1. การได้กลายเป็นบุตร ทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์
2. การก่อชีวิตขึ้นในเรา เป็นความจำเป็นเพื่อการรับมรดกที่ครบถ้วนตามพระสัญญาที่ทรงประทานแก่อับราฮัม
3. บุตรพระเจ้าทางการบังเกิดในพระวิญญาณ และประชากรของพระเจ้าทางการบังเกิดในเนื้อหนัง
หนังสือสี่เล่มดังกล่าวก็คือหนังสือกาลาเทีย เอเฟซัส ฟิลิปปี และโคโลสี...
- หนังสือเอเฟซัส เปิดเผยเรื่องพระคริสต์และพระกายของพระองค์ Christ and the Body
- หนังสือโคโลสี พูดถึงเรื่องพระคริสต์ในฐานะของศีรษะของพระกาย Christ as the head of the Body
- หนังสือกาลาเทีย พูดถึงเรื่องพระคริสต์ผู้เข้ามาแทนที่ทุกสิ่ง Christ is Everything
- หนังสือฟีลิปปี กล่าวถึงเรื่องประสบการณ์ชีวิตที่พระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเรา Experience of life in Christ
- พระเยซูกับศาสนาของมนุษย์ /God's Son versus Man's Religion
- เรื่องชีวิตที่เป็นไทในพระคริสต์และชีวิตที่เป็นทาสอยู่ใต้พระบัญญัติ /Freedom in Christ versus Slavery under Law
- เรื่องข่าวประเสริฐที่แท้จริง หรือความจริงแห่งข่าวประเสริฐ โดยเปาโล /the true gospel by Paul
- เรื่องตายต่อพระบัญญัติและมีชีวิตอยู่ต่อพระเจ้า /Dead to Law but Living to God
- เรื่องเราไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในเรา /No Longer I, but Christ Living in Me
- เรื่องพระสัญญาและพระบัญญัติ /The Promise versus the Law
- เรื่องความเชื่อเข้ามาแทนที่ (การรักษา) พระบัญญัติ /Faith Replacing Law
- เรื่องเมล็ดของอับราฮัม (พระคริสต์) และลูกหลานของอับราฮัม (ผู้เชื่อ) /The Seed of Abraham and the Sons of Abraham
- เรื่องบัพติศมามาเข้าในพระคริสต์ สวมใส่พระคริสต์ และการได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ /Baptized into Christ, Putting on Christ, and All One in Christ
- เรื่องพันธสัญญาเดิมสำหรับอิสราเอลกับพันธสัญญาใหม่สำหรับคริสเตียน /Two Covenants and Two Kinds of Children
- เรื่องเดินด้วยเนื้อหนังกับเดินด้วยพระวิญญาณ /walk by the flesh versus walk by the Spirit
- เรื่องการถูกตรึงของตัวเก่าเพื่อเดินด้วยพระวิญญาณ /Crucifying the Flesh to Walk by the Spirit
- เรื่องการถูกตรึงต่อศาสนาของโลกนี้เพื่อดำเนินชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ /Crucified to the Religious World to Live a New Creation
- เรื่องการบังเกิดในพระวิญญาณเพื่อรับพระวิญญาณ /Born of the Spirit to Receive the Spirit
- เรื่องดำเนินชีวิตและเดินด้วยพระวิญญาณ /Live in the Spirit and walk in the Spirit
- เรื่องหว่านในย่านวิญญาณเพื่อเก็บเกี่ยวฝ่ายวิญญาณ /Sow unto the Spirit to Reap Eternal Life
4:1 แล้วข้าพเจ้าขอพูดว่า ตราบใดที่ผู้รับมรดกยังเป็นเด็กอยู่เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งปวง
** คำว่า "เด็ก" ในที่นี้ คือเด็กน้อย หรือ (little child)
** (บทที่สี่ เป็นเรื่องราวต่อจากบทที่สาม คือเชื้อสายอับราฮัมก็คือพระเยซูคริสต์ และถ้าหากชาวยิว และต่างชาติเป็นของพระคริสต์ ทุกคนก็ได้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม ดู กท 3:29)
** ชาวยิวถือกำเนิดในเนื้อหนัง และยังต้องรอพระเยซูเสด็จมาเพื่อรับพระเยซู และได้บังเกิดใหม่ เพื่อให้ได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า และเป็นเชื้อสายอับราฮัมอย่างแท้จริงทางพระเยซูคริสต์ เพื่อที่จะได้รับมรดกคือความรอด การได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ ความหวัง ชีวิตใหม่ และสันติสุขอย่างครบบริบูรณ์
4:2 แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและผู้ดูแล จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้
