21:1 และต่อมา หลังจากพวกเราไปจากพวกเขา และได้แล่นเรือแล้ว พวกเราก็มุ่งตรงสู่เกาะโขส และวันต่อมาก็มาถึงเกาะโรดส์ และจากที่นั่นก็มายังเมืองปาทารา
21:2 และเมื่อพบเรือลำหนึ่งที่จะแล่นไปยังเมืองฟินิเซีย พวกเราจึงลงเรือลำนั้น และแล่นไป
21:3 บัดนี้เมื่อพวกเราได้แลเห็นเกาะไซปรัสแล้ว พวกเราก็ผ่านเกาะนั้นไปข้างซ้ายมือ และแล่นไปยังแคว้นซีเรีย และจอดเรือที่เมืองไทระ เพราะที่นั่นเรือจะต้องเอาของบรรทุกของมันขึ้นท่า
21:4 และเมื่อพบพวกสาวกแล้ว พวกเราจึงพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาเจ็ดวัน ผู้ซึ่งได้กล่าวกับเปาโลโดยทางพระวิญญาณว่า ท่านไม่ควรขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
21:5 และเมื่อพวกเราอยู่ที่นั่นจนครบหลายวันแล้ว พวกเราก็จากไปและไปตามทางของพวกเรา และพวกเขาทุกคนส่งพวกเราไปตามทางของพวกเรา พร้อมกับภรรยาและบุตรทั้งหลาย จนกระทั่งพวกเราออกจากเมือง และเราทั้งหลายได้คุกเข่าลงบนชายฝั่ง และอธิษฐาน
21:6 และเมื่อพวกเราลาซึ่งกันและกันแล้ว พวกเราก็ลงเรือ และเขาทั้งหลายก็กลับไปบ้านอีก
21:7 และเมื่อพวกเราเสร็จสิ้นการเดินทางของพวกเราจากเมืองไทระแล้ว พวกเราก็มาถึงเมืองทอเลเมอิส และได้คำนับพวกพี่น้อง และพักอยู่กับพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งวัน
21:8 และวันต่อไปพวกเราที่อยู่ในคณะเพื่อนร่วมเดินทางของเปาโลก็จากไป และมาถึงเมืองซีซารียา และพวกเราได้เข้าไปในบ้านของฟีลิป ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในจำพวกเจ็ดคนนั้น และได้อาศัยอยู่กับท่าน
21:9 และคนเดียวกันนี้มีบุตรสาวสี่คน เป็นสาวพรหมจารี ซึ่งได้พยากรณ์
** เนื่องจากว่าลูกาผู้เขียนหนังสือลูกาและกิจการ ท่านเป็นหมอ การเขียนของท่านจึงค่อนข้างจะละเอียดมาก ถึงแม้ว่าพระวิญญาณจะดลใจผู้เชื่อให้เขียนหรือพูด แต่พระองค์ก็ให้อิสระเราที่จะพูดเขียนตามการพูดการเขียนที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว ขณะที่เราพูดหรือประกาศพระองค์จะดลใจและเราเองก็จะพูดตามสิ่งที่เราได้ยินได้สัมผัสแต่ไม่ใช่ในลักษณะของการสะกดจิต
** ‘พระวิญญาณไม่นำเราไม่ทำ’
- จากชีวิตและการรับใช้ของเปาโล เราสรุปได้คำเดียว ก็คือ พระวิญญาณไม่นำท่านจะไม่ทำ และนี่คือกฎหมายใหม่ของพระเยซู
- เรามีพระวิญญาณเป็นผู้นำพาชีวิตของเรา แต่เราต้องสนิทอยู่ในความผูกพันที่ดีกับพระคริสต์และเรียนรู้ที่จะไม่ทำเมื่อพระวิญญาณไม่นำ
- เมื่อพระวิญญาณไม่นำ เราทำ ผลที่ตามมา ก็คือ ผลงานของเราจะถูกเผาไหม้ด้วยไฟแห่งการพิพากษาเนื่องจากว่าพระเจ้าทรงนับว่ามันถูกก่อขึ้นด้วยตัวเก่าและเรานำเองไม่ใช่พระวิญญาณนำ นี่คือการก่อขึ้นด้วยไม้ฟางและหญ้าแห้ง
1. การดลใจของพระเจ้าคืออะไร
- การพูดการเขียนการประกาศ พระวิญญาณไม่ได้ดลใจเหมือนกับการสะกดจิตเรา แต่ทรงเร้าใจให้พูดหรือเขียนในสิ่งที่พระองค์ต้องการแต่พูดหรือเขียนตามแบบที่เราถนัด
2. พระวิญญาณไม่นำเราไม่ทำคืออะไร
- พระวิญญาณไม่นำ เราจะไม่ทำ คือการก่อขึ้นด้วยทองคำเงินและเพชรพลอย
* อาดัมและเอวา
พระเจ้าให้กินผลจากต้นไม้ทุกต้น ทั้งต้นไม้แห่งชีวิตด้วย แต่ห้ามไม่ให้กินผลจากต้นไม้แห่งความรู้ดีชั่ว เพราะมันคือการที่จะดำเนินชีวิตด้วยความรู้และเป็นอิสระจากพระเจ้า ไม่พึ่งพาพระเจ้า independence มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อพึ่งพระเจ้าในทุกด้านของชีวิต
