ยอห์น บทที่ 12 เป็นเรื่องของความสว่าง พระเยซูเป็นความสว่าง เมื่อเราเดินในพระองค์ก็เดินในความสว่างความสว่าง คือความจริงของพระเจ้า ซึ่งทุกวันนี้ความมืดคือความไม่จริงของอาดัมหรือสิ่งที่เราเห็นเป็นอยู่
ยอห์น บทที่ 1 ถึงบทที่ 12 พระเยซูเป็นคำตอบของปัญหา 9 ประการของมนุษย์ในโลกนี้
- เมื่อรับพระเยซูเราจะได้รับทั้ง 9 ประการ (บทที่ 3 จนถึงบทที่ 7)
1. พระเยซู คือคำตอบเรื่อง ทรงให้บังเกิดใหม่ในวิญญาณในพระวิญญาณได้
2. พระเยซู คือคำตอบเรื่อง ทรงให้สุขที่ไม่ต้องกระหายอีก
3. พระเยซู คือคำตอบเรื่อง ทรงรักษาอาการป่วยของร่างกายได้ และไม่ใส่ใจเรื่องผิดถูกกฎพระบัญญัติ แต่ใส่ใจที่คนป่วยหรือมนุษย์มากกว่า
4. พระเยซู คือคำตอบเรื่อง อาหารฝ่ายวิญญาณที่ต้องกินประจำวันเพื่อการเต็มล้น และเติบโตสู่พระนิสัยพระเจ้า
5. พระเยซู คือคำตอบเรื่อง ดินแดนแห่งพระสัญญาในยุคหน้าและนิรันดร์ ไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป
6. พระเยซู คือคำตอบเรื่อง ทรงยกโทษบาปให้มนุษย์ที่มีบาปได้
7. พระเยซู คือคำตอบเรื่อง รักษาอาการบอดในวิญญาณ และออกจากการเดินในความมืด มาสู่ความสว่างได้
- แต่ ผู้เชื่อมากมายได้รับเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้รับครบ
ยอห์น บทที่ 13 ไม่ได้พูดถึงเรื่องความรอด และพระพรฝ่ายวิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในบทที่ 1-12 แต่พูดถึงเรื่อง ปัญหาในแต่ละวันที่ผู้เชื่ออาจเผลอออกจากพระคริสต์ หรือไม่ได้สนิทในพระคริสต์ จึงต้องมีการล้างเท้ากันและกันเป็นประจำ
การล้างเท้า คือการหนุนใจ แบ่งพระคำ หรือชวนพี่น้องอธิษฐานร่วมกับเรา เพื่อนำจิตเขากลับมาที่พระวิญญาณ ผู้เชื่อต้องการกันและกัน ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้รับใช้ หรือคุณลุงที่นั่งหลับไม่มีใครสนใจ คริสตจักรส่วนมากคิดว่า ผู้รับใช้ไม่ต้องการการล้างเท้า และเขาเองที่เป็นคนหนุนใจพี่น้อง อันนี้ผิดมากมาย
ทรงพระกระยาหารเย็นที่บ้านเบธานี
12:1 แล้วก่อนเทศกาลปัสกาหกวันพระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสที่เคยตาย ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว
** เมื่อพระเยซูชุบชีวิตลาซารัสฟื้นขึ้นมาแล้ว พระองค์เดินทางไปที่อื่นและหลังจากนั้นพระองค์เสด็จกลับมาที่หมู่บ้านนี้อีก
12:2 ที่นั่นเขาจัดงานเลี้ยงอาหารเย็นแก่พระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขาที่เอนกายลงรับประทานกับพระองค์
** บ้านทุกหลังของชาวยิวมีที่นั่งยาวติดฝารอบห้อง มีโต็ะอาหารตั้งอยู่ตรงกลาง
** เจ้าของบ้านเตรียมอาหารเพื่อต้อนรับพระเยซู ไม่ใช่เพื่อฉลองการฟื้นขึ้นจากตายของลาซารัส เล็งถึงผู้ที่ควรยกย่องสรรเสริญคือพระเจ้า ไม่ใช่ใส่ใจที่มนุษย์ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ซึ่งก็คือเราเป็นพยานได้ เรารักชอบที่พระเจ้าช่วยเขา หรือใช้เขา แต่ไม่ควรพูดถึงหรือใส่ใจกันมากจนเกินไป
12:3 มารีย์จึงเอาน้ำมันหอมนาระดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทของพระเยซู และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น
