** ข้อที่ 21. ที่พระเยซูตรัสถึงก็คือ ชาวยิวทั้งหลายที่ไม่เชื่อคือเขาจะไม่มีโอกาสได้รอดและจะไปไม่ถึงพระเยซู ที่ที่พระเยซูจะไปเขาจะไปไม่ได้ แต่เราขอบคุณพระเยซูเราเป็นบุตรพระเจ้าแล้ว แล้วก็พระเยซูอยู่ที่ไหน เราก็อยู่ที่นั่น แล้วก็เราได้รับความรอด เเล้วก็เราจะไปเข้าสู่อาณาจักรกับพระเยซูและจะเข้าสู่ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่เป็นบุตรพระเจ้า
** ข้อที่ 22. เขาไม่เข้าใจเนื่องจากว่านี่คือความหมายฝ่ายวิญญาณ และความหมายที่พระเยซูต้องการสื่อก็คือ ในอนาคตคนที่ไม่เชื่อจะไปไม่ถึงพระเยซูเด็ดขาด แล้วก็อาณาจักรสวรรค์ แล้วก็ฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่
** ข้อที่ 23. เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับข้อนี้ตอนนี้เรารู้ชัดเจนแล้วว่าโลกถูกแยกออกเป็นสองฝ่าย เบื้องล่างและเบื้องบน แต่ความเป็นจริงคำที่ทำให้เราเข้าใจง่ายที่สุดก็คือ เบื้องล่างก็คือในอาดัม เบื้องบนก็คือในพระคริสต์ ตอนนี้เราคือบุตรพระเจ้าเป็นมนุษย์สวรรค์เป็นผู้ที่อยู่เบื้องบน เป็นเชื้อสายของพระเจ้ามาจากเบื้องบน เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่ผู้ต่ำต้อย เราไม่ใช่เป็นของเบื้องล่าง ไม่ใช่เป็นเนื้อหนังและไม่ได้เป็นของฝ่ายโลกที่ตกต่ำเสื่อมทรามเสื่อมโทรมอีกต่อไปแล้ว แต่ตอนนี้เราเป็นบุตรพระเจ้า เราขอบคุณพระเจ้าที่เรามีทุกสิ่งมีพระพรมีสันติสุข มีพระบิดาเป็นพระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกเรา เราเป็นบุตรแห่งสวรรค์
** ข้อที่ 24. เราเข้าใจกันน่ะครับว่าคนที่ไม่เชื่อก็คือจะตายในการบาป ตายในการบาปก็คือไม่มีการไถ่ ซึ่งสุดท้ายเนื่องจากว่าความตายที่เขามีอยู่คือจุดจบของความบาปก็คือความตาย คนที่ไม่เชื่อจึงตายในการบาปของเขาทั้งหลาย ทุกวันนี้ใครก็ตามที่ไม่เชื่อก็จะตายในการบาปของเขา แต่ขอบคุณพระเยซูเราฟื้นแล้วเราไม่ตายเราชนะความตายแล้วโดยอาศัยพระเยซูที่เป็นผู้ชนะ
** ข้อที่ 25. "พระเยซูตรัสว่าเราเป็น" "แล้วก็พระเยซูบอกว่าพระบิดาของเรา" นี่คือคำตรัสของพระเยซู ซึ่งเป็นคำพูดที่พระเยซูพูดตั้งแต่แรก แต่ยิวรับไม่ได้ยิวโกรธแค้นโกรธเคือง และหมายปองที่จะฆ่าพระเยซู
** ข้อที่ 26. สำหรับคำนี้เราเข้าใจกันดีน่ะครับ พระบิดาอยู่ในพระเยซู พระเยซูอยู่ในพระบิดา ในร่างกายของชายชื่อเยซูมีทั้งพระบิดาและทั้งพระบุตร เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูเสด็จไปมาบนโลกนี้ ก็คือคำตรัสที่ออกมาจากปากของผู้ชายชื่อเยซูก็เป็นพระบิดานั่นแหละ ขอบคุณพระเจ้าที่เปิดตาเราให้เข้าใจความหมายความจริงนี้ สำหรับเมื่อก่อนเราเคยคิดว่าพระบิดาน่าจะสั่งพระเยซู แล้วก็พระเยซูจะไปยืนฟัง ฟังพระบิดาพูดให้จบคือเรียนรู้คำพูดของพระบิดาแผนการงานของพระบิดา แล้วก็นำสิ่งเหล่านั้นลงมาพูด จริงๆ แล้วน่ะครับขณะที่พระเยซูพูดนั่นแหละก็คือพระบิดาตรัสอยู่
** ข้อที่ 27-28. เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยกบุตรมนุษย์ขึ้นไว้แล้ว ก็คือพระเยซูตอนที่ถูกประหารชีวิตได้ถูกยกขึ้น ถ้าหากว่าพระเยซูจะปฏิเสธการตายน่ะครับพระองค์ทำได้ ถ้าพระเยซูจะหลบหนีพระองค์ก็ทำได้ ถ้าพระองค์จะยกเลิกไม่ไถ่มนุษย์ไม่ไถ่บาปพระองค์ก็ทำได้ แต่ด้วยความที่พระองค์เชื่อฟังพระบิดาและพร้อมใจตกลงที่จะรับสิ่งนี้ พระองค์จึงต้องถูกปลงพระชนม์ จริงๆ แล้วพระองค์กลัวมากชายชื่อเยซูที่เป็นมนุษย์ก็เป็นเหมือนพวกเรา