** "ผู้ปกครอง" คือพระบัญญัติเดิม
4:3 ฝ่ายเราก็เหมือนกัน เมื่อเป็นเด็กอยู่ เราก็เป็นทาสอยู่ใต้บังคับโลกธรรม
** "ฝ่ายเรา" ในที่นี้ คือผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว แต่ยังอยู่ในเนื้อหนัง และยังไม่เข้าสู่การเติบโตจากคริสเตียนเด็ก (คริสเตียนศาสนา) สู่ระดับหนุ่ม หรือพ่อ
4:4 แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาประสูติจากสตรีเพศ และทรงถือกำเนิดใต้พระบัญญัติ
** ทรงถือกำเนิดใต้พระบัญญัติ คือเมื่อพระเยซูเดินทางไปมาเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ พระองค์ยังรักษาพระบัญญัติและสนับสนุนพระบัญญัติ และเมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์พระบัญญัติก็จบ
4:5 เพื่อจะทรงไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้พระบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร
** พระเยซูเสด็จมาบังเกิด และถือกำเนิดใต้พระบัญญัติเพื่อทรงไถ่ชาวยิวก่อน และต่อจากนั้นก็คือคนต่างชาติ
** การได้กลายเป็นบุตรที่แท้จริงของพระเจ้า คือการได้บังเกิดใหม่ผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพราะการรักษาพระบัญญัติ ไม่สามารถที่จะช่วยชาวยิวให้เป็นบุตรที่แท้จริงของพระเจ้าได้เป็นอันขาด
4:6 และเพราะท่านเป็นบุตรแล้ว พระเจ้าจึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของท่าน ร้องว่า "อับบา" คือพระบิดา
** การร้อง อับบา คือการบ่งบอกถึงความผูกพันที่เรามีอย่างสนิทแน่น และเป็นบุตรพระเจ้าที่แท้จริง ผู้เชื่อทุกคนควรร้องออกพระนามพระเยซู หรือ พระบิดา หรือ อับบา เพราะการเป็นคริสเตียน เราไม่ได้เป็นแค่ประชากรของพระเจ้า หรือนับถือศาสนาคริสต์เท่านั้น
** การร้อง อับบา และเชื่อว่าพระเจ้าทรงสดับฟัง และทำงาน เราก็จะเห็นการเคลื่อนไหวภายใน จิตใจรัก และการสัมผัสพระกรุณาของพระเจ้าจะเกิดขึ้นในแต่ละวัน ถ้าเราร้องออกอับบามาก ก็เห็นการทำงานมาก ถ้าน้อยก็เห็นเล็กน้อย
4:7 เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้วท่านก็เป็นผู้รับมรดกของพระเจ้าโดยทางพระคริสต์
** ขอให้เชื่อและมั่นใจว่า เราเป็นบุตรพระเจ้าแล้ว เพราะเราได้บังเกิดใหม่ในพระวิญญาณ ซึ่งแตกต่างจากชนชาติอิสราเอลที่ถือกำเนิดในเนื้อหนังและเป็นเด็ก หรือทาสเท่านั้น เขายังไม่ได้รับมรดกของอับราฮัม จนกว่าจะต้อนรับพระเยซู และได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ
สรุปบทที่ 4:1-7 ชนชาติอิสราเอลเป็นเหมือนเด็กที่อยู่ภายใต้การดูแลของพระบัญญัติ จนกว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่อนำพวกเขาออกจากการเป็นเด็กที่อยู่ใต้พระบัญญัติเดิม ได้กลายเป็นบุตรพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อรับมรดกอย่างครบถ้วนจากพระเจ้า
ผู้เชื่อที่ยังเดินด้วยตัวเก่าเนื้อหนังจะไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับพระพรฝ่ายวิญญาณทุกประการได้จนกว่าจะได้รับการเปิดตา ชีวิตจึงจะหลุดพ้นจากอาการขึ้น ลง สุข ทุกข์ ดี บาป ไปจนตาย แต่เบาสบาย แอกเบา กางเขนเบา ภาระเบา และมีสันติสุขทุกวันเวลา และชีวิต และพระคริสต์ทำแทนในแต่ละวันได้
น่าเสียดายที่ผู้เชื่อมากมายยังอยู่ใต้พระบัญญัติ พวกเขาจึงยังเป็นเด็กและทาสอยู่
4:8 แต่ก่อนนี้เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของสิ่งซึ่งโดยสภาพแล้วไม่ใช่สภาพของพระเจ้าเลย