** "น้ำมันหอม" ผู้หญิงจะหาเงินเพื่อซื้อเอาไว้สำหรับงานแต่งงาน เพื่อชโลมสามี ซึ่งมีราคาแพงมาก
** พระเจ้ารักเราทุกคนทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ทรงตอบแทนการกระทำดีและชั่วไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาไหนก็ตาม แต่พระเจ้าทรงให้ผู้ที่เชื่อได้รอด ให้ผู้ที่สละชีวิตและทรัพย์สินได้รับบำเหน็จ และให้ผู้ชนะได้เข้าไปในอาณาจักรเป็นเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรมและเที่ยงธรรม ผู้ที่ทำถูกและทำมากก็จะได้รับผลดีจากพระเจ้ามาก
12:4 แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ ชื่อยูดาสอิสคาริโอท บุตรชายของซีโมน คือคนที่จะทรยศพระองค์ พูดว่า
12:5 “เหตุไฉนจึงไม่ขายน้ำมันนั้นเป็นเงินสักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้แก่คนจน”
12:6 เขาพูดอย่างนั้นมิใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย และได้ถือย่าม และได้ยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในย่ามนั้น
** เมื่อพระเยซูเดินทางไปมา ยูดาสคือผู้รักษา และรับเงินจากชาวบ้านที่ให้เพื่อใช้ในการกินอยู่ไปมาของพระเยซูและสาวกทั้งหลาย เขาเป็นคนโลภและชอบโขมยเงินในย่าม เมื่อเห็นการกระทำของมารีย์เขาจึงไม่พอใจมาก
** สำหรับผู้เชื่อที่มีจิตใจเมตตาและถูกเปิดตาจะใช้เงินทองของพระเจ้าในการงานของพระองค์โดยไม่เสียดายและไม่คำนึงถึงบางคนที่คิดไม่ดี โกง ขโมย เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงอนุญาตและทรงเป็นผู้ที่จะจัดการกับเขาเองตามเวลาของพระองค์ แต่เราก็ระมัดระวังอยู่บ้าง
12:7 พระเยซูจึงตรัสว่า “ช่างเขาเถิด เขาทำอย่างนี้เพื่อแสดงถึงวันฝังศพของเรา
** นางมารีย์ทำเพื่อแสดงความเคารพพระเยซู แต่เธอหารู้ไม่ว่าเธอทำเพื่อวันฝังศพพระเยซู
12:8 เพราะว่ามีคนจนอยู่กับท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอไป”
** ผู้ที่จากสาวกไป คือพระเยซูคริสต์ในสภาพบุตรมนุษย์ที่จะได้นั่งอยู่พระหัตถ์ข้างขวาของพระบิดา
** ผู้ที่มาอยู่กับสาวกและผู้เชื่อ คือพระคริสต์เยซูซึ่งเป็นพระวิญญาณที่จะอยู่กับเราตลอดไปไม่จากเราไปไหนเลย (ยอห์น 14:16; 17:26)
** เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่เรามีพระคริสต์เยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ อยู่ในเราอยู่กับเราและอยู่เพื่อเราแทนเรา ไม่เคยห่างเราไปไหน
12:9 ฝ่ายพวกยิวเป็นอันมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระเยซูเท่านั้น แต่อยากเห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้ฟื้นขึ้นมาจากตายด้วย
12:10 แต่พวกปุโรหิตใหญ่จึงปรึกษากันจะฆ่าลาซารัสเสียด้วย
12:11 เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนออกจากพวกเขา และไปเชื่อพระเยซู
** การอัศจรรย์ทั้งหลาย คือสิ่งที่พระเจ้ากระทำเพื่อนำหลายคนมาเชื่อ ส่วนการฟื้นขึ้นมาจากตายต้องอาศัยความเชื่อที่อยู่ในระดับที่สูงมาก ซึ่งงานนี้คนที่เชื่อก็คือพระเยซูเอง พระเจ้าทำทุกสิ่งได้แต่เราต้องมีความเชื่อมากพอ
สรุป.
