พระเจ้าจะทรงพิพากษาเราทุกคน
2:1 เหตุฉะนั้น โอ มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา
2:2 แต่เรารู้แน่ว่าการที่พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็เป็นตามความจริง
2:3 โอ มนุษย์เอ๋ย ท่านที่กล่าวโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้น และท่านเองยังประพฤติเช่นเดียวกับเขา ท่านคิดหรือว่าท่านจะพ้นจากการพิพากษาลงโทษของพระเจ้าได้
** ถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่เชื่อพระเจ้า พวกเขาก็ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งการลงโทษและอวยพรของพระเจ้า เนื่องจากมนุษย์เป็นคนบาปและยังดำเนินชีวิตอยู่ในการบาปจึงไม่ควรที่จะตัดสินผู้อื่น และถ้าหากเขาตัดสิน พระเจ้าก็จะตัดสินเขา (ดูข้อที่ 6)
** สำหรับคนที่ไม่เชื่อการทำดีที่ตายแล้วของเขาอาจมีผลในชีวิตนี้ แต่ไม่มีผลอะไรที่จะช่วยให้เขาได้รอดเลย ถ้าหากเขาทำดี พระเจ้าก็ตอบแทนด้วยผลดี แต่ถ้าหากกระทำชั่วพระเจ้าก็ตอบแทนด้วยสิ่งที่ไม่ดีแน่นอน
** ส่วนผู้เชื่อ เนื่องจากว่าเราทุกคนอยู่ในกระบวนการการไถ่ของพระเจ้าให้มาถึงชีวิตที่ครบบริบูรณ์ เราต่างคนต่างฝึกและโดยพระคุณพระเจ้าเราจึงได้เท่านี้ และพี่น้องบางคนอาจมาไม่ถึงจุดที่เรายืนอยู่ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ควรตัดสินหรือปรักปรำพี่น้องในสิ่งที่เรายังทำอยู่ การกล่าวโทษผู้อื่นหรือพี่น้อง เราทำได้ถ้าหากเราเป็นผู้ปกครอง และผู้ปกครองที่กล่าวโทษผู้อื่นได้จะต้องไม่ทำผิดในสิ่งที่ตนกล่าวโทษพี่น้องคนนั้น เมื่อเรายังทำบาปชนิดเดียวกันกับผู้ที่เราตัดสิน เราก็ได้ประมาทพระกรุณาและความอดกลั้นพระทัยเนื่องด้วยความรักของพระเจ้า พระเจ้าทรงเมตตาทุกคนและประสงค์ให้เรากลับใจใหม่ ไม่ใช่มัวแต่มองด้านลบและตัดสินกัน
2:4 หรือว่าท่านประมาทพระกรุณาคุณอันอุดมและความอดกลั้นพระทัย และความอดทนของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่า พระกรุณาคุณของพระเจ้านั้นมุ่งที่จะชักนำท่านให้กลับใจใหม่
** พระเจ้าทรงรักและประสงค์ให้คนไม่เชื่อกลับใจเพื่อรับพระกรุณาของพระองค์
2:5 แต่เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตัวเองในวันแห่งพระพิโรธนั้น ซึ่งพระเจ้าจะทรงสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์
ผู้ที่รักความชอบธรรม
2:6 พระองค์จะทรงประทานแก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา
** ดูคำอธิบายใน (โรม 2:3)
2:7 สำหรับคนที่พากเพียรทำความดี แสวงหาสง่าราศี เกียรติ และความเป็นอมตะนั้น พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้
** คำว่า "ชีวิต" ในที่นี้ คือชีวิตที่ครบบริบูรณ์นั่นเอง (คือชีวิตที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ภายในคนใหม่คนนี้)
2:8 แต่พระองค์จะทรงพระพิโรธ และลงพระอาชญาแก่คนที่มักยกตนข่มท่านและไม่เชื่อฟังความจริง แต่เชื่อฟังความอธรรม
** "ยกตนข่มท่าน" ในที่นี้ คือผู้ที่คิดว่าตนรู้ ฉลาด และไม่ยอมเปิดใจฟังใคร ทั้งๆ ที่เขานำความจริงเรื่องความรอดผ่านพระเยซูคริสต์มาบอก
2:9 ความทุกข์เวทนาจะเกิดแก่จิตใจทุกคนที่ประพฤติชั่ว แก่พวกยิวก่อนและแก่พวกต่างชาติด้วย
2:10 แต่สง่าราศี เกียรติ และสันติสุขจะเกิดมีแก่ทุกคนที่ประพฤติดี แก่พวกยิวก่อนและแก่พวกต่างชาติด้วย
** การทำดีทำชั่วในข้อที่ 9 และ 10 คือการทำดีของมนุษย์ ถึงจะเป็นยิวที่เชื่อและคนต่างชาติที่ไม่เชื่อก็ตาม
2:11 เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเลย
2:12 เพราะคนทั้งหลายที่ไม่มีพระราชบัญญัติและทำบาปจะต้องพินาศโดยไม่อ้างพระราชบัญญัติ และคนทั้งหลายที่มีพระราชบัญญัติและทำบาปก็จะต้องถูกพิพากษาตามพระราชบัญญัติ
** กฎแห่งความดีชั่วของพระเจ้านั้น มีไว้สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า
** กฎแห่งความดีชั่วของชาวยิว ก็คือพระบัญญัติ
2:13 (เพราะว่าคนที่เพียงแต่ฟังพระราชบัญญัติเท่านั้น หาใช่ผู้ชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ แต่คนที่ประพฤติตามพระราชบัญญัติต่างหากเป็นผู้ชอบธรรม
