พระเยซูในสวนเกทเสมนี ทรงถูกทรยศไว้และถูกจับกุม
18:1 เมื่อพระเยซูตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ได้เสด็จออกไปกับเหล่าสาวกของพระองค์ข้ามลำธารขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในสวนนั้นกับเหล่าสาวก
18:2 ยูดาสผู้ที่ทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้นด้วย เพราะว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์เคยมาพบกันที่นั่นบ่อยๆ
18:3 ยูดาสจึงพาพวกทหารกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสี ถือโคมถือไต้และเครื่องอาวุธไปที่นั่น
18:4 พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงเสด็จออกไปถามเขาว่า “ท่านทั้งหลายมาหาใคร”
18:5 เขาทูลตอบพระองค์ว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราคือผู้นั้นแหละ” ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้นด้วย
** “เราคือผู้นั้นแหละ” กรีกใช้คำว่า “เราเป็น” (I AM HE)
** “เราเป็น” เป็นคำที่พระเจ้าเท่านั้นที่ใช้กับชนชาติอิสราเอล และไม่มีใครกล้าพูดคำนี้ เพราะถือว่าดูหมิ่นหรือยกตัวเองขึ้นเท่าเทียมพระเจ้า
** มนุษย์จะตั้งชื่อให้ลูก ๆ ของตนและพระทั้งหลายที่พวกเขาปั้น หรือสร้างขึ้นมาเพื่อให้สะดวกสบายในการเรียก คนสมัยก่อนชอบเรียกชื่ลูก ๆ ตามสภาพและสถานที่ที่แต่ละคนเกิดมา และเรียกพระของพวกเขาตามความสามารถที่พระนั้น ๆ ทำได้ นี่คือที่มาของการตั้งชื่อให้คนหรือพระทั้งหลาย
แต่สำหรับพระเจ้า ชาวยิวเป็นคนค้นพบพระองค์ และผู้เขียนพระคัมภีร์ที่เป็นภาษาฮีบรูเรียกพระองค์ว่า ELOAH ELOHIM EL ELYON EL-GIBHOR EL-OLAM EL ROI EL SHADDAI ADONAI YHWH / YAHWEH YAHWEH ELOHIM YAHWEH SHALOM YAHWEH RAPHA YAHWEH YIREH
และอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ไม่ใช่ชื่อหรือพระนามของพระเจ้า และถ้าหากเราจะแปลคำเหล่านี้เราจะพบว่า เป็นความหมายที่ผู้เขียนต้องการสื่อว่าพระเจ้าของเราเป็นอะไร และทำอะไรได้บ้างก็เท่านั้น จริง ๆ แล้วพระเจ้าไม่มีนามชื่อ เมื่อมาถึงตอนที่สำคัญเราพบว่า พระเจ้าทรงตอบทางโมเสสเมื่อท่านถามถึงนามชื่อของพระองค์ว่า เราเป็น ความหมายก็คือ เรานี่แหละ โมเสสจึงไปบอกชนชิตอิสราเอล พวกเขาจึงเข้าใจว่าพระเจ้ามีนามชื่อว่า เราเป็น/เรานี่แหละ จนถึงทุกวันนี้และทำให้คริสเตียนเข้าใจผิดคิดว่าพระเจ้าของเราคือ พระเราเป็น
18:6 เมื่อพระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เราคือผู้นั้นแหละ Ἐγώ εἰμι ” เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน
** ทหารเหล่านี้ที่มาจับพระเยซูไม่ใช่ทหารโรมัน แต่เป็นทหารและเจ้าหน้าที่ของยิวที่มาจากสภาแซนแฮดริน ทหารเหล่านี้คุ้นเคยกับคำว่า "เราเป็น" นี้ดี พวกเขาจึงล้มลงเพราะตกใจกลัว เมื่อพระเยซูใช้คำนี้บวกกับคำว่า "ผู้นั้นแหละ" ซึ่งเป็นทำนองเดียวกันกับคำว่า "เราเป็น"
** ทหารยิวไม่ได้ล้มในพระวิญญาณเหมือนดั่งที่พี่น้องเพนเทคอสเข้าใจ แต่เขาล้มเพราะตกใจกลัว
18:7 พระองค์จึงตรัสถามเขาอีกว่า "ท่านมาหาใคร" เขาทูลตอบว่า "มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ"
18:8 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกท่านแล้วว่าเราคือผู้นั้น
** พระเยซูตรัสเป็นครั้งที่สามว่า "เราเป็น"
18:9 ทั้งนี้ก็เพื่อพระดำรัสจะสำเร็จ ซึ่งพระเยซูตรัสไว้แล้วว่า "คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว”
18:10 ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักออกและฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้รับใช้คนนั้นคือมัลคัส
18:11 พระเยซูจึงตรัสกับเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มถ้วยซึ่งพระบิดาของเราประทานแก่เราหรือ”
** "ดื่มถ้วย" ในที่นี้ คือยอมรับความตายที่พระบิดาทรงมอบให้เพื่อไถ่บาปโลก
** "ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือ และบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้หรือ” (ใน มธ 20:22 แต่พระเยซูตรัสตอบว่า "ที่ท่านขอนั้นท่านไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือ และบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับ ท่านจะรับได้หรือ" เขาทูลพระองค์ว่า "พวกข้าพระองค์ทำได้" คือการรับความตาย)
** "บัพติศมา" ในที่นี้ คือจุ่มเข้าในความตาย
ทรงอยู่ต่อหน้าอันนาสและคายาฟาส
18:12 พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้
18:13 แล้วพาพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสผู้ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น
18:14 คายาฟาสผู้นี้แหละที่แนะนำพวกยิวว่า ควรให้คนหนึ่งตายแทนพลเมืองทั้งหมด
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
18:15 ซีโมนเปโตรได้ติดตามพระเยซูไป และสาวกอีกคนหนึ่งก็ติดตามไปด้วย สาวกคนนั้นเป็นที่รู้จักของมหาปุโรหิต และเขาได้เข้าไปกับพระเยซูถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต
18:16 แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้นที่รู้จักกันกับมหาปุโรหิต จึงได้ออกไปและพูดกับหญิงที่เฝ้าประตู แล้วก็พาเปโตรเข้าไป
18:17 ผู้หญิงคนที่เฝ้าประตูจึงถามเปโตรว่า "ท่านเป็นสาวกของคนนั้นด้วยหรือ" เขาตอบว่า "ข้าไม่เป็น"
18:18 พวกผู้รับใช้กับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่นเอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย
พระเยซูทรงอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิต
18:19 มหาปุโรหิตจึงได้ถามพระเยซูถึงเหล่าสาวกของพระองค์ และคำสอนของพระองค์
18:20 พระเยซูตรัสตอบท่านว่า "เราได้กล่าวให้โลกฟังโดยเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและที่ในพระวิหารที่พวกยิวเคยชุมนุมกัน และเราไม่ได้กล่าวสิ่งใดอย่างลับๆ เลย
18:21 ท่านถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราว่า เราได้พูดอะไรกับเขา ดูเถิด เขารู้ว่าเรากล่าวอะไร"
18:22 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นได้ตบพระเยซูด้วยฝ่ามือของเขาแล้วพูดว่า "เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ”
18:23 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ถ้าเราพูดผิด จงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบเราทำไม”
18:24 อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการ
18:25 ซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนเหล่านั้นจึงถามเปโตรว่า "เจ้าเป็นสาวกของคนนั้นด้วยหรือ" เปโตรปฏิเสธว่า "ข้าไม่เป็น"
18:26 ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็กล่าวขึ้นว่า "ข้าเห็นเจ้ากับท่านผู้นั้นในสวนไม่ใช่หรือ"
18:27 เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
พระเยซูถูกนำไปอยู่ต่อหน้าปีลาต
18:28 เขาจึงได้พาพระเยซูออกไปจากคายาฟาสไปยังศาลปรีโทเรียม เป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขาเองไม่ได้เข้าไปในศาลปรีโทเรียม เพื่อไม่ให้เป็นมลทิน แต่จะได้กินปัสกาได้
18:29 ปีลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้นแล้วถามว่า "พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้"