มีสภาพคล้ายเหมือนมนุษย์มีความกลัว กลัวตายซึ่งเราจะเห็นว่าตอนที่พระเยซูอยู่ที่สวนเกทเสมนี คือเหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นใหญ่ (ลก 22:41-44) เนื่องจากความกลัวความวิตกกังวลแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพระองค์ก็ยอม ยอมทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาจนสำเร็จแผนการงานไถ่โลก
** ข้อที่ 29. เราจะเห็นว่าตลอดชีวิตของพระเยซู 33 ปีกว่า พระองค์ไม่เคยกระทำสิ่งไหนที่เป็นบาป แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่น้ำพระทัย เพราะฉะนั้นการไปมา นั่ง นอนยืน เดิน คำพูดทุกสิ่ง ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้ออกประกาศข่าวประเสริฐทำพระราชกิจ จนถึง 3 ปีกว่าที่พระองค์ทำพระราชกิจทุกสิ่งไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่พระองค์ไม่เคยทำนอกเหนือจากน้ำพระทัยของพระบิดา แล้วก็พระบิดาพระวิญญาณทรงสถิตอยู่กับพระเยซูทุกวันทุกเวลา ไม่เคยพรากจากไปไหนเลย ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เชื่อฟังพระบิดาจนถึงสุดท้ายและการไถ่ก็สำเร็จแล้ว
** ข้อที่ 30-32. มาถึงข้อที่ 32 พระเยซูตรัสว่า ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักความจริง ความจริงนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท เราเคยมีประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ได้เข้าสู่ความจริงอยู่ในความจริงของพระเจ้าพี่น้องจำกันได้ใช่ไหม เมื่อเราเชื่อพระเยซู มาเป็นศาสนาคริสต์ เราบังเกิดใหม่ เราไปคริสตจักร เราอธิษฐาน เรารักพระเจ้าร้อนรนมาก เรานมัสการตื่นเต้นร้องเพลงได้ เป็นผู้นำบ้าง เป็นศิษยาภิบาลบ้าง เป็นผู้รับใช้บ้าง ตำแหน่งหน้าที่นู่นนี่นั่นบ้าง แต่จุดบกพร่องของคริสเตียนทุกวันนี้ก็คือไม่ได้เข้าสู่ความจริง เขามาไม่ถึงความจริง
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าคำๆ นี้ของพระเยซูสำคัญมาก คือการเข้าสู่ความจริง เพราะว่าถ้าหากเราเข้าสู่ความจริงมีอะไรเกิดขึ้น? เป็นไท เอเมน คือเราได้รับอิสระ เราจะเป็นไท คือพบความจริงแล้ว การเดิน การนั่ง การนอน การอธิษฐานการอ่านพระคัมภีร์ การนมัสการ การรับใช้ การประกาศข่าวประเสริฐทุกสิ่งมันจะอยู่ในความจริง แล้วความจริงนี้ทำให้เราเป็นไท ก็คือ ไม่หนัก ไม่แบก ไม่เหนื่อย ไม่บ่น ไม่เบื่อ คือไม่มีอะไรก็ตามที่เป็นด้านลบ เราขอบพระคุณพระเจ้าที่มานาช่วยให้เราเป็นไท ช่วยให้เราพบความจริงและอยู่ในความจริง
สิ่งที่สำคัญเราขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเตือนสติเราว่าความจริงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ความจริงของพระคำพระเจ้าที่แปลถูกเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทองใดทั้งสิ้น เพราะว่าทำให้เราเดินอยู่ในความสว่าง เราจะไม่อยู่ในอาการตาบอดอีกต่อไป หลายคนตาบอดมาหลายเดือน หลายคนตาบอดมาหลายปี หลายคนตาบอดตลอดชีวิต แต่เมื่อถูกเปิดตาพระเจ้าให้ความสว่างเข้ามาสู่จิตใจของเรา ปรากฏว่ามันสว่างมาก มันทะลุพระคำพระเจ้าทุกข้อทุกตอน เราขอบพระคุณพระเจ้า อ่านพระคัมภีร์ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ มันมีรสชาติ มันมีชีวิต ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่อ่านแล้วง่วงนอนง่วงเหงาซึมเซา
...