4:9 แต่บัดนี้เมื่อท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว เหตุไฉนท่านจึงจะกลับไปหาโลกธรรมซึ่งอ่อนแอและอนาถา และอยากจะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีก
** ศาสนาทุกศาสนาในโลก ย่อมมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับ เพื่อการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี เพื่อให้ได้รอด จากนรกบึงไฟ แต่สำหรับคริสเตียน ความรอด เป็น ของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานให้ ผู้ที่เชื่อเท่านั้น โดยที่ไม่ต้องรักษาพระบัญญัติ หรือทำดี
สำหรับคริสเตียน ที่รู้จักพระเจ้า และกลับไป อยู่ในรูปแนวศาสนา ปฏิบัติตน ทำดีเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้รอด ก็คือการกลับไปหาโลกธรรม ที่อ่อนแอและอนาถา และกลายเป็นทาสแห่งศาสนาของโลก
4:10 ท่านถือวัน เดือน ฤดู และปี
** สำหรับผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณ เราไม่ถือวัน เช่นวันขอบพระคุณ วันคริสต์มาส วันเกิด วันดีคืนดี เราไม่ฉลองวันหรือเดือนละครั้ง ระดู หรือปีละครั้ง สิ่งที่เราฉลองก็คือ วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือวันแรกของสัปดาห์ คือเรามาร่วมกัน เพื่อนมัสการและฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
สรุป ก็คือเราไม่ให้ความสำคัญของวันเดือน ฤดู และปี เนื่องจาก ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแค่เงา แต่สิ่งที่เราถือ เรารัก เราเห็นความสำคัญ ก็คือ ตัวตนของพระเยซูคริสต์ เท่านั้น
4:11 ข้าพเจ้าเกรงว่าการที่ข้าพเจ้าได้ทำเพื่อท่านนั้นจะไร้ประโยชน์
** ถ้าผู้เชื่อยังอยู่ในรูปแนวศาสนา รักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้ กลายเป็นคนชอบธรรมและให้ได้รอด ถือวันเดือนฤดูและปี ความจริงแห่งพระคำพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และการเดินในฝ่ายวิญญาณ การทำแทนของพระคริสต์ ก็ไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา
4:12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนให้ท่านเป็นเหมือนข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าก็ได้เป็นอย่างท่านแล้วเหมือนกัน ท่านไม่ได้ทำผิดต่อข้าพเจ้าเลย
4:13 ท่านรู้ว่าตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น ก็ทำโดยความอ่อนกำลังแห่งเนื้อหนัง
4:14 และการทดลองของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเนื้อหนังของข้าพเจ้า ท่านก็ไม่ได้ดูหมิ่นหรือปฏิเสธ แต่ได้ต้อนรับข้าพเจ้าเหมือนกับว่าเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า หรือเหมือนกับพระเยซูคริสต์
** ครั้งแรกที่เปาโลเดินทางมาประกาศ ที่แคว้นกาลาเทีย เนื่องจากการเดินทางที่ต้องพบกับความยุ่งยากลำบากขัดสน ทำให้ท่านป่วยไม่สบายอ่อนแอ แต่ชาวเมืองในแคว้นกาลาเทียก็ยังต้อนรับท่าน และข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธหรือดูหมิ่นท่านเลย
4:15 ความปลื้มใจที่ท่านได้กล่าวไว้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานให้ท่านได้ว่า ถ้าเป็นไปได้ท่านก็คงจะควักตาของท่านออกให้ข้าพเจ้า
** คริสเตียนในแคว้นกาลาเทียรักเปาโลมาก เพราะพวกเขาถือว่าท่านเป็นคนมาประกาศ และเป็นเหตุให้พวกเขาได้รับความรอด พวกเขาจึงยอมแม้แต่จะควักดวงตาออกมาให้เปาโล ถ้าหากท่านไม่มีดวงตา
4:16 ข้าพเจ้าจึงได้กลายเป็นศัตรูของท่านเพราะข้าพเจ้าบอกความจริงแก่ท่านหรือ
