ชนชาติอิสราเอลไม่รู้จักความชอบธรรม
10:1 พี่น้องทั้งหลายความปรารถนาในจิตใจของข้าพเจ้าและคำวิงวอนขอต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอลนั้นคือขอให้เขารอด
** เปาโลอธิษฐานขอให้ชาวยิวมากมายได้รอด เพราะว่าท่านเป็นลูกครึ่งชาวยิวและโรมัน
10:2 ข้าพเจ้าเป็นพยานให้เขาว่าเขามีความกระตือรือร้นต่อพระเจ้า แต่หาได้เป็นตามความรู้อันครบถ้วนนั้นไม่
** เปาโลคิดว่าชาวยิวร้อนรนต่อพระเจ้า แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เรื่องน้ำพระทัยและการเปลี่ยนยุคและหลักการแห่งความรอดโดยผ่านพระเยซูคริสต์
10:3 เพราะว่าเขาไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้า แต่อุตส่าห์จะตั้งความชอบธรรมของตนขึ้นเขาจึงไม่ได้ยอมอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า
** ความชอบธรรมของมนุษย์ช่วยอะไรเขาไม่ได้ เขาต้องพึ่งความชอบธรรมของพระเจ้าจึงจะดำเนินชีวิตอันเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้
** ในพระคัมภีร์มีความชอบธรรมสองแบบ..
1. ความชอบธรรมของมนุษย์ (ความชอบธรรม/ความดีที่ตายแล้ว) ไม้/ฟาง/หญ้าแห้ง
2. ความชอบธรรมของพระเจ้า (ความชอบธรรมที่มีชีวิต/คือพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทน/ทำแทนเราในแต่ละวัน (คือทองคำ เงิน และเพชรพลอย) (1 คร 3:12-15; ฮบ 9:14)
10:4 เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของพระราชบัญญัติเพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม
** พระบัญญัติยังอยู่ และถูกแก้ไขยกระดับมาตรฐานแล้ว และห้ามผู้เชื่อรักษาด้วยชีวิตเก่าเนื้อหนัง แต่ผู้เชื่อต้องพึ่งพระคริสต์ในเราเป็นผู้รักษาพระบัญญัติใหม่นี้แทนเรา
** ผู้เชื่อมากมายไม่เข้าใจเรื่อง การยกระดับ การแก้ไขพระบัญญัติของพระเยซู
สำหรับพระเจ้า พระบัญญัติเดิม หรือพระบัญญัติของโมเสสจบแล้ว เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ที่กางเขน และพระบัญญัติใหม่ หรือของของพระเยซู เริ่มมีผลใช้เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย
10:5 โมเสสได้เขียนเรื่องความชอบธรรมซึ่งมีพระราชบัญญัติเป็นมูลฐานว่า ‘คนใดที่ประพฤติตามสิ่งเหล่านั้นจะได้ชีวิตโดยการประพฤตินั้น’
** ถ้าหากมนุษย์รักษาพระบัญญัติได้จริงๆ เขาก็จะได้รับชีวิตหรือความรอด แต่ปัญหาก็คือไม่มีใครที่ทำได้
ความรอดที่ทรงให้แก่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระคริสต์
10:6 แต่ความชอบธรรมที่มีความเชื่อเป็นมูลฐานว่าอย่างนี้ว่า “อย่านึกในใจของตัวว่าใครจะขึ้นไปบนสวรรค์” (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมาจากเบื้องบน)
10:7 หรือ “ใครจะลงไปยังที่ลึก” (คือจะเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตายอีก)
10:8 แต่ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร ก็ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่านอยู่ในปากของท่านและอยู่ในใจของท่าน” คือคำแห่งความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่นั้น
10:9 คือว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตายท่านจะรอด
** เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ เพื่อไม่ให้เราอวดดีอวดเก่งคิดว่าเราเป็นคนดีชอบธรรมได้โดยการกระทำดีของเราเอง
10:10 ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรมและการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
