่อผิดเพี้ยนไม่ถูกต้อง
** ใครก็ว่าใครดี ใครก็ว่าใครถูก ใครก็ว่าใครรับใช้ และทำเพื่อพระเจ้าแต่เราดูที่ผลของชีวิต และการสำแดงพระคริสต์ทั้งการดำเนินชีวิตที่ถูกเปิดตาให้มีเสรีภาพเป็นไท และไม่กลัวพระเจ้านี่คือชีวิตคริสเตียนตามน้ำพระทัย
** คริสเตียนมากมายยังต้องแบกภาระหนักมาก และต้องพยายามอย่างมากมายเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติสุข และการเชื่อฟังซึ่งแตกต่างจากผู้ชนะที่มีพระคริสต์เป็นผู้ทรงทำแทนรักแทน และดำเนินชีวิตแทนเรา
16:3 เขาจะกระทำดังนั้นแก่ท่านเพราะเขาไม่รู้จักพระบิดาและไม่รู้จักเรา
** "รู้จัก" ในที่นี้ เป็นการรู้จักคุ้นเคยกันดี ชาวยิวเชื่อและมีพระเจ้าแต่ไม่รู้จักพระเจ้า
** พระเยซูใช้คำนี้กับผู้เชื่อ และผู้รับใช้มากมายที่จะไม่ได้เข้าในราชอาณาจักรสรรค์ในยุคหน้า (มธ 7:21-23)
** พระคัมภีร์กล่าวว่า สามีก็รู้จักกับภรรยา และภรรยาก็ตั้งครรภ์ ซึ่งความหมายของคำว่า รู้จัก คนยิวเข้าใจดี (ปฐก 4:1)
16:4 แต่ที่เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่านก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นท่านจะได้ระลึกว่าเราได้บอกท่านไว้แล้ว และเรามิได้บอกเรื่องนี้แก่ท่านทั้งหลายแต่แรกเพราะว่าเรายังอยู่กับท่าน
16:5 แต่บัดนี้เรากำลังจะไปหาพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา และไม่มีใครในพวกท่านถามเราว่า‘พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน’
** "เรากำลังจะไปหาพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา" คือ..
1. ไปตายเพื่อไถ่บาป
2. ไปเป็นขึ้นเพื่อนำพระโลหิตขึ้นไปยังสวรรค์สถานเข้าไปในพระวิหาร เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์แด่พระบิดา (ฮบ 9:12)
16:6 แต่เพราะเราได้บอกเรื่องนี้แก่พวกท่าน จิตใจของท่านจึงเต็มด้วยความทุกข์โศก
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเตือนให้โลกรู้สำนึก
16:7 อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายคือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไปพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้วเราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
** การจากไปสามวันของพระเยซูก็เพื่อจะไปตาย และเป็นขึ้นเพื่อพระเยซูจะได้รับเกียรติจากพระบิดา และกลายเป็นวิญญาณเพื่อแจกจ่ายพระวิญญาณให้ผู้เชื่อทุกคนได้ (ยอห์น 12:24 / 1 คร 15:45-47)
** เพราะถ้าหากพระเยซูไม่ได้รับเกียรติจากพระบิดาทั้งพระวิญญาณของพระคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มาหาเราไม่ได้ (ยอห์น 7:39)
** เมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สาวกทั้งพระคริสต์เยซูก็ได้เข้าไปอยู่ในพวกสาวกด้วย
** พระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตาย (พระคริสต์เยซู) ก็ทรงประทับที่ข้างขวาพระหัตถ์ของพระบิดา และหลังจากนั้นสี่สิบวันต่อมาเมื่อมีคนรับเชื่อและต้อนรับพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์และพระคริสต์เยซู (พระเยซูในสภาพของพระวิญญาณ) ก็เข้ามาอยู่ในเขา จนถึงทุกวันนี้
** เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากตาย วิญญาณของพระเยซู ก็คือพระคริสต์เยซู และพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ (พระเจ้าพระภาคที่สอง) ก็ทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่ทรงทำหน้าที่ต่างกัน
16:8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาปและถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา
16:9 ถึงความผิดบาปนั้น คือเพราะเขาไม่เชื่อในเรา
16:10 ถึงความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดาของเราและท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก
16:11 ถึงการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว
** พระวิญญาณจะเสด็จมาเพื่อ
1. ชี้หรือฟ้องในใจมนุษย์ว่ามีบาปและเป็นคนบาป
2. ชี้แจงเปิดเผยว่า เรากลายเป็นคนชอบธรรมได้เพราะเราเชื่อในพระเยซู
3. การพิพากษามีไว้เพื่อมารซาตาน แต่ใครที่ไม่กลับใจก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะว่าเขาดำเนินชีวิตของมารเกิดผลแห่งบาปของมารพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำทางคริสเตียน
สรุปยอห์นบทที่ 16:1-11
ตอนที่เราเชื่อใหม่ ๆ พระเจ้าจะตอบคำอธิษฐานเพื่อยืนยันว่าพระเจ้ามีอยู่ และเป็นอยู่จริง จากนั้นสองสามปีต่อมาการข่มเห็งจะเริ่มมีขึ้นเพื่อให้คริสเตียนเติบโต และเพื่อรับบำเหน็จในอนาคต การข่มเห็งหรือปัญหาที่เข้ามา แน่นอนที่สุดจะไม่หนักเกินที่เราจะทนได้ ไม่นานเกินไป และพระเจ้าทรงปลอบประโลมเราเสมอเมื่อเราท้อแท้ถดถอย การข่มเห็งที่หนักมาก และถึงตายมีไว้เพื่อให้ผู้เชื่อบางคนที่ทรงเลือกเอาไว้เพื่อถวายเกีรยติแด่พระบิดา และเพื่อเข้าไปในอาณาจักร ส่วนผู้เชื่อทั่วไปการข่มเห็งก็จะเกิดมีเป็นระยะ ๆ
เรื่องคริสเตียนศาสนาข่มเห็งผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องที่มีมาตั้งแต่สมัยอัครสาวกแล้ว เนื่องจากว่าศาสนาคริสต์ได้รับรู้ความรู้ที่เป็นอาหารเด็ก และคำสอนที่มีการแปลผิด และมาไม่ถึงมานาที่ซ่อนไว้ที่เรียกว่าอาหารผู้ใหญ่ หรือเรียกได้อีกว่าเป็นพระคำล้ำลึก ซึ่งมีไว้เพื่อนำผู้เชื่อให้มาถึงความจริง และการแปลผิดเพื่อให้เราได้เติบโตสู่ชีวิต และนิสัยของพระเยซู เพราะฉนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องแปลก ที่ศาสนาคริต์จะแตกแยก แบ่งแยก เป็นก๊ก เป็นเหล่า เป็นหลายคณะนิกาย และต่างก็เชื่อว่าพวกตนถูก และกลุ่มอื่นผิด
สำหรับมาตรฐานที่ใช้วัดว่าใครถูก ใครผิด ก็คือการเข้าสู่ชีวิตที่มีสันติสุขทุกวันเวลา แอกเบา การดำเนินชีวิตในโลกภาระเบา พระเยซูรักษาพระบัญญัติแทนเราในแต่ละวัน หนึ่งกางเขนเบาคือการฝึกเรื่องการตายต่อตัวเก่าที่ง่ายมาก สองก็คือผลของการทำแทนของพระคริสต์ในเราเริ่มมีมากขึ้นโดยที่เราไม่ได้ทำเองซึ่งเราสำผัสได้
บทความเพิ่มเติม: เราจะรู้ได้ยังไงว่าใครผิดใครถูก ?
