1. การรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม เรียกว่า "เป็นทาส" การเชื่อในพระเยซูเพื่อให้กลายเป็นคนชอบธรรมเรียกว่า "เป็นไท" (อิสระ)
2. คริสเตียนไม่ต้องเข้าสุหนัต เพราะการเข้าสุหนัต คือการอยู่ใต้พระบัญญัติ
3. เชื่อในพระเยซู คือทางเดียวที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้มนุษย์จะได้กลายเป็นคนชอบธรรม
4. เมื่อเชื่อ เรารอคอยชีวิตพระคริสต์ที่เข้ามาในเรา เพื่อให้มีชีวิตอยู่ และทำทุกสิ่งด้วยรัก
5. ผู้เชื่อทุกคนวิ่งแข่ง แต่น้อยคนที่จะมาถึงการวิ่งแข่งเข้าอาณาจักร
6. คำพูดสามารถเกลี้ยกล่อม ทำให้คนหลงเชื่อและหลงทางได้
7. เชื้อ (ยีสต์) ในข้อที่เก้า คือคำสอนเรื่องเชื่อเท่านั้นไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติ และเข้าสุหนัตจึงจะรอด ทุกวันนี้มันได้แพร่ขยายไปท่ามกลางสังคมคริสเตียน สร้างความเสียหายต่อพระกายเป็นอย่างมาก
8. คริสเตียนที่สอนว่า เชื่อไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติจึงจะรอด จะได้รับโทษ โทษของพวกเขาคือ ชีวิตนี้และในยุคพันปี แต่พวกเขาจะรอดในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่
9. เมื่อพี่น้องจอมปลอมไม่กลับใจ เราจำต้องตัดเขาออก หรือออกมาจากพวกเขา
10. ชีวิตคริสเตียนให้มีสองข้อใหญ่ๆที่ต้องแสวงหา คือ
- เชื่อเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม
- ให้พระเยซูในเรา รัก ในแต่ละวัน
5:1 เพื่อเสรีภาพนั้นเองพระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
** การกลับไปรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมคือการกลับไปเป็นทาส
** การเชื่อเท่านั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งความชอบธรรม คือการได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า ถ้าหากเราร่วมประชุม-รับใช้กับพี่น้องที่เชื่อว่า เชื่อไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติจึงจะรอด เราจะเป็นทาสเหมือนพวกเขา...
** และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย... เปาโลกล่าวโดยพระวิญญาณว่า เราไม่ควรร่วม นมัสการ รับใช้ และทำทุกสิ่ง ร่วมกับพี่น้องคริสเตียนที่เป็นทาสอีกต่อไป
5:2 ดูเถิด ข้าพเจ้าเปาโลขอบอกท่านว่า ถ้าท่านเข้าสุหนัตพระคริสต์จะทรงทำประโยชน์อะไรให้แก่ท่านไม่ได้เลย
** คริสเตียนชาวยิวถือการเข้าสุหนัต และเที่ยวไปทำให้กับคนที่รับข่าวประเสริฐที่บิดเบือนนี้
** ถ้าหากคริสเตียนเข้าสุหนัต ก็คือการนำสิ่งต่างๆ ทั้งการรักษาพระบัญญัติ เข้ามาเสริมกับการเชื่อเท่านั้น พระคริสต์ก็ไม่มีประโยชน์อะไร พระคริสต์เท่านั้นก็พอแล้วสำหรับความรอด
** พระเจ้าไม่ต้องการให้เราใช้เนื้อหนัง ทำอะไรทั้งนั้นเพื่อ ความรอด และการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ ถ้าหากเราทำ พระเยซูก็ไม่มีประโยชน์อะไร ความหมายก็คือ พระองค์จะไม่ช่วยไม่ทำอะไร เพื่อให้เนื้อหนังของเราจำเริญขึ้นเพื่อให้ถึงความรอด และกลายเป็นผู้ชนะ
5:3 ข้าพเจ้าเป็นพยานให้ทุกคนที่เข้าสุหนัตทราบอีกว่า เขาถูกผูกมัดให้ประพฤติตามพระราชบัญญัติทั้งสิ้น
** เปาโลกล่าวในพระวิญญาณว่า การเข้าสุหนัตเล็งถึงการอยู่ใต้พระบัญญัติเดิม
** สำหรับพระเจ้า ชีวิตเนื้อหนัง คนเก่า ถูกตรึงตายที่กางเขนแล้ว และถูกฝังที่อุโมงค์แล้ว และชีวิตเก่านี้ไม่สามารถ ผ่าน กางเขนและความตายของพระเยซูไปได้ มันจบแล้ว ที่กางเขน เพราะฉะนั้น ทุกสิ่ง ในพระบัญญัติเดิม เราจึงไม่ควรแตะต้อง รักษา และพยายามทำให้สำเร็จ แต่เราเชื่อ ทุกวันว่าเราเป็นคนใหม่ อยู่ในพระคริสต์และชีวิตของพระองค์กำลังก่อร่างสร้างตัวขึ้นในเราเพื่อดำเนินชีวิตแทนเรา นี่คือการใช้ชีวิตที่ไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติ
5:4 ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่เห็นว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรมโดยพระราชบัญญัติ ท่านก็หล่นจากพระคุณไปเสียแล้ว พระคริสต์ย่อมไม่ได้มีผลอันใดต่อท่านเลย
** การดำเนินชีวิตอาดัมรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้กลายเป็นคนชอบธรรม เขาก็ตกจากพระคุณเสียแล้ว
** หล่นจากพระคุณ fallen from grace คือการออกไปจาก การทำงานของพระคริสต์ เพื่อช่วยให้เราได้รับการก่อขึ้นสู่ชีวิตและนิสัยของพระเยซูในแต่ละวัน ชีวิตก็หนัก แอกก็หนัก ภาระก็หนัก กางเขนก็หนัก และไม่ได้เข้าสู่การพักผ่อนที่แท้จริง
5:5 เพราะว่า โดยพระวิญญาณและความเชื่อ เราก็รอคอยความชอบธรรมที่เราหวังว่าจะได้รับ
** ความเชื่อ คือทางเดียวที่เราจะได้กลายเป็นคนชอบธรรม ไม่มีทางอื่น
** เมื่อพระเยซูเสด็จมา ความชอบธรรมนี้ก็สำเร็จในมนุษย์ในยุคนี้ (มธ 3:15; มธ 5:17; ยน 19:30)
** เรากลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ (โรม 5:1)
** เราสวมพระคริสต์ที่เป็นเสื้อที่ดีที่สุดทุกวันทุกเวลา (ลก 15:22)
** เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมเพราะการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ และ ตายแล้วจากการบังเกิดเก่าในอาดัม (โรม 5:19-21)
** เราอยู่ในพระคริสต์ (1 คร 1:30) เราใหม่หมดแล้ว ไม่ใช่ว่ากำลังจะใหม่ หรือกำลังถูกสร้างให้ใหม่ (2 คร 5:17)
ขอบพระคุณพระเยซูที่นำพระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัมมาสู่พวกเรา อับราฮัมกลายเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อของท่าน นี่คือพระสัญญาหรือข่าวประเสริฐ ที่แท้จริง เราไม่ต้องทำดี เคร่งศาสนา พยายาม ตลอดทั้งวัน เพื่อให้เป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่ทันทีที่เราเชื่อ พระเจ้าก็นับว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว เท่ากับยิวที่เคร่งศาสนา พระเจ้าพอใจ เมื่อเราเชื่อ และวางใจในพระเยซูคริสต์
สรุป ก็คือพระเจ้าพอใจเมื่อเราเชื่อในการกระทำของพระบุตรและนับว่าเราเป็นคนชอบธรรม น่าเสียดาย ที่ผู้นำ และผู้เชื่อมากมาย ยังมาไม่ถึงความจริงนี้และยังไม่มาถึงการเป็นไท ขอพระเจ้าเมตตาบุตรทั้งกลายของพระองค์
5:6 เพราะว่าในพระเยซูคริสต์นั้น การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต ก็หาเกิดประโยชน์อันใดไม่ แต่ความเชื่อต่างหากซึ่งกระทำกิจด้วยความรัก
** เพราะว่าในพระเยซูคริสต์นั้น ภาษากรีก คือ ในพระคริสต์เยซู ก็คือ ในพระคริสต์ ไม่ใช่ ในพระเยซูคริสต์
** การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้า คือการใส่ใจที่การกระทำดีหรือกระทำบางอย่างด้วยเนื้อหนัง หรือรักษาพระบัญญัติ เชื่อฟัง เพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระบิดา สำหรับพระเจ้า ทรงมีพระประสงค์ให้เราอยู่ในความเชื่อและเชื่อเอาเพื่อให้การกระทำด้วยตัวใหม่และมีพระคริสต์เป็นคนสำแดงความรักผ่านเราเนื่องมาจากความเชื่อหรือเชื่อเอาของเรา
** โดยความเชื่อ เราได้รับพระวิญญาณแห่งชีวิต (กท 3:2) ที่มีพลังมาก ซึ่งพระคริสต์ในเราสามารถทำให้เรารักษาพระบัญญัติใหม่และกระทำทุกสิ่งด้วยความรักได้
5:7 พวกท่านได้วิ่งแข่งดีอยู่แล้ว ใครเล่าได้ขัดขวางพวกท่าน ที่พวกท่านไม่ควรเชื่อฟังความจริง