* กษัตริย์ซาอูล
พระเจ้าสั่งให้ท่านและกองทัพทำลายทุกสิ่งในเมืองของศัตรู ห้ามนำอะไรออกมาจากเมืองนั้น แต่ซาอูลไม่เชื่อฟังพระเจ้า
* โมเสส
แทนที่จะพูดกับก้อนหินและสั่งให้มันเปิดออกเพื่อให้มีน้ำไหลออกมาให้อิสราเอลได้กินดื่ม แต่ท่านโกรธและเอาไม้เท้าไปทุบหิน สุดท้ายท่านไม่ได้เข้าไปในดินแดนคานาอัน
* ภรรยาของโลท
เมื่อเมืองโสโดมถูกทำลาย พระจ้าทรงห้ามไม่ให้หันกลับมามอง แต่นางไม่ทำตาม ร่างกายของนางจึงกลายเป็นเสาเกลือ
* โยนาห์
พระเจ้าสั่งให้ท่านไปประกาศชักชวนให้ชาวเมืองนีนะเวห์กลับใจ แต่ท่านไม่ไปเพราะคิดว่าไปก็เสียเวลาคงไม่มีใครกลับใจเพราะพวกเขามีจิตใจแข็งกระด้าง ท่านจึงถูกโยนลงไปในทะเลและอยู่ในท้องปลาสามวันสามคืน
* อับราฮัม
พระเจ้าสั่งท่านให้เดินทางไปยังดินแดนคานาอัน แต่ท่านเดินทางไปหลายที่จนสุดท้ายลูกหลานกลายเป็นทาสในอิยิปต์ พระเจ้าบอกให้รอ ท่านจะมีบุตรจากนางซาร่า แต่ท่านไม่เชื่อฟังและรับเอานางฮาการ์คนใช้มาเป็นภรรยาตามที่นางซาร่าแนะนำ สุดท้าย ลูกทาสจึงเป็นหอกข้างแคร่ของอิสราเอลจนถึงทุกวันนี้
• เมื่อเชื่อเราได้พบความรักเห็นการอัศจรรย์การช่วยเหลือ พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน เห็นความรักผ่านการไถ่ของพระองค์ เราจึงรีบถวายตัวรับใช้รีบไปทำทำทำ สุดท้ายก็หนัก และทำไม่ได้ตามแบบที่พระเจ้าต้องการ เราเองก็บ่น ท้อ อารมณ์ดีก็ทำไม่ดีก็ไม่ทำ คนพูดใส่ก็หนีถอย คนยกยอ ยกย่องก็ตั้งใจทำ
• ประสบการณ์ชีวิตของผู้เชื่อ เรื่องพระวิญญาณนำ และไม่นำ
อย่าคิดว่าอะไรดีแล้วทำได้ เราต้องรู้จักน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าเป็นที่หนึ่งไม่ใช่ความคิดเราเป็นที่หนึ่ง เราเรียนรู้ที่จะรอ ไม่ใจร้อน
พระประสงค์ของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์คือเพื่ออะไรกันแน่ทุกวันนี้พระเจ้าต้องการนำมนุษย์ให้กลับมาอยู่ในสถานะเดิม คือพึ่งพา เป็นภรรยา เป็นอวัยวะของพระเจ้าเพื่อสำแดงพระองค์
*ภรรยาของโลท*
แต่ภรรยาของเขาผู้ตามข้างหลังเขาเหลียวกลับไปมองดูและนางจึงกลายเป็นเสาเกลือ
(ปฐมกาล 19:26 KJV)
21:10 และขณะที่พวกเราพักอยู่ที่นั่นหลายวัน มีผู้พยากรณ์คนหนึ่งลงมาจากแคว้นยูเดียชื่อ อากาบัส
21:11 และเมื่อเขามาถึงพวกเราแล้ว เขาก็เอาสายคาดเอวของเปาโลไป และผูกมัดมือและเท้าของตนเอง และกล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสดังนี้ว่า ‘เช่นนี้แหละ พวกยิวที่กรุงเยรูซาเล็มจะผูกมัดคนที่เป็นเจ้าของสายคาดเอวนี้ และจะมอบเขาไว้ในมือของคนต่างชาติ’”
** อากาบัส เป็นสาวกที่มีของประทานในการล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น กจ 11:28 พระเจ้าใช้ท่านมาเตือนพี่น้องว่าจะบังเกิดการกันดารอาหารมากยิ่งตลอดทั่วแผ่นดิน แต่ในข้อนี้ท่านถูกใช้ให้มาเตือนว่าเปาโลจะถูกจับมัดมือมัดเท้า
21:12 และเมื่อพวกเราได้ยินสิ่งเหล่านี้ ทั้งพวกเรากับคนทั้งหลายที่เป็นของสถานที่แห่งนั้น จึงอ้อนวอนท่านไม่ให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
