23:1 ครั้งนั้นพระเยซูตรัสกับฝูงชนและพวกสาวกของพระองค์
23:2 ว่า "พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส
22:3 เหตุฉะนั้นทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขา อย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่
** พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสี เป็นตัวแทนของชนชาติอิสราเอล พระเยซูจึงสั่งว่า ตราบใดที่ยังอยู่ในยุคพระบัญญัติ เมื่อเขาสอนอะไรจงทำตามในสิ่งที่เขาสอน แต่อย่าทำตามในสิ่งที่เขาทำ เพราะว่า การกระทำของเขาไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาทั้งหลายสั่งสอน (หน้าซื่อใจคด)
23:4 ด้วยเขาเอาของหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย
** เขาเพียงแต่สอน หรือเอาภาระ (พระบัญญัติ) มาวางที่บ่าของผู้ฟัง แต่ตัวเองไม่ยอมทำตาม
** ยุคพระคุณนี้ เราจะเห็นได้ชัดที่คริสตจักรทั้งหลายที่ผู้นำสอนแต่ไม่ทำ แต่แกล้งทำเป็นว่าตนกระทำตาม
23:5 การกระทำของเขาเป็นการอวดเท่านั้น เขาใช้กลักพระบัญญัติอย่างใหญ่ สวมเสื้อที่มีพู่ห้อยอันยาว
** "ผู้รับใช้ผู้นำทุกวันนี้ก็ทำแบบนี้" คือเพื่ออวดว่าตนเข้มแข็งรักพระเจ้า
23:6 เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยงและที่นั่งตำแหน่งสูงในธรรมศาลา
** ในคริสตจักรผู้นำจะนั่งแถวหน้า หรือยกให้ อาจารย์ ศิษยาภิบาลนั่งแถวหน้า เพราะคิดว่าผู้นำต้องได้รับเกียรติ
23:7 กับชอบรับการคำนับที่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกเขาว่า `รับบี รับบี'
** คำว่า "อาจารย์" หรือ "ท่านอาจารย์" เป็นคำที่ผู้นำชอบให้สมาชิกเรียกเขา
** "ที่ตลาด" หรือที่บ้านของสมาชิก เขามักจะนั่งที่ๆ ดีหรือมีเกียรติ
23:8 ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกท่านว่า `รับบี' ด้วยท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียวคือพระคริสต์ และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด
** ข้อนี้บอกชัดเจนมากว่าอย่าให้ใครยกเราขึ้น
** เมื่อใครเรียกเราว่า อาจารย์ ขอให้ถือว่าเราเป็นอาจารย์ในรูปแบบของผู้เลี้ยงที่ถ่อมใจ ไม่หลงตัวเอง และไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าใคร
** พระอาจารย์ที่แท้จริงของเรา คือพระคริสต์ และเราทุกคนเป็นพี่น้องที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าเมื่อเรามีของประทานรักษาโรค ไล่ผี เทศนาสั่งสอนได้ เราจะต้องเหนือกว่าใคร เป็นความคิดที่ผิด
23:9 และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว คือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์
23:10 อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า `นาย' ด้วยว่านายของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์
23:11 ผู้ใดที่เป็นใหญ่ที่สุดในพวกท่าน ผู้นั้นจะเป็นผู้รับใช้ท่านทั้งหลาย
** คำว่า "รับใช้" ในที่นี้ คือรับใช้ทุกอย่าง ทั้งการช่วยเหลือฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ
23:12 ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะต้องถูกเหยียดลง ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น
** "รับการยกขึ้นหรือเหยียดลง" ในที่นี้ คือยุคหน้า หรือเมื่อพระเยซูกลับมาพร้อมกับราชอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง
สรุป มธ 23 ข้อ 1-12
พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสี เป็นตัวแทนของชนชาติอิสราเอล พระเยซูจึงสั่งว่าตราบใดที่ยังอยู่ในยุคพระบัญญัติ
เมื่อเขาสอนอะไรจงทำตามในสิ่งที่เขาสอน แต่อย่าทำตามในสิ่งที่เขาทำ
เพราะว่าการกระทำของเขาไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาทั้งหลายสั่งสอน (หน้าซื่อใจคด)
23:13 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดประตูอาณาจักรแห่งสวรรค์ไว้จากมนุษย์ พวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้
** ข้อ 13–36
สิ่งที่พระเยซูกล่าวแช่งสาปฟาริสี ก็ตกถึงผู้รับใช้และผู้นำทุกวันนี้ เพราะพวกเขาก็ทำเหมือนๆ กัน คือ..