** "การวิ่งแข่ง" คือการแข่งขันเข้าอาณาจักร คือการแสวงหาการเติบโตในชีวิต คือการรับการเปิดตาจากพระเจ้า ให้เห็นความล้ำลึกในความรู้ของพระเจ้าให้ได้ครบ
** "เชื่อฟังความจริง" คือเชื่อฟังข่าวประเสริฐที่เปาโลประกาศ ไม่ใช่ข่าวประเสริฐอื่นที่คริสเตียนยิวนำมาสั่งสอน
** ผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดตาก็ได้เข้าสู่การวิ่งแข่งที่เป็นประโยชน์และได้รับบำเหน็จ ถึงแม้ว่าซาตานจะพยายามขัดขวางและแย่งชิงอาณาจักรไปจากเรา แต่ถ้าหากเราไม่ท้อไม่หนี แต่มั่นคงอยู่ในพระคำแห่งความจริง ซาตานก็จะพ่ายแพ้และหนีไปในที่สุด
5:8 การเกลี้ยกล่อมอย่างนี้ไม่ได้มาจากพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย
** พี่น้องคริสเตียนชาวยิวเกลี้ยกล่อมผู้เชื่อในแค้วนกาลาเทีย ทำให้พวกเขาหลงเชื่อข่าวประเสริฐอื่น ซึ่งไม่ได้มาจากพระเจ้า
** ซาตานใช้คริสเตียนชาวยิวให้มาเกลี้ยกล่อมเรา เพื่อให้กลับไปเป็นทาสแห่งพระบัญญัติ ซึ่งมีผู้เชื่อมากมายตกเป็นเหยื่อของมันเสียแล้วจนถึงทุกวันนี้ เปาโลยืนยันว่าข่าวประเสริฐอื่นไม่ใช่สิ่งที่มาจากพระเจ้า
5:9 เชื้อขนมเพียงนิดหน่อยย่อมทำให้แป้งดิบฟูขึ้นได้ทั้งก้อน
** การเชื่อผิด แปลผิด เข้าใจผิด ตีความหมายผิด ทำให้เกิดมีเชื้อ และอีกไม่นานเชื้อนี้ก็จะแพร่ขยายไปทั่ว สร้างความเสียหายอย่างมากมายต่อพระกายของพระเยซูดังที่เราเห็นทุกวันนี้
** ทุกวันนี้ มีผู้เชื่อประมาณครึ่งต่อครึ่งของคริสเตียนทั่วโลกเชื่อว่า เชื่อไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติทั้งเดิมและใหม่ เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมและได้รับความรอด
** คำสอนหรือข่าวประเสริฐอื่น ย่อมทำให้พระคำของพระเจ้ามีเชื้อยีสต์เต็มคริสตจักร และผู้เชื่อก็กลายพันธุ์กลายเป็นศาสนาคริสต์ หรือคริสเตียนศาสนาที่เดินด้วยตัวเก่า เนื้อหนัง สายตา อารมณ์และความรู้สึก นี่คือการเป็นลูกทาส
5:10 ข้าพเจ้ามีความไว้เนื้อเชื่อใจในพวกท่านโดยทางองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า พวกท่านจะไม่มีความคิดอย่างอื่นเลย แต่คนที่รบกวนพวกท่านนั้นจะต้องแบกรับการพิพากษาของตน ไม่ว่าเขาเป็นใครก็ตาม
** ที่แท้ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของคำสอนปลอม ความเชื่อที่ผิดเพี้ยน ข่าวประเสริฐอื่น ก็คือมารซาตานนี่เอง
** ใครสอนอะไร ถ้าผิดและนำเชื้อเข้ามาทำลายพระกายของพระคริสต์จะได้รับโทษแน่นอน
** เปาโลร้อนใจและเป็นห่วงผู้เชื่อในแค้วนกาลาเทียเรื่องการรับคำสอนหรือข่าวประเสริฐอื่น แต่ท่านก็วางใจในพระเจ้าที่กระทำกิจในท่ามกลางคริสตจักรทั้งหลายของพระองค์ ผู้ที่ถูกเลือกเมื่อรับการเปิดตาอย่างมากมายจะไม่หลงทางและคิดจะเชื่อข่าวประเสริฐอื่นอย่างแน่นอน ส่วนผู้เชื่อที่ซาตานใช้เพื่อมาล่อลวงให้หลงก็จะถูกตีสอนที่เกเฮนนาเป็นเวลาพันปี
5:11 และตัวข้าพเจ้า พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังเทศนาให้เข้าสุหนัต เหตุใดข้าพเจ้าจึงยังถูกข่มเหงอยู่อีกเล่า ถ้าเช่นนั้นการเป็นเหตุให้ขุ่นเคืองของกางเขนนั้นก็ถูกทำให้สิ้นสุดลงแล้ว
** สำหรับพระเจ้า การเข้าสุหนัต การถือวัน เดือน ปี เทศกาลต่างๆ เป็นเพียงเงาของสิ่งที่จะมาภายหลัง และนั่นก็คือพระคริสต์ เพราะฉะนั้นถ้าหากเปาโลยังประกาศและสนับสนุนสิ่งที่เป็นเงา กางเขนของพระเยซูก็ไม่มีความหมายอะไร เนื่องจากว่ากางเขนเป็นสิ่งที่ทำลายเนื้อหนัง ตัวเก่า อาดัม การถือวัน เดือน ปี และเทศกาลต่างๆ รวมถึงพิธีสุหนัตที่เป็นสิ่งที่อยู่ภายนอก
ส่วนพระคริสต์ คือความจริง/ ความเป็นจริง Reality ของพระเจ้าที่ก่อให้เกิดสิ่งที่อยู่ภายใน คือการบังเกิดใหม่ การกระทำกิจของพระวิญญาณ สันติสุขที่ไม่กระหายอีกเลย พลังที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในเราโดยพระวิญญาณ คือผลที่ได้รับจากการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูนั่นเอง
