- ศาสนาทุกศาสนาจะเน้นที่การได้เป็นคนชอบธรรมโดยทางการประพฤติ
- ผู้เชื่อมากมายที่ยังไม่ได้ถูกเปิดตาจึงไม่รู้ว่า การได้กลายเป็นคนชอบธรรมนั้นเราได้รับมาโดยทางความเชื่อซึ่งเป็นพระคุณ (ของขวัญ) และโดยการกระทำของพระเจ้าเท่านั้น การชำระหนี้บาปโดยทางพระเยซูเป็นเหตุให้เราได้รอดจากบึงไฟ แต่เป้าหมายของการชำระนี้ไม่ใช่เพื่อให้รอดเท่านั้น
- คริสตจักรทั้งหลายจึงเน้นการทำดีเชื่อฟัง อธิษฐาน อ่าน ไปร่วมประชุมกับพี่น้อง รักษาชีวิตให้อยู่ในการดีทุกอย่าง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า หรือเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม
- เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมก็เพราะว่าพระโลหิตและการตายของพระเยซูจ่ายหนี้บาปเพราะเห็นแก่ความชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว และเพราะพระคริสต์ทรงประทับที่ข้างขวาของพระบิดาในสวรรค์
...
ความชอบธรรมคืออะไร (what is the righteousness of God?)
- ความชอบธรรมของพระเจ้า เป็นมาตรฐานแห่งความชอบธรรมของเรา คือ พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราเป็นความชอบธรรมของเราในเรา (1 คร 1:30)
- การรักษาพระบัญญัติไม่ได้ช่วยอะไรเราเพื่อให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมเลย (โรม 3:20-28) แต่เพราะเราเชื่ออย่างเดียว (โรม 5:1)
...
อะไรคือสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้รับการชำระให้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว
- การไถ่ด้วยการตายของพระคริสต์เป็นที่ยอมรับและตอบสนองต่อความชอบธรรมของพระเจ้าอย่างครบถ้วนแล้ว (3:24) และ การฟื้นขึ้นของพระเยซูเพื่อเราจะได้รับการชำระให้กลายเป็นคนชอบธรรม (Justified) "คือพระองค์ผู้ทรงถูกมอบไว้เพราะการละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม โรม 4:25"
- พระคำพระเจ้าเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้ว (โรม 4:22-25)
4:22 ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของท่านเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
4:23 แต่คำว่า ‘ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ นั้น มิได้เขียนไว้สำหรับท่านแต่ผู้เดียว
4:24 แต่สำหรับพวกเราด้วย จะทรงถือว่าเราเป็นคนชอบธรรม คือเราที่เชื่อวางใจในพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฟื้นขึ้นจากความตาย
4:25 คือพระองค์ผู้ทรงถูกมอบไว้เพราะการละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม
- เมื่อเราพบความจริงเรื่องการได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ เราพบว่าเรามีสันติสุขที่ไม่เหมือนแต่ก่อน ดั่งที่ทรงสัญญาในโรม 5:1
- หนังสือยากอบเขียนเพื่อเตือนผู้เชื่อว่า เมื่อเราเชื่อเข้าในพระเยซูแล้ว เราจะมีผลของพระวิญญาณ (การประพฤติที่ชอบธรรม) ไม่มากก็น้อย แต่นั่นไม่ใช่การรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม
- ภาษากรีก คือ G1342 dik-ah-yos (Justtify) G1344 dik-ah-yo-o (Justified)
- ก่อนที่เราจะเข้าใจเกี่ยวกับ การทรงนับว่าเราเป็นคนชอบธรรม (Justification) เราต้องเข้าใจ ความชอบธรรมของพระเจ้า (righteousness of God) ก่อน
...
ความชอบธรรมคืออะไร (what is the righteousness of God?)
- พระเจ้าเป็นความชอบธรรม ความชอบธรรม คือมาตรฐานของชีวิตพระเจ้า
...
