1. พระเจ้าสร้างวิญญาณ (spirit) เพื่อติดต่อกับพระเจ้า และมีสภาพเดียวกันกับพระเจ้า
---------------------
2. พระเจ้าสร้างกายดิน (earthly body) เพื่อติดต่อกับสิ่งในโลกนี้ มนุษย์ด้วยกัน สัตว์ ต้นไม้ ฯลฯ
---------------------
3. พระเจ้าสร้างจิต (soul) ให้เป็นคนกลาง เพื่อติดต่อวิญญาณ และร่างกาย เพราะสองสิ่งนี้ติดต่อกันเองไม่ได้
---------------------
4. จิต เกิดจากสองสิ่งมารวมตัวเป็นหนึ่งเดียว คือร่างกาย และวิญญาณ คือพระเจ้าไม่ได้เนรมิตสร้างจิตโดยตรง แต่จิตเกิดมีตอนที่วิญญาณเข้ามาอยู่ในร่างกายดิน
(ปฐก 2:7 ภาษาฮีบรู แปลว่า "...และทรงระบายวิญญาณเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตมีชีวิตอยู่ " (หรือเกิดมี וַֽיְהִ֥י = way-hî )
- วิญญาณ + ร่างกาย = กลายเป็นสิ่งที่สาม คือ จิต (spirit + dust = soul)
- จิต ไม่มีตัวตน แต่ก็ไม่ใช่วิญญาณ และเป็นคนละแบบกับวิญญาณ
- การสร้างมนุษย์ เป็นงานฝีมือที่อัศจรรย์ ยิ่งใหญ่มากของพระเจ้า)
---------------------
5.- ก่อนอาดัมทำบาป วิญญาณเป็นนายของจิต เป็นจุดศูนย์กลางของชีวิต เป็นคนสั่งทุกสิ่งอย่าง
- หลังอาดัมทำบาป วิญญาณตาย/ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ไม่มีอำนาจใดๆ ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ร้องเรียกหาทางออก หรือการปลดปล่อย
- วิญญาณนี่เอง ที่เป็นเหตุให้เกิดมีศาสนามากมาย เพราะเขาแสวงหาทางออกของชีวิตที่ตกต่ำ เพื่อได้พบพระเจ้าผู้ที่สร้างเขา จิตจึงเป็นนาย และเป็นศูนย์กลางของชีวิต และจิตก็มีตัวบาปเข้ามาสิงอยู่ (โรม 5:12, 7:17, 20-21)
---------------------
6.- เมื่อเรารับพระเยซู วิญญาณกลับมาเป็นนาย (แต่คริสเตียนไม่รู้ จึงยังให้จิตที่เสื่อมนี้เป็นนายบังคับบัญชาชีวิตเขาอยู่เหมือนเดิม)
จิต จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ รักโลก กิเลสตัณหาโลภโกรธหลง
จิต อยากทำดีเชื่อฟังพระเจ้าแต่อ่อนแอมาก (โรม 7:14-24)
เมื่อจิตนี้ถูกเปิดตา (ตาใจ หรือตาจิต) จิตจะยอมยกอำนาจให้วิญญาณครอบครอง และเป็นนาย
การเป็นนายของวิญญาณ คือการยอมตายต่อจิตเก่าเพื่อรับจิตใหม่ (มธ 16:25-26)
การตายต่อจิตนี้ คือเชื่อเอาว่าตายแล้ว เรามีจิตใหม่แล้ว เพราะเป็นการกระทำของพระเจ้าเมื่อสองพันปีก่อน (โรม 6:3-13)
การให้วิญญาณเป็นนายเราเชื่อเอาว่าจิตตาย และนายคนใหม่ คือวิญญาณ และวิญญาณนี้มีพระเยซูเป็นคนที่จะมาเพื่อกระทำดีแทนเขา (กท 2:20)
วิญญาณของผู้ชนะจะมีกำลังมาก ตัวบาปก็อ่อนแอ และไม่สามารถบังคับเราให้ทำบาปได้อีก (โรม 8:1-2)
---------------------