5:12 ข้าพเจ้าปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่รบกวนพวกท่านถูกตัดออกเสียเลย
** เราผู้เชื่อไม่ต้องการให้ข่าวประเสริฐอื่นได้รับการเผยแพร่สั่งสอนท่ามกลางคริสตจักรของพระเจ้า แต่เราไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากความเย่อหยิ่งของผู้เชื่อที่ไม่ยอมรับการเปิดตาจากพระวิญญาณผ่านเปาโลและผู้รับใช้ที่ถูกเจิมให้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งความจริง
5:13 ด้วยว่า พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านถูกเรียกให้มาสู่เสรีภาพ เพียงแต่อย่าใช้เสรีภาพให้เป็นโอกาสสำหรับเนื้อหนัง แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยความรักเถิด
** ถูกเรียกให้มาสู่เสรีภาพ คือการที่เราไม่ต้องไปรักษาพระบัญญัติเดิมเพื่อให้ได้รับพระพรและความรอด ซึ่งเป็นแอกและภาระที่หนักมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนังและการบาปได้ พระเจ้าเลือกเราให้อยู่ในพระคริสต์ทุกวัน อยู่ในฝ่ายวิญญาณและเดินทุกก้าวในพระวิญญาณเพื่อเราจะรับใช้กันและกันด้วยเอารักเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งได้ เพราะถ้าหากเราทำสิ่งใดที่ไม่มีความรักก็ไม่มีประโยชน์อะไร (1 คร 13:1-3)
** เป็นพระคุณของพระเจ้าที่เราได้รับความรอด ด้วยการเชื่อและไม่ใช่โดยการรักษาพระบัญญัติ เหมือนชาวยิวในยุคพระบัญญัติ เราจึงมีเสรีภาพ แต่อย่าให้เสรีภาพของเรา เป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อเราแล้ว (1 โครินธ์ 6:19-20) พระองค์ทรงเป็นเจ้าของ ของชีวิตของเรา เราจึงควรรับใช้กันและกันด้วยความรัก เพื่อเห็นแก่พระกายของพระเยซู คือการถวายเกียรติ อย่างมากมายแด่พระบิดา และบำเหน็จจะเป็นของเรา
5:14 เพราะว่า พระราชบัญญัติทั้งสิ้นนั้นก็ถูกทำให้สำเร็จจริงในคำ ๆ เดียว คือในคำบัญชานี้ ‘เจ้าจงรักเพื่อนบ้านของเจ้าเหมือนตนเอง’
** ถ้าหากเรา อะกาเป เพื่อนบ้าน เราก็รักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูได้ครบ ถ้าจะว่าแล้ว ข้อนี้เล็งถึงการดำเนินชีวิตในพระคริสต์ของผู้ชนะนั่นเอง เพราะว่าผู้เชื่อเด็กจะทำไม่ได้
** ผู้เชื่อที่เข้าสู่พระคำแห่งความจริง เมื่อเราสนิท บอกรัก สร้างความผูกพันที่ดีกับพระเยซูในเรา สะสมพระคำแห่งความจริงดังกล่าว สุดท้าย เราก็รักพระเจ้าจนสุดจิตสุดใจและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองได้
5:15 แต่ถ้าพวกท่านกัดและกินซึ่งกันและกัน จงระวังให้ดีเกรงว่าพวกท่านจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงโดยกันและกัน
** ทุกวันนี้ ผู้เชื่อ ผู้รับใช้มากมาย กัดกินเนื้อกัน ไม่ถ่อมแต่โอ้อวด ยอมเสียเปรียบ แต่หยิ่งผยองพองตัว ไม่ต่ำแต่สูง สุดท้ายก็ย่อยยับไปทั้งสองฝ่าย
** การทำงานจะเน้นที่ชื่อเสียงของเขาเองหรือคณะนิกายหรือกลุ่มของเขา ใครจะดีเด่นดังกว่าเป็นไม่ได้
สำหรับวันนี้ หัวใจสำคัญ คือการรับใช้พี่น้อง รับใช้กันและกันด้วยเอา ความรัก เป็นหลัก นี่คือการมีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณและเดินในพระวิญญาณในแต่ละวันอย่างแท้จริง
ความรัก คือการไม่มองที่เนื้อหนังและความบกพร่องของพี่น้องเพื่อจิตเก่าและตัวบาปจะลุกขึ้นและทำงานในเราไม่ได้
ความรัก คือการไม่ถือสา ไม่จดจำความผิด เพื่อรักษาหัวใจเราให้ปิติยินดีในพระองค์เสมอ
ความรัก คือการทำทุกสิ่งโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจากมนุษย์ แต่รอคอยพระคริสต์เสด็จมาพร้อมกับมงกุฏที่ไม่รู้ร่วงโรย
วันนี้เรารับใช้พี่น้อง รับใช้กันและกันด้วยเอา รัก เป็นหลัก หรือไม่ ???