การไถ่ให้รอด คืออะไร (what is the redemption?)
- คือเมื่อแรกเริ่มมนุษย์เป็นของพระเจ้า จากนั้นมนุษย์ก็หลงหายไปเป็นของบาปหรือมารซาตาน พระเจ้าทรงซื้อเรากลับมา และพระโลหิตคือค่าจ่ายหนี้บาปนั่นเอง
...
เราเป็นคนชอบธรรมได้อย่างไร (how can we become righteous?)
- เมื่อพระเจ้าทรงไถ่เราโดยพระโลหิตและการตายของพระเยซู การทำให้กลายเป็นคนชอบธรรมคือขั้นตอนต่อมา
- เมื่อพระคริสต์เข้ามาอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เราจึงกลายเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า เราไม่ใช่คนชอบธรรมแน่นอน แต่เพราะพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับเรา อยู่ในเรา เราจึงเป็นคนชอบธรรมในพระองค์
- เมื่อพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา พระเจ้าจึงยอมรับ ประกาศ และยืนยันว่า เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้วสำหรับพระองค์ นี่คือความหมายของคำว่า "การได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ" พระเจ้าจะประกาศต่อหน้าทูตสวรรค์ทั้งหลายว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้วเพราะความเชื่อของเรา
...
ความหมายของคำว่า "ชำระให้บริสุทธิ์" ในพระคัมภีร์ :
1. พระเจ้ากระทำบางอย่างเพื่อให้คนบาปได้กลายเป็นคนชอบธรรม
- เพราะว่าพระเจ้าเป็นความชอบธรรม เมื่อมีการละเมิดก็ต้องมีการจ่ายหนี้ให้กับพระเจ้า ซึ่งการละเมิดก็คือการอธรรม หรือความไม่ชอบธรรมนั่นเอง
- พระเจ้าทรงประทานพระคริสต์ลงมาเพื่อรับแบกบาปเราด้วยการยอมทนทุกข์ทรมานและตายบนไม้กางเขน เพื่อจ่ายหนี้บาปแทนมนุษย์
- ทันทีที่เราเชื่อ (เข้าใน) พระเยซูคริสต์
a. พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชุบชีวิตเราให้บังเกิดใหม่ และทรงกระทำให้ชีวิตใหม่นี้เป็นที่อยู่หรือวิหารของพระเจ้า
b. พระเจ้าได้เสด็จเข้ามาสถิตอยู่ในเรา
c. พระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเราแล้วและจะแยกกันไม่ได้อีก
...
2. พระเจ้ายอมรับ และประกาศว่าผู้เชื่อบริสุทธิ์ชอบธรรมแล้ว (สำหรับพระองค์)
- เมื่อเราผ่านกระบวนการในข้อ a, b, c แล้ว พระเจ้าจึงยอมรับ และประกาศต่อทูตสวรรค์ทั้งหลายว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้วต่อสายพระเนตรของพระองค์
...