1. ปิดประตูอาณาจักรสวรรค์ และขัดขวางไม่ยอมให้ใครเข้า (แบบไม่ได้ตั้งใจ)
2. การเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และแกล้งอธิษฐานยืดยาวเพื่ออวดผู้อื่น
3. ออกไปประกาศ แต่เมื่อมีคนกลับใจก็ทำให้เขาตาบอด และหาความจริงไม่เจอในท่ามกลางคริสตจักร
4. เขาชอบให้คำสัญญา แต่ไม่ชอบรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ (มีน้อยคนที่รักษา)
5. เขาเห็นทองคำมีค่ากว่าพระวิหาร และลืมไปว่าพระวิหารคือที่ที่ทำให้ทองคำได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ (ข้อ 17)
23:14 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น
23:15 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไปเพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต เมื่อได้แล้วก็ทำให้เขาเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า
23:16 วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด เจ้าสอนว่า `ผู้ใดจะปฏิญาณอ้างพระวิหาร คำปฏิญาณนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะปฏิญาณอ้างทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องกระทำตามคำปฏิญาณ'
23:17 โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์
23:18 และว่า `ผู้ใดจะปฏิญาณอ้างแท่นบูชา คำปฏิญาณนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะปฏิญาณอ้างเครื่องตั้งถวายบนแท่นบูชานั้น ผู้นั้นต้องกระทำตามคำปฏิญาณ'
23:19 โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งใดจะสำคัญกว่า เครื่องตั้งถวายหรือแท่นบูชาที่กระทำให้เครื่องตั้งถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์
23:20 เหตุฉะนี้ ผู้ใดจะปฏิญาณอ้างแท่นบูชา ก็ปฏิญาณอ้างแท่นบูชาและสิ่งสารพัดซึ่งอยู่บนแท่นบูชานั้น
23:21 ผู้ใดจะปฏิญาณอ้างพระวิหาร ก็ปฏิญาณอ้างพระวิหารและอ้างพระองค์ผู้ทรงสถิตในพระวิหารนั้น
23:22 ผู้ใดจะปฏิญาณอ้างสวรรค์ ก็ปฏิญาณอ้างพระที่นั่งของพระเจ้าและอ้างพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น
** ข้อ 17-22 สอนเราให้รู้ว่าพระเจ้า คือผู้ที่สามารถชำระสิ่งที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ให้กลับสะอาดและบริสุทธิ์ได้ ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับพระเจ้าก่อน ไม่ใช่สถานที่ หรือเครื่องบูชา
** เมื่อเราเชื่อพระเจ้า เราถูกย้ายจากโลกของอาดัม ไปอยู่ที่โลกของพระคริสต์ที่ตามองไม่เห็น การย้ายนี้ทำให้เรากลายเป็นคนชอบธรรมและบริสุทธิ์ได้
23:23 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายสิบชักหนึ่งของสะระแหน่ ยี่หร่าและขมิ้น ส่วนข้อสำคัญแห่งพระราชบัญญัติ คือการพิพากษา ความเมตตาและความเชื่อนั้นได้ละเว้นเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นไม่ควรละเว้นด้วย
** พระเยซูทรงตำหนิพวกเขาเรื่องการถวายสิบลดที่ไม่ซื่อสัตย์ เพราะว่าตอนนั้นยุคพระบัญญัติยังไม่หมดเวลาหรือถูกยกเลิก และไม่ได้หมายความว่าพระเยซูสอนให้ถวายสิบลด
23:24 โอ คนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออก แต่กลืนตัวอูฐเข้าไป
** พวกฟาริสีปฏิเสธสิ่งที่สกปรกเพียงเล็กน้อย แต่กินสิ่งที่เป็นมลทินเข้าไปมากกว่าเสียอีก
23:25 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส
** เขาสวมหน้ากากทำตัวเหมือว่าเข้มแข็งต่อหน้าพี่น้องและคริสตจักร แต่ภายในใจเขาไม่ได้เป็นเหมือนที่ปรากฏภายนอกเลย
23:26 โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย
** การที่จะทำให้เราสะอาดได้ คือต้องรับการชำระภายในก่อน และภายนอกก็จะพลอยสะอาดไปด้วย
23:27 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและสารพัดโสโครก
** นี่คือสภาพที่ไม่เหมือนกันของภายในและด้านนอกของฟาริสีที่ผู้เชื่อมากมายทุกวันนี้เป็นอยู่
23:28 เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วช้า