7.- จิตเก่าเป็นที่อยู่ของตัวบาป จิตเก่าถูกขายให้เป็นทาสของตัวบาป เราจึงเชื่อฟังมากไม่ได้ (โรม 7:14- 15) คริสเตียนจึงเลือกทำข้อง่ายๆ ข้อยากก็ไม่ทำแต่แสดงละครว่าดีครบเข้มแข็ง (ใส่หน้ากาก)
การให้วิญญาณเป็นนาย คือเชื่อเอา เชื่อทุกวันว่าเราเป็นคนใหม่ และให้พระคริสต์ทำแทน
เราจะเห็นอาการชีวิตของเราเปลี่ยนไป และมีมากขึ้นทุกวัน (โรม 6:11 / 1 คร 15:31 / ลก 9:23)
วิญญาณจะสั่งจิต (ใหม่) และจิตจะสั่งร่างกายให้ดำเนินชีวิตทำทุกสิ่งตามน้ำพระทัย และแสวงหาฝ่ายวิญญาณไม่สนองตัณหาของเนื้อหนัง วิญญาณสั่งร่างกายไม่ได้ แต่วิญญาณจะสั่งจิต และจิตจะสั่งร่างกายทำตามอีกที
---------------------
8.- จิตทุกวันนี้ใหม่แล้วตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย แต่ผู้เชื่อไม่รู้ (คส 3:3 / โรม 6:3-13 / 2 คร 5:14 / 2 คร 5:17)
จิตต้องการการเปิดตาให้ได้รู้ รู้เท่านั้น คือปัญหาของจิต การรู้ คือการจำเริญขึ้นในพระคุณ จิตไม่ต้องการพระพรแต่ต้องการพระคุณ คือเมื่อได้รู้ครบแล้ว จึงเลิกพยายามเป็นในสิ่งที่เป็นแล้ว และเลิกพยายามขอในสิ่งที่มีแล้ว
- พระบัญญัติ คือเราทำเพื่อพระเจ้า พระคุณ คือพระเจ้าทำเพื่อเราในเรา
- พระบัญญัติ คือพระเยซูสั่งเรา พระคุณ คือพระเยซูทำแทนเราในเรา
2 คร 4:16 เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรา (คือจิตเก่า และร่างกาย) กำลังทรุดโทรมไป แต่จิตภายในนั้น (วิญญาณ และจิตส่วนที่เปลี่ยนใหม่แล้ว) ก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน
การจำเริญขึ้น คือการตายของจิตเก่ามากขึ้นๆ ถ้าเราเชื่อเอาเราจะเห็นการตายนี้จนครบ (โรม 6:7)
---------------------
9.- จิต ( Soul) มีส่วนประกอบสามส่วน...
1. ความคิด (Mind)
2. ความรู้สึก (อารมณ์) (feeling /emotion)
3. ความปรารถนา (will)
- จิตสามส่วนนี้จะทำงานร่วมกัน แต่ความคิดเป็นศูนย์กลาง หรือเป็นหลักสำคัญ
เมื่อมีคนพูด คุณฟัง ความคิดจะทำงานว่าจะรับ หรือไม่รับ จากนั้นก็ส่งข้อมูลไปให้ >>> ความรู้สึก เช่น ถ้าเขาพูดเรื่องพระเจ้ารักเรา คุณก็จะ >>> รู้สึกซาบซึ้งอยากร้องไห้ จากนั้นความรู้สึกก็จะส่งข้อมูลไปหา >>> ความปรารถนา คือ >>> อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อพระเจ้า >>> อยากขอบพระคุณ >>> อยากบอกคนอื่นเรื่องความรักที่เขาเล่า
---------------------
10.- อธิบาย ลงลึกในความคิดเพิ่มเติม ความคิดประกอบไปด้วย…
- ความคิดของมนุษย์มีหลายชั้น และสองส่วนหลักๆ คือส่วนลึก และส่วนตื้น