21:13 แล้วเปาโลตอบว่า “ท่านทั้งหลายหมายความว่าอะไรที่ร้องไห้และทำให้ใจของข้าพเจ้าชอกช้ำ ด้วยว่าข้าพเจ้าพร้อมแล้วไม่ใช่ที่จะถูกผูกมัดเท่านั้น แต่ที่จะตายที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยเพราะเห็นแก่พระนามของพระเยซูเจ้า”
** สำหรับเปาโล ท่านได้เห็น อยู่กินไปมากับพระเยซูนานหลายปี ท่านมีประสบการณ์เรื่องชีวิตในพระคริสต์ ท่านจึงไม่กลัวที่จะเดินไปตามทางแห่งน้ำพระทัยของพระบิดา ถึงแม้ว่าจะถูกจับและถูกฆ่าก็ตาม เพราะการทนทุกข์ทรมานและการตายในชีวิตนี้คือการเริ่มต้นสู่ทางแห่งความหวังใหม่ของคริสเตียน
1. ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ / การเต็มล้นภายนอก
- ทุกคนมีอย่างน้อยหนึ่งชิ้น บางคนมีน้อย บางคนมีมาก
- ตามการทรงประทานให้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเลือกเองหรือขอไม่ได้
- เพื่อการเติบโตของพระกาย ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง (1 คร 12:7)
- ของประทานเท่าที่บันทึกในพระคัมภีร์ (1 คร 12:8-11)
a. มีถ้อยคำแห่งสติปัญญา the word of wisdom
b. มีถ้อยคำแห่งความรู้ the word of knowledge
c. มีความเชื่อที่ไม่ธรรมดา/เป็นความเชื่อที่ย้ายภูเขาได้ faith that can move the mountain
d. รักษาโรคได้ healing
e. กระทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้ do the works of power
f. เผยพระวจนะ ที่เป็นพระคำแห่งความจริงที่ไม่มีเชื้อยีสต์ได้ prophecy
g. รู้จักสังเกตุวิญญาณต่างๆ ได้ discerning of spirits
h. พูดภาษาต่างๆ ได้ (ภาษาต่างประเทศ) speak in tongues
i. แปลภาษาต่างๆ ได้ (ภาษาต่างประเทศ) interpret of tongues
* ของประทานที่ดีกว่าภาษาต่างๆ คือการเผยพระวจนะ ทำไม?
2. ผู้เชื่อที่มีประสบการณ์ชีวิตในพระคริสต์และสนิทในพระองค์จะไม่กลัวต่อสิ่งใด และเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาแห่งการข่มเหง พระวิญญาณจะครอบครองจิตใจไม่ให้กลัวและผ่านความทุกข์ทรมานไปได้
a. มีถ้อยคำแห่งสติปัญญา the word of wisdom
- คือการเปิดเผยจากพระวิญญาณโดยตรงให้เราได้รู้เรื่องพระคริสต์คือความล้ำลึกของพระเจ้า deeper things of God เกี่ยวกับการมามีส่วนเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์ (1 คร 1:24, 30 / 1 คร 2:6-10)
- คือการให้เราพบทางออก การแก้ปัญหาที่เข้ามาของพระคริต์ในเรา
b. มีถ้อยคำแห่งความรู้ the word of knowledge
- คือความรู้ที่เป็นความจริงเพื่อให้เกิดความเข้าใจในถ้อยคำ คำสอนของพระคำพระเจ้า
c. มีความเชื่อที่ไม่ธรรมดา/เป็นความเชื่อที่ย้ายภูเขาได้ faith that can move the mountain
d. รักษาโรคได้ healing
e. กระทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้ do the works of power
f. เผยพระวจนะ ที่เป็นพระคำแห่งความจริงที่ไม่มีเชื้อยีสต์ได้ prophecy
g. รู้จักสังเกตุวิญญาณต่างๆ ได้ discerning of spirits
h. พูดภาษาต่างๆ ได้ (ภาษาต่างประเทศ) speak in tongues
i. แปลภาษาต่างๆ ได้ (ภาษาต่างประเทศ) interpret of tongues
- ของประทานที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยมีในกลุ่มผู้เชื่อจำนวนมาก คือ อัครสาวก ศิษยาภิบาล ครู การช่วยเหลือ-ให้ การบริหารคริสตจักร การหนุนใจ การเป็นผู้นำ ความเมตตา และความเป็นโสด
21:14 และเมื่อท่านไม่ยอมถูกชักชวน พวกเราก็หยุด โดยกล่าวว่า “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”
** ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย คือ let it be God’s will ขอให้เป็นไปตามใจ หรือตามความพอใจของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจเราเอง เปาโลและพี่น้องดำเนินชีวิต รับใช้ ประกาศ เดินทาง และเดินในความเชื่อ โดยยึดคำนี้เป็นหลัก เพราะว่าการทำตามน้ำพระทัย คือการสะสมบำเหน็จในสวรรค์ที่แท้จริงของเหล่าผู้เชื่อทั้งหลาย ทุกวันนี้เราทำตามใจหรือตามน้ำพระทัยกันแน่
21:15 และหลังจากวันเหล่านั้น พวกเราก็จัดแจงบรรดาข้าวของของพวกเรา และขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
** สำหรับผู้เชื่อ เราวางใจในพระเจ้าแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่จัดแจงอาหารสิ่งของ แต่คือการจัดเตรียมด้วยความไว้วางใจในพระเจ้า เนื่องจากว่ามีผู้เชื่อมากมายที่พูดว่าเราวางใจและไม่ต้องทำมาหากินหรือทำมาค้าขาย ไม่ต้องสนใจเรื่องการเป็นอยู่ พระเจ้าจะเลี้ยงดูเอง นี่คือการเข้าใจผิด เราจัดเตรียมแบบพอดี และเหมาะสม
21:16 บางคนของพวกสาวกแห่งเมืองซีซารียาก็ได้ไปพร้อมกับพวกเราด้วย และพร้อมกับพวกเขา ได้พาคนหนึ่งมาชื่อ มนาสัน ชาวเกาะไซปรัส เป็นสาวกสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งพวกเราจะอาศัยอยู่กับเขา
21:17 และเมื่อพวกเรามาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกพี่น้องก็ต้อนรับพวกเราไว้ด้วยความยินดี
** ผู้เชื่อที่มีของประทานที่พระเจ้าทรงเลือก จะคอยดูแลพี่น้องที่รับใช้เดินทางไปมาโดยการให้ความสะดวกเรื่องที่พักอาศัยอาหารและค่าใช้จ่ายตามขนาดของความเชื่อ เราจะไม่มองใครไม่มีค่าหรือไม่ให้ ไม่ช่วยเหลือผู้อื่น เนื่องจากว่าของประทานของแต่ละคน และขนาดของความเชื่อไม่เท่ากัน เราเอเมนและขอบพระคุณในทุกสิ่ง อยู่ร่วมกัน และมองไปที่พระเยซูผู้เดียว
21:18 และวันต่อมา เปาโลได้เข้าไปหายากอบ พร้อมกับพวกเรา และพวกผู้ปกครองทุกคนก็อยู่ด้วย
21:19 และเมื่อเปาโลได้คำนับท่านเหล่านั้นแล้ว ท่านได้ประกาศตามลำดับถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้โปรดกระทำในท่ามกลางคนต่างชาติโดยการรับใช้ของท่าน
21:20 และเมื่อคนเหล่านั้นได้ยินเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาก็สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และกล่าวแก่ท่านว่า “ท่านก็เห็นอยู่นะ พี่เอ๋ย ว่ามีพวกยิวหลายพันคนซึ่งเชื่อแล้ว และพวกเขาทุกคนมีความกระตือรือร้นเรื่องพระราชบัญญัติ
** สำหรับชาวยิว เมื่อกลับใจเชื่อและต้อนรับพระเยซู พวกเขายังรักษาพระบัญญัติเดิมด้วยใจร้อนรน เนื่องจากว่าพระเขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับพระสัญญาใหม่และพระบัญญัติใหม่ ชาวยิวเหล่านี้ยังไม่ชัดเจนเรื่อง 1. เรากลายเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยทางความเชื่อ 2. เราได้บังเกิดใหม่โดยเชื่อในพระคำแห่งความจริงของพระเจ้า 3. วิญญาณของพระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในเราโดยทางความเชื่อไม่ใช่ด้วยการรักษาพระบัญญัติ
21:21 และพวกเขาได้ยินถึงท่านว่า ท่านสั่งสอนพวกยิวทุกคนซึ่งอยู่ในท่ามกลางคนต่างชาติให้ละทิ้งโมเสส โดยกล่าวว่าพวกเขาไม่ควรให้บุตรทั้งหลายของตนเข้าสุหนัต หรือประพฤติตามธรรมเนียมเหล่านั้น