23:29 วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ฝังศพของพวกศาสดาพยากรณ์ และตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของผู้ชอบธรรมให้งดงาม
23:30 แล้วกล่าวว่า `ถ้าเราได้อยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น จะได้มีส่วนกับเขาในการทำโลหิตของพวกศาสดาพยากรณ์ให้ตกก็หามิได้'
23:31 อย่างนั้นเจ้าทั้งหลายก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า เจ้าเป็นบุตรของผู้ที่ได้ฆ่าศาสดาพยากรณ์เหล่านั้น
23:32 เจ้าทั้งหลายจงกระทำตามที่บรรพบุรุษได้กระทำนั้นให้ครบถ้วนเถิด
23:33 โอ พวกงู เจ้าชาติงูร้าย เจ้าจะพ้นโทษนรกอย่างไรได้
** "นรก" ในที่นี้ คือ "เกเฮนา" คือที่ทิ้งขยะนอกกรุงเยรูซาเล็มที่มีไฟลุกไหม้
ฟาริสี
23:34 เหตุฉะนั้น ดูเถิด เราใช้พวกศาสดาพยากรณ์ พวกนักปราชญ์ และพวกธรรมาจารย์ต่างๆไปหาพวกเจ้า เจ้าก็ฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง
23:35 ดังนั้นบรรดาโลหิตอันชอบธรรมซึ่งตกที่แผ่นดินโลก ตั้งแต่โลหิตของอาแบลผู้ชอบธรรมจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรชายบารัคยา ที่พวกเจ้าได้ฆ่าเสียในระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชานั้น คงตกบนพวกเจ้าทั้งหลาย
23:36 เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า บรรดาสิ่งเหล่านี้จะตกกับคนสมัยนี้
** สรุป มธ ข้อ 13-36
สิ่งที่พระเยซูกล่าวแช่งสาปฟาริสี ตกถึงผู้รับใช้ผู้นำทุกวันนี้เพราะพวกเขาก็ทำเหมือนๆ กัน
1. ปิดประตูอาณาจักรสวรรค์ และขัดขวางไม่ยอมให้ใครเข้า (แบบไม่ได้ตั้งใจ)
2. การเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น แกล้งอธิษฐานยืดยาวเพื่ออวดผู้อื่น
3. ออกไปประกาศ แต่เมื่อมีคนกลับใจก็ทำให้เขาตาบอดหาความจริงไม่เจอในท่ามกลางคริสตจักร
4. เขาชอบให้คำสัญญา แต่ไม่ชอบรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ (มีน้อยคนที่รักษา)
5. เขาเห็นทองคำมีค่ากว่าพระวิหาร และลืมไปว่าพระวิหารคือที่ที่จะทำให้ทองคำได้รับการชำระให้บริสุทธิ์
23:37 โอ เยรูซาเล็มๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
23:38 ดูเถิด `บ้านเมืองของเจ้าจะถูกละทิ้งให้รกร้างแก่เจ้า'
23:39 ด้วยเราว่าแก่เจ้าทั้งหลายว่า เจ้าจะไม่เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะกล่าวว่า `ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ'"
** การลงโทษของพระเจ้ามาถึงตามคำทำนายในข้อนี้ คศ. 70 อาณาจักรโรมันบุกเข้าโจมตีทำลายชนชาติอิสราเอลและทำลายพระวิหารจนไม่เหลืออะไร
- การกล่าวโทษของพระเยซูในมัทธิวบทที่ 23 เป็นช่วงเวลาที่ยังอยู่ในยุคพระบัญญัติซึ่งพระองค์ยังสนับสนุนให้ทุกคนรักษาพระบัญญัติเดิมอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป
...
** คำกล่าวโทษของพระเยซูต่อพวกฟาริสีและธรรมมาจารย์ตั้งแต่ข้อที่ 1 จนถึง 12 มีดังนี้
1. เขาสอนบังคับให้ยิวแบกภาระ (รักษาพระบัญญัติและคำสอนมากมาย) แต่ตนกลับไม่รักษา
2. ทำทุกสิ่งเพื่ออวดเท่านั้น ไม่ใช่เพราะรัก
3. ชอบที่อันมีเกียรติ ชอบให้ทุกคนคำนับ ชอบให้เรียกว่า อาจารย์ (สูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป)
4. ผู้เป็นใหญ่ของพระเยซูต้องรับใช้ทุกคน พระองค์ยังเตือนว่า ผู้ที่ตั้งตนเป็นใหญ่ พระเยซูจะให้ต่ำลงในยุคหน้าและตลอดไป
...
(ข้อที่ 13-36) สิ่งที่พระเยซูกล่าวแช่งสาบฟาริสี ตกถึงผู้รับใช้ผู้นำทุกวันนี้เพราะพวกเขาก็ทำเหมือนๆ กัน
1. ปิดประตูอาณาจักรสวรรค์ และขัดขวางไม่ยอมให้ใครเข้า (แบบไม่ได้ตั้งใจ)
2. การเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น แกล้ง อธิษฐานซะยาวเพื่ออวดผู้อื่น
3. ออกไปประกาศ แต่เมื่อมีคนกลับใจก็ทำให้เขาตาบอดหาความจริงไม่เจอในท่ามกลางคริสตจักร
4. เขาชอบให้คำสัญญา แต่ไม่ชอบรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ (มีน้อยคนที่รักษา)
5. เขาเห็นทองคำมีค่ากว่าพระวิหาร และลืมไปว่าพระวิหารคือที่ที่จะทำให้ทองคำได้รับการชำระให้บริสุทธิ์