สำหรับการบริหารฝ่ายร่างกาย ต้องใช้พระปัญญาของพระเยซู เราทำเองคิดเองจะเกิดขัดแย้ง และทำตามความคิดอาดัมไม่ได้
สรุป ก็คือคริสตจักรของพระเยซู ต้องใช้ความคิดปัญญาของพระเยซูเพื่อบริหาร พระเยซูก่อตั้งคริสตจักร พระเยซูต้องบริหาร ต้องคิด ตัดสินใจ ทั้งเรื่องประกาศ เป็นพยาน และการดูแลช่วยเหลือพี่น้องในพระกาย พระเจ้าไม่อนุญาตให้ใช้ความคิดปัญญาและทุกสิ่งที่มาจาก อาดัม หรือคนเก่าเลย
คริสตจักรของพระเยซู พระเยซูเป็นคนก่อตั้ง เพราะฉะนั้นการบริหารคริสตจักร ต้องมีความคิด ต้องมีการตัดสินใจ ทุกสิ่งต้องมาจากพระเยซูเท่านั้น คือพระเจ้าไม่อนุญาตให้ใช้ความคิดปัญญาความสามารถทุกสิ่งที่มาจากอาดัม หรือจากชีวิตเก่าหรือคนเก่า
เพราะฉะนั้นอีกครั้ง คริสตจักรพระเยซูเป็นคนก่อตั้ง พระปัญญา ฤทธิ์เดช ของประทานด้านนอก ของประทานด้านใน ทุกสิ่งจะต้องมาจากพระคริสต์เท่านั้น พระเจ้าจึงจะพอพระทัย และใช้ได้ในพระกายใหม่ของพระองค์ เอเมน
ถาม.
เราจะดูคุณสมบัติผู้ช่วยเหล่านี้ได้ใน 1 ทิโมธี 3:8-13 ได้ไหมคะ คือเราสังเกตภายนอก
ตอบ.
คือผลของชีวิตใหม่จะมีไม่มากก็น้อย และอย่าลืมนะครับว่าทุกคนอยู่ในกระบวนการ การก่อขึ้น และใครที่มีคุณสมบัติที่มีพระคริสต์ทำแทนมากกว่า และเป็นที่เคารพของพี่น้องส่วนมากในคริสตจักร เราก็รับเขาได้ และขอพระเจ้าเป็นคนเลือกเขา และเขาก็ยินยอม แต่เราจะคาดหวังว่าเขาจะเป็นคนที่เพอร์เฟค หรือครบถ้วน อันนี้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยาก เพราะว่าทุกคนอยู่ในกระบวนการ การก่อขึ้น
อีกครั้ง..เราดูการกระทำ เราดูผลของชีวิตที่มีมากกว่าเพื่อน และเป็นที่เคารพมากกว่าใคร
...
ถาม.
คือในโบสถ์คริสเตียนศาสนา คริสตจักรศาสนา เขาจะดูง่าย คือไปเรียนมาใช่ไหมคะ กลับมาก็มาเป็น ศบ. ได้เลยใช่ไหมคะ หรือเป็นผู้ช่วยได้เลยใช่ไหมคะ แต่ฝ่ายวิญญาณเราต้องสังเกตใช่ไหมคะ
ตอบ.
สำหรับการเรียนรู้ของผู้รับใช้ผู้นำ คือเราเรียนรู้และสะสมถ้อยคำที่มาจากพระเจ้า ที่เป็นพระธรรมแห่งความจริง แต่จะต้องได้รับการคอนเฟิร์มนะครับ ก็คือยืนยันจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะเป็นคนให้เครื่องหมาย หมายสำคัญต่อคริสตจักร ต่อพี่น้อง เพื่อเขาจะได้รับการเลือกโดยพระวิญญาณ พระคริสต์จะเป็นคนเลือกเขานะครับ
สำหรับเราที่เป็นคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ เป็นพระกายเที่ยงแท้ เราไม่วัดกันที่การไปเรียนจบมหาวิทยาลัยระดับไหน Level ไหน หรือปริญญามีมากกว่าใคร แต่เราวัดกันที่ผลของชีวิต
1. เราวัดกันที่ผลของชีวิต
2. ก็คือการที่เขามีถ้อยคำที่เป็นพระคำแห่งความจริง ไม่มากก็น้อย และที่สำคัญก็คือพระเจ้าจะให้คนทั่วไปภายในคริสตจักร คือเป็นการยอมรับเขาและเคารพเขา
ซึ่งอย่าลืมนะครับจุดอ่อนของทุกคนมีนะครับไม่มากก็น้อย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ คนที่จะเป็นผู้บริหารฝ่ายร่างกายเนี่ย ชีวิตฝ่ายวิญญาณก็ยังไม่เท่านะครับ ก็ยังไม่เท่าผู้ที่จะเป็นผู้เผยพระวจนะซึ่งเป็นคนที่จะดูแลฝ่ายวิญญาณ คนที่จะดูแลฝ่ายวิญญาณเป็นที่เคารพมากกว่า และเป็นที่รักของคนทั่วไปมากกว่า และใช้ของประทานได้มากกว่าในเรื่องการดูแลฝ่ายวิญญาณ
ส่วนเรื่องการดูแลฝ่ายร่างกายก็คือ อาจจะมีผลของพระวิญญาณบ้าง มีชีวิตใหม่บ้าง และก็มีการสะสมพระคำที่เป็นความจริงบ้าง แต่เขาจะมีของประทานในการที่จะดูแลฝ่ายร่างกายเนี่ยได้ดีกว่าคนที่จะดูแลฝ่ายวิญญาณก็คือคนที่จะเป็นผู้ดูแลบริหารฝ่ายร่างกายนะครับ
ซึ่งเราเห็นแล้วนะครับบทนี้จะมีการดูแลฝ่ายร่างกายเข้ามา คริสตจักรของพระเจ้าจะแบ่งออกเป็น 2 งานนะครับ