1. เรื่อง ควรพูดถึงใครมากกว่ากัน
- คนที่ได้รับพระพรและการช่วยเหลือจากพระเจ้าเราดีใจกับเขาและไม่พูดถึงมากจนเกินไป แต่เรายกย่องสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงช่วยเหลือพวกเขา
2. เรื่องน้ำหอม
3. เรื่อง การคำนึงถึงคนที่ไม่ซื่อสัตย์ โกง และโขมย
- เราอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางครั้ง แต่พระเจ้าจะเป็นคนตอบแทนการกระทำของเขาเองไม่ช้าก็เร็ว เราเพียงแค่ระมัดระวังกันบ้างเท่าที่ทำได้
4. เรื่อง พระคริสต์อยู่ในเรา
- เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่เรามีพระคริสต์เยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ อยู่ในเรา อยู่กับเรา และอยู่เพื่อเราแทนเรา ไม่เคยห่างเราไปไหน
5. เรื่อง ความเชื่อ
- การอัศจรรย์ทั้งหลายอยู่ที่ความเชื่อ เราเชื่อมากพระเจ้าก็ทำมากเราเชื่อน้อยพระเจ้าก็ทำน้อย หรืออาจจะไม่ทำเลย
การเสด็จเข้ามาอย่างผู้มีชัย
12:12 วันรุ่งขึ้นเมื่อคนเป็นอันมากที่มาในเทศกาลเลี้ยงนั้นได้ยินว่า พระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม
12:13 เขาก็พากันถือใบของต้นอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์ร้องว่า “โฮซันนา ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ”
** โฮซันนา สำหรับข้อที่ 13 นี้ ภาษาฮีบรู ὡσαννά แปลว่า “ขอทรงช่วยเดี๋ยวนี้” หรือ ”ขอทรงช่วยเถิด”
12:14 และเมื่อพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่งจึงทรงลานั้นเหมือนดังที่มีคำเขียนไว้ว่า
12:15 ‘ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย ดูเถิด กษัตริย์ของเธอทรงลูกลาเสด็จมา’
** พระเยซูเสด็จมาในฐานะพระผู้ช่วยไถ่บาปที่ถ่อมใจ ไม่ได้มาในฐานักรบที่จะมาเพื่อปลดปล่อยชาวยิวทางการเมือง แต่ชาวยิวไม่รู้
12:16 ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์เหล่านั้น แต่เมื่อพระเยซูทรงรับสง่าราศีแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่า มีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์
12:17 เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงซึ่งได้อยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกลาซารัสให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และทรงให้เขาฟื้นขึ้นมาจากความตาย ก็เป็นพยานในสิ่งเหล่านี้
12:18 เหตุที่ประชาชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์นั้น
12:19 พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “ท่านเห็นไหมว่า ท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูเถิด โลกตามเขาไปหมดแล้ว”
** เมื่อพวกฟาริสีเห็นว่ามีคนมากมายทั้งยิวและต่างชาติเริ่มติดตามพระเยซู พวกเขาจึงเป็นทุกข์ และหาทางกำจัดพระองค์
พวกกรีกจะใคร่เห็นพระเยซู
12:20 ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในเทศกาลเลี้ยงนั้นมีพวกกรีกบ้าง
** ชาวกรีกสนใจเมื่อได้เห็น และได้ยินข่าวเรื่องพระเยซูกระทำการอัศจรรย์
12:21 พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดกับท่านว่า “ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าใคร่จะเห็นพระเยซู”
12:22 ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ และอันดรูว์กับฟีลิปจึงไปทูลพระเยซู
พระเจ้าตรัสตอบจากฟ้าสวรรค์ พระเยซูทรงประกาศ
12:23 และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับสง่าราศี
12:24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก
** "เมล็ดข้าว" ในที่นี้ คือพระเยซูเองที่จะกลายเป็นพระวิญญาณผู้ที่สามารถประทานชีวิตพระเจ้าเข้ามาอยู่กับเราผู้เชื่อได้ทุกคน
** และนี่คือหลักการของพระเจ้า ในการการเติบโต เกิดผล และขยายตัว ซึ่งจะต้องผ่านการตายก่อน
12:25 ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์
** (แปลตามกรีก) ผู้ใดที่รัก (จิต) ของตนก็ต้องเสียมันไป และผู้ที่ชัง (จิต) ของตนในโลกนี้ ก็จะรักษา ชีวิต (โซเอ้ - ชีวิตพระเจ้า) นั้นไว้นิรันดร์
** คำว่า "ชีวิต" สองคำในที่นี้คือ "จิต" (Psuche)
** ข้อ 25 นี้ ภาษาอื่นๆ ใช้คำว่า "ชีวิต" ทั้งหมด แต่ภาษากรีก ใช้คำว่า จิตสองครั้งและใช้คำว่าชีวิต(พระเจ้า) คำเดียว เมื่อเราเข้าใจคำกรีกเราจะเข้าใจว่า ถ้าเรารักชีวิตอาดัมของเรา เราจะสูญเสียมันไป แต่ถ้าเรายอมสูญเสียจิตนี้เราจะได้ชีวิตพระเจ้าอย่างครบ
12:26 ถ้าผู้ใดจะปรนนิบัติเรา ให้ผู้นั้นตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดปรนนิบัติเรา พระบิดาของเราก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น
** ทุกวันนี้ คริสเตียน มากมายไม่ได้เป็นผู้รับใช้ ตามแบบที่พระเจ้าก่อตั้งไว้ คือเดินทาง ออกไป ประกาศ รับใช้ เหมือนสาวกมากมายในสมัยก่อน
** แต่เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐและความรอดของมนุษย์ ทำผิดทำถูก พระเจ้าก็ทำงานได้ พระบิดาของเราก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น คือผลตอบแทนในยุคหน้าและนิรันดร์ ไม่ใช่ยุคนี้ เพราะว่ายุคนี้คือยุคทำนา
** เราจะเดินทาง ทำตามแบบที่พระเยซูวางไว้แล้ว ถูกข่มเหง ทำร้าย ไม่มีเกียรติในโลกนี้
12:27 บัดนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะพูดว่าอะไร จะว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นเวลานี้’ อย่างนั้นหรือ หามิได้ เพราะด้วยความประสงค์นี้เองเราจึงมาถึงเวลานี้
** การทนทุกข์ทรมานและถูกตรึงจนตาย คือเป้าหมายที่สูงสุดของพระเยซูเพื่อไถ่มนุษย์ ซึ่งผู้ชายชื่อเยซูย่อมมีความกลัวเหมือนคนทั่วไป จนพระองค์ต้องทูลขอพระบิดาให้สิ่งนี้ไม่ต้องเกิดขึ้น ลก. 22:42
12:28 ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์ได้รับเกียรติ” แล้วก็มีพระสุรเสียงมาจากฟ้าว่า “เราได้ให้รับเกียรติแล้ว และจะให้รับเกียรติอีก”
** พระเยซู อธิษฐานในสภาพของบุตรมนุษย์ ยกพระเจ้าเหนือพระองค์ ขณะที่ในสภาพของบุตรพระเจ้าพระองค์ทรงเท่าเทียมกับพระบิดา
** พระบิดาทรงตรัสว่า “เราได้รับเกียรติแล้ว และจะให้รับเกียรติอีก”
- เราได้รับเกียรติแล้ว คือพระเยซูยอมรับการตายที่กำลังจะมา เพื่อไถ่บาปและทำลายชีวิตเก่าอาดัมได้ เป็นการตายที่เจ็บปวดแสนสาหัส และทนทุกข์ทรมานมาก แต่ด้วยการยินยอมและเชื่อฟังพระบิดา แผนการงานของพระเจ้าจึงสำเร็จได้
- และจะให้รับเกียรติอีก คือพระเยซูจะฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อประทานวิญญาณแก่ผู้เชื่อทุกคนและปลดปล่อยผู้เชื่อให้เป็นอิสระจากชีวิตอาดัมและเนื้อหนังทั้งหมด
12:29 ฉะนั้นคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้นก็พูดว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆก็พูดว่า “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้กล่าวกับพระองค์”
12:30 พระเยซูตรัสตอบว่า “เสียงนั้นเกิดขึ้นเพื่อท่านทั้งหลาย ไม่ใช่เพื่อเรา
12:31 บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกโยนทิ้งออกไปเสีย
