- อันตรายของการใช้ความดีของอาดัมที่เป็นไม้ ฟาง และหญ้าแห้งในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า
เรารู้แล้วนะครับว่า ทุกสิ่งจะเป็นศูนย์หมดนะครับ ถ้าเราไม่ได้รับใช้พระเจ้าและดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ และเพื่อพระคริสต์ แต่เราใช้ตัวเก่า ใช้มนุษย์อาดัม เราก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป
a. บางคนมีมากมีน้อยไม่เท่ากัน คนที่ไม่มีจริงๆ อย่างน้อยจะมีของประทานอย่างหนึ่ง
อย่าคิดนะครับว่า เราไม่มีของประทานอะไรเลย ทุกคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ จะมีของประทานแน่นอนไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีหนึ่งของประทาน ให้เราค้นหาและใช้
อย่าลืมนะครับ อันตรายมากถ้าไม่ใช้ของประทาน คนที่ไม่ใช้ของประทาน พระเยซูจะโยนออกไปข้างนอก ให้ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ที่เกเฮนา
เราต้องใช้ของประทานนะครับ ค้นหาดู ถามพระบิดาว่า “พระบิดา พระองค์ประทานของประทานอะไรให้ข้าพระองค์” แต่อย่าขอนะครับ
ของประทานเราไม่มีสิทธิ์ขอ เช่น “ขอให้ข้าพระองค์รักษาโรค” อันนี้ไม่ได้ หรือ “ขอให้ข้าพระองค์เทศนา” ก็ไม่ได้ พระเจ้าเป็นคนให้เราอันไหน เราก็ต้องรับอันนั้น และค้นหาแล้วก็เอามาฝึกใช้ แค่นั้นครับ
ผมมีของประทานชี้บ้านให้บ้านทุกบ้านพัง “บ้าน” ก็คือชีวิตของคริสเตียน “พัง “ก็คือตาย พอผมบอกว่า “เราทุกคนตายแล้ว” เราเชื่อใช่ไหมครับ นี่ครับคือผลของของประทาน ขอบพระคุณพระเยซูที่เมตตาผม และใช้ผมครับ
ถ้าหากเราฝัน ได้รับนิมิต หรือรู้สึกว่าเราทำอะไรที่เกิดผลเยอะๆ อาจจะเป็นของประทานของเราก็ได้ ให้เรานำมาใช้ให้เกิดผล แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่มีของประทานรักษาโรค จะวิ่งไปที่โรงพยาบาล
คริสเตียนบางคนตื่นเต้น คิดว่าตัวเองมีของประทานรักษาโรค ก็ไปโรงพยาบาลเลย เพราะว่ามีคนป่วยเยอะ ไปขอวางมือเลย แต่เค้าไม่หาย เพราะว่าการรักษาโรค หรือการใช้ของประทาน จะต้องเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นคนกำหนด ถ้างานเข้าเราจะรู้เอง ไม่ใช่ไปวิ่งหางานทำ ไม่ครับ ไปวิ่งหาผี ผีเข้าคนที่ไหน มีนะคริสเตียนที่เป็นแบบนี้ ทุกวันนี้ที่เมืองไทยก็มี ผมไม่ขอพูดถึงชื่อนะครับ
อาจารย์บางคนมีขบวนรถ แล้วก็บอกว่า อาทิตย์นี้เราจะไปไล่ผีที่นี่ที่โน่นแล้วก็ไป ไม่ใช่ครับ แต่ถ้างานเข้า คือพระเจ้าจะเป็นคนเปิดโอกาส เปิดงานให้เราไปทำ