งานแรก ก็คืองานประกาศข่าวประเสริฐ และเป็นพยาน เผยพระวจนะ เป็นการดูแลฝ่ายวิญญาณ
ส่วนงานที่สอง งานรองนะครับ เป็นงานรองขอย้ำนะครับ ก็คือการดูแลฝ่ายร่างกาย ช่วยเหลือหญิงหม้าย เด็กกำพร้า คนยากจนขัดสน พี่น้องที่ขัดสน และการดูแลผู้รับใช้ ดูแลการใช้จ่ายของคริสตจักร ซึ่งเป็นการกระทำตามขนาดของความเชื่อ ไม่มีการบังคับ ไม่มีการกำหนดว่าต้องสิบลด ไม่มีการกำหนดว่าต้องให้เงินเดือนคนนู้นคนนี้ ไม่นะครับ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระคริสต์จะเป็นคนที่กำหนด จะเป็นคนที่บริหาร จะเป็นคนที่ดลบันดาลแต่ละคนให้มีจิตใจมีความคิดที่เห็นพ้องกัน เพื่อกระทำการของพระองค์
ซึ่งเราเน้นที่การวางใจในพระเยซู วางใจในพระเยซูเท่านั้น เพราะว่าสิ่งนี้ไม่มีกำหนด ไม่มีสิ่งที่บอกว่า ต้องกำหนดว่าคนนี้จะได้เงินเท่าไร ได้การช่วยเหลือเท่าไร เราต้องช่วยหญิงหม้ายเด็กกำพร้าเท่าไหร่ กี่วันกี่เดือนกี่ปี ไม่นะครับ คือพระเจ้าจะเป็นคนบอก
อย่าลืมนะครับอีกครั้ง 1 โครินธ์ 1:30 พระคริสต์เป็นสติปัญญาของเรา และเราจะไม่ทำตามการบริหารของระบบโลกนี้ แต่เราทำตามการบริหารของเทวาธิปไตย ก็คือโดยพระเจ้าเป็นคนกำหนด พระคริสต์เป็นคนสั่ง เป็นคนดลบันดาล เป็นคนดลใจเร้าใจเราให้กระทำสิ่งไหน เราก็ทำสิ่งนั้น
และถ้าหากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เร้าใจเรา ไม่ให้เราเห็นในเครื่องหมาย ไม่ให้เราเห็นในความฝัน ก็คือเราก็รออยู่ เราก็รออยู่ พี่น้องที่รอคำตอบว่าเมื่อไหร่จะช่วย ไม่เห็นช่วยเลย ไม่เห็นมีใครมาช่วย ไม่เห็นมีใครสนใจ เราไม่ควรพูดแบบนี้ แต่เราควรถ่อมใจและรอการช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า เอเมน
...
ถาม.
เนื่องจากว่าพระคริสต์กำลังก่อพระกายขึ้นในท้องถิ่นหลายๆ ที่และยังไม่มีศิษยาภิบาล ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ในหนังสือกิจการก็มาทันเวลาพอดี ก็จะมีผู้ดูแลเกี่ยวกับทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายร่างกายใช่ไหมคะ ซึ่งจะต้องเลือก เราจะต้องถามพระเจ้าแล้วก็อธิษฐานใช่ไหมคะในคริสตจักรนะคะ
ตอบ.
เป็นเรื่องปกตินะครับที่ถ้าหากมีพระกายอยู่ที่ไหน เราก็ทูลขอต่อพระองค์ว่าจะให้มีผู้นำ ผู้ดูแล มีใครเป็นผู้เผยพระวจนะ หรือเราจะรอต่อไป และขณะที่รออยู่เราก็ร่วมกันสามัคคีธรรม (ออนไลน์) ในลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่พระเจ้าส่งมานะครับ เราทำเท่าที่ทำได้ เราสบายๆ เราไม่แบกภาระ เราไม่ต้องรีบร้อน เพราะว่าการกำหนดเวลาทุกสิ่งเป็นของพระเจ้าอยู่แล้ว เอเมน
...
ถาม.
ในขณะที่รอ พี่น้องในพระกาย ก็ช่วยกันแบ่งปัน ช่วยกันเผยพระวจนะ ช่วยกันหนุนใจ และล้างเท้าฝ่ายวิญญาณ แล้วก็ช่วยเหลือดูแลฝ่ายร่างกายใช่ไหมคะ
ตอบ.
ถูกแล้วครับ คือพระเจ้าให้ทุกคนนะครับเกือบทุกคนมีของประทานในการเผยพระวจนะ เรามีสิทธิ์พูดได้ เราพูดได้ เราล้างเท้ากันและกัน เสริมสร้างกันและกันได้ ขณะที่ยังไม่มีผู้ที่จะเผยพระวจนะหลัก หรือเป็นศิษยาภิบาลนะครับ เราช่วยกันได้
เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเร้าใจ และจะให้เราพูด อีกครั้งนะครับของประทานในการเผยพระวจนะพระเจ้าให้เกือบทุกคน เพียงแต่เราพูดออกมา หลายคนบอกว่า พูดไม่ได้ พูดไม่เก่ง อาย อันนี้เราไปดูโมเสสที่เขาเคยพูดใช่ไหม ข้าพเจ้าข้าพระองค์พูดไม่ได้พูดไม่เก่ง แต่สุดท้ายพูดเก่งกว่าใคร
...
ถาม.
พระกายเที่ยงแท้ที่มีท้องถิ่น อย่างเช่น พัทยา กรุงเทพฯ เพชรบูรณ์ สุรินทร์ พังงา เขาก็มีกลุ่มใช่ไหมคะ แต่อย่างพวกเราที่อยู่ในออนไลน์ล่ะคะ ดูแลกันแบบไหนคะ
ตอบ.
