4:13 บัดนี้เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรับรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนขาดความรู้ พวกเขาก็ประหลาดใจ และพวกเขาสำนึกเกี่ยวกับคนทั้งสองนี้ว่า คนทั้งสองได้เคยอยู่กับพระเยซู
** เมื่อไม่นานมานี้ เปโตรกลัวจนตัวสั่นและกล่าวต่อหน้าหลายคนถึงสามครั้งว่า เราไม่รู้จักท่านผู้นี้เลย (เปโตร ปฏิเสธพระเยซู มธ 26:69-70; มก 14:66-72; ลก 22:56-62)
** แต่ครั้งนี้ท่านประกาศต่อหน้าผู้คนมากมายที่บริเวณพระวิหารซึ่งเป็นถิ่นของพวกผู้นำศาสนาที่จับและประหารพระเยซู เมื่อพระวิญญาณนำพาผู้ใด พระองค์ย่อมจัดเตรียมคำพูดและความกล้าให้เขา เปโตรเป็นชาวประมงเป็นคนธรรมดาทั่วไปและไม่มีความรอบรู้เรื่องศาสนามากเท่าไหร่
4:14 และเมื่อมองดูชายคนนั้นซึ่งได้รับการรักษาให้หายแล้ว กำลังยืนอยู่กับท่านทั้งสอง พวกเขาก็ไม่มีข้อคัดค้านที่จะพูดต่อต้านสิ่งนี้ได้
** ชายที่ได้รับการรักษาให้หาย คือผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกและจัดเตรียมเพื่อพวกผู้นำศาสนาจะทำอะไรเปโตรและยอห์นไม่ได้ เนื่องจากว่าประชาชนมากมายได้เห็นว่าเขาหายดีแล้ว
4:15 แต่เมื่อพวกเขาได้สั่งให้เปโตรและยอห์นออกไปจากที่ประชุมสภาแล้ว พวกเขาก็ปรึกษากันท่ามกลางพวกเขาเอง
4:16 โดยกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรดีกับคนทั้งสองนี้ เพราะว่าที่การอัศจรรย์อันเด่นชัดได้ถูกกระทำโดยคนทั้งสองอย่างแน่นอนนั้น ก็ได้ปรากฏชัดแก่คนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว และพวกเราปฏิเสธการอัศจรรย์นั้นไม่ได้
4:17 แต่เพื่อเรื่องนี้จะไม่ได้เลื่องลือแพร่หลายไปในท่ามกลางคนทั้งหลายมากกว่านี้ ให้พวกเราขู่คนทั้งสองอย่างแข็งแรงเถิด เพื่อที่นับแต่นี้ไปพวกเขาจะไม่พูดแก่ผู้ใดในชื่อนี้เลย”
4:18 และพวกเขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นมา และสั่งท่านทั้งสองไม่ให้พูดหรือสอนในพระนามของพระเยซูอีกเลย
** แทนที่จะกลับใจและหันมาเชื่อในพระเยซู พวกผู้นำศาสนาเห็นว่า พวกเขาจะสูญเสียผลประโยชน์ ชื่อเสียงเกียรติยศตำแหน่ง หน้าตา พวกเขาจึงหาทางกำจัดท่านทั้งสองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงปล่อยท่านทั้งสองไปแต่สั่งห้ามไม่ให้สั่งสอนเรื่องพระเยซูอีก
4:19 แต่เปโตรและยอห์นตอบและกล่าวแก่พวกเขาว่า “จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ ที่จะตั้งใจฟังพวกท่านมากกว่าพระเจ้า ขอพวกท่านจงพิจารณาดูเถิด
4:20 เพราะว่าพวกเราจะไม่พูดสิ่งเหล่านั้นซึ่งพวกเราได้เห็นและได้ยินแล้วนั้นก็ไม่ได้”
** เมื่อเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ เปโตรจึงมีความกล้าและพูดในสิ่งที่พระเจ้าให้ท่านพูด คือการกระทำที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า
** ผู้เชื่อมากมายยึดการกระทำของเปโตรมาเป็นหลักเพื่อการรับใช้ พวกเขาพยายามทำตามอย่างท่าน แต่เราพบว่าพระเจ้าไม่ได้เลือกทุกคนให้ทำเหมือนท่าน และตัวอย่างเรื่องการประกาศของเปาโล.. ท่านเคยกล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ประกาศความวิบัติจะเกิดกับข้าพเจ้า สิ่งนี้คือสำหรับเปาโลเท่านั้น และเรานำมายึดเป็นหลักในการออกไปประกาศไม่ได้
4:21 ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้ขู่ท่านทั้งสองนั้นเพิ่มเติมอีก พวกเขาก็ปล่อยท่านทั้งสองไป โดยไม่พบสิ่งใด ๆ ที่จะเป็นเหตุให้พวกเขาทำโทษท่านทั้งสองได้ เพราะเหตุประชาชนนั้น ด้วยว่าพวกเขาทุกคนได้ถวายสง่าราศีแด่พระเจ้าเนื่องด้วยสิ่งซึ่งถูกกระทำนั้น