18:30 เขาตอบท่านว่า "ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย พวกข้าพเจ้าก็จะไม่มอบเขาไว้กับท่าน"
18:31 ปีลาตจึงกล่าวแก่เขาว่า "พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเถิด" พวกยิวจึงเรียนท่านว่า "การที่พวกข้าพเจ้าจะประหารชีวิตคนใดคนหนึ่งนั้นเป็นการผิดกฎหมาย"
18:32 ทั้งนี้เพื่อพระดำรัสของพระเยซูจะสำเร็จ ซึ่งพระองค์ตรัสว่า พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร
18:33 ปีลาตจึงเข้าไปในศาลปรีโทเรียมอีก และเรียกพระเยซูมาทูลถามพระองค์ว่า "ท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ"
18:34 พระเยซูตรัสตอบท่านว่า "ท่านถามอย่างนั้นแต่ลำพังท่านเองหรือ หรือมีคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา"
18:35 ปีลาตทูลตอบว่า "เราเป็นยิวหรือ ชนชาติของท่านเองและพวกปุโรหิตใหญ่ได้มอบท่านไว้กับเรา ท่านทำผิดอะไร"
18:36 พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็จะได้ต่อสู้ไม่ให้เราตกในเงื้อมมือของพวกยิว แต่บัดนี้อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้”
** อาณาจักรของพระเจ้า มาจากพระเจ้า และมาจากสวรรค์ และเป็นฝ่ายวิญญาณ
** พระเจ้าทรงทราบล่วงหน้าแล้วว่า ชาวยิวจะไม่รับพระเยซูเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอิสราเอล
** แต่เพื่อพระสัญญาที่ให้ไว้จะสำเร็จ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูมา จากนั้นก็ยึดราชอาณาจักรไปจากเขา และยกให้คนต่างชาติทั่วโลก (มธ 8:12 แต่บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืด ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน)
** อาณาจักรของพระเจ้าจึงย้ายไปในยุคหน้า และทุกวันนี้อาณาจักร คือคริสตจักร พระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ครอบครองผู้เชื่อฝ่ายวิญญาณ
** อาณาจักรจะลงมาตั้งอยู่ในโลกนี้ต่อหน้าต่อตาทุกคนในยุคหน้า และชั่วนิจนิรันดร์ เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา (มธ 8:12แต่บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืด ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน")
18:37 ปีลาตจึงทูลถามพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นกษัตริย์หรือ” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา”
18:38 ปีลาตทูลถามพระองค์ว่า "ความจริงคืออะไร" เมื่อถามดังนั้นแล้วท่านก็ออกไปหาพวกยิวอีก และบอกเขาว่า "เราไม่เห็นคนนั้นมีความผิดแม้แต่น้อย
** "ความจริง" ในที่นี้ คือความสว่าง คือความจริงฝ่ายวิญญาณที่ตามองไม่เห็น โลกนี้กลายเป็นความไม่จริงหรือความมืดไปเสียแล้ว เพราะเหตุอาดัมไม่ได้เดินตามแผนการของพระเจ้า เขากินผลไม้ที่ต้องใช้ความรู้ดีชั่วในการดำเนินชีวิต คืออันไหนดีก็ทำอันไหนไม่ดีก็ไม่ทำ และเขาไม่รับผลไม้แห่งชีวิตที่มีชีวิตพระเจ้าเพื่อนำพาชีวิตของเขาในแต่ละวัน
พระเยซูถูกพิพากษาว่าผิด บารับบัสได้รับการปลดปล่อย
18:39 แต่พวกท่านมีธรรมเนียมให้เราปล่อยคนหนึ่งให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ฉะนั้นท่านจะให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวให้แก่ท่านหรือ"
18:40 คนทั้งหลายจึงร้องขึ้นอีกว่า "อย่าปล่อยคนนี้ แต่จงปล่อยบารับบัส" บารับบัสนั้นเป็นโจร
สรุป.
- กินผลไม้แห่งชีวิต ก็คือพึ่งพาพระเจ้า
- กินผลไม้แห่งรู้ดีชั่ว ก็คือพึ่งพาตนเอง (สิ่งไหนดีก็ทำ สิ่งไหนไม่ดีก็ไม่ทำ)
- fruit from tree of life is to depend on God
- fruit from tree of knowledge of good and evil is to be independence