21:22 ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างไร คนเป็นอันมากจะต้องมาประชุมกัน เพราะเขาทั้งหลายจะได้ยินว่าท่านมาแล้ว
21:23 เหตุฉะนั้นจงทำสิ่งนี้ที่พวกเราจะกล่าวแก่ท่าน คือพวกเรามีชายสี่คนซึ่งได้ปฏิญาณตัวไว้
21:24 จงพาคนเหล่านั้นไป และชำระตัวท่านเองด้วยกันกับพวกเขา และเสียเงินพร้อมกับพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้โกนศีรษะของตน และทุกคนจะทราบว่าสิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาได้ยินถึงท่านนั้น ไร้สาระทั้งเพ แต่ว่าท่านเองดำเนินชีวิตอย่างมีระเบียบและรักษาพระราชบัญญัติอยู่ด้วย
** เปาโลตัดผมสั้น (ไม่ใช่โกนผม) และเข้าร่วมพิธีชำระตัวของชาวยิวเป็นเวลาเจ็ดวัน (กันดารวิถีบทที่หก และ กจ 21:27) เพื่อไม่ให้ยิวสะดุดและเพื่อเอาชนะใจพวกเขาซึ่งจะทำให้ท่านเข้าถึงพวกเขาได้ซึ่งจะง่ายต่อการประกาศข่าวประเสริฐของท่านต่อพวกเขา (1 คร 9:20) ส่วนเรื่องการรักษาพระบัญญัติเปาโลและผู้เชื่อทุกคนก็รักษาแต่พระบัญญัติที่เรารักษาคือจากเก่ากลายเป็นใหม่และจากของโมเสสกลายเป็นของพระเยซูแล้ว
21:25 เกี่ยวกับคนต่างชาติซึ่งเชื่อแล้ว พวกเราได้เขียนและสรุปว่า พวกเขาไม่ควรถือสิ่งเช่นนั้น คือให้พวกเขางดเว้นเสียจากการรับประทานสิ่งต่างๆ ที่ถูกบูชาแก่บรรดารูปเคารพ และจากการรับประทานเลือด และจากการรับประทานสิ่งทั้งหลายที่ถูกรัดคอตาย และจากการล่วงประเวณี”
** การรับประทานอาหารทุกชนิดที่ถูกบูชาแก่บรรดารูปเคารพ การรับประทานเลือด สัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และการล่วงประเวณี คือสิ่งที่ผู้เชื่อชาวยิวและโดยเฉพาะคนต่างชาติที่เคยทำมาก่อนควรหลีกเลี่ยง
21:26 แล้วเปาโลจึงพาสี่คนนั้นไป และวันต่อมา โดยการชำระตัวเองพร้อมกับพวกเขา ได้เข้าไปในพระวิหาร เพื่อแสดงถึงการครบถ้วนของวันเหล่านั้นแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ จนกว่าจะนำเครื่องบูชามาถวายเพื่อคนเหล่านั้นทุกคน
• คริสเตียนจะไม่ดำเนินชีวิต รับใช้และนมัสการ ตามใจ อารมณ์ ความพอใจของตนเองอีกต่อไป แต่ตามใจพระเจ้า เพื่อเราจะไม่ขาดบำเหน็จและไม่ต้องถูกต่อว่าเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา คำอธิษฐานที่ว่า ("ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระบิดา") จึงสำคัญมากสำหรับเรา
• การวางใจในพระเจ้า ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลย มีแต่รอ ๆ ๆ การช่วยเหลือของพระเจ้า เราใช้ชีวิตทำมาหากินทำมาค้าขายเป็นปกติ เพียงแต่ว่าเราวางใจด้วยการยกการดำเนินชีวิตทุกด้านให้พระองค์นำพาและดูแล
• เปาโลไม่ได้รักษาพระบัญญัติเดิม แต่ท่านเข้าร่วมพิธีชำระตัวเพื่อเอาชนะใจคนยิวและอยู่ภายใต้การักษาพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูเนื่องจากว่าพระบัญญัติเดิมไม่มีแล้วกลายเป็นอันใหม่ของพระเยซูแล้ว
• ชาวยิวเมื่อกลับใจเป็นคริสเตียน พวกเขายังไม่ชัดเจนเรื่อง 1. เรากลายเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยทางความเชื่อ 2. เราได้บังเกิดใหม่โดยเชื่อในพระคำแห่งความจริงของพระเจ้า 3. วิญญาณของพระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในเราโดยทางความเชื่อไม่ใช่ด้วยการรักษาพระบัญญัติ