สำหรับพวกเรานมัสการสามัคคีธรรมออนไลน์นะครับ ก็คือเราช่วยกันเสริม เราช่วยกันเผยพระวจนะ ผู้เผยพระวจนะหลักก็คือทำหน้าที่ของเขาต่อไป ก็ทำเท่านี้นะครับ เราจะเรียกว่าพระกายที่เป็นพระกายฝ่ายวิญญาณในออนไลน์ ก็ดูแลกันในกลุ่มใหญ่ใช่ไหม ก็คือมีใครมีอะไรเป็นอะไรก็ส่งข้อความเข้าไป หรือเรามีทีมประสาน ทีมประสานก็เรียกว่าผู้ดูแลพวกเรานะครับ
สำหรับเรื่องการที่จะรีบร้อน หรือต้องการผู้นำ หรือศิษยาภิบาลที่จะมาดูแลคริสตจักร เราจำกันได้นะครับว่าเราต้องรอการนำพาของพระเจ้า และรอกำหนดเวลาของพระเจ้า
มีอยู่ครั้งหนึ่งใช่ไหมที่ชนชาติอิสราเอลต้องการผู้นำ บอกว่าต้องการผู้นำ เราต้องการกษัตริย์ ชาติอื่นเขามีกษัตริย์กันหมด แต่เราไม่มี เราต้องการผู้นำที่เป็นมนุษย์ พระเจ้าบอกว่าเราเป็นกษัตริย์ของพวกเจ้า เราเป็นผู้นำของพวกเจ้า แต่ชนชาติอิสราเอลไม่เอานะครับ ไม่ยอม จนสุดท้ายพระเจ้าเตรียมใครรู้ไหมครับ เตรียมผู้นำคนหนึ่ง แต่ชนชาติอิสราเอลบอกว่าเราต้องการซาอูล แต่กษัตริย์ที่แท้จริงที่พระเจ้าต้องการเลือกก็คือกษัตริย์ดาวิดนะครับ จนสุดท้ายก็คือกษัตริย์ซาอูล ทำให้เสียพระเกียรติพระเจ้า แล้วก็เป็นจริงนะครับ
คือความรีบร้อนของเรา ความคิดของมนุษย์ของอาดัม คือเราคิดว่าถ้าเลือกคนนี้น่าจะดี แต่สุดท้ายทำเสียหมด เราต้องรอการนำของพระเจ้าเราไม่รีบร้อนนะครับ พระเจ้าให้มาเมื่อไหร่ มีไม่มีเราก็เผยพระวจนะได้ แบ่งปันกันได้ เสริมสร้างกันได้ ล้างเท้ากันได้ เราก็เติบโตกันได้ใช่ไหม เอเมน
สำหรับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เป็นคำสอนที่ตรงข้ามจากคริสตจักรศาสนาใช่ไหม คือคริสตจักรศาสนานะครับถ้ามีห้าคนหกคนเจ็ดคนแปดคนหรือสิบคน เขาจะบอกว่าต้องมีผู้นำ ต้องหาผู้นำมา หรือว่าส่งผู้นำไปใช่ไหม แล้วก็รีบขยายก่อสร้างคริสตจักร ประกาศนำคนมาเยอะๆ ทำให้เป็นพระกาย
อันนี้สำหรับพวกเรา ไม่นะครับ เราทำตามขนาดของความเชื่อ และเราทำตามการนำพาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับ และสิ่งที่เราทำก็คือ ทองคำ เงิน เพชรพลอย จำได้ไหมเปาโลเตือนว่าให้ระมัดระวังการรับใช้ของพวกท่าน การก่อคริสตจักรของพวกท่าน และการก่อชีวิตของพวกท่าน ท่านจะก่อขึ้นด้วยอะไร ไม้ ฟาง หรือหญ้าแห้ง หรือทองคำ เงิน และเพชรพลอย ให้เลือกเอานะครับ
ไม้ ฟาง หญ้าแห้ง ก็คือความคิด สติปัญญา ความรีบร้อนของเรา ความคิดว่า เออ มันน่าจะใช่ คนนี้น่าจะดี คนนี้สอนได้ คนนี้อ่ะเลือกคนนี้เลย อันนี้คือมาจากไม้ ฟาง หญ้าแห้งครับ
1 โครินธ์ 3:10-12
10 โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร
11 เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์
12 แล้วบนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้ง หรือฟาง
ถาม.
ในข้อนั้นที่บอกว่าได้รับการเทของพระวิญญาณ หมายถึงเทลงมาจากข้างบน ไม่ใช่อยู่ในเราใช่ไหมคะ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เต็มล้นอยู่ในเราใช่ไหมคะ ต้องเทลงมาใช่ไหมคะ
ตอบ.
ถ้าหากตรงกับภาษาอังกฤษ pour out the Spirit ก็คือการเทลงมา ก็คือเทด้านนอก
แต่ถ้าหากบอกว่าเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ Filled with the Spirit ก็คือการเต็มล้นของพระวิญญาณภายใน
อันนี้เราต้องพึ่งภาษาอังกฤษและภาษากรีกเข้ามาช่วย สำหรับคำว่า เทพระวิญญาณ นะครับ ส่วนมากจะใช้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือด้านนอก ก็คือการใช้ของประทาน ฤทธิ์เดช
ส่วนการ เต็มล้นหรือเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ ซึ่งตรงกับคำว่า Filled with the Spirit และเป็นคำว่า pleroo ภาษากรีก ก็คือการเต็มล้นภายในครับ ซึ่งคนนั้นจะมีสำแดงชีวิตและนิสัยของพระเยซูได้ ไม่มากก็น้อยนะครับ
เราจำกันได้ไหมคริสตจักรของพระเยซู สิ่งแรกที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ และเป็นหลักในการบริหารคริสตจักร ไม่ว่าจะทำอะไรในพระกายนะครับ ก็คือความรัก เราเริ่มต้นก็ด้วยความรัก จบลงก็ด้วยความรัก ทำทุกสิ่งด้วยความรัก เพราะฉะนั้นเราต้องอาศัย “อากาเป”
เราต้องอาศัยการเต็มล้นภายในของพระวิญญาณของพระคริสต์ เพื่อที่จะมารักให้เรา ตัดสินใจให้เรา ทำแทนเรา ใจกว้างแทนเรา
...
ถาม.
ตอนที่เราบอกรักพระเจ้ามากๆ พระเจ้าก็จะเพิ่มเติมความรักให้เราใช่ไหมคะ คือความรักก็หลั่งไหลเข้ามาครอบครองจิตใจเรา อันนี้อยู่ในโรม 5:1 คือพระพรของพระองค์ใช่ไหมคะ
ตอบ.
สำหรับสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรามี ก็คือความรัก แต่เราจะได้ความรักที่เข้ามาแทนรัก “ฟิเลโอ” ของมนุษย์เป็นรักที่ค่อนข้างจะต่ำนะครับ “อากาเป” จะเข้ามามากเท่าไหร่เราก็เอา “ฟิเลโอ” ไปแลก
จำกันได้ไหมเราพูดกับพระเจ้านะครับว่า พระเยซูข้าพระองค์รักพระองค์ มันเป็นคำพูดที่แบบค่อนข้างจะไม่หนักแน่น หรือไม่ได้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจใช่ไหมครับตอนแรกๆ นะครับ
แต่ถ้าหากเราพูดไป พูดไปเรื่อยๆ มันจะเกิดมีอารมณ์บางอย่าง มีสารเคมี มีอะไรบางอย่างที่กระตุ้นเรา และความรักของเรามันจะเปลี่ยนไป กลายเป็นรัก “อากาเป” และยิ่งเราทำมากขึ้น “พระเยซูข้าพระองค์รักพระองค์ รักพระองค์ รักพระองค์ รักพระเยซู พูดบ่อยๆ นะครับ I love you , I love you I , love you” สุดท้ายความเต็มล้นด้วยความรัก “อากาเป” ของพระเจ้าก็จะเข้ามามากขึ้น
และสุดท้ายนะครับเราทำไปเรื่อยๆ ทำไปอย่างสม่ำเสมอทุกวันในแต่ละวัน เราก็จะเติบโตสู่ความรักของพระเยซู เรายิ่งบอกรักพระเยซูด้วย “ฟิเลโอ” มากเท่าไหร่ พระเจ้าจะส่ง “อากาเป” เข้ามามากเท่านั้นเพื่อแทนที่ความรักที่ใช้ไม่ได้ของเรา
...
ถาม.
คือไม่ค่อยได้บอกรักพระเยซูมากเท่าไหร่ รู้สึกว่าตัวเองบอกรักน้อยลง แต่พอนึกขึ้นได้ก็บอกรัก พอบอกรักแล้วน้ำตามันจะไหลมันรู้สึกแบบเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาเลยค่ะ แล้วก็นึกถึงอีกครั้งก็บอกรักอีก ก็อยากร้องไห้ อาการอย่างนี้เขาเรียกว่าอะไรคะ
ตอบ.
คือพระวิญญาณซาบซึ้ง พระวิญญาณซาบซึ้งและพระวิญญาณก็ส่งความรักเข้ามาสู่เรา เป็นความรักของพระเจ้าและทำให้เราเกิดร้องไห้ได้ครับผม เป็นการกระตุ้น เป็นการเร้าใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณเป็นผู้ที่อ่อนโยน เป็นผู้ที่นอบน้อม เป็นผู้ที่มีพระเมตตาสูงส่ง คือถ้าจะเรียกภาษาบ้านๆ ของเราก็คือ เป็นคนที่ร้องไห้ง่าย พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ร้องไห้ใจอ่อนง่าย
เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์เข้ามาทำกิจในเรา เมื่อเราบอกรัก เมื่อเราพูดคุย สนิทกับพระองค์ พระองค์ก็จะคือเกิดมีความใจอ่อน แล้วก็กระตุ้นเราให้ใจอ่อนด้วย ให้รัก แล้วก็ให้ร้องไห้ด้วยครับ
...
ถาม.
ขอถามในกิจการบทที่ 6:2 และพวกสิบสองคนนั้นได้เรียกคนจำนวนมากในพวกสาวกให้มาหาพวกเขา และกล่าวว่า “ไม่มีเหตุผลที่พวกเราควรจะทิ้งพระวจนะของพระเจ้าและรับใช้โต๊ะทั้งหลาย”
ตอบ.
โต๊ะก็คือโต๊ะกินข้าวนะครับ คือโต๊ะที่เรากินอาหารร่วมกัน ความหมายก็คือเราจะรับใช้พระเจ้า เผยพระวจนะ ล้างเท้าเสริมสร้างคริสตจักรฝ่ายวิญญาณอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องมีการช่วยเหลือดูแลพี่น้องเป็นอย่างดี ภายในช่วงเวลาที่เราร่วมประชุม อันนี้อันแรกนะครับงานแรก คือพี่น้องที่มาร่วมประชุมอย่าให้เขาหิวพูดง่ายๆ แล้วการแบ่งปันอาหารก็คือให้กินเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่ากลุ่มนี้กลุ่มคนรวยมั่งมีเศรษฐี ให้เขากินของดีๆ ส่วนหญิงหม้ายเด็กกำพร้าคนยากจนเอาไปอยู่มุมนู้น แล้วก็ให้เขากินของไม่ดี ไม่นะครับ
คือเปาโล เปโตร สาวกทั้งหลายยุคแรก ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ดลบันดาลเขาเลยนะครับคือเปโตรพูดเลยนะครับ เพราะฉะนั้นเราดูแล เราดูแลทุกคนเท่าเทียมกัน
เป็นโต๊ะ ก็คือเป็นการกินข้าวนะครับ คือทุกครั้งที่พี่น้องพระกายมาร่วมสามัคคีธรรม สาวกทั้งหลายก็คือจะแบ่งอาหารให้ทุกคนได้กินได้อิ่ม เราจึงเน้นที่การนมัสการร่วมกันในวันอาทิตย์ หรือทุกครั้งที่มาร่วมกันนะครับ มีการรับประทานอาหารร่วมกันด้วย
การรับประทานอาหารร่วมกันเป็นสิ่งที่จะเสริมสร้างความผูกพัน ความสัมพันธ์การได้รู้จัก สนิท ชิดเชื้อมากกว่าเก่าใช่ไหม เคยไหมครับที่แบบว่าไปเยี่ยมบ้านใคร อยู่ในกลุ่มไหน แล้วไปคุยกันแล้วก็กลับบ้าน ตรงข้ามนะครับก็คือไปกินข้าวด้วยกันก่อนที่จะกลับเนี่ย อันไหนสนิทกว่ากัน (กินข้าว) แน่นอนครับ แล้วหลังจากนั้นนะครับก็จะมีการ โต๊ะยังหมายถึงเรื่องการช่วยเหลือคนยากจนให้เขามีโต๊ะมีอาหารกิน ช่วยเหลือเขา ก็คือการดูแลฝ่ายร่างกายนั่นเอง
...
ถาม.