.....
สำหรับหนังสือกาลาเทีย เรื่องหลักก็คือ เพื่อสำแดงพระคริสต์
พระคริสต์ คือจุดศูนย์กลาง ของหนังสือกาลาเทีย
พระคริสต์เข้ามาแทนที่ พระบัญญัติ ประเพณี พิธีสุหนัต การถือวันเดือนปี การใช้ชีวิต ตัวเก่าเนื้อหนัง เพื่อการเชื่อฟัง
พระคริสต์เป็นผู้นำพระสัญญาของพระเจ้า มาถึงพวกเราทุกคน นำเราออกจากชีวิตเก่า/ อาดัม/ เนื้อหนัง โดยการประหารชีวิตเก่าของเราที่กางเขน และประทานชีวิตใหม่ให้เรา และทรงสถิตอยู่ในเรา เพื่อดำเนินชีวิตแทนเรา เนื่องจากว่าเรา ตกต่ำ ถูกสาปแช่ง อ่อนแอ
ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐแห่งความรอด เป็นเรื่องของการเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่เชื่อและรักษาพระบัญญัติ เข้าสุหนัต และใช้ตัวเก่าเพื่อทำดี การกระทำแบบนี้เรียกว่าหล่นจากพระคุณ เนื่องจากว่าชีวิตเก่าและพระบัญญัติจบที่กางเขนแล้ว เราผู้เชื่อทั้งหลาย ได้กลายเป็นคนชอบธรรม เนื่องมาจากความเชื่อ พระคริสต์เป็นผู้เดียวที่สามารถช่วยไถ่เรา ให้หลุดพ้นจากความตาย และจากสิ่งชั่วร้าย ในยุคอันชั่วร้ายนี้
ชีวิตของผู้เชื่อต้องอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในการสนิท สร้างความผูกพันที่ดีกับพระคริสต์ เพราะว่าพระคริสต์เป็นคำตอบของทุกคำถาม และทุกปัญหาในชีวิตของเรา เราถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณและเดินทุกก้าวในพระวิญญาณ ก็คือ ในพระคริสต์ นั่นเอง
5:16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณและท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง
** ภาษากรีก ใช้คำว่า "เดินในพระวิญญาณ" (Walk in the Spirit) ความหมาย ก็คือ การให้พระวิญญาณนำ หรือถ้าจะแปลให้เห็นภาพที่ชัดเจน ก็คือ พระวิญญาณเคลื่อนอยู่ภายในเรา และทำให้เราเกิดอาการรักอะกาเป อดทนนาน ยกโทษ และลืมความผิดของเขา (ดู กท 2:20; 5:22-23) ฯลฯ
** การฝึกเดินในวิญญาณของผู้เชื่อ ก็คือ เรานับ ว่าพระคริสต์เป็นคนคิดแทน ทำแทน พูดแทนเราอยู่ ทุกก้าวเดิน ทุกลมหายใจ ทุกความคิด
เมื่อเราฝึกมาได้สักระยะหนึ่งเราจะพบว่าพระวิญญาณจะเป็นคนช่วยเราในการฝึก พระองค์กระตุ้น หรือเตือนเมื่อเราลืม หรือเผลอ หรือหลุดออกไปจากการเดินในพระวิญญาณ
"ผลของพระวิญญาณ คือการไม่สนองความต้องการของเนื้อหนังก็จะเกิดมีมากขึ้น"
ขอให้เราแยกแยะสองเรื่อง คืออาศัยอยู่ในพระวิญญาณ (Live in the Spirit) และเดินในพระวิญญาณ (walk in the Spirit)
- มีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ (Live in the Spirit) คือเชื่อว่าเราใหม่ และอยู่ในพระคริสต์ เป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทั้งสามพระภาคทรงเป็นอยู่ในเรา เราสนิท บอกรัก แต่เฉพาะบางครั้ง การมีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณจึงไม่ค่อยจะเห็นผลของชีวิตใหม่เพียงแค่เราอาจจะได้ชิมหรือสัมผัสการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณเป็นบางครั้งเท่านั้นเพื่อยืนยันว่าเราเชื่อถูกและมาถูกทางแล้ว
- ส่วนเดินในพระวิญญาณ (Walk in the Spirit) คือการกระทำอย่างต่อเนื่องในลักษณะของการเดินทุกก้าวเดินที่ต้องนับว่า ตาย ตาย ฉันตายต่อตัวเก่า ใหม่ ใหม่ ฉันเป็นคนใหม่ พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในฉัน เอเมน ปุโรหิต ๆ ๆ ฉันเป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า เอเมน บอกรัก และพูดคุยกับพระเยซูอย่างสม่ำเสมอ เราทำในลักษณะนี้คือการปักใจในพระวิญญาณเป็นระยะ ๆ ทุกวัน
5:17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้
** เมื่อเราได้เรียนรู้ความรู้ที่ล้ำลึก ชีวิตของเราในช่วงระยะที่ฝึกใหม่ๆ เราต้องแพ้ต่อเนื้อหนังก่อน หรือล้มเหลวก่อน ซึ่งเนื้อหนังแข็งแรงมาก เราจะทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเรายอมและอ้อนวอนขอการช่วยเหลือและยอมรับอย่างตายใจว่าเราไม่มีอะไรดีเลย ชัยชนะของพระวิญญาณก็จะเกิดขึ้น และมีมากขึ้น