3. การสำแดงตัวว่าเป็นคนดีชอบธรรมแล้ว
- เราผู้เชื่อทุกคนไม่ควรพูดว่า "ผมเป็นคนบาป" "คุณเป็นคนบาป" "ข้าพระองค์เป็นคนบาป" "พวกเราเป็นคนบาป" อีกต่อไป เพราะว่าเราได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยการกระทำของพระเจ้าและการยอมรับของพระองค์ และโดยการเชื่อของเรา
a. เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม โดยทางความเชื่อ (โรม 5:1)
b. บังเกิดเก่าเราเป็นคนบาป บังเกิดใหม่เราเป็นคนชอบธรรม (โรม 5:12-21)
c. เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยพระโลหิต ไม่ใช่โดยการประพฤติ (โรม 3:20, 28; 5:9 / กท 2:16; 3:11, 24)
โรม 3:20, 28 ; 5:9
20 เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเนื้อหนังคนหนึ่งคนใดเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าได้โดยการประพฤติตามพระราชบัญญัติ เพราะว่าโดยพระราชบัญญัตินั้นเราจึงรู้จักบาปได้
28 เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายสรุปได้ว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามพระราชบัญญัติ
5:9 บัดนี้เราจึงเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น เราจะพ้นจากพระพิโรธโดยพระองค์
- พระโลหิตและการตายของพระเยซูแก้ไขปัญหาสองอย่างของมนุษย์ (โรม5:10-11)
1. คนบาป ได้กลายเป็นคนชอบธรรม
2. ศัตรูของพระเจ้า ได้กลับมาคืนดีกับพระองค์
สรุป มนุษย์เป็นคนบาป และเป็นศัตรูกับพระเจ้า ทำลายเกียรติ ความบริสุทธิ์ ชอบธรรม ความดี สง่าราศีของพระเจ้า พระเจ้าทำให้มนุษย์กลับมาเป็นคนชอบธรรมและได้คืนดีและเป็นฝ่ายเดียวกันกับพระองค์ ด้วยการให้พระเยซูจ่ายหนี้บาปเราด้วยพระโลหิต ซึ่งพระโลหิตเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการละเมิดของมนุษย์ จากนั้นพระวิญญาณเริ่มจัดการกับชีวิตของเราด้วยการเข้ามาอยู่ในเรา สร้างบ้านหรือวิหารเพื่อนำพระเจ้าทั้งสามพระภาคเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับเรา ในที่สุด พระเจ้าก็ประกาศว่า เราเป็นคนชอบธรรมแล้ว การได้กลายเป็นคนชอบธรรมนี้ เป็นของขวัญที่เราได้รับฟรีๆ จากพระเจ้าเรียกว่าพระคุณ
.....
- คนบาปต้องการการไถ่บาป และศัตรูของพระเจ้าต้องการการคืนดีกัน พระเยซูแก้ปัญหาสองปัญหาดังกล่าวด้วยพระโลหิตและการตายของพระองค์
- การได้กลายเป็นคนชอบธรรมนี้ เพื่อให้เราได้มาถึงมาตรฐานแห่งความชอบธรรมของพระเจ้า ความรอดในวันสุดท้าย หรือรอดจากบึงไฟนิรันดร์เป็นผลที่ได้รับจากการได้เป็นคนชอบธรรมเท่านั้น เพราะความชอบธรรมทำให้เรามีฐานะเท่าเทียมกับยิวที่เคร่งศาสนามากคนหนึ่ง
- พระบัญญัติไม่ได้ช่วยอะไรเราเพื่อให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมเลย โรม 3:20-28 แต่ที่เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมก็เพราะเรา"เชื่อ"อย่างเดียวเท่านั้น
- ถึงแม้ว่าอับราฮัมจะไม่มีชีวิตที่ชอบธรรม แต่เพราะท่านมีความเชื่อ และความเชื่อของท่านพระเจ้าจึงทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรมจำเพราะพระพักตรของพระองค์ อับราฮัมจึงถูกเรียกว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ (โรม 4:16 ด้วยเหตุนี้เองการที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญานั้นจะเป็นที่แน่ใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน มิใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่ถือพระราชบัญญัติพวกเดียว แต่แก่คนที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเราทุกคน)