** ความเชื่อด้วยใจนำมาสู่การรับด้วยปาก สองสิ่งนี้ทำให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมและได้รับความรอด (จากบึงไฟ)
10:11 เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ‘ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย’
** "ไม่อับอาย" ในที่นี้ คือไม่ต้องไปนรกบึงไฟ
10:12 เพราะว่าพวกยิวและพวกกรีก ไม่ทรงถือว่าต่างกันด้วยว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันของคนทั้งปวงซึ่งทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์
10:13 เพราะว่า ‘ผู้ใดที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด’
** "รอด" ในที่นี้ ก็คือรอดจากบึงไฟ ไม่ใช่รอดประจำวัน
** "การที่เราจะรอดจากเนื้อหนังประจำวัน" ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ ปักใจในฝ่ายวิญญาณ เราอาจจะพูดได้หลายๆ คำอย่างเช่น "เอเมน" "พระเยซู" "เจ้านายของข้า" (ไม่ต้องมีคำว่า "โอ้")
** "ร้องออกพระนาม" ในที่นี้ ไม่ใช่ร้องว่า "โอ้พระเยซู" หรือ "โอ้พระบิดา" แต่คือการที่ผู้เชื่ออยู่ในการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าหรือกับพี่น้องในพระนามพระเยซู
ความสำคัญของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ
10:14 แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินอย่างไรได้
** อย่าเชื่อบางกลุ่มที่สอนว่าเดินไปบอกคนที่ไม่เชื่อไม่รู้จักเรื่องพระเยซูให้เขาร้องว่า โอ้พระเยซูสามครั้ง พระวิญญาณจะจับเขาและเขาจะรอดแน่นอน
10:15 และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘เท้าของคนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขและประกาศข่าวประเสริฐแห่งสิ่งอันประเสริฐ ก็งามสักเท่าใด’
** พระเจ้ารักและให้ความสำคัญอย่างมากต่อผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการประกาศเหมือนคริสเตียนศาสนาหรือการประกาศมานา แต่การประกาศมานาฯ จะได้รับบำเหน็จมากกว่า
10:16 แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย’
10:17 ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยินและการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า
10:18 ข้าพเจ้าถามว่า “เขาทั้งหลายไม่ได้ยินหรือ” เขาได้ยินแล้วจริงๆ ‘เสียงของพวกเขากระจายออกไปทั่วแผ่นดินโลกและถ้อยคำของพวกเขาประกาศออกไปถึงที่สุดปลายพิภพ’
10:19 ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พลอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ” ตอนแรกโมเสสกล่าวว่า ‘เราจะให้เจ้าทั้งหลายอิจฉาผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติเราจะยั่วโทสะเจ้าด้วยประชาชาติที่เขลาชาติหนึ่ง’
10:20 แล้วอิสยาห์กล้ากล่าวว่า ‘คนเหล่านั้นที่มิได้แสวงหาเราได้พบเรา เราได้ปรากฏแก่คนที่มิได้ถามหาเรา’
10:21 แต่ท่านได้กล่าวถึงพวกอิสราเอลว่า ‘เรายื่นมือของเราออกตลอดวันต่อชนชาติหนึ่งซึ่งไม่เชื่อฟังและดื้อรั้น’
a. ชาวยิวไม่ได้รักพระเจ้า และร้อนรนจริงๆ
b. ความชอบธรรมของมนุษย์ไม่พอที่จะช่วยให้รอดได้ ต้องพึ่งพาความชอบธรรมของพระเจ้า
c. พระคริสต์เป็นจุดจบของพระบัญญัติ ก็คือพระบัญญัติยังอยู่ แต่มันจบแล้วสำหรับเรา ผู้เชื่อเข้าอยู่ในพระเยซู และให้พระเยซูทำดีแทนเรา
d. พระเยซูเปลี่ยนพระบัญญัติเดิมกลายเป็นพระบัญญัติใหม่แล้ว ของโมเสสกลายเป็นของพระเยซูแล้ว