คือในหนังสือกิจการเราก็ได้รู้แล้วว่า เขาจะเอาเงินมากองรวมกันใช่ไหมคะ ทุกสิ่งเป็นของกลาง แล้วก็เขาจะมีเงินเลี้ยงดูกัน แต่ว่าในยุคนี้ แล้วก็เป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณเรายังต้องทำอย่างงั้นไหมคะ
ตอบ.
อย่าลืมนะครับการนำสิ่งของมาร่วมกันเป็นของกลางในสมัยนั้นตอนสาวกรุ่นแรก เป็นการกระทำที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ให้เขาทำแบบนั้น แต่เป็นความเข้าใจผิดที่สาวกทั้งหลายคิดว่าพระเยซูจะเสด็จมาอีกไม่ช้านี้ อีกไม่กี่วัน อีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ เขาคิดผิดนะครับ เขาก็เลยแบบว่าเอาทุกสิ่งมารวมกันมาช่วยเหลือกันมาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่สุดท้ายพระเยซูมาไหม? ไม่มา เมื่อพระเยซูไม่มา ต่อไปเขาทำยังไง? เขาก็แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างไปเลยนะครับตอนนั้น และทรัพย์สมบัตินะครับก็คือเอาไว้ที่คริสตจักร แล้วก็คริสตจักรก็ช่วยเหลือคนยากจนต่อไป ทำกิจของพระเจ้ารับใช้พระเจ้าต่อไป
แต่เขาไม่ได้อยู่ร่วมกันอีกแล้วนะครับ ก็คือเขาแยกกันไป อีกครั้งนะครับเป็นความเข้าใจผิดของสาวก คิดว่าพระเยซูจะมาในไวๆ นี้ แต่เขาลืมไปนะครับพระเยซูเคยตรัสคำอุปมาเรื่องหนึ่งในมัทธิวบทที่ 25 พระองค์บอกว่าเจ้าบ่าวมาช้า
ถามว่าทำไมพระเยซูมาช้า ไม่มารับทุกคนไป?
ถ้าพระเยซูมารับตอนนั้นพระเยซูมารับ ก็คือคนต่างชาติและพวกเราไม่มีโอกาสได้รอดใช่ไหม เอเมน. และพระองค์ยืดเวลายืดเยื้อเวลานะครับในหนังสือวิวรณ์บอกใช่ไหมว่า พระองค์ให้เวลานานกว่าเก่า ก็คือเพื่อคนทั่วโลกจะมีโอกาสได้รอดมากกว่า คือพระเจ้ารักมนุษย์ รักคนต่างชาติ รักทุกคนทั่วโลก ต้องการให้มีคนที่รอดได้มากกว่าชนชาติอิสราเอล การมาช้าของพระเยซูเป็นผลดีสำหรับพวกเรา เอเมน
ในหนังสือกิจการและในพระคัมภีร์หลายๆ เล่มนะครับที่บันทึกไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งเป็นแผนการและมาจากพระเจ้านะครับ คือพระเจ้าให้บันทึกเรื่องกษัตริย์ซาอูล ซาโลมอน ดาวิด แล้วก็อีกหลายๆ คน ทั้งเรื่องจุดดี และจุดเสีย จุดอ่อน สิ่งที่ดี และสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น
ถามว่าทำไม? เพราะว่าพระเจ้าให้เราได้เรียนรู้นะครับ ว่าถ้าหากทำตามความคิดปัญญาของมนุษย์ก็จะล้มเหลว และถ้าหากทำตามความคิดพระปัญญาของพระเจ้าก็จะประสบความสำเร็จ พระเจ้าต้องการสอนเราผ่านพระคัมภีร์ที่มีทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เป็นแผนการของพระเจ้า
เราเห็นว่าคือพระคัมภีร์บันทึกนะครับบอกว่า สาวกก็รวมกัน ทรัพย์สินทุกอย่างเอามารวมกันเป็นของกลาง และมาอยู่ร่วมกัน เราก็คิดว่าอันนี้เป็นแผนการของพระเจ้าและพระเจ้าให้เกิด ไม่ใช่นะครับ มนุษย์ทำเองนะครับ แล้วมีคริสตจักรมากมายทั่วโลกหลายคริสตจักรหลายกลุ่ม คือมาอยู่ร่วมกันเป็นบ้านเป็นเมืองสร้างบ้านอยู่ใกล้ๆ กันอยู่ติดกันเป็นเมืองเดียวกัน และสุดท้ายก็ไปไม่รอด เนื่องจากว่าถามว่าทำไม? ไม่ได้มาจากพระเจ้า
ถาม.
แล้วตอนที่อานาเนียกับสัปฟีรา ที่ขายที่ดินเอาเงินมาที่คริสตจักร ไม่เข้าใจว่าทำไมพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงตรัสผ่านเปโตรใช่ไหม แล้วเขาตาย เขาไม่สัตย์ซื่อ ทำไมพระวิญญาณทำงานทั้งที่นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้เขาทำแบบนั้นอะคะ
ตอบ.