** เนื้อหนัง (the flash) หรือพระคัมภีร์เรียกว่า ชีวิตเก่า/old man, ชีวิตอาดัม/Adam life, ในอาดัม/in Adam.
เนื้อหนังเป็นที่อาศัยของตัวบาป และเป็นทาสของตัวบาป เนื่องจากว่ามันถูกขายให้บาปแล้วเมื่ออาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า
เนื้อหนังมีจิตที่มีกฏของจิต (the law of mind) ที่รักชอบในความดีและชอบธรรมอยู่ แต่กฏดังกล่าวอ่อนแอมาก คือมีความปรารถนาและกำลังที่น้อยกว่ากฏแห่งความบาป (law of sin) และกฏแห่งความตาย (law of death) แต่เมื่อตัวบาปสิงอยู่และถูกกฏแห่งความบาปและกฏแห่งความตายครอบครอง สุดท้ายเนื้อหนังก็เป็นที่สำแดงชีวิตและนิสัยของซาตาน ความรักบาปและความต้องการในการทำบาปก็มีเต็มอยู่ในเนื้อหนัง
มีทางเดียวเท่านั้น..ที่มนุษย์จะหลุดพ้นจากความต้องการของเนื้อหนังอย่างสิ้นเชิงได้ ก็คือการไถ่ของพระวิญญาณ หน้าที่ของเราเพื่อให้ได้รับการไถ่ ก็คือเดินในพระวิญญาณ (walk in the Spirit) หลังจากที่เรามีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณแล้ว
- ความต้องการของเนื้อหนัง คือชีวิตและนิสัยของซาตานที่ตัวบาปครอบครองจิตของมนุษย์
- เนื้อหนังถูกขายและเป็นทาสของตัวบาปจึงต่อสู้ตัวบาปไม่ได้
- การหลุดพ้นจากความต้องการของเนื้อหนัง คือการเดินในพระวิญญาณ และเป็นทางเดียวเท่านั้นที่เราจะเป็นอิสระจากความต้องการของเนื้อหนังได้
- การเดินในพระวิญญาณจะทำให้ กฏแห่งพระวิญญาณและกฏแห่งชีวิตที่ทรงพลังเคลื่อนไหวในเราทำให้กฏแห่งบาปและกฏแห่งความตายอ่อนกำลัง ทำให้พระวิญญาณชนะในการต่อสู้ในแต่ละครั้ง
5:18 แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน ท่านก็ไม่อยู่ใต้พระราชบัญญัติ
** การนำของพระวิญญาณ คือการดำเนินชีวิตที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของพระบัญญัติ คือการมีพระคริสต์ดำเนินชีวิตในเรา แทนเรา เพื่อเรา เป็นความชอบธรรมที่มาจากพระวิญญาณที่ดีพร้อมชอบธรรม และบริสุทธิ์จริงๆ
** คำว่า "อยู่ใต้พระบัญญัติ" คือเนื้อหนังตัวเก่าของชาวยิว ต้องรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้ได้รอด และรับพระพรจากพระเจ้า เป็นการแบกภาระที่หนักมาก
** สำหรับทางออกที่พระเจ้าจัดเตรียมแก่ผู้เชื่อที่ติดตามพระเยซู คือเราเดินในพระวิญญาณ เพื่อให้กฏแห่งพระวิญญาณและกฏแห่งชีวิตเอาชนะกฏแห่งบาปและกฏแห่งความตายได้ เราจึงพบว่ามีผู้หนึ่งที่คอยผลักเราให้คิด ทำ พูด ทำทุกสิ่งที่เป็นพระคริสต์ปรากฏออกมาผ่านเราคนใหม่คนนี้ พระวิญญาณจึงดลใจเปาโลเขียนว่า นี่คือ การไม่อยู่ใต้พระราชบัญญัติ ของพวกเรา
5:19 แล้วการงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการเล่นชู้ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก
5:20 การนับถือรูปเคารพ การนับถือพ่อมดหมอผี การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การอิจฉาริษยากัน การโกรธกัน การทุ่มเถียงกัน การใฝ่สูง การแตกก๊กกัน
5:21 การอิจฉากัน การฆาตกรรม การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก
** คริสเตียนศาสนา หรือ คริสเตียนเด็ก ยังทำกันอยู่ไม่อย่างหนึ่งก็อย่างหนึ่ง ไม่ต่อหน้าก็ลับตาผู้คน
** ผู้ที่ทำได้ก็ต้องฝืน อดกลั้น พยายามอย่างมากมาย แต่แท้ที่จริง เขาแพ้หรือล้มเหลวแล้วภายในจิตใจของเขา เพราะว่าการพยายาม คือการกระทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ คือการได้กระทำบาปแล้วต่อกฎหมายใหม่ของยุคพระคุณ
- คำว่า พระวิญญาณ มีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ และเดินในพระวิญญาณ ตั้งแต่ข้อที่ 16 จนถึงข้อที่ 18 คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้ซึ่งได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์ทรงเป็นอยู่ในเรา เพื่อดำเนินชีวิตแทนเรา