** โอกาสที่คริสเตียนในแคว้นนี้จะเริ่มระแวงท่าน และรับท่านไม่ได้มีมาก เพราะการสอนที่ขัดแย้งกับความเชื่อของพี่น้องคริสเตียนยิวที่นำเข้ามา และพวกเขาเปิดใจรับความเชื่อดังกล่าวแล้ว
** ไม่ว่าเราจะประกาศกับใคร และเมื่อเขาคนนั้นเรียนรู้มากขึ้น เขาอาจรับเราไม่ได้เพราะความคิด ความเข้าใจขัดแย้ง และไม่ลงรอยกัน สุดท้ายก็กลายเป็นคนละฝ่ายไปในที่สุด เพื่อนต้องสูญเสียเพื่อน พ่อแม่พี่น้อง ฯลฯ
4:17 คนเหล่านั้นเอาอกเอาใจท่าน แต่ไม่ใช่ด้วยความหวังดีเลย เขาอยากจะกีดกันพวกท่านเพื่อท่านจะได้เอาอกเอาใจพวกเขา
4:18 การเอาอกเอาใจด้วยความหวังดีก็เป็นการดีตลอดไป ไม่ใช่เฉพาะแต่เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านเท่านั้น
** "คนเหล่านั้น" ในที่นี้ คือคริสเตียนยิวนั่นเอง เพื่อให้พี่น้องผู้เชื่อในแคว้นนี้รับข่าวประเสริฐอื่นที่พวกเขาบิดเบือน
** การเอาอกเอาใจ เป็นสิ่งที่ศัตรูใช้เพื่อเอาชนะผู้อื่น แต่สาวกของพระเยซู เราจะไม่ใช้วิธีนี้ แต่เราทำทุกสิ่งด้วยรักและจริงใจ ไม่หวังอะไรจากใคร นอกจากความหวังดี และถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่านั้น
4:19 ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะท่านอีกจนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในตัวท่าน
** การรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้มาซึ่งความชอบธรรม และเพื่อรักษาสภาพของผู้ชอบธรรมไว้ เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อไม่ควรทำ
** เมื่อเรารักษาพระบัญญัติ เราก็เอาชีวิตของเราเข้าไปอยู่ใต้พระบัญญัติ และเราก็ถูกสาปแช่ง และอยู่ในเนื้อหนัง ไม่ได้อยู่ในวิญญาณ เราตกขอบ เราหล่นจากพระคุณ และพระคริสต์ไม่อาจก่อชีวิตของพระองค์ขึ้นภายในเรา
** เปาโล เป็นทุกข์มากเพราะท่านเป็นห่วงพี่น้องผู้เชื่อในแคว้นกาลาเทีย ที่จะไม่ได้เติบโตสู่ชีวิตพระคริสต์
** การเศร้าสลดใจนี้เราทำได้ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นภายในจิตใจส่วนหนึ่ง ที่สำแดงความรักและเมตตาสงสารผู้อื่น แต่เรายังคงอยู่ในสันติสุขและความสงบสุขในพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม
** ก่อร่างขึ้นในตัวท่าน ในที่นี้ ภาษาอังกฤษคือ formed ซึ่งเป็นอดีตกาล ความหมายก็คือการได้รู้เพราะถูกเปิดตาให้เห็นว่า เมื่อเราเชื่อ เราได้บังเกิดใหม่ เราจึงมีพระคริสต์อยู่ในเราแล้ว และพระองค์เป็นผู้ที่จะดำเนินชีวิตในเรา และเราจำต้องตายก่อน ก่อนที่พระเยซูจะมีชีวิตหรือก่อร่างขึ้นในเราได้ การก่อร่างขึ้นในข้อนี้ มีความหมายที่ตรงกันกับ กาลาเทีย 2:20
4:20 ข้าพเจ้าปรารถนาจะอยู่กับพวกท่านเดี๋ยวนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีข้อสงสัยในตัวท่าน
4:21 ท่านที่อยากอยู่ใต้พระราชบัญญัติ ท่านไม่ได้ฟังพระบัญญัติหรือ จงบอกข้าพเจ้าเถิด
4:22 เพราะมีเขียนไว้ว่า อับราฮัมมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงทาสี อีกคนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นไท
4:23 บุตรที่เกิดจากหญิงทาสีนั้นก็เกิดตามเนื้อหนัง แต่ส่วนบุตรที่เกิดจากหญิงที่เป็นไทนั้นเกิดตามพระสัญญา
4:24 ข้อความนี้เป็นอุปไมย ผู้หญิงสองคนนั้นได้แก่พันธสัญญาสองอย่าง คนหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คลอดลูกเป็นทาส คือ นางฮาการ์
4:25 นางฮาการ์นั้นได้แก่ภูเขาซีนายในประเทศอาระเบีย ตรงกับกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบัน เพราะกรุงนี้กับพลเมืองเป็นทาสอยู่
4:26 แต่ว่ากรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท เป็นมารดาของเราทั้งปวง
4:27 เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า `จงชื่นชมยินดีเถิด หญิงหมันผู้ไม่คลอดบุตร จงเปล่งเสียงโห่ร้อง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์ ด้วยว่าหญิงที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวก็ยังมีบุตรมากกว่าหญิงที่ยังมีสามีอยู่กับนางมากมายนัก'