• การรับประทานอาหารทุกชนิดที่ถูกบูชาแก่บรรดารูปเคารพ การรับประทานเลือด สัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และการล่วงประเวณี คือหลักการการดำเนินชีวิตในขั้นแรกของผู้เชื่อทุกคน
21:27 และเมื่อเจ็ดวันนั้นใกล้จะสิ้นสุดแล้ว พวกยิวซึ่งมาจากแคว้นเอเชีย เมื่อพวกเขาเห็นท่านในพระวิหาร จึงยุยงบรรดาประชาชน และลงมือจับท่าน
** เจ็ดวัน คือการร่วมพิธีชำระตัวให้บริสุทธิ์ของยิวจบสิ้นลงในวันที่เจ็ด (ข้อที่ 24)
21:28 โดยร้องออกมาว่า “คนอิสราเอลทั้งหลายเอ๋ย จงช่วยกันเถิด คนนี้เป็นผู้ที่สั่งสอนคนทั้งปวงในทุกแห่งหนให้ต่อต้านประชากร และพระราชบัญญัติ และสถานที่แห่งนี้ และยิ่งกว่านั้นอีกได้พาพวกชาวกรีกเข้ามาในพระวิหารด้วย และได้ทำให้สถานที่บริสุทธิ์นี้เป็นมลทิน”
21:29 (เพราะก่อนหน้านั้น พวกเขาได้เห็นท่านในกรุงนั้น พร้อมกับโตรฟีมัสชาวเมืองเอเฟซัส ผู้ซึ่งพวกเขาคิดเอาเองว่าเปาโลได้พาเข้ามาในพระวิหาร)
** เปาโลพูดตรงไปตรงมาโดยพระวิญญาณเรื่องพระบัญญัติเดิมหรือพระบัญญัติของโมเสสไม่มีแล้วจบแล้ว ตอนนี้กลายเป็นพระบัญญัติใหม่หรือพระบัญญัติของพระเยซู ผู้เชื่อรอดโดยพระคุณทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยการพยายามรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมเพื่อรับพระพรและความรอด ท่านยังชวนพวกต่างชาติเข้ามาในบริเวณพระวิหารซึ่งมีแต่ชาวยิวเท่านั้นที่เข้าไปได้ ทำให้ชาวยิวโกรธแค้นและหาว่าเปาโลดูหมิ่นพระเจ้าและพระวิหารเนื่องจากว่าจดหมายฝากของเปาโลกล่าวถึงพระบัญญัติเดิมจบแล้วสำหรับผู้เชื่อหรือผู้เชื่อจบแล้วต่อพระบัญญัติ คริสเตียนมากมายจึงไม่ยอมรับว่าจดหมายทั้งหลายเป็นมาโดยพระวิญญาณ
21:30 และคนทั้งกรุงนั้นก็ลุกฮือ และประชาชนได้วิ่งเข้าไปรวมกัน และพวกเขาได้จับเปาโล และลากท่านออกจากพระวิหาร และโดยทันทีทันใดประตูเหล่านั้นก็ถูกปิดเสีย
21:31 และขณะที่พวกเขากำลังจะฆ่าท่าน ข่าวนั้นก็มาถึงนายพันกองทัพว่า กรุงเยรูซาเล็มทั้งหมดอยู่ในความโกลาหล
21:32 ผู้ซึ่ง ในทันใดนั้น ได้คุมพวกทหารกับพวกนายร้อย และวิ่งลงไปยังคนทั้งปวง และเมื่อเขาทั้งหลายเห็นนายพันกับพวกทหารมา เขาทั้งหลายจึงหยุดทุบตีเปาโล
** การถูกข่มเหงของเปาโล พระเจ้าทรงรับรู้และอนุญาต ผู้รับใช้ที่ถูกข่มเหงมากก็ได้รับตำแหน่งสูงมากในอาณาจักรของพระเจ้า และผู้รับใช้หรือผู้เชื่อที่ถูกเลือกให้ตายเพื่อข่าวประเสริฐและเพราะเห็นแก่พระนามของพระเยซูก็จะเป็นกษัตริย์ครอบครองร่วมกับพระเยซูในยุคหน้าและนิรันดร์
I. พระบัญญัติเดิมจะไม่ถูกทำลายแต่คริสเตียนถูกทำลายจากพระบัญญัติเสียแล้ว เราจึงไม่ต้องรักษา แต่เราคนใหม่และพระคริสต์เป็นคนรักษา (โรม 7:4/ กท 2:20)
- พระบัญญัติไม่ได้ถูกลบล้าง คุณต่างหากที่ถูกลบล้าง
- พระบัญญัติจะไม่ถูกทำลายไปโดยเด็ดขาดแต่เราถูกทำลาย
- พระบัญญัติจะไม่ถูกลบล้างเป็นอันขาดแต่คริสเตียนไม่ต้องอยู่ใต้พระบัญญัติ คริสเตียนตายแล้วจากพระบัญญัติ พระบัญญัติยังอยู่ไม่ได้ไปไหนยังไม่ถูกลบล้าง แต่พระคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วพระองค์ให้เราทุกคนมีส่วนในการตายกับพระองค์ด้วย
II. การเปลี่ยนแปลงพระบัญญัติที่ผู้เชื่อมากมายไม่รู้