** "ผู้ครองโลก" คือมารที่เข้ามาในโลก (มันอยู่ในมนุษย์ และทุกแห่งหนในโลกนี้) มันจะถูกไล่เมื่อสาวกและผู้เชื่อไปประกาศข่าวดีกับคนที่ไม่เชื่อ
** ตอนแรกพระเจ้ายกโลกนี้ให้มนุษย์ โลกนี้คืออาณาจักรของอาดัม ต่อมามารครอบครองแบบผิดกฏหมาย พระเยซูมาเพื่อแย่งชิงโลกนี้จากมารอีกครั้งหนึ่ง
12:32 และเรา ถ้าเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว ก็จะชักชวนทุกคนให้มาหาเรา”
12:33 พระองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อสำแดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร
12:34 ประชาชนได้ตอบพระองค์ว่า “พวกเราได้ยินจากพระราชบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ และท่านกล่าวได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น’ ผู้ใดเล่าเป็นบุตรมนุษย์นี้”
12:35 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “อีกหน่อยหนึ่งความสว่างนั้นจะอยู่กับท่านทั้งหลาย จงเดินไปเถิด ขณะที่ความสว่างนั้นยังอยู่กับพวกท่าน เกรงว่าความมืดจะตามมาทันพวกท่าน ด้วยว่าผู้ที่เดินอยู่ในความมืดก็ไม่รู้ว่าตนไปทางไหน
** อีกหน่อยหนึ่งความสว่างนั้นจะอยู่กับท่านทั้งหลาย จงเดินไปเถิด ความสว่างในที่นี้ คือพระเยซูตอนยังมีชีวิตอยู่
12:36 ขณะที่ท่านทั้งหลายมีความสว่าง จงเชื่อในความสว่างนั้น เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นบรรดาลูกแห่งความสว่าง” พระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้ และเสด็จจากไป และได้ซ่อนพระองค์เองให้พ้นจากพวกเขา
** ลูกแห่งความสว่าง คือผู้เชื่อที่เป็นมนุษย์วิญญาณและเดินในความจริงของพระเจ้า
12:37 แต่ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์หลายประการต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อในพระองค์
12:38 เพื่อถ้อยคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะถูกทำให้สำเร็จจริง ซึ่งท่านได้กล่าวว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อรายงานของเราทั้งหลาย และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ถูกสำแดงแก่ผู้ใด’
12:39 ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่ได้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวอีกว่า
12:40 ‘พระองค์ได้ทรงปิดตาของพวกเขา และทำใจของพวกเขาให้แข็งกระด้างไป เพื่อพวกเขาจะได้มองไม่เห็นด้วยตาของพวกเขา หรือเข้าใจด้วยจิตใจของพวกเขา และหันกลับมา และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’
12:41 อิสยาห์ได้กล่าวสิ่งเหล่านี้ เมื่อท่านได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ และได้กล่าวถึงพระองค์
** คุณสมบัติของซาตานที่พระเจ้าเกลียดชังมากที่สุด ก็คือหยิ่งผยองพองตัว ซาตานสูญเสียอำนาจและตำแหน่งก็เพราะมันมีนิสัยดังกล่าวและไม่ยอมกลับใจ
** ไม่ว่าพระเจ้าจะทำการอัศจรรย์ผ่านพระเยซูและสาวกจนมาถึงยุคนี้ ผู้คนมากมายได้เห็น แต่เนื่องจากว่าพวกเขามีจิตใจที่แข็งกระด้าง หยิ่งผยองพองตัว พระเจ้าจึงปิดตาพวกเขาไม่ให้ได้เห็นและเชื่อไม่ได้
12:42 แต่อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อในพระองค์ด้วย แต่เพราะเหตุพวกฟาริสี พวกเขาจึงไม่กล่าวยอมรับพระองค์ เกรงว่าพวกเขาจะถูกไล่ออกจากธรรมศาลา
12:43 เพราะว่าเขาทั้งหลายรักการสรรเสริญของมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า
** มีผู้นำหลายคนที่เชื่อในพระเยซู แต่ไม่กล้าเปิดเผย เนื่องจากว่าพวกเขากลัวจะสูญเสียอำนาจและตำแหน่ง
12:44 พระเยซูทรงร้องและตรัสว่า “ผู้ที่เชื่อในเรานั้น ไม่ได้เชื่อในเรา แต่เชื่อในพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามา
12:45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ได้ทรงส่งเรามา
** พระเยซูที่เป็นมนุษย์ คือพระฉายาของพระเจ้าทั้งสามพระภาค เมื่อพวกเขาได้เห็นพระเยซูก็ได้เห็นพระเจ้า
12:46 เราเข้ามาเป็นความสว่างในโลกแล้ว เพื่อผู้ใดก็ตามที่เชื่อในเราจะมิได้อาศัยอยู่ในความมืด
** ความเป็นจริงของพระเจ้า God’s light/ God’s reality ได้กลับมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่อาดัมทำให้โลกกลายเป็นความไม่จริงและตกต่ำเสื่อมทราม แต่ คริสเตียนศาสนามากมายยังเดินอยู่ในความมืด
- เดินในความมืด คือใช้อารมณ์ความรู้สึกและตามองเห็น
- เดินในความสว่าง คือใช้ความเชื่อตามความรู้และความจริงที่ได้รับมาโดยการเปิดตาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
- คริสเตียนศาสนาจะขอ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าประทานให้ผู้เชื่อทุกคนแล้ว ในพระคริสต์ ทางความเชื่อ
12:47 และถ้าผู้ใดได้ยินบรรดาถ้อยคำของเราและไม่เชื่อ เราก็ไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่เพื่อจะช่วยโลกให้รอด
** พระเยซู คือผู้ที่ได้รับสิทธิอำนาจที่จะพิพากษาโลก แต่ ณ ตอนนั้นคือเวลาที่พระเยซูมาช่วยโลกก่อน
12:48 ผู้ใดที่ปฏิเสธเราและไม่รับคำทั้งหลายของเรา ก็มีสิ่งหนึ่งที่พิพากษาเขา คือคำที่เราได้กล่าวไว้แล้ว คำนั้นเองจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย
** ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู คือหลักการแห่งความรอดซึ่งพระเยซูจะใช้เพื่อตัดสินคนทั้งหลาย
12:49 เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ซึ่งได้ทรงส่งเรามา พระองค์นั้นได้ทรงให้คำบัญชาแก่เราว่า เราควรจะกล่าวอะไร และว่าเราควรจะพูดอะไร
** พระเยซูตอนเป็นมนุษย์ พระองค์พูดและกระทำทุกสิ่งตามน้ำพระทัยของพระบิดา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย
12:50 และเราทราบว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เหตุฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่เราพูดนั้น พระบิดาได้ตรัสกับเราอย่างไร เราก็พูดอย่างนั้น”
** เมื่อเชื่อ คือรับเอาถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือรับเอาชีวิตของพระเจ้าเข้ามาและเป็นอยู่ชั่วนิรันดร์กับพระองค์ชั่วนิรันดร์
สรุป ยอห์น 12:37-50
1. พระเจ้าปิดหู ปิดตาบรรดาผู้ที่ไม่ถ่อมใจ (หยิ่งผยองพองตัว)
2. มีหลายคนที่เชื่อในพระเยซูแต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวจะเสียหน้า ตำแหน่ง อำนาจ ฯลฯ มีผู้นำหลายคนที่รับมานาแต่ไม่กล้าเปิดเผย แต่สอนและแนะนำพี่น้องมารับมานา
3. ความเป็นจริงของพระเจ้า God’s light/ God’s reality ได้กลับมาสู่โลกอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่อาดัมทำให้โลกกลายเป็นความไม่จริงและตกต่ำเสื่อมทราม แต่ คริสเตียนศาสนามากมายยังเดินอยู่ในความมืด
- เดินในความมืด คือใช้อารมณ์ความรู้สึกและตามองเห็น
- เดินในความสว่าง คือใช้ความเชื่อตามความรู้และความจริงที่ได้รับมาโดยการเปิดตาของพระวิญญาณบริสุทธิ์
- คริสเตียนศาสนาจะขอ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าประทานให้ผู้เชื่อทุกคนแล้ว ในพระคริสต์ ทางความเชื่อ
4. ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู คือหลักการแห่งความรอดซึ่งพระเยซูจะใช้เพื่อตัดสินคนทั้งหลาย (เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ซึ่งได้ทรงส่งเรามา พระองค์นั้นได้ทรงให้คำบัญชาแก่เราว่า เราควรจะกล่าวอะไร และว่าเราควรจะพูดอะไร (ยน 12:49))