(กท 3:6-9 3:6 ดังที่อับราฮัม ‘ได้เชื่อพระเจ้า’ และ ‘พระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน’ 3:7 เหตุฉะนั้นท่านจงรู้เถิดว่า คนที่เชื่อนั่นแหละก็เป็นบุตรของอับราฮัม 3:8 และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ‘ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพระพรเพราะเจ้า’ 3:9 เหตุฉะนั้นคนที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ)
- นางซาราเป็นเปรียบเหมือนการอยู่ในทางแห่งพระคุณ ส่วนนางฮากาอยู่ในทางแห่งพระบัญญัติ
คริสเตียนส่วนมากเดินในสายของนางฮากาเป็นลูกหลานของฮากา เพราะเขาพยายามเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม ขณะที่มีผู้เชื่อหลายคนเป็นลูกหลานของนางซาราเพราะเขาเชื่อว่าเขาได้กลายเป็นคนชอบธรรมแล้วเพราะความเชื่อเท่านั้น
- ความแตกต่างระหว่างการอยู่ใต้พระบัญญัติและใต้พระคุณ
1. ลูกหลานของนางฮากากับการอยู่ใต้พระบัญญัติ
a. นางฮากาเป็นทาส และอิชมาเอลบุตรของนางคือลูกทาส
b. คริสเตียนมากมายทุกวันนี้ คืออิชมาเอลลูกทาส เพราะเป็นเหมือนทาสที่ต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องแบกภาระที่หนักมาก พวกเขาเป็นอาดัม เป็นเนื้อหนังที่ตกต่ำแล้ว เพราะยังไม่ได้ถูกเปิดตา
- การพยายามรักษาพระบัญญัติ คือ
1. กลายเป็นเนื้อหนัง
2. อยู่ภายใต้การสาปแช่ง
3. อยู่ใต้พระบัญญัติ
4. เป็นทาสของตัวบาป (โรม 7:4, 14-24; 6:7, 14)
...
2. ลูกหลานของนางซารากับการอยู่ใต้พระคุณ
- นางซาราเป็นภรรยาของท่านอับราฮัม และอิสอักบุตรของนางคือลูกแห่งพระสัญญาที่จะมาตามเวลากำหนดของพระเจ้า
- มีผู้เชื่อไม่มากที่พบมานาที่ซ่อนไว้ (ตัวตนของพระเยซู) ได้ถูกเปิดตาว่า คริสเตียนคืออิสอักลูกแห่งพระสัญญา เรารู้ว่า อยู่ใต้พระคุณ และอยู่ใต้พระบัญญัติคืออะไร เป็นมนุษย์วิญญาณและเป็นเนื้อหนังคืออะไร
- เราไม่พยายามรักษาพระบัญญัติ เพื่อเราจะเป็น
1. มนุษย์วิญญาณ
2. ไม่ได้อยู่ภายใต้การสาปแช่ง (ในชีวิตนี้และในยุคหน้า)
3. มีพระคริสต์ดำเนินชีวิตแทนเราเพื่อไม่ต้องอยู่ใต้พระบัญญัติ
4. ตัวบาปไม่มีอำนาจเหนือเราอีกต่อไปแล้ว
- ต้องยอมประหารอิสอัก เพื่อเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
สำหรับพระเจ้า อิสอักตายเมื่ออับราฮัมกำลังจะฆ่าเขา เราผู้เชื่อยอมตายหรือถูกประหารชีวิตเก่าที่กางเขน เพื่อชีวิตใหม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
- โรมบทที่ 3 เปาโลกล่าวถึงการชำระให้กลายเป็นคนชอบธรรมด้วยวิธีของพระเจ้า
- โรมบทที่ 4 เปาโลกล่าวถึงท่านอับราฮามเพื่อเป็นแบบอย่างของการได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ
- โรมบทที่ 5 เปาโลกล่าวถึงผลของการได้กลายเป็นคนชอบธรรม 6 ประการอย่างเช่น ความรัก พระคุณ สันติสุข ความหวัง ชีวิต และความชื่นชมยินดี ตั้งแต่ข้อที่ 1-11
...
a. ความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ (โรม 5:5)
- ถึงแม้ว่าเราจะเผชิฐกับปัญหาต่างๆ มากมาย แต่ความรักของพระเจ้าหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจเรา
- พระเจ้าทรงรักเรา พระคริสต์ลงมาตายเพื่อไถ่บาปเรา พระวิญญาณทรงทำงานและนำปัญหามาสู่เราเพื่อการเติบโตและเข้าสู่ชีวิตที่สุกงอม
- ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด ทรงสถิตอยู่กับเราเสมอทุกเวลาและช่วยเราให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้ ไม่เคยทิ้งเรา (ฮบ 13:5)
...
b. โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ (โรม 5:2)
- พระคุณ คือที่ที่เราควรยืนอยู่ อย่าออกจากพระคุณ
- พระคุณ คือการกระทำของพระคริสต์ทั้งหมดเพื่อเรา เมื่อเราใหม่ และ อยู่ในพระคริสต์ แล้ว
- เราควรที่จะเรียนรู้การอยู่ใต้พระคุณอย่างระเอียดถี่ถ้วนเพื่อเราจะไม่หลงหลุดออกไปจากพระคุณ
- ขณะที่เรายังทำบาป อยู่ในเนื้อหนัง เราอธิษฐานว่า พระเยซู ขอทรงยกโทษข้าและรักษาข้าให้อยู่ในร่มพระคุณของพระองค์
- การอยู่ในร่มพระครุณคือการเชื่อเอาว่าเราอยู่แล้ว เราสารภาพบาปทุกครั้งที่เราหลุดออกจากร่มพระคุณ
- ทางแห่งร่มพระคุณคือทางแห่งสันติสุข ถ้าหากเราไม่มีสันติสุข เราควรหยุดหรือออกมาจากสิ่งนั้นหรือสถานที่แห่งนั้น
- พระเจ้าทรงเตรียมหนทางเพื่อให้เราอยู่ในร่มพระคุณแบบง่ายๆ รีบกลับมาเร็วเท่าที่จะเร็วได้เพื่อไม่ต้องอยู่ในเนื้อหนัง ความบาปและความตาย
...
c. เมื่อเรากลายเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้วเราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ (โรม 5:1)
- เรามีใจกล้าที่จะพูดว่าเราเป็นคนชอบธรรมแล้ว เพราะเราได้รับสันติสุขจากพระเจ้าเป็นของขวัญ
- เราจะขอบพระคุณพระเจ้าและอยู่ในสันติสุขทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะเรารู้และเข้าใจแล้วว่าปัญหาต้องเกิดกับเราไม่มากก็น้อยเพื่อการเติบโต เราหวังพระพรฝ่ายร่างกายและชีวิตราบรื่นในชีวิตนี้ไม่ได้ แต่ถ้าหากเราแสวงหาอาณาจักรและความชอบธรรมของพระเจ้า พระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราแน่นอน
- โรม 8:28 และเรารู้ว่า ทุกสิ่งต่างร่วมมือกันเพื่อให้เกิดผลดีแก่คนทั้งหลายที่รักพระเจ้า คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ 8:29 เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉายแห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก
- ทองคำต้องการการหล่อหลอมด้วยไฟเพื่อให้ไม่มีอะไรผสมอยู่ฉันใด คริสเตียนก็ต้องการการหล่อหลอมด้วยปัญหาเพื่อการแยกออกให้บริสุทธิฉันนั้น
- We stand in the realm of grace and we walk in peace
...
d. เราชื่นชมยินดี ในความหวัง (โรม 5:2)
- พระเจ้าเป็นความชื่นชมยินดีของเรา ขณะที่เรามีความหวัง
- ความหวังในที่นี้คืออะไร คือเรามีความหวังว่าจะได้เข้าสู่สง่าราศีร่วมกับพระเจ้า
- ถึงแม้ว่าเราได้ยืนอยู่ในร่มพระคุณและเดินในสันติสุขแต่เรายังไม่ได้เข้าสู่สง่าราศีแต่เราก็มีความหวัง
- สง่าราศีคืออะไร คือพระเจ้าทรงสำแดงชีวิตของพระองค์ผ่านผู้เชื่อ
- ทุกครั้งที่เรากดสวิตช์ไฟฟ้า ก็เกิดมีความสว่างขึ้นผ่านหลอดไฟทันที ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงสำแดงชีวิตผ่านเรา ก็คือสง่าราศี เราไม่สามารถมองเห็นพลังไฟฟ้า แต่เราเห็นการทำงานของพลังไฟฟ้าได้ เราไม่อาจเห็นพระเจ้า แต่เราอาจจะเห็นผลของชีวิตพระเจ้าได้
...
e. เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน (โรม 5:10)
- ความรอดในชีวิตของพระคริสต์
- ในแต่ละวันเราควรจะได้รับความรอดจากสิ่งที่เป็นด้านลบทั้งหลาย
- เราควรจะรอดจากอารมณ์โกรธโมโหและรอดจากตัวเก่าของเรา คือการได้พ้นจากกฏแห่งบาปและกฏแห่งความตาย
- เราควรจะรอด (ตาย) จากโลกนี้ คือการได้รับการชำระหรือแยกออกมาเพื่อพระเจ้า (sanctified)
- เราควรจะรอดจากธรรมชาติเดิมที่เป็นอยู่ คือการได้เปลี่ยนใหม่ (transformed) หลุดพ้นจากธรรมชาติเดิม
- เราควรจะรอดจากสิ่งที่เรารักชอบหลงอยู่ คือการเข้าสู่พระลักษณะ / พระฉายาของพระคริสต์
- เราควรจะรอดจากการชอบเด่นดังดีเด่นอยู่คนเดียว คือการร่วมสร้างพระกายกับพี่น้องที่พบมานาเพื่อเป็นพระกายเที่ยงแท้ที่เข้าสู่ชีวิต มีชีวิตและสำแดงชีวิต ไม่ใช่รูปแนวศาสนาและกฏเกณฑ์ต่างๆ
- สิ่งเหล่านี้คือการได้รอดของชีวิตพระคริสต์ในแต่ละวัน
- Justification คือความรอดของวิญญาณ ขณะที่ sanctification, transformation และ conformation คือความรอดของจิต
...
f. เราจะมีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า (โรม 5:2)
- ผู้เชื่อทุกคนจะได้เข้าสู่สง่าราศีร่วมกับพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ แต่ผู้ชนะจะได้เข้าสู่สง่าราศีกับพระเจ้าในอาณาจักรสวรรค์พันปี
- บัญชีชีวิตมีสองบัญชีคือบัญชีเป็นหนี้ (Debit) และบัญชีเครดิต (Credit)
** หนังสือโรม ใช้คำว่า ทำบัญชี หลายครั้งด้วยกัน
(ยกตัวอย่างในบทที่ 4:3, 9, 22) พระเจ้าทรงนับความเชื่อของอับราฮัม (ทำบัญชี) ว่าเป็นความชอบธรรม
- มนุษย์และคริสเตียนส่วนมากแสวงหาพระพรและความรอด แต่เป้าหมายหลักของพระเจ้าคือต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์อย่างสนิทแน่น และสำแดงพระองค์ต่อจักรวาล ต่อทูตสวรรค์ สัตว์ และมนุษย์โลก ผ่านผู้เชื่อ เรื่องความรอดเราได้รอดอย่างแน่นอน แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เราควรใส่ใจและแสวงหาอีกต่อไป
- การชำระให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมนี้ ไม่ใช่เพื่อให้ได้รอด แต่เพื่อนำมนุษย์กลับมาอยู่ในแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ตกต่ำแล้ว คำว่าตกต่ำคือการไม่ได้อยู่ในแผนการและน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ว่ามนุษย์จะทำดีและทำตัวให้บริสุทธิ์ชอบธรรมมากมายเท่าไหร่ก็เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าไม่ได้ สิ่งที่มนุษย์ต้องการคือการไถ่และการทำให้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยพระเจ้าเอง