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำทางคริสเตียน
16:12 เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้
** ผู้เชื่อมากมายไม่รู้ว่าขนาดของความเชื่อแต่ละคนไม่เท่ากันบ้างก็รับอาหารแข็งได้มากได้น้อยบ้างก็รับไม่ได้
** การบอกสอนแบ่งปันแนะนำ แต่ละเรื่องมีเวลาเรารอคอยเหมือนพระเยซูรอคอยผู้ฟังที่พร้อมจะรับได้จึงบอก
** ผู้เชื่อมากมายมักจะมองผู้อื่นว่า มีความเชื่อเท่ากัน จึงแนะนำโน่น สั่งนี่ว่า หรือเลิกนั่น เขาจึงไม่อยากมานมัสการพระเจ้าอีกต่อไป
** มนุษย์เกิดมา ความคิดจะถูกปลูกฝัง – ถูกสอนให้อยู่ในรูปแนวศาสนา จึงไม่อาจเข้าใจเรื่องความรักความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และความคิดที่อยู่ในรูปแนวชีวิต เป็นเหมือนครอบครัวผัวเมียพ่อแม่ลูกที่รักกันมาก เมื่อรากแห่งการนับถือศาสนาถูกฝังลึก มนุษย์จึงรับรู้ความคิดแบบรูปแนวชีวิตได้ยาก ซึ่งพระวิญญาณจะต้องค่อย ๆ เปิดให้ทีละน้อย และคนที่จะเข้าใจและเห็นคุณค่าของคำว่า รูปแนวชีวิต ก็ต้องใช้เวลาและได้ผ่านการพยายามทำในสิ่งที่พวกเขาทำ/รักษาในพระคัมภีร์ใหม่ไม่ได้ และเมื่อพระเจ้าเปิดตาเข้าสู่รูปแนวชีวิตก็เป็นสุขอย่างมากมาย
16:13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้วพระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เองแต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยินและพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น
** "พระวิญญาณแห่งความจริง" ก็คือวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง
** พระองค์มาเพื่อเปิดเผยความจริง แต่ปัญหาก็คือผู้เชื่อมากมายรับไม่ได้ เพราะจิตใจความคิดยังอยู่ในระบบศาสนา ตาพวกเขาจึงต้องบอดไปจนวันตาย
16:14 พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติเพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย
** "พระองค์" คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะมาอยู่ในเรา
** "เรา" ในที่นี้ คือผู้ชายชื่อเยซูที่เป็นบุตรมนุษย์ที่จะไปนั่งที่พระหัตถ์ขวาของพระบิดาในสวรรค์สถาน
** "เอาสิ่งที่เป็นของเรา" คือการทำงานของพระเยซู 33 ปีกว่า ถ้าไม่มีพระวิญญาณ การงานการไถ่ของพระเยซูก็จะมาไม่ถึงพวกเรา ทุกสมัยทุกที่ทุกแห่งทุกหนด้วย
** พระวิญญาณแห่งความจริง the Spirit of truth คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะนำความจริงเข้ามาส่องสว่างให้เราเห็นความไม่จริงหรือความมืดในอาดัม ซึ่งซาตานทำให้มนุษย์ตาบอด ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคำล้ำลึกหรือมานาที่ซ่อนไว้ที่พระวิญญาณแห่งความจริงมาสำแดงแก่เรา และให้ความหวังแก่เราอีกครั้ง หลังจากที่อยู่ในความไม่จริงมานานหลายปี เราจึงพบว่ารอดมีสองรอด อาณาจักรคืออไร พระโลหิตมีค่ามากว่าที่เราคิด พระคริสต์อยู่ในเรา คนใหม่และคนเก่า การเดินและรับใช้และการนมัสการในวิญญาณคืออะไร และอีกมากมาย ฯลฯ
16:15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่าพระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้นมาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย
** พระเยซูรับมรดกจากพระบิดา และรับเกียรติครบร่วมกับพระบิดาแล้ว เราจึงนับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และเราอธิษฐานถึงพระเยซูได้ เมื่อเราเอ่ยพระนามพระเยซูบอกรักพระเยซู อะไรๆ ก็พระเยซู ไม่ได้หมายความว่าเราห่างเหิน หรือมองข้ามพระบิดา แต่เราควรเข้าใจว่าพระบิดาก็คือพระเยซู และพระเยซูก็คือพระบิดา และเมื่อเราเอ่ยพระนามพระเยซูบอกรักพระเยซู ยกย่องสรรเสริญพระเยซู เราก็ได้ทำสิ่งเหล่านี้ต่อพระบิดาด้วย พระเจ้าทั้งสามพระภาคก็ได้รับเกียรติสง่าราศีทั้งหมดเหมือนกัน
** มรดกของพระเยซูก็เป็นของเรา สรรเสริญพระเจ้าที่เรามีส่วนในมรดกนั้น
บทความเพิ่มเติม: พระวิญญาณแห่งความจริงนำความจริงเข้ามาสู่แต่ละคน
พระเยซูทรงปลอบใจเหล่าสาวกเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์
16:16 อีกหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเราเพราะเราไปถึงพระบิดา”
** "อีกหน่อยท่านจะไม่เห็นเรา" คือสามวัน
** "และต่อไปอีกหน่อยท่านจะเห็นเรา" คือสามวันต่อมา
** "เราไปถึงพระบิดา" คือเพื่อไปถวายพระโลหิตเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป (ฮบ 9:12)
16:17 สาวกบางคนของพระองค์จึงพูดกันว่า “ที่พระองค์ตรัสกับเราว่า‘อีกหน่อยท่านทั้งหลายก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา’ และ‘เพราะเราไปถึงพระบิดา’ เหล่านี้หมายความว่าอะไร”
16:18 เขาจึงพูดกันว่า “นั้นหมายความว่าอะไรที่พระองค์ตรัสว่า ‘อีกหน่อย’ เราไม่ทราบว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นหมายความว่าอะไร”
16:19 พระเยซูทรงทราบว่าเขาอยากทูลถามพระองค์ จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายถามกันอยู่หรือว่า เราหมายความว่าอะไรที่พูดว่า ‘อีกหน่อยท่านก็จะไม่เห็นเราและต่อไปอีกหน่อยท่านก็จะเห็นเรา’
16:20 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดีและท่านทั้งหลายจะทุกข์โศก แต่ความทุกข์โศกของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี
** สาวกจะร้องไห้เพราะพระเยซูต้องจากไปสามวัน
** โลกยินดีเพราะเขาต้องแสวงหาความสุขความยินดีเท่าที่หามาได้ เพราะเขารู้ว่าไม่นานก็ต้องตายจากโลกนี้ไปความสุขก็จะหมดไปด้วย
16:21 เมื่อผู้หญิงกำลังจะคลอดบุตร นางก็มีความทุกข์ เพราะถึงกำหนดแล้วแต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่ระลึกถึงความเจ็บปวดนั้นเลยเพราะมีความชื่นชมยินดีที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก
16:22 ฉันใดก็ดีขณะนี้ท่านทั้งหลายมีความทุกข์โศก แต่เราจะเห็นท่านอีกและใจท่านจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้
** ข้อที่ 20-22 คือการเริ่มต้นหรือกำเนิดของเผ่าพันธุ์ใหม่ หรือมนุษย์คนที่สอง พระเยซูคือ
1. มนุษย์คนที่สอง
2. ต้นกำเนินของมนุษย์วิญญาณ
3. เผ่าพันธุ์ใหม่ มาแทนที่อาดัมที่เป็นเผ่าพันธุ์เก่าที่ถูกแช่งสาป ตกต่ำและบาปแล้ว
4. ผู้เชื่อคือน้องๆ ของพระเยซู และพระเยซู คือพี่คนโต หรือบุตรหัวปีของพระเจ้า
5. ผู้เชื่อ คือมนุษย์วิญญาณ
6. โลกใบนี้ แท้ที่จริงเป็นโลกวิญญาณ และเพื่อรอราชอาณาจักรลงมาตั้งอยู่ในโลกนี้ และนิรันดร์
16:23 ในวันนั้นท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน
** ในวันนั้นท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก คือหลังจากที่พระเยซูประทานพระวิญญาณให้มาอยู่กับเราเพื่อสอนเรา เราจะไม่ได้ถามพระเยซูว่าสิ่งนี้คืออะไรสิ่งนั้นคืออะไร แต่พระวิญญาณจะประทานสติปัญญาและความเข้าใจให้แก่เรา
** "ขอสิ่งใดในนามของเรา" คือขอตามใจพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจเราเอง
** ผู้เชื่อเข้าใจผิดคิดว่าทุกวันนี้เขาขอในนามพระเยซู แต่แท้ที่จริงพระเจ้าไม่ตอบเพราะว่าเขาขอในนามเขาเอง (อยากได้ตามใจตัวเองมากกว่า)
** "ขอในนามพระเยซู" คือขอในสิ่งที่พระเยซูต้องการ
** พระเจ้าต้องการเดินทางจากกรุงเทพไปตราด แต่เราสร้างรางรถไฟไปเชียงใหม่อันนี้คือการขอของผู้เชื่อทุกวันนี้ แต่ผู้ชนะจะสร้างรางรถไฟไปตราดแต่เราจะไม่ได้อะไรดังที่ใจเราคิด แต่ได้ใจพระเจ้ารางวัลก็เป็นของเราในยุคหน้า เพราะว่ายุคนี้เราเอาใจพระเจ้า
** เนื่องจากว่าคริสเตียนศาสนาได้รับการถ่ายทอดความรู้ที่ผิดมากมายจากนิกายโรมันคาทอลิก และผู้นำในสมัยเริ่มแรกที่ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตในเราทุกเวลา และไม่เคยพรากจากเราไปไหน และม่านในพระวิหารถูกฉีกโดยพระเจ้าตั้งแต่บนสุดจนถึงล่างสุดแล้วคืออะไร พวกเขาจึงเปิดและปิดคำอธิษฐาน คือเมื่อต้องการพูดคุยก็เปิด และพูดจบก็ปิดทั้งบอกพระเจ้าว่าข้าพระองค์พูดทั้งหมดคือในนามพระเยซูเพื่อให้พระเจ้าทรงตอบ แต่เมื่อเราถูกเปิดตาให้ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตในเราทุกวันและเวลา และทรงประสงค์ให้เราพูดคุยอย่างสม่ำเสมอก็คือไม่ต้องเปิดปิด 1 ทส 5:17 pray Unceasingly คืออธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อน หรือไม่หยุดยั้ง ἀδιαλείπτως (ad-ee-al-ipe'-toce)
** เมื่อพระเยซูหมดหน้าที่ และประทานพระวิญญาณให้มาอยู่กับเราในเรา พระเจ้าทำงานผ่านเราซึ่งเราควรดำเนินชีวิต และรับใช้ ซึ่งเป็นการสานต่อของพระเยซูผ่านเรา เพราะฉะนั้นพระเยซูกระทำทุกสิ่งตามใจพระบิดา เราก็ควรทำทุกสิ่งตามใจพระองค์เช่นกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเราขอ การขอนั้นก็คือให้เป็นตามน้ำพระทัยของพระองค์ไม่ใช่ตามใจเรา คือขอบ้านหลังใหญ่ ขอให้รวย ขอรถแพง ขอให้มีเงินเยอะ ๆ หรือขอให้สมหวังในความรัก ฯลฯ
16:24 แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม
** เมื่อเราขอตามใจหรือในนามของพระเยซู พระเจ้าก็พอพระทัย และประทานสันติสุขความชื่นชมยินดีให้แก่เราอย่างเต็มเปี่ยม
16:25 เราพูดเรื่องนี้กับท่านเป็นคำอุปมา แต่วันหนึ่งเราจะไม่พูดกับท่านเป็นคำอุปมาอีกแต่จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง
** ทุกวันนี้พระเจ้าพูดตรงกับเรา ทรงใช้ผู้เผยพระวจนะ มาสอนเทศนาเรื่องความจริงกับเราแต่หูเราหนวก และตาเราบอด จึงเห็นไม่ชัดและรับไม่ได้
** วันหนึ่ง ก็คือวันที่พระวิญญาณเสด็จมาอยู่กับเราในเรา และรอคอยที่จะเปิดเผยเรื่องราวแห่งความจริงของพระเจ้าซึ่งก็คือแผนงานการบริหารจักรวาลของพระเจ้าผ่านพระคำล้ำลึกของพระองค์ ผู้ที่ถ่อมใจก็ได้เห็น และได้ยิน และเป็นสุข
16:26 ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน
16:27 เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลายเพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า