ถาม.
ความจริงนั้นทำให้เราเป็นไท แต่ความจริงนี้พระเจ้าจะไม่เปิดให้เราทีเดียวหมดใช่ไหมคะ พระเจ้าค่อยๆเปิดใช่ไหมคะ
ตอบ.
สำหรับแสงสว่างของพระเจ้าความจริงของพระเจ้า เรารับทีเดียวไม่ได้เราตาย คือสมองเราชีวิตเรามนุษย์จิตมนุษย์คือยังไม่สมบูรณ์พร้อมที่จะรับจากพระเจ้า 100% ได้ เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงให้ทีละน้อย ทีละน้อย ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยๆ เรียนรู้ไปถ้ารับทั้งหมดคือเราตายเรารับไม่ได้
...
ถาม.
แสดงว่าการเป็นไทของเรานี้ยังไม่ 100% เลยทีเดียว แต่ความจริงของพระเจ้า 100% ทีเดียว
ตอบ.
แน่นอนที่สุดครับ การเป็นไทของเราจะค่อยๆ เป็น เราจะถูกเปิดตาจุดนี้บ้าง จุดนั้นบ้าง จุดนี้บ้าง จุดนั้นบ้าง ค่อยๆ สะสมมานา เรียนรู้ไป กลับมาฟังคลิปเมื่อไหร่ หรือเรียนบทเรียนก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป อย่ารีบร้อน อย่าพยายาม ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
และผมขอถามกลับใหม่ว่าเราเห็นลูกเราที่แบบเล็กๆ แล้วโตทีเดียวไหม? หลายเดือนหลายปีใช่ไหม? มนุษย์ก็เหมือนกันใช้เวลาหลายเดือนหลายปีที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ เพราะฉะนั้นการเปิดตา การเป็นไทก็เหมือนกัน พระเจ้าจะให้เราเป็นไททีละจุด ทีละจุดๆๆๆ
1. เพื่อเราไม่ตาย เพื่อเรารับได้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เพื่อร่างกายของเราความคิดของเรามันจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นเข้าสู่การเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนความคิด
2. เพื่อเหตุผลที่เราจะสำนึกพระคุณพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง
พระเจ้าจะค่อยๆ เลี้ยงดูเรา ค่อยๆ เปิดตาเราทีละเล็กทีละน้อย ให้เราได้เป็นอิสระจากการเชื่อผิด ตรงนี้บ้างตรงนั้นบ้าง สุดท้ายก็คือเรามาถึงชีวิตที่อยู่ในความสว่างจ้า สว่างมากๆ
...
ถาม.
แล้วพระองค์บอกว่าให้เราเป็นไทเป็นไทจริงๆ เเล้วคริสเตียนศาสนาแสดงว่าเป็นไทปลอมๆหรอ
ตอบ.
คริสเตียนศาสนาเขาเป็นไทหรือเปล่า ทุกวันนี้เขาแบกภาระหนักมาก สันติสุขเขามีมากไหม ทุกวันนี้เขาฉลองคริสมาสแล้วพระเยซูสั่งให้ฉลองไหม (ไม่.) แล้วทุกวันนี้เขาถวายสิบลดไหม พระเยซูไม่ได้บอกให้ถวายสิบลดเขายังทำอยู่ คือภาระหนัก การงานหนัก ชีวิตเป็นทุกข์ไม่มีความสุข การรับใช้ของเขามันเหนื่อยมาก มันท้อมันเบื่อ มีอิจฉามีซุบซิบนินทา มีใส่หน้ากากเข้าหากัน แล้วพี่น้องคิดว่านั่นมันคือการเป็นไทที่แท้จริงหรือเปล่า? (ไม่น่ะครับ) คือการใช้ชีวิตที่จอมปลอมน่ะครับ เป็นไทแต่เป็นไทจอมปลอมน่ะครับ