- ผู้เชื่อที่ได้รับการเปิดเผย จะได้รับสิทธิพิเศษคือได้ร่วมครอบครองกับพระเยซูในยุคหน้าและชั่วนิรันดร์ (โรม 4:13)
- ผู้เชื่อที่รับการเปิดเผย จะได้เข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง (Sanctification) ถูกเลือก (Selection) และเข้าสู่ชีวิตสุกงอม (Transformation) และมีสง่าราศี (Glorification)
- ส่วนผู้เชื่อทั้งหลายที่ไม่ได้ถูกเปิดตาเพราะจิตใจแข็งกระด้าง จะถูกบังคับให้เข้าสู่ชีวิตสุกงอมที่เกเฮนาเป็นเวลาพันปี จากนั้นก็ได้รอดในวันสุดท้ายและไม่มีส่วนครอบครองร่วมกับพระเยซูไปจนชั่วนิรันดร์
- คือ เพื่อนำมนุษย์กลับมาสู่แผนการงานดั้งเดิมของพระเจ้า คือพระเจ้าจะสำแดงชีวิตและนิสัยของพระองค์ผ่านมนุษย์ และเพื่อมนุษย์จะมีส่วนครอบครองแผ่นดินโลกร่วมกับพระเจ้า โรม 4:13 แต่มนุษย์ใส่ใจที่ความรอด แสวงหาการได้อยู่รอดของตนเองทั้งชีวิตนี้และชีวิตหลังความตาย พระเจ้าไม่ได้ไถ่เราเพื่อให้ได้รอดจากนรกบึงไฟ
พระเจ้าให้เปาโลเขียนบทที่สี่ เพื่อให้เราได้รู้ว่า การชำระให้กลายเป็นคนชอบธรรมก็เพื่อพระเจ้าจะได้พระกายของพระคริสต์ที่เป็นอาณาจักรเพื่อครอบครองแผ่นดินโลก ทุกคนและทูตสวรรค์จะเห็นพระเจ้าผ่านพระกายนี้ เราจะเห็นรายละเอียดของการดำเนินชีวิตของพระกายร่วมกันของประชากรของอาณาจักรในบทที่สิบสองจนถึงบทที่สิบหก บทที่สี่ เปาโลพูดถึงอับราฮัมเพื่อเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับ การชำระให้กลายเป็นคนชอบธรรมจึงมีคุณค่าและความหมายอย่างมากมาย ดีกว่าท่านพูดแต่ไม่ได้นำเรื่องของท่านอับราฮัมเป็นตัวอย่าง
- คริสเตียนมีพระคริสต์อยุ่ในเราเพื่อเราจะมีประสบการณ์ชีวิตพระคริสต์ แต่คริสเตียนต้องการมีประสบการณ์ชีวิตพระคริสต์ผ่านนางฮากา เราจึงไม่ได้อยู่ใต้พระคุณและอยู่ในประสบการณ์ที่ดีที่สุดของชีวิต
...
การชำระ เพื่อนำมนุษย์กลับมาอยู่ในสภาพเดิม
- มนุษย์ตกต่ำ คือการออกจากแผนการงานของพระเจ้า และออกจากพระเจ้า การอยู่ในพระเจ้าและอยู่เพื่อสำแดงชีวิตของพระองค์ต่อจักรวาลคือแผนการงานของพระเจ้า ถ้าหากมนุษย์ไม่รู้และไม่ได้อยู่ในแผนการงานนี้ เรียกว่า ตกต่ำ
- พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อพระองค์ ถ้าหากไม่มีพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์
- การนำมนุษย์กลับมาเพื่อให้อยู่ในแผนการงานบริหารของพระเจ้า หรือหลุดพ้นจากความตกต่ำ เรียกว่า การชำระเพื่อให้กลายเป็นคนชอบธรรม
- ประสบการณ์ของการชำระให้กลายเป็นคนชอบธรรม คือการได้มาดำเนินชีวิตอยู่ตามน้ำพระทัยพระเจ้า และอีกไม่นานต่อมาการเปลี่ยนแปลง sanctification ก็ตามมา