** ในวันนั้น คือวันที่ผู้เชื่อได้รู้ และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่ตามใจเรา เนื่องจากว่าเราได้รับการเปิดตาผ่านพระคำล้ำลึกจากพระวิญญาณแห่งความจริงแล้ว
16:28 เรามาจากพระบิดาและได้เข้ามาในโลกแล้ว เราจะจากโลกนี้ไปถึงพระบิดาอีก”
** พระบุตรเป็นพระภาคหนึ่งของพระเจ้าสามพระภาค พระองค์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์อาศัยอยู่ในร่างกายของผู้ชายชื่อเยซู เมื่อถูกตรึงตาย สามวันต่อมาพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ และกลับไปสู่พระบิดา
16:29 เหล่าสาวกของพระองค์ทูลพระองค์ว่า “ดูเถิด บัดนี้พระองค์ตรัสอย่าง แจ่มแจ้งแล้วมิได้ตรัสเป็นคำอุปมา
16:30 เดี๋ยวนี้พวกข้าพระองค์รู้แน่ว่า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งและไม่จำเป็นที่ผู้ใดจะทูลถามพระองค์อีก ด้วยเหตุนี้ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า”
16:31 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายเชื่อแล้วหรือ
16:32 ดูเถิด เวลาจะมา เวลานั้นก็ถึงแล้ว ที่ท่านจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่ของท่านทุกคนและจะทิ้งเราไว้แต่ผู้เดียว แต่เราหาได้อยู่ผู้เดียวไม่ เพราะพระบิดาทรงสถิตอยู่กับเรา
** พระบิดาอยู่กับพระเยซูตั้งแต่วันแรกที่ทรงเสด็จมายังโลกนี้ ขณะเดียวกันพระบิดาทรงประทับในสวรรค์ พระเจ้าทำได้
** พระคำข้อนี้ยืนยันว่า พระบิดาอยู่ในพระเยซูและอยู่กับพระเยซู ซึ่งบทที่ 15 ยืนยันว่าพระบิดาเป็นผู้ใช้ร่างกาย และชีวิตของพระเยซูเพื่อสำแดงพระองค์ต่อโลก พระเยซูเองไม่เคยใช้ชีวิตของพระองค์เลย
** และทุกวันนี้พระเจ้าก็ต้องการให้เราทำเหมือนพระเยซู คือเราไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเอง แต่ให้พระเยซูเป็นผู้ดำเนินชีวิตในเราแทนเราเพื่อปรากฏพระองค์ออกมาผ่านเรา (กท 2:20)
16:33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเราในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว”
** "สันติสุข" ไม่ได้ได้มาด้วยการ เชื่อฟัง อดอาหาร เลิกทำบาป อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ไปโบสถ์ แต่ได้มาด้วยความเชื่อ
** สันติสุขเป็นของแถมที่พระเจ้าให้ เมื่อเราเชื่อในพระองค์ (โรม 5:1 เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุข)
** เมื่อเราขาดสุข เราเชื่อเอาว่าได้รับแล้ว บอกตัวเองว่ามีแล้ว และบอกพระเจ้าสันติสุขก็จะมา ไม่ช้าก็เร็ว
สรุป ข้อที่ 23-33
- พระเยซูจะไม่ตอบใครยกเว้นบางครั้งบางเรื่องกับบางคนเท่านั้นเพราะว่ายุคนี้คือการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์เป็นครูสอน ทำหน้าที่เปิดเผยแผนการงานทั้งหลายของพระบิดาแก่พวกเราผู้เชื่อทั้งหลายที่ถ่อมใจ
- เมื่อเราได้รับการเปิดตาให้ได้รู้ว่ายุคนี้คือการทำนา โลกนี้คือไร่นาและเราคือชาวนาของพระเจ้า เราเป็นอยู่ชั่วคราวและกำลังสะสมบำเหน็จในสวรรค์เพื่อชีวิตในอาณาจักรและแผ่นดินโลกใหม่ เราจึงอยู่เพื่อรับใช้ เพื่อนำคนมาเชื่อ เพื่อให้พวกเขาได้คืนดีกับพระบิดา และกลับมามีความหวังในชีวิต เราจึงขอทุกสิ่งในนามของพระเยซูซึ่งก็คือขอตามใจพระบิดา ไม่ใช่ขอลงท้ายในนามพระเยซู แต่สิ่งที่ขอกลับเป็นสิ่งที่เราปรารถนาเพื่อสนองความต้องการของเนื้อหนังหรือกิเลสตัณหาโลภหลงของเรา