ส่วนตื้น คือเราจำได้คิดได้ แต่ส่วนลึกของจิตเราอาจจะจำแทบไม่ได้ และมีมากมายหลายล้านๆ เรื่องที่กักขังปกปิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนเราเป็นเด็กจนถึงทุกวันนี้ เมื่อพระเจ้าเปิดเผยเราจึงนึกได้ หรือจำได้
ส่วนลึกของจิตนี่เองที่พระเจ้ามองเห็น และเลือกไถ่คนที่จะรับ และจะรอด
มีบางคนสามารถสะกดจิตได้ และทำให้เรานึกถึง หรือเห็นภาพที่เราลืมไปนานมากแล้ว หรือตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ เพราะส่วนลึกของจิตยังเก็บมันไว้อยู่
- ส่วนตื้น เรียกว่า จิตสำนึก
- ส่วนลึก คือ จิตใต้สำนึก
เนื่องจากอาดัมทำบาป สมองที่เป็นส่วนหนึ่งที่จิตใช้เพื่อทำงาน ถูกทำลาย 80-90 %
สมองส่วนดังกล่าวมีต่อมน้ำใช้งานไม่ได้ ที่เราเรียกกันว่าสมองขี้เลื่อย ถ้าสมองทำงานได้เต็มร้อย จิตจะมีพลังยิ่งใหญ่ ทำอะไรที่เราทำไม่ได้มากมาย ในยุคหน้า และฟ้าสวรรค์ใหม่ สมองจะกลายเป็นทิพย์ และใช้งานได้เต็มร้อย
---------------------
11.- ส่วนลึกส่วนตื้นอยู่ในความคิด อยู่ในจิตส่วนที่เป็นความคิด
ความคิด เป็นศูนย์กลาง ความรู้สึก และความปรารถนาเป็นแค่ส่วนประกอบของจิต
ผู้ชายคนหนึ่ง เกลียดพ่อของเขามาก เพราะว่าตอนเป็นเด็กพ่อตีดุด่าว่าข่มเหงประจำ พอโตเป็นหนุ่ม เขาหนีออกจากบ้าน ไม่นานต่อมากลับใจเป็นคริสเตียน เขาอ่านพระคัมภีร์ เรื่องการยกโทษ เขาจึงพยายามยกโทษสิ่งที่พ่อทำกับเขา เขาพยายามลืมมันไป ไม่คิดอะไร อยู่มาวันหนึ่งพ่อเขาเสียชีวิต เขากลับบ้านเพื่อมางานศพพ่อ เขาไม่ร้องไห้เลย อยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก รู้สึกเฉยๆ และรู้สึกว่าไม่ได้ยกโทษจริงๆ
การไม่ร้องไห้ คือส่วนลึกของหัวใจ (จิต) ไม่ได้ยกโทษ เพียงแต่ยกโทษในส่วนตื้นของจิต
---------------------
12.- เมื่อเรารับความรอด จิตสำนึกเราถูกต้อง100%?
จิตสำนึกจะตั้งอยู่ในมโนธรรม รักชอบในเรื่องศีลธรรมที่มาจากวิญญาณที่เป็นฉายาของพระเจ้า จิตรักชอบในเรื่อง ความรัก ความจริง ความชอบธรรม และความบริสุทธิ์
แต่จิตนี้อ่อนแอทำไม่ได้มากตามมาตรฐานของพระเจ้า ต้องพึ่งพระคริสต์ทำแทนอ่าน (โรม 7:22)
ความอ่อนแอของจิต (โรม 7:14-24)
จิตจึงต้องตาย (โรม 6:6)
เมื่อจิตตาย ตัวบาปก็ทำอะไรจิตไม่ได้ มันบังคับจิตให้ทำบาปไม่ได้อีก (โรม 6:7)
- ความคิดที่วิเคราะห์ หาเหตุผล
อยู่ในความคิด จิตมีสามส่วน ความคิด อารมณ์ความรู้สึก และความปรารถนา (ความอยาก)
ความคิดจะเป็นตัวทำงาน มันมีจิตสำนึก จิตใต้สำนึก การวิเคราะห์หาเหตุผล และจินตนาการ
- จิตเหมือนเรือน ที่มีคนสามคนอยู่ด้วยกัน คือความคิด รู้สึก และปรารถนา
---------------------
13.- ความฝัน ภวังค์ นิมิต
สิ่งเหล่านี้เข้ามาหาเราทางความคิด แต่ไม่ได้อยู่ในความคิด