** นี่คือหลักการการเป็นคนชอบธรรมในยุคพระบัญญัติ
** เปาโลพูดถึงชาวยิวที่รักษาพระบัญญัติก่อนพระเยซูเสด็จมา.. ท่านกล่าวว่าคนที่มีและฟังพระบัญญัติเท่านั้นไม่พอ ต้องรักษาจึงชอบธรรมได้ ถึงแม้ว่าชาวยิวจะรักษาไม่ได้พระเจ้าก็เมตตาพวกเขาให้ถวายเครื่องบูชาไถ่บาปทุกครั้งที่รักษาไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เขารักษาให้ครบนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
2:14 เพราะเมื่อชนต่างชาติซึ่งไม่มีพระราชบัญญัติได้ประพฤติตามพระราชบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านี้แม้ไม่มีพระราชบัญญัติก็เป็นพระราชบัญญัติแก่ตัวเอง
2:15 คือแสดงให้เห็นการกระทำที่เป็นตามพระราชบัญญัตินั้นมีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบของเขาก็เป็นพยานด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละ จะกล่าวโทษตัวหรืออาจจะแก้ตัวให้เขา)
2:16 ในวันที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาความลับของมนุษย์โดยพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น
** คนทุกชาติจะถูกตัดสินโดยความคิดดีชั่วที่อยู่ภายในจิตใจของเขา ความคิดดีชั่วนั่นเอง คือพระบัญญัติของพวกเขา
การเข้าสุหนัตและความชอบธรรมแต่ภายนอก
2:17 ดูเถิด ท่านเรียกตัวเองว่า ยิว และพึ่งพระราชบัญญัติและยกพระเจ้าขึ้นอวด
2:18 และว่าท่านรู้จักพระทัยของพระองค์ และเห็นชอบในสิ่งที่ประเสริฐ เพราะว่าท่านได้เรียนรู้ในพระราชบัญญัติ
2:19 และท่านมั่นใจว่า ท่านเป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด
2:20 เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูของเด็ก เพราะท่านมีแบบอย่างของความรู้และความจริงในพระราชบัญญัตินั้น
2:21 ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ เมื่อท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า
2:22 ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณี ตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารหรือเปล่า
2:23 ท่านผู้โอ้อวดในพระราชบัญญัติ ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเจ้าด้วยการละเมิดพระราชบัญญัติหรือเปล่า
2:24 เพราะมีเขียนไว้แล้วว่า ‘คนต่างชาติพูดหมิ่นประมาทต่อพระนามของพระเจ้าก็เพราะท่านทั้งหลาย’
2:25 ถ้าท่านรักษาพระราชบัญญัติ การเข้าสุหนัตก็เป็นประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านละเมิดพระราชบัญญัติ การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าสุหนัตเลย
** ชาวยิวเชื่อพระเจ้า สอนทุกคนทั้งลูกหลานภายในครอบครัวให้ถือรักษาพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด แต่ส่วนมากจะรักษาไม่ได้ถึงจะพยายามเท่าไหร่ สุดท้ายก็กลายเป็นคนบาปและแกล้งทำเป็นว่าดี แต่คนต่างชาติก็ดูออกเนื่องจากการกระทำชั่วของพวกเขา
2:26 เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังรักษาความชอบธรรมแห่งพระราชบัญญัติแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้นจะถือเหมือนกับว่าเขาได้เข้าสุหนัตแล้วไม่ใช่หรือ
2:27 และคนทั้งหลายที่ไม่เข้าสุหนัตซึ่งเป็นตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ได้ทำตามพระราชบัญญัติ เขาจะปรับโทษท่านผู้มีประมวลพระราชบัญญัติและได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังละเมิดพระราชบัญญัตินั้น
2:28 เพราะว่ายิวแท้ มิใช่คนที่เป็นยิวแต่ภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตซึ่งปรากฏที่เนื้อหนังเท่านั้น
2:29 คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจตามจิตวิญญาณ มิใช่ตามตัวบทบัญญัติ คนอย่างนั้นพระเจ้าสรรเสริญ มนุษย์ไม่สรรเสริญ
** "สุหนัตแท้" คือทางความเชื่อ คริสเตียนทุกคนเข้าสุหนัตทางความเชื่อ เราจึงเป็นลูกหลานของอับราฮัมและเป็นบุตรพระเจ้า....