4:28 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้เราเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค
** ข้อ 20-28 มีบุตรสองคน คนหนึ่งเป็นบุตรแห่งพระบัญญัติ (ทรงประทานผ่านท่านโมเสส) และอีกคนเป็นบุตรแห่งพระสัญญา (ทรงประทานผ่านท่านอับราฮัม)
4:29 แต่ในครั้งนั้นผู้ที่เกิดตามเนื้อหนังได้ข่มเหงผู้ที่เกิดตามพระวิญญาณฉันใด ปัจจุบันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
** ข้อที่ 29 นี้ คือการข่มเหงของพี่น้องคริสเตียนชาวยิวที่ถือว่าตนเชื่อถูก คือเชื่อพระเยซูยังไม่พอ ต้องเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติเดิมอีกด้วย เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม และเพื่อรักษาความรอดเอาไว้ตลอดชีวิต
** การข่มเหงนี้จะเกิดขึ้น และมีมาจนถึงทุกวันนี้
** ทุกวันนี้ ความเชื่อนี้ได้แพร่ขยายมากมายในท่ามกลางบุตรของพระเจ้าทั่วโลก
4:30 แต่พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า `จงไล่หญิงทาสีกับบุตรชายของนางไปเสียเถิด เพราะว่าบุตรชายของหญิงทาสีจะเป็นผู้รับมรดก ร่วมกับบุตรชายของหญิงที่เป็นไทไม่ได้'
4:31 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงทาสี แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไท
** ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือต่างชาติ ล้วนแต่เป็นบุตรพระเจ้า และมีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดกที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้เรา แต่ ผู้ที่จะได้รับอย่างครบถ้วน ได้รับความหวัง ความรอด และพบสวรรค์บนดิน คนเหล่านั้นจะต้อง (1.บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง 2.เติบโต มีพระคริสต์ก่อร่างขึ้นในตัวเขา และดำเนินชีวิตแทนเขาแล้ว)
เปาโลเดินทางไป ประกาศข่าวประเสริฐ บางครั้ง ก็ต้องพบความยากลำบากเหนื่อยมาก อ่อนแอ และไม่สบาย เหตุผลมากมายในแคว้นกาลาเทีย ต้อนรับท่านและข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ พวกเขารักและเคารพ เปาโลมาก จนยอมเสียสละและทำทุกสิ่งเพื่อท่าน
แต่ไม่นานต่อมา คริสเตียนยิว มาเผยแพร่คำสอน ปลอม คือข่าวประเสริฐอื่น เรื่องเชื่อเท่านั้นไม่พอ ยังต้องรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม และได้รับความรอด พวกเขา ก็หลงเชื่อตาม
เปาโลจึงยกตัวอย่างเรื่อง ลูกทาสกับลูกไท คือคริสเตียนที่อยู่ใต้พระบัญญัติ และคริสเตียนที่อยู่ใต้พระคุณ พระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่ให้ผู้เชื่อ พยายามทำดีเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติ ด้วยตัวเก่า เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม แต่พระองค์ ต้องการให้พระบุตร องค์เดียวผู้สถิตอยู่ในเราเป็นผู้ก่อร่างขึ้นภายในเรา
น่าเสียดายที่คริสเตียนทุกวันนี้ กลายเป็นศาสนาคริสต์ ยึดถือการรักษาพระบัญญัติเป็นใหญ่ เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม และได้รอด เขากลายเป็นลูกทาส โดยไม่รู้ตัว
และเราขอบพระคุณพระเจ้า สำหรับผู้ที่ได้รับการเปิดตา ให้ได้รู้ว่า เชื่อเท่านั้น ก็ทำให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม ได้รอด และได้เป็นบุตรพระเจ้า และชีวิตของพระคริสต์ จะก่อร่างขึ้นในเรา เพียงแค่เราเชื่อ และสนิทในพระองค์ ในแต่ละวัน เราจึงถูกเรียกว่าลูกไทหรือลูกแห่งพระสัญญา เราไม่ใช่ลูกทาส ไม่ได้อยู่ในรูปแนวศาสนา แต่อยู่ในรูปแนวชีวิต ขอบพระคุณพระเยซู
พระสัญญา "เชื่อเท่านั้นก็รอด" มาทางอับราฮัมสู่พระคริสต์ พระบัญญัติไม่เกี่ยว