กรณีของเรื่องที่เขานำทรัพย์สินมาร่วมกันเป็นของกลางเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นข้อผิดพลาดที่เขาคิดว่าพระเยซูจะมาในไวๆ นี้
และอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องของสามีภรรยาที่สัญญาว่า จะนำทรัพย์สินทั้งหมด อย่าลืมนะครับนำทรัพย์สินทั้งหมด เพราะว่าสามีภรรยาบอกว่าเราจะขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มี และจะยกให้เป็นของกลางเป็นของคริสตจักร จะมามอบให้เปโตรที่เป็นตัวแทนของพระเจ้า ซึ่งเรื่องนี้เป็นคนละเรื่องนะครับเป็นคนละเรื่องกับเรื่องการนำทุกสิ่งมาเป็นของกลาง
คือเขาสัญญาต่อพระเจ้า ต่อหน้าพระเจ้า และต่อหน้าเปโตร ซึ่งเมื่อเขาสัญญาแล้วนะครับ และเขาไม่ทำตามสัญญา คือเขาทำอะไร? เขาขายทรัพย์สินได้ทั้งหมด แต่เขานำเงินจำนวนหนึ่งมาให้ และอีกบางส่วนนะครับเขาเก็บไว้ คือเขาโกหกพระเจ้า ถ้าหากเขานำมาถวายทั้งหมดนำมามอบให้คริสตจักรทั้งหมดตามที่เขาพูดสัญญา ก็คือพระเจ้าก็ไม่ทำอะไร
แต่เมื่อเขาทำแบบนี้ ก็คือการหมิ่นพระวิญญาณ ก็คือการโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์ สุดท้ายเขาก็ต้องจบชีวิตทั้งสามีภรรยา แต่ถามว่าเขารอดไหม? รอดนะครับ เพราะว่าเขาเชื่อนะครับ แต่เขาไม่ได้เข้าอาณาจักร และเขาต้องจบชีวิตตอนนั้น เนื่องจากว่าช่วงเวลาแรกนะครับช่วงเริ่มต้นของคริสตจักร คือเป็นสิ่งที่พระเจ้าค่อนข้างจะเรียกว่า ภาษาบ้านเราก็คือเคร่งครัดนะครับ คือการเริ่มต้นของคริสตจักรทุกคนจะต้องให้เกียรติเคารพพระวิญญาณบริสุทธิ์ เคารพพระเจ้า และการงานของพระองค์
เพราะฉะนั้นถ้าใครโกหกนะครับ ก็คือพระเจ้าอาจจะต้องเอาไปก่อน ก็คือเป็น เรียกว่าบาปที่นำไปสู่ความตาย คือตายฝ่ายร่างกายนะครับ
แล้วถามว่ายุคต่อมา หลายคนโกหกพระเจ้า หลายคนโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์ หลายคนโกง ฉ้อโกงเงินของคริสตจักร ถามว่าทำไมเขายังไม่ตาย? เพราะว่ายุคนี้มาถึงยุคที่ความบาปมันเพิ่มพูนมันทวีคูณมากมาย ความบาปมันเต็ม แล้วพระเจ้าสัญญาใช่ไหมมีความบาปมากเท่าไหร่ พระคุณของพระเจ้าก็ต้องเพิ่มมากเท่านั้น ทุกวันนี้คนจึงไม่ตายนะครับ คนที่โกหกพระเจ้า โกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉ้อโกงคริสตจักรจึงไม่ตายครับ แต่เขามีผลที่จะได้รับนะครับก็คือผลเสียก็คือโทษก็คือการตีสอนในชีวิตนี้ครับ
...
ถาม.
คือคิดว่าเปโตรเหมือนกับคริสตจักรศาสนาทุกวันนี้เลยค่ะ คือคริสตจักรศาสนาทุกวันนี้ก็ทำเหมือนเปโตรเลยค่ะ คือใครอยากรับใช้พระเจ้าก็มาวางมือ แล้วก็เหมือนปฏิญาณจะรับใช้พระเจ้า ก็อธิษฐานวางมือ แล้วก็ออกไปรับใช้พระเจ้า บางคนก็ไม่ได้รับใช้พระเจ้าก็เจอโทษหลายๆ อย่าง ก็ถูกตีสอนมากมาย แล้วก็กลับมาเป็นคำพยาน คริสตจักรศาสนาเห็นเขาเป็นกันอย่างนี้นะคะ
ตอบ.
คริสตจักรในช่วงแรกๆ นะครับ ก็คือเปโตร ยอห์น มัทธิว มาระโก ลูกาทั้งหลาย คือเขายังไม่เข้าสู่การฝ่ายวิญญาณ เขายังเป็นคริสตจักรศาสนา ยังเป็นศาสนาคริสต์อยู่ เป็นการเริ่มต้นใหม่ใช่ไหม ก็ยังไม่เข้าใจยังไม่ได้ถูกเปิดตา เขายังไปร่วมกับชาวยิวในพระวิหาร เขายังรักษาพระบัญญัติเดิมอยู่นะครับ เขาไม่รู้เรื่องราวคำสอนของพระเยซูอย่างละเอียดชัดเจน จนเปาโลเข้ามาสู่สังคมของคริสตจักรของพระเจ้า เข้ามาสู่คริสตจักรของพระเจ้าทุกสิ่งจึงเปลี่ยนไป เปาโลจึงตำหนิหลายคนนะครับรวมถึงเปโตรด้วย
เพราะฉะนั้นการกระทำของเปโตรของสาวกทั้งหลายในยุคแรก ก็คือศาสนาคริสต์ ก็คือคริสตจักรศาสนา ซึ่งมีความผิดการกระทำที่ผิดพลาดมากมายไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าเกิดขึ้นนะครับ
สำหรับการเลือกของพระเจ้าไม่เหมือนมนุษย์เลือกนะครับ คือใครจะเป็นผู้รับใช้ก็มาให้ผู้นำวางมือแล้วก็ไปรับใช้ อันนี้ผิดครับ ไม่ใช่ครับ
สำหรับคนที่พระเจ้าจะเลือกนะครับ ก็คือมีสัญญาณ มีเครื่องหมาย มีฝัน มีอะไรองค์ประกอบมากมาย แล้วก็มีคนหลายคนที่เห็นผลชีวิตของเขา เห็นการกระทำของเขา เห็นการใช้ของประทานของเขา
ถ้าสมมุติว่าใครมีของประทานในการรักษาโรค (บอกว่าผมอยากไปอธิษฐานเผื่อรักษาโรค) แล้วให้อาจารย์ที่คริสตจักรวางมือให้แล้วก็ไป ถ้าคนเขาไม่หายเป็นสิบเป็นร้อยคนไม่หายสักคน คนนั้นมีของประทานไหม? ไม่มีใช่ไหม ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่สำหรับคนที่พระเจ้าเลือกนะครับต้องมีของประทาน แล้วก็ต้องเห็นผลของของประทานที่เขาทำ และมาถึงผู้นำแล้วให้ผู้นำอธิษฐานเผื่อเท่านั้นครับ
สำหรับเรื่องการเจิมนะครับ ผู้นำไม่จำเป็นต้องเจิมนะครับ พระเจ้าเจิมแล้ว เอเมน ทุกวันนี้เรามีของประทานเนี่ย พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนเจิมเรานะครับ อย่าให้ผู้นำเจิมเรา ไม่จำเป็นครับ เพราะว่าพระเจ้าต้องการให้เรายกย่องพระบิดาเพียงแต่พระองค์เดียว พระเจ้าไม่ต้องการให้เราเคารพรักยกย่องแล้วก็ยกขึ้นผู้นำทั้งหลายที่อยู่คริสตจักร
ทุกวันนี้ผู้นำเหมือนไม่ต่างไปกับพระเจ้าใช่ไหม หลายคนนะครับเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาก บอกว่าเราได้รับฤทธิ์เดชของประทาน ก็คือมาจากการเจิมของอาจารย์ที่คริสตจักร การวางมือของอาจารย์ที่คริสตจักร อะไรก็อาจารย์ที่คริสตจักร ทำให้เขายิ่งใหญ่มาก และยิ่งใหญ่มากกว่าพระเจ้าซะอีก
ทุกวันนี้คริสตจักรสมาชิกโบสถ์กลัวผู้นำมากกว่ากลัวพระเจ้า ผมพูดถูกไหม เราไปคริสตจักรเราเกรงใจผู้นำ เราทำอะไรเราก็เกรงใจเราไม่ให้ผู้นำรู้
แต่เราทำต่อหน้าพระเจ้าเนี่ย เฉยเลย อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับ
...