อย่างน้อยทุกคนมีของประทานนะครับ อย่างน้อยมีชิ้นหนึ่ง หรือบางคนมีเยอะมาก บางคนเทศนาได้ บางคนสั่งสอนได้ บางคนเผยพระวจนะได้ บางคนรักษาโรคได้ บางคนไล่ผีได้ มีเยอะนะครับ
b. ถ้าหากเราไม่ใช้ของประทาน อย่าฝังของประทานไว้ในดิน
- ของประทานจะถูกเอาไปจากเขาถ้าไม่ใช้
1. ขณะที่เราอยู่คนเดียว หรืออยู่ร่วมกับพี่น้อง ให้พระคริสต์เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ให้คริสตจักร หรือมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เราเอ่ยชื่อพี่น้อง หนังสือ หรือผู้รับใช้บางคนที่มีคุณต่อเราบางครั้งบางคราว แต่ไม่บ่อยเกินไป เราควรใส่ใจไปที่พระคริสต์มากกว่าสิ่งอื่นใด
พี่น้องเดียร์ส่งข้อความมาหาผมแต่เช้า บอกว่า “พี่เจ ตื่นนอนตอนเช้าทำไมพูดคำว่าพระเยซูเลย” ก็เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในเค้า อยากให้เค้าออกปากพูดว่า “พระเยซู” หลังจากนั้นก็พูดว่า “ข้าพระองค์รักพระองค์” “พระเยซู ขอบพระคุณพระองค์ที่ประทานชีวิตใหม่ให้ในวันนี้” ฯลฯ แต่คำแรกที่พูด ก็คือพระเยซู นี่คือการให้พระเยซูเป็นศูนย์กลางครับ ทำงานหรือทำอะไรก็ตาม มีพระเยซูเป็นศูนย์กลาง อย่าลืมพระเยซูเด็ดขาดนะครับ ส่วนมากเราลืมพระเยซู
พี่น้องทราบไหมครับว่า ทำไมพระเยซูให้เราทำมหาสนิท เพื่อระลึกถึงการฟื้นคืนแค่นั้นหรือเปล่าครับ
จำได้ไหมครับที่พระเยซูพูด “Do This To Remember Me” แต่ภาษาไทยแปลว่า “จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” คำว่า “ระลึกถึงเรา” ยังแปลไม่ตรง แต่ภาษาอังกฤษคือ “Do This = จงทำอย่างนี้” “To Remember Me = เพื่อจำเรา” เพราะเราชอบลืมอะไรครับ เราชอบลืมพระเยซู
เมื่อกี้เราไปทานข้าวด้วยกันอยู่ข้างนอก เราจำพระเยซูอยู่กับเราไหม ไม่ครับ เราก็พูดกันไปเรื่อยเปื่อย พูดเรื่องอื่นครับ คุยกันไปเพลิน แล้วก็ลืมพระเยซูว่าอยู่กับเรา พระเยซูถึงบอกเราว่า “ทำอย่างนี้เพื่อจำว่าเราอยู่กับเจ้า”
ใช่ครับ มหาสนิทก็คือการประกาศการวายพระชนม์ของพระเยซู และการเฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู แต่ว่าพระเยซูบอกอีกคำหนึ่งนะครับว่า “Do This To Remember Me” “ทำเพื่อจำว่าเราอยู่กับพวกท่าน เพราะว่าพวกท่านลืมบ่อยมาก เราไม่เคยทิ้งพวกท่าน แต่พวกท่านทิ้งเรา”
“เอเมนพระเยซู ขอบพระคุณในความรักของพระองค์ พระเยซูพวกเรารักพระองค์ ขอบพระคุณที่สถิตท่ามกลางพวกเราทั้งหลาย ขอบพระคุณที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ และขอบพระคุณที่เปิดตาพวกเราทั้งหลายให้เข้าใจความหมายของคำว่าคริสตจักร และเห็นคุณค่าที่สำคัญมากของคริสตจักร พระองค์รักพวกเรา และพระองค์รักคริสตจักร และพวกเราก็รักคริสตจักรเหมือนกัน เอเมนพระเยซู”