ส่วนเนื้อหนัง ก็คือตัวเก่าชีวิตเก่าของเราที่เป็นทาสของตัวบาปที่ตกต่ำและอ่อนแอ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ควรพยายามทำดีเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติ เพื่อให้ได้เป็นคนชอบธรรมด้วยตัวเก่า/เนื้อหนัง แต่เราควรตายต่อตัวเก่าที่กางเขน เพื่อให้บาปไม่มีที่อยู่อาศัยอีกต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่อาศัยอยู่ในเรา และกระทำทุกสิ่งแทนเราทั้งความปรารถนาและการกระทำ
- การมีชีวิตและการเดินในพระวิญญาณจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่คริสเตียนควรฝึกทุกวันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเราจะไม่ต้องสนองตัณหาของเนื้อหนังแต่สำแดงชีวิตพระคริสต์เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดา
- สิ่งสำคัญที่ผู้เชื่อต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง ก็คือเรื่องความแตกต่างระหว่าง การมีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ (live in the Spirit) และการเดินในพระวิญญาณ (walk in the Spirit)
5:22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ
5:23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีพระราชบัญญัติห้ามไว้เลย
** ผลของพระวิญญาณ แท้ที่จริงมีมากกว่าเก้าอย่าง
** ข้อที่ 22 ไม่ได้กล่าวว่า ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่กล่าวว่าผลของพระวิญญาณ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า fruit of the Spirit (พระวิญญาณ) เพราะถ้าใช้คำว่า Holy Spirit ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในข้อนี้กล่าวชัดเจนว่าเป็นผลของพระคริสต์ในเรา เพราะว่าหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือทรงมาเพื่อบันดาลให้เราบังเกิดใหม่ และรักษาสภาพชีวิตของเราให้บริสุทธิ์จนตลอดชีวิตของเรา
** ข้อที่ 19 จนถึง 21 คือผลของเนื้อหนังอาดัมหรือชีวิตเก่า ซึ่งเน้นสิ่งที่ไม่ดี แต่ถึงแม้ว่าชีวิตเก่าจะทำดี แต่ก็เป็นความดีที่ตายแล้วสำหรับพระเจ้า ไม่มีชีวิต เป็นความดีที่มีกิเลสตัณหาโลภโกรธหลง หวังสิ่งตอบแทนอยู่เบื้องหลัง และที่สำคัญก็คือผลของเนื้อหนังไม่มีชีวิต (Life) ซึ่งเป็นผลที่มาจากชีวิตพระคริสต์เป็นคนกระทำในเราผ่านเราเพื่อเรา
** คำว่า ผล หรือผลไม้ (Fruit) ในข้อที่ 22 เล็งถึง ผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิต และผลไม้แห่งชีวิตก็คือ พระคริสต์ และ เราที่เป็นกิ่งใหม่ เป็นกิ่งฝ่ายวิญญาณ ต่อติดกับพระคริสต์ ด้วยการพูดคุยสนทนาบอกรัก เราจึงได้รับการหล่อเลี้ยงจากพระวิญญาณและเกิดผลของชีวิต คือผลของพระคริสต์ผ่านเรา
** ผล หรือ ผลไม้ Fruit หรือ เมล็ด seed หรือ ต้นไม้แห่งชีวิต tree of life คือแหล่งที่มาของ ชีวิตพระเจ้า Zoe ผล fruit ใน กาลาเทีย 5:22 ไม่ใช่ผลของพระวิญญาณเพียงแต่ผู้เดียว แต่เป็นผลที่ได้มาจากพระคริสต์ที่ดำเนินชีวิตผ่านเราเพื่อดังที่กล่าวไว้ใน ยอห์น 15:5 ผล ในที่นีั คือผลของการเข้าส่วนของพระคริสต์กับเรา เรากับพระคริสต์ เพื่อบรรลุเป้าหมายของพระบิดา เพื่อสำแดง ชีวิตพระเจ้า ผ่านผู้เชื่อเพื่อถวายเป็นเครื่องบูชาที่เป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์
** คำว่า ผล หรือผลไม้ Fruit ในที่นี้เป็นเอกพจน์ singular เป็นผลไม้ลูกเดียว ไม่ใช่หลาย ๆ ลูก ซึ่งเล็งถึง ความรัก ความกรุณา ความสุภาพอ่อนโยน การไม่ต่อสู้ตอบโต้ผู้อื่น ความอดทนนาน การกระทำคุณให้ การต่ำ ถ่อม ยอมเสียเปรียบ ความชอบธรรม การมีคุณธรรม สันติสุข (Peace in heart) ความชื่นชมยินดี (Joy) ย่อมมาจากผลไม้ลูกเดียวกัน ซึ่งก็คือมาจากผลไม้แห่งชีวิตนี่เอง
- น้ำพระทัยของพระบิดา คือให้เราเข้าส่วนในการผลิตผลไม้แห่งชีวิตของพระองค์