ถาม.
เมื่อเขาได้แต่งตั้งบางคนที่เลือกมา แล้วก็อัครทูตก็ได้อธิษฐาน แล้วก็ได้วางมืออธิษฐานคนเหล่านั้น นี่คือทำได้ถูกต้องใช่ไหมครับ
ตอบ.
คือสำหรับการวางมือ เราวางมือผู้อื่นได้นะครับ แต่วางมือก็คือให้เขานะครับได้รับการยืนยัน ยืนยันจากพระเจ้า และยืนยันกับพี่น้องในคริสตจักรในพระกาย แต่คนที่จะให้ฤทธิ์เดช คนที่จะวางมือจริงๆ เจิมให้เราจริงๆ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ครับผม
สำหรับพระเจ้านะครับ สำหรับพระเจ้าและคริสตจักรฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าอนุญาตให้วางมือให้ใครเราจึงวางมือให้คนนั้น ไม่ใช่วางมือไปทั่วเลยนะครับ ทุกวันนี้ผู้นำศิยาภิบาลมากมายในคริสตจักรศาสนา ก็คืออยากวางมือให้ใครก็วางไปเลย อันนั้นไม่ใช่นะครับ
พระเจ้าอนุญาตให้วางให้ใคร เลือกใครมา และเร้าใจให้ไปแตะคนนั้น วางมือให้คนนั้น เจิมคนนั้น ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนเจิมผ่านผู้นำคนนั้น อันนี้จึงจะถูกครับ
...
ถาม.
เห็นว่าทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นอนุชนที่ไปประกาศนำคนมาเชื่อ หรือไปประกาศตามตลาด เวลาใครบางคนที่จะให้อธิษฐานเผื่อเขาก็วางมือแล้วก็อธิษฐานเผื่อ แบบนี้คือไม่ว่าเป็นใครก็คือไม่ควรทำใช่ไหมครับ ต้องรอการยืนยันจากพระเจ้าใช่ไหมครับ
ตอบ.
แน่นอนครับ เราให้พระสติปัญญา เราให้การนำพาของพระคริสต์เป็นคนกระทำครับ
...
ถาม.
ขอถามหน่อยครับก็คือเรื่องการวางมือ เห็นอยู่ในยูทูป คริสเตียนศาสนาเขาจะวางมือ ให้อาจารย์วางมือแล้วสักพักหนึ่งคนที่ถูกวางมือจะล้มลงไป เป็นแถวเลยล้มลงไป แบบนั้นหมายถึงอะไรครับ
ตอบ.
ข้อแรกนะครับด้านหนึ่ง คือการแสดง
ข้อที่สองด้านหนึ่ง ก็คือการกระทำของผีมารซาตาน
การแสดงเนี่ยก็คือแบ่งออกเป็น 2 ด้าน 2 แง่ด้วยกัน
การแสดงอันแรก ก็คือการกระทำที่อยากทำ อยากล้ม อยากดิ้น อยากชัก อยากกลิ้ง อยากหัวเราะร้องไห้ อยากทำก็เลยทำไป
และด้านที่สอง ก็คือมีอะไรบางอย่าง มีอะไรบางอย่างที่กระตุ้นเขา หรือเขาได้รับการเร้าใจ หรือเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เขาก็ล้มลงไปโดยที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทำให้เขาล้มนะครับ คือเขาล้มลงเอง เนื่องจากว่าคำสอนในคริสตจักรเหล่านั้นบอกว่า ถ้าวางมือเนี่ย ก็คือล้ม ก็คือหัวเราะ ก็คือร้องไห้ มันเกิดมีอารมณ์ความรู้สึกนะครับ อารมณ์ความรู้สึกนี้จะนำเราเข้าสู่การดิ้น นอนหงาย กลิ้งไปกลิ้งมา ร้องไห้ หัวเราะ ซึ่งไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือให้เราเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ และให้เรานอบน้อม ให้เราร้องไห้เบาๆ คือทำในแบบลักษณะของคนที่สุภาพอ่อนโยน คือนิสัยของพระเยซูเป็นคนกระทำใช่ไหม เราก็ต้องมีนิสัยของพระเยซูสำแดงออกมา
แต่อันนี้เขากระโดดโลดเต้น เขาหัวเราะร้องไห้ลั่นโบสถ์เลย หรือพูดภาษาลั่นลิ้น กระตุกลิ้น อันนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าครับ
ส่วนในด้านที่สอง ด้านที่สองก็คือมารซาตานเป็นคนทำ ก็คือมารซาตานไปแตะเขานะครับ แล้วก็เขาก็ดิ้นชักแล้วก็หัวเราะร้องไห้ แสดงอาการของนิสัยของใครครับ? ของมาซาตานใช่ไหม เราเคยดูละครเราก็รู้ดีพระเอกจะเป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะคุณสมบัตินิสัยแบบไหน แล้วบุคลิกลักษณะนิสัยคุณสมบัติของตัวร้ายจะเป็นแบบไหน เราเห็นความแตกต่างมันบ่งบอกนะครับ ว่ามาจากใคร
และทุกวันนี้คริสเตียนมากมายถูกแตะนะครับ โดยผู้นำวางมือปุ๊บก็จะชัก ก็จะดิ้น ก็จะทำตัวเหมือนกระโดดโลดเต้น ร้องไห้ หัวเราะแบบเสียงดังๆ หัวเราะไม่เหมือนคนดีหัวเราะ พูดง่ายๆ พูดตรงๆ เลย แล้วเราตัดสินใจกันเองนะครับเราคิดกันเองในใจว่ามาจากใครกันแน่