เราที่เป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของมนุษย์ที่ตั้งขึ้นมา แต่เราอยู่ในกฎเกณฑ์แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราอยู่ในกฎเกณฑ์ที่พระเยซูกำหนดให้เราทำทุกสิ่งทุกอย่าง คือกฎเกณฑ์ที่ภาระเบา กางเขนเบา ทุกสิ่งทุกอย่างเบา ได้รับการพักผ่อน
ใครตื่นแต่เช้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องบังคับกัน ใครทำได้ก็ทำ ใครตื่นแต่เช้าอธิษฐานบ่อยๆ ไม่ได้ ก็อธิษฐานตอนเย็นตอนกลางคืนก็ได้ แล้วแต่ขนาดของความเชื่อของเรา ไม่มีการบังคับ พระเจ้าไม่เคยบังคับเรานะครับ
บางคนเหนื่อยมากๆ แต่ก็ยังลุกขึ้นตื่นแต่เช้าอธิษฐานเป็นชั่วโมงๆ คิดว่าเค้าทำเพื่อพระเจ้า แล้วในที่สุดเค้าล้มป่วย เหนื่อย ไม่มีแรง ถามว่าโทษใคร
ขอย้ำนะครับ คริสตจักรฝ่ายวิญญาณ เราทำตามขนาดของความเชื่อ ทำได้มากน้อยแค่ไหนเราก็ทำ ไม่มีการบังคับ ไม่ต้องพร้อมกันก็ได้ แล้วแต่เรา อยู่ที่เรานะครับ
ถ้าหากเราเป็นคริสเตียนฝ่ายวิญญาณ ที่เติบโตขึ้นสู่การเป็นหนุ่ม และสู่การเป็นระดับพ่อนะครับ เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เอง ธรรมชาติในเราจะเป็นคนผลักดันเรา เคลื่อนไหวในเรา ทำให้เราทำได้
อย่าลืมนะครับ ผมขอบอกพี่น้องอย่างหนึ่ง เรื่องพระเจ้ากับมนุษย์ไม่ใช่ศาสนา เรื่องพระเจ้ากับมนุษย์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่โรแมนติก โรแมนติกมากๆ พระคัมภีร์เป็นจดหมายรักของพระเจ้าที่ส่งมาให้มนุษย์
เราดูในยุคพระบัญญัติมันน่ากลัว น่าเกลียดน่ากลัวมากๆ สิ่งที่พระเจ้าทำกับมนุษย์น่ากลัว แต่ยุคนี้เป็นยุคพระคุณ พระเจ้าสำแดงพระคุณ
สาเหตุที่พระเจ้าโหดร้ายกับชาวอิสราเอล เพราะว่าเค้าต้องการความโหดร้าย เค้าต้องการกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ เมื่อกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ทำหน้าที่ของพระเจ้าไม่ได้ พระเจ้าก็ต้องลงโทษเค้า
คำว่าพระพิโรธของพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าโกรธ ไม่ครับ พระเจ้าโกรธไม่เป็น พระเจ้าไม่เคยโกรธ แต่เมื่อมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เค้าไม่รักษาพระบัญญัติ
เค้าเรียกร้องตามแบบของมนุษย์ พระเจ้าก็เลยให้ตามแบบของมนุษย์
คุณต้องการพระบัญญัติ คุณต้องการกษัตริย์ คุณต้องการในสิ่งที่คุณต้องการ เมื่อคุณทำผิด คุณก็รับโทษ