ฝัน / นิมิต มาจากสามแหล่ง พระเจ้า มาร และสมองทำงานเอง
นิมิต / ฝันที่มาจากสองแหล่งจึงมาจากข้างนอก
ส่วนที่สมองทำงาน คือจากข้างใน
- โลกธรรมชาติที่เราอยู่ มีสองมิติ คือโลกวิญญาณ และโลกที่ตาเรามองเห็น
เป็นคนละฝ่าย เหมือนซ้ายขวา
วิญญาณของเราอยู่ข้างในสุด
จิตอยู่ตรงกลาง
กายคือที่เราเห็นนี้
ใต้สะดือโลกมีไฟลุกไหม้ แต่อีกฝ่าย คือแดนมรณา และเมืองบรมสุขเกษม
แผ่นดินโลกเราเห็นฝ่ายกายนี้ แต่อีกฝ่ายทูตสวรรค์ และมารเดินไปมาอาศัยอยู่เต็มไปหมด
เรือนที่เราผู้เชื่อซื้อ หรือเช่าอยู่ทูตสวรรค์ยืนเฝ้าบนหลังคา และไปมาในบ้าน เพื่อมาปรนนิบัติดูแลพระเจ้าทั้งสามพระภาคที่อยู่ในเรา และดูแลเราด้วย
ปกป้องเราเมื่อสั่งให้ปกป้อง ปล่อยให้มารแตะเมื่อเราไม่เชื่อฟัง หรือไม่สารภาพ หรืออยู่ในฝ่ายเนื้อหนัง
เขานำปัญหามาเมื่อพระบิดาต้องการทดสอบ หรือเพื่อทำให้เราโต ทูตสวรรค์จะยืนดู หรือให้สิ่งดีสิ่งร้ายเกิดกับเรา อยู่ที่พระเจ้าสั่ง
---------------------
14.- ชีวิตพระเยซู หรือชีวิตพระเจ้า คือ Zoe “ โซเอ้ ”
- Zoe “ โซเอ้ ” จะเข้ามาอยู่ในวิญญาณใหม่ของเรา
โซเอ้นี้จะยืนเคาะที่จิต เพื่อเปิดตาจิต ให้จิตรู้ว่าเขาตายแล้ว และตอนนี้เป็นจิตใหม่ เพื่อโซเอ้จะเข้ามาครอบครองจิตทุกส่วน เมื่อจิตกินข้าวพระเยซูก็กินด้วย คือใช้ปากนี้กินด้วยกัน (วว 3:20)
เมื่อจิตถูกเปิดตา จิตจะเชื่อเอาว่า โซเอ้ ครอบครองสร้างบ้านที่จิตเรียบร้อยแล้ว (อฟ 3:17)
- จิตที่พระเจ้าให้ มีอำเภอใจด้วย
"สิทธิเสรีภาพของจิต" นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าแตะต้องไม่ได้ และนี่คือสาเหตุที่มนุษย์ทำบาป และตกต่ำ
คือไม่อยู่ใต้บังคับใครเลย แต่ถ้าเราขอเป็นทาส พระเจ้าจะบังคับจิตนี้ เปาโลขอเป็นทาส
และถ้าเราสมัครใจเป็นคนรับใช้ธรรมดา เรามักจะทวงค่าตอบแทนพระพร หรือหนีเมื่อพบปัญหา ไม่รับผิดชอบ
ส่วนทาสจะหมดสิทธิ์ หนีไม่ได้ เขาไม่มีสิทธิ์หนี ไม่ท้อ ไม่เบื่อไม่บ่น เขาทำทุกสิ่งในพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ และเพื่อพระคริสต์ผู้เดียว เขาไม่รับเกียรติอะไร เพราะเปาโลรู้ดีว่าทาสในยุคนี้ คือนายในยุคหน้า
- ท่ามกลางผู้รับใช้ของพระเจ้า พระเจ้าให้โอกาสเราเลือกว่าเราอยากเป็นผู้รับใช้แบบคนใช้ หรือทาส ถ้าคนใช้เรามีสิทธิ์เปลี่ยนใจเลิก หรือถอนตัวลาออกได้ แต่ทาส คือยอมขายชีวิตทั้งชีวิต และขายทั้งสิทธิเสรีภาพด้วย พระเจ้าจึงทำให้เขาเกิดผลได้มากมาย
- Zoe คือชีวิตพระเจ้า เป็นบุคคล ที่เข้ามาอยู่ในเรากับเรา และเพื่อเรา
- Zoe นี้ จะดำเนินชีวิตในเรา และไม่ทำบาปโดยธรรมชาติในพระองค์เอง