คือคริสตจักรของพระเจ้าเป็นที่สำแดงชีวิตใครครับ? (พระเยซู) เราเข้ามาสิ่งแรกที่เราทำต่อกัน ก็คือความรัก เอเมน และความดีทั้งหลาย การช่วยเหลือ การดูแลซึ่งกันและกัน คือทำแต่สิ่งที่เป็นอยู่ในพระคริสต์ทั้งนั้น เพราะว่าคริสตจักรเป็นของพระคริสต์ เป็นอาณาจักรของพระเจ้า เป็นที่ที่จะสำแดงความดี ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความจริง เพราะฉะนั้นถ้าหากเราทำนิสัย คุณสมบัติ บุคลิกลักษณะที่มันไม่เหมือนคนของพระเจ้าบุตรของพระเจ้า หรือนิสัยของพระเจ้า ก็ต้องมาจากคนอื่นนะครับ เอเมน
ตอนที่ผมเคยไปร่วมกับคริสตจักรเพ็นเทคอสต์ ก็คือกลุ่มไฟ คือตอนแรกนะครับก็คือรู้สึกน้อยใจ อาจารย์วางมือทุกคน เขาก็หัวเราะร้องไห้ สรรเสริญพระเจ้าน้ำตาไหล แล้วบางคนก็พูดภาษาแปลกๆ ปรากฏว่าผมคือไม่เคยได้รับสักที พออยู่มาวันหนึ่งก็คิดว่าอยากทำกับเขาบ้าง ก็เลยพูดภาษาแปลกๆ แล้วพี่น้องก็บอกว่า เห็นไหมๆๆ พระวิญญาณแตะเขา จริงๆ แล้วไม่มีใครแตะผมนะครับ ก็คือผมพูดเองอยากให้ทุกคนรู้ว่าผมก็ได้รับเหมือนกัน แต่จริงๆ รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้รับอะไรเลย ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แต่ก็ทำตามเพื่อนนะครับ คือมีลักษณะนี้มีคนที่เป็นแบบนี้เยอะผมรู้ครับ
ถาม.
ถามในกิจการบทที่ 6:10-11 ค่ะ
และคนเหล่านั้นไม่สามารถต่อต้านสติปัญญาและพระวิญญาณซึ่งทำให้ท่านพูดนั้น และพวกเขาได้ลอบเอาหลายคนเข้ามา ซึ่งกล่าวว่า “พวกเราได้ยินคนนี้พูดถ้อยคำหมิ่นประมาทต่างๆ ต่อโมเสสและต่อพระเจ้า” ถ้อยคำหมิ่นประมาทคืออะไรค่ะ
ตอบ.
ถ้อยคำหมิ่นประมาทนะครับ ก็คือมาจากคำสอนหลายเรื่องของพระเยซู ที่ฟาริสี ธรรมาจารย์ สะดูสี รับไม่ได้
จำกันได้ไหมพระเยซูถูกตำหนิ พระเยซูถูกข่มเหง พระเยซูถูกประหารชีวิตเรื่องอะไร? พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้าเนี่ย คือสิ่งที่ดูถูกคำสอนของโมเสส โมเสสเป็นผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของชนชาติอิสราเอล แล้วอยู่ดีๆ นะครับ พระเยซูเป็นใครมาจากไหน ใหญ่มาจากไหนใช่ไหม อยู่ดีๆ ก็มาบอกว่าเป็นบุตรพระเจ้า เป็นพระบุตรพระเจ้า เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโมเสส อันนี้เขารับไม่ได้ ซึ่งเป็นเรียกว่าเป็นถ้อยคำหมิ่นประมาทครับผม
...
ถาม.
ก็เลยเป็นต้นเหตุให้สาวกในตอนนั้นถูกทำร้ายใช่ไหมคะ เช่นสเทเฟน
ตอบ.
ในบทต่อไปบทที่ 7 นะครับเราจะพบว่าเขาประหารชีวิต เขาเอาหินขว้างสเทเฟนให้ตายครับ เนื่องจากว่าพูดถ้อยคำหมิ่นประมาทนี่แหละ แต่ถ้อยคำหมิ่นประมาทนี้ขอบคุณพระเจ้าที่เรารู้นะครับว่าพระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า เรารับได้ เอเมน
และพระเยซูอยู่ก่อนหน้าโมเสส เอเมน พระเยซูเป็นคนให้พระบัญญัติ 10 ประการแก่โมเสส เอเมน พระเยซูเป็นพระเจ้า เอเมน เป็นพระผู้ไถ่ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโมเสสอีก เอเมน เรารับได้เราขอบคุณพระเจ้า
“เอเมน เราขอบคุณพระเยซูสำหรับวันนี้ที่พระองค์นำพา พระองค์เป็นพี่ชาย พระองค์ทำหน้าที่ปุโรหิต และนำพวกเราเพื่อปรนนิบัติพระเจ้า และถวายเครื่องบูชาก็คือนำความรักมาถวายแด่พระองค์ บอกรักสนิทในพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับคนใหม่ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรัก พระเมตตา พระคุณ ทุกสิ่งที่มีต่อพวกเรา
และขอบคุณที่เลือกเราทั้งหลายซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย ที่ได้รับสิทธิพิเศษ เป็นคนพิเศษ เป็นคริสเตียนที่พิเศษ ดำเนินชีวิตที่พิเศษ โดยการใช้ความรักเป็นหลัก ความรักเป็นใหญ่ เพื่อสำแดงชีวิตของพระองค์ และเพื่อสำแดงความรักของพระองค์ต่อโลก พระเยซูพวกเรารักพระองค์ ขอให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในชีวิตและในทุกสิ่ง เอเมน”