- คริสเตียนศาสนา ใส่ใจที่พยายามเกิดผลของพระวิญญาณ
- แต่คริสเตียนฝ่ายวิญญาณ ใส่ใจที่สนิท พูดคุยอย่างสม่ำเสมอเพื่อพระวิญญาณเกิดผลในเราผ่านเรา
เมื่อเราต้องการสิ่งไหน พระคริสต์ก็เป็นสิ่งนั้นให้กับเรา แต่ผู้เชื่อทุกวันนี้คิดว่าเมื่อขาดรักก็ขอพระบิดาประทานความรักมาให้เราเพื่อเราจะรักได้ เมื่ออ่อนแอก็ขอกำลังเสริมจากพระเจ้า เมื่อเป็นทุกข์ก็ขอสันติสุข
แต่ขอบพระคุณพระบิดาที่พระองค์ประทานพระบุตรเพื่อเป็นทุกสิ่งให้เราและดำเนินชีวิตแทนเรา
5:24 ผู้ที่เป็นของพระคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยากและราคะตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนเสียแล้ว
** ผู้ที่เป็นของพระคริสต์ คือทุกคน แต่ผู้ชนะเท่านั้นที่ค้นพบความจริง และตรึงชีวิตเก่าไว้ที่กางเขนแล้ว
** การค้นพบ คือการรับการเปิดตา ให้ได้พบราชอาณาจักร และความชอบธรรมของพระเจ้า
** สรุป ก็คือผู้ที่ได้รับการเปิดตา และได้รู้ว่าตนเป็นของพระคริสต์จริง ๆ ก็ยอมรับการตายของตัวเก่า และยอมตายต่อตัวเก่าที่กางเขน
** มีชีวิตในพระวิญญาณ คือการอยู่ในพระวิญญาณทุกวันทุกเวลา
** เดินในพระวิญญาณ คือการสำแดงชีวิตใหม่ ตายต่อตัวเก่าจริงๆ ตายต่อโลก ตลก สิ่งบันเทิง เล่นเฟส ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยเรื่องความเชื่อการโพสท์ แต่ดำเนินชีวิตในความจริง และใช้เวลาสนิทในพระคริสต์มากกว่าสิ่งอื่นใดเพื่อรับการหล่อเลี้ยงจากพระเจ้า
** การเดินในพระวิญญาณ คือการเดินในความจริงของพระเจ้า อย่างสม่ำเสมอทุกวัน คือ..
1. เดินในตัวใหม่
2. สองคนในร่างเดียว (เรากับพระคริสต์)
3. เดินในความจริงทั้งหมดของพระเจ้า
4. เดินเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ด้วยการต่ำ ถ่อมถึงดิน และยอมเสียเปรียบ
** มีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ (Live in the Spirit) คือเชื่อว่าเราใหม่ และอยู่ในพระคริสต์ เป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทั้งสามพระภาคทรงเป็นอยู่ในเรา เราสนิท บอกรัก แต่เฉพาะบางครั้ง การมีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณจึงไม่ค่อยจะเห็นผลของชีวิตใหม่เพียงแค่เราอาจจะได้ชิมหรือสัมผัสการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณเป็นบางครั้งเท่านั้น เพื่อยืนยันว่าเราเชื่อถูกและมาถูกทางแล้ว
** ส่วนเดินในพระวิญญาณ (walk in the Spirit) คือการกระทำอย่างต่อเนื่องในลักษณะของการเดิน ทุกก้าวเดินที่ต้องนับว่า ตาย ตาย ฉันตายต่อตัวเก่า ใหม่ ใหม่ ฉันเป็นคนใหม่ พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในฉัน เอเมน ปุโรหิต ๆ ๆ ฉันเป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า เอเมน บอกรัก และพูดคุยกับพระเยซูอย่างสม่ำเสมอ เราทำในลักษณะนี้คือการปักใจในพระวิญญาณเป็นระยะ ๆ ทุกวัน
** การเดินในพระวิญญาณ (walk in the Spirit) คือการกระทำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำจนเกิดอาการเคยชิน คือการจดจ่อ ใส่ใจ เอาใจใส่ มีความตั้งใน หนักแน่นมั่นคงในการฝึกเดิน
5:26 เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย
** การถือตัว ภาษากรีกคือ ถือตัว การอวดตัวที่ว่างเปล่า (vainglorious, Boastful) เกียรติยศที่ว่างเปล่า ซึ่งมนุษย์มักอวดตัว เนื่องจากว่า คนที่โอ้อวด พวกเขาไม่รู้ว่ามันคือความว่างเปล่าจริง ๆ ในที่สุด มันไม่มีอะไรและมันเหมือน ดอกไม้ที่พอถึงเวลาอีกไม่นานก็เหี่ยวแห้งไป