- เมื่อพระเยซูตรัสว่า เราไม่ได้มาเพื่อทำลายพระบัญญัติแต่เรามาเพื่อทำให้สำเร็จ คำว่า ทำให้สำเร็จ ความหมายก็คือ พระองค์เพิ่มเติมเสริมตัดเพื่อให้พระบัญญัติครบถ้วนและยากขึ้นจากมาตรฐานของมนุษย์สู่มาตรฐานของพระเจ้า จากนั้นพระเยซูเรียกพระบัญญัติเดิมนี้ว่า พระบัญญัติใหม่ (ยน 13:34-35) และเรียกพระบัญญัติของโมเสสว่า พระบัญญัติของเรา (ยน 14:15-16)
- พระเยซูเป็นพระเจ้าที่มาในสภาพของมนุษย์ พระองค์รักษาพระบัญญัติได้ครบแล้ว และพระองค์ได้รับสิทธิจากพระบิดาให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขพระบัญญัติ
- เพราะว่าพระบัญญัติเดิมอ่อนแอ (ฮบ 7:18)
- เพราะว่าพระบัญญัติเดิมไม่มีประโยชน์อะไร (ฮบ 7:18)
- เพราะว่าพระบัญญัติเดิมไม่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบต้องถูกยกระดับขึ้น (มธ 5:22, 28, 32, 39, 44)
- เพราะว่าพระบัญญัติเดิมไม่อาจให้ชีวิตแก่เราได้ (กท 3:21)
- เพราะว่าพระบัญญัติเดิมมาเพื่อที่จะประหารเรา และลงโทษเราเท่านั้น (2 คร 3:4-6)
- เพราะว่าพระบัญญัติเดิมมีหน้าที่ควบคุมชาวยิวเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น (กท 3:23)
- เพราะว่าพระบัญญัติเดิมถูกยกเลิกเสียแล้ว (สำหรับคริสเตียน) เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระเยซูจบอันเดิมนำมาเรียกว่าพระบัญญัติใหม่ (โรม 10:4; กท 3:24)
- พระเยซูให้เราได้อยู่ใต้พระคุณ คือตายจากพระบัญญัติ (โรม 7:4) และพระคริสต์ทำแทนในตัวใหม่นี้ (โรม 6:14) การรักษาพระบัญญัติใหม่ คือเรามีพระคริสต์ในเราเป็นคนทำแทน เราจึงแบกภาระเบา แอกก็เบา และเหตุผลที่สองที่พระเยซูมีสิทธิอำนาจแก้ไขพระบัญญัติเดิมได้เป็นเพราะว่า พระเยซูยอมตายเพื่อไถ่บาปคนที่รักษาไม่ได้ และตายแทนที่เราทุกคนที่กางเขน เนื่องจากพระบัญญัติลงโทษคนที่รักษาไม่ได้
• ตาบอดอยู่ใต้พระบัญญัติ ตาดีอยู่ใต้พระคุณ
- ใต้พระบัญญัติ คือพยายามรักษาพระบัญญัติด้วยตัวเราเองเพื่อให้ได้รอดและรับพระพร
- ใต้พระบัญญัติ คือใช้ชีวิตเก่าอาดัมที่ไม่ได้ผ่านการตายบนกางเขาและเป็นขึ้นเพื่อเดินในความเชื่อ
- ใต้พระบัญญัติ คือยังไม่รู้ว่าพระบัญญัติเดิมจบแล้ว และกลายเป็นพระบัญญัติใหม่ และคนที่รักษาคือพระคริสต์ในเรา
- ใต้พระบัญญัติ คือชีวิตยังสวมหน้ากาก ชีวิตยังขึ้นลง สุขทุกข์ดีบาปไปจนตาย แอกหนัก ภาระหนัก กางเขนหนักมากและไม่ได้เข้าสู่การพักผ่อนที่เรียกว่า สันติสุขทุกเวลา
1. พระสัญญาของพระเจ้าต่ออับราฮัม
a. หลังจากน้ำท่วมโลก โนอาห์มีบุตรชายสามคน เชม ฮาม และยาเฟด อับราฮัมสืบเชื้อสายมาจากเชม
b. พระเจ้าทรงเรียกบิดาของอับราฮัมก่อน จากนั้นก็เรียกท่าน (ปฐก 11:31-32)
c. พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่าจะประทานดินแดนคานาอันและอวยพรท่านทั้งลูกหลานของท่าน นี่คือพระสัญญานิรันดร์
2. พระสัญญาของพระเจ้าต่อโมเสสและชนชาติอิสราเอล
a. เมื่อลูกหลานของอับราฮัมไปไม่ถึงดินแดนคานาอันและกลายเป็นทาสในอียิปต์ พระเจ้าจึงเรียกโมเสสเพื่อช่วยนำอิสราเอลเพื่อเดินทางไปดินแดนคานาอัน
b. พระเจ้าสัญญาว่าจะอวยพรอิสราเอลให้มีชีวิตการงานการเป็นอยู่ที่ดีและมีที่อยู่อาศัยในแผ่นดินคานาอัน ถ้าหากพวกเขารักษาพระบัญญัติของพระเจ้าผ่านโมเสส
3. คริสเตียนอยู่ใต้พระสัญญาอันไหนกันแน่?
a. เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์นำพระสัญญานิรันดร์ของอับราฮัมมาสู่ผู้เชื่อทุกคน
b. เราจึงเป็นลูกหลานของอับราฮัมฝ่ายวิญญาณผ่านทางพระเยซูคริสต์
c. เราเข้าสุหนัตฝ่ายวิญญาณโดยพระเยซูเป็นคนทำ
d. เราได้รับการยกโทษบาปทั้งสิ้นโดยการถูกนับเข้าในการตายถูกฝังและเป็นขึ้นกับพระเยซู
e. เราไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ต่างๆ ข้อบังคับที่เราฝืนใจรักษา วันสะบาโตทั้งหลาย ทั้งชีวิตเนื้อหนังอาดัม ไม่มีใครอาจตัดสินเราได้เรื่องการกินดื่มและการถือเทศกาล ถือวัน เดือน ปี (คส 2:11-17)
f. พระบัญญัติของโมสสกลายเป็นพระบัญญัติของพระคริสต์และยากมากจนไม่มีใครรักษาได้ ซึ่งผู้ที่รักษาก็คือพระคริสต์ที่สถิตอยู่ในคนใหม่คนนี้ของเรา
21:33 แล้วนายพันได้เข้ามาใกล้ และจับท่าน และสั่งให้ท่านถูกล่ามด้วยโซ่สองเส้น และถามว่าท่านเป็นใคร และท่านได้ทำอะไรบ้าง
21:34 และบางคนร้องว่าอย่างนี้ บางคนว่าอย่างนั้น ในท่ามกลางฝูงชนเหล่านั้น และเมื่อนายพันไม่สามารถทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของความวุ่นวายนั้น นายพันจึงสั่งให้ท่านถูกพาเข้าไปในกรมทหาร
21:35 และเมื่อท่านขึ้นมาบนบันไดแล้ว ดังนั้น ท่านก็ถูกแบกโดยพวกทหาร เพราะเหตุความรุนแรงของประชาชน
21:36 ด้วยว่าคนเป็นอันมากในพวกประชาชนได้ตามหลังมา โดยร้องว่า “จงเอาเขาไปฆ่าเสีย”
21:37 และขณะที่เปาโลจะถูกพาเข้าไปในกรมทหาร ท่านจึงกล่าวแก่นายพันว่า “ข้าพเจ้าขอพูดกับท่านได้ไหม” ผู้ซึ่งกล่าวว่า “เจ้าพูดภาษากรีกเป็นหรือ
21:38 เจ้าเป็นชาวอียิปต์คนนั้น ซึ่งก่อนหน้าวันเหล่านี้ได้สร้างความโกลาหล และได้พาพวกคนสี่พันคนที่เป็นฆาตกรเข้าไปในถิ่นทุรกันดารมิใช่หรือ”
21:39 แต่เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นคน ๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นยิวคนหนึ่งแห่งเมืองทาร์ซัส เมืองหนึ่งในแคว้นซีลีเซีย ไม่ใช่พลเมืองของเมืองย่อม ๆ และข้าพเจ้าขอร้องท่าน ได้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าพูดกับประชาชนเถิด”
21:40 และเมื่อนายพันได้อนุญาตให้ท่านพูดแล้ว เปาโลจึงยืนอยู่บนบันได และโบกมือให้ประชาชน และเมื่อเริ่มเกิดความเงียบมากแล้ว ท่านจึงกล่าวแก่พวกเขาเป็นภาษาฮีบรู โดยกล่าวว่า
1. เปาโลถูกจับแต่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนชัดเจนจากพวกยิวว่าท่านทำผิดอะไรโดยที่พวกเขาต้องการให้เปาโลถูกประหาร
2. นายพันจึงมอบเปาโลให้พวกทหาร
3. เปาโลยืนยันว่าท่านเป็นยิว มาจากเมืองทาร์ซัส แคว้นซีลีเซีย
4. เปาโลขอพูดกับพวกยิวเป็นภาษาฮีบรูว่า.. (อ่าน: กิจการ บทที่ 22)