ในยุคพระบัญญัติ มนุษย์เป็นคนเสนอกับพระเจ้า อยากได้นู่นนี่นั่นกับพระเจ้า พระเจ้าก็ให้ แล้วพระเจ้าบอกว่า ถ้าไม่ได้ก็ต้องตีนะ ทำสัญญากับเรา แล้วไม่ทำตามที่เราบอก ต้องตีนะ พระเจ้าก็ตี
แต่ยุคพระคุณ มนุษย์ไม่มีสิทธิ์เสนอกับพระเจ้า แต่พระเจ้าเป็นคนเสนอกับเราเอง
พระเจ้าบอกว่า พระเจ้าทรงรักโลก จะประทานพระบุตรมาให้มนุษย์ ถ้าใครเชื่อและวางใจพระบุตรนั้นก็จะไม่พินาศ แต่มีความรอด ได้รับความรอดนิรันดร์ใช่มั๊ยครับ แล้วพระเยซูก็มาสำแดงพระคุณของพระเจ้า พระเยซูมาสำแดงความรักของพระเจ้าแก่มนุษย์โลก
พระเจ้าตอนนี้ประทับที่พระที่นั่งแห่งพระคุณ พระเจ้าก็เลย Soft ก็เลยสำแดงความรักและพระคุณ
ที่จริงแล้วพระเจ้าเป็นความรักตั้งนานแล้ว แต่มนุษย์ต้องการแบบไหน พระเจ้าก็ให้แบบนั้น อย่าเข้าใจผิดว่า พระเจ้าน่ากลัว ไม่เลย มนุษย์นี่แหละทำให้พระเจ้าทำแบบนั้นกับเค้าครับ
นี่เป็นภาพของการนมัสการที่นู่น เราทำแบบสบายๆ กันเองๆ การแต่งกายไม่มีอะไรเลิศเลอหรูหรา ธรรมดาๆ เพียงแต่เราใส่กางเกงขายาว อยากเอาเสื้อเข้าในกางเกงก็ได้ หรือไม่เข้าก็แล้วแต่ สะดวกสบาย ง่ายๆ เหมือนกับเราทำอะไรอยู่ที่บ้านนั่นแหละ หรือไปไหนมาไหนธรรมดา
บางคนบอกว่า “ถ้าเราทำแบบนี้ ไม่ได้ให้เกียรติพระเจ้าเหรอ” คือการถวายเกียรติแด่พระเจ้า ต้องทำอะไรครับ
พระเยซูต้องการการแต่งกายดูดีภายนอกหรือภายใน… ภายใน
ยุคนี้เป็นยุคภายใน เป็นยุคแห่งการทำใจให้ดี พระเจ้าไม่ได้สนใจภายนอก แต่สนใจภายใน
บางคนบอกว่า “เอ๊ะ อาจารย์ ถ้าภายในเราดีเนี่ย ภายนอกเราก็ต้องดีด้วยสิ” คือมันดีเอง
ก็ดีถ้าทำได้ ถ้าคนไหนที่ความเชื่อยังไม่ถึง หรือว่าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ สำหรับผมนะครับ ผมชอบสบายๆ ง่ายๆ นะครับ
เมื่อก่อนผมมีชุด มีเน็คไท มีเสื้อแบบแพงๆ ด้วย แต่ตอนนี้ทิ้งหมดแล้ว ใส่ธรรมดาๆ เป็นเจผู้เล็กน้อยครับ แต่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้านะ เอเมน
ตำแหน่งหน้าที่ของปุโรหิตที่สำคัญ ผมจะไม่พูดถึงทุกอย่างนะครับ เราไปคิดกันเอง ไปอธิษฐานกันเอง หรือว่าเราคุยกันทีหลังก็ได้ แต่ตอนนี้เราจะพูดถึงเฉพาะแต่ที่สำคัญเท่านั้นนะครับ
การรับใช้พระเจ้า อย่าใส่ใจที่การกระทำเพื่อหวังผลตอบแทนเหมือนเมื่อก่อน แต่เพื่อรอรับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้า และเราทำเพราะเรารักพระเยซู
เมื่อก่อนเราทำเพื่ออะไร เพื่อตำแหน่งหน้าที่, ค่าจ้างรางวัล, เงินเดือน, เกียรติยศ, หน้าตา, ชื่อเสียง, พระพรจากพระเจ้า, กลัวจะไม่รอด, กลัวพระเจ้าลงโทษ หรือเพื่อให้คนอื่นยอมรับเรา