4:22 ด้วยว่าชายคนนี้มีอายุกว่าสี่สิบปีแล้ว ผู้ซึ่งการอัศจรรย์นี้แห่งการรักษาให้หายได้ถูกสำแดง
** การประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าให้ผู้ประกาศมีของประทานในการรักษาโรคและไล่ผี เพื่อสนับสนุนการประกาศ แต่ไม่ควรให้สิ่งนี้เป็นหลักสำคัญและเน้นสิ่งนี้มากกว่าการประกาศเรื่องพระเยซู
** ไม่นานต่อมาเราพบว่าเปาโลสั่งสอนและย้ำว่าทุกสิ่งไม่สำคัญเท่ากับ พระเยซู และความรัก ถึงแม้ว่าเราจะประกาศ นำคนมาเชื่อ รักษาโรค ไล่ผีได้ แต่เราไม่อาจเข้าไปในอาณาจักรได้ ถ้าหากไม่มีตัวตนของพระเยซูเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและรับใช้ (พระองค์ต้องนำหน้าและสำคัญกว่าทุกสิ่ง)
1. การนำพาของพระวิญญาณจะทำให้เราไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ซึ่งมาจากอาการภายใน
2. การไล่ผี รักษาโรค ช่วยเหลือผู้ที่ขัดสนได้อย่างมากมาย ทำให้ผู้คนเห็นความรักและฤทธิ์เดชของพระเจ้า แต่อย่าให้เป็นเรื่องหลัก เรื่องหลักคือข่าวประเสริฐและตัวตนของพระเยซู
3. คนที่มีซาตานควบคุมชีวิตจะเห็นการอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้ามากมายแค่ไหนเขาก็จะไม่กลับใจจนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าต้องตีอย่างหนัก
3 ยอห์นบทที่ 1 ข้อที่ 9 ที่ท่านยอนเขียนถึงพี่น้องชายคนหนึ่ง "ข้าพเจ้าได้เขียนถึงคริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟส ผู้อยากจะเป็นคนใหญ่คนโตในพวกเขา ได้รับรองเราไว้ไม่" ความหมาย ดิโอเตรเฟส ภาษากรีกมาจากคำว่า เป็นของ ซี-อุส หรือมาจาก ซี-อุส หรือเป็นคนโปรดของ ซี-อุส /ซี-อุส ก็คือเทพเจ้าของกรีก
ในคริสตจักรศาสนาในคริสตจักร ถ้าหากมีคริสเตียนที่ไม่ได้ถูกเปิดตาเป็นผู้นำคนเหล่านี้จะชอบเป็นใหญ่เป็นโตมีชื่อเสียงหน้าตาชอบผลประโยชน์ เป็นลูกหลานของ ซี-อุส ในฝ่ายเนื้อหนังที่เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็น เพราะฉะนั้นอันนี้เราไม่โทษเขา คือพระเจ้าอนุญาตเพื่อเราจะได้ออกมาจากที่ที่เราอยู่ไม่ได้ และออกมาจากที่ที่เป็นคริสตจักรกลายพันธุ์
เพราะฉะนั้นถ้ามองในด้านลบ ก็คือเราเสียใจที่ออกมาจากพวกเขา โดยที่เรามีพี่น้องหลายคนที่อยู่ร่วมกันนานหลายปี รักกัน อยู่กินด้วยกัน รับใช้ด้วยกัน
แต่ในด้านบวก ก็คือขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์อนุญาตให้เราเป็นคนหนึ่งที่ออกมา เพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในทุ่งหญ้าอันเขียวสด เพื่อที่จะมาอยู่ในพระคริสต์ เพื่อที่จะมาอยู่ใกล้ สนิท ในพระองค์มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะเป็นวิหาร เป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นปุโรหิตหลวง เป็นทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น ถ้าไม่อย่างนั้นเรายังอยู่ที่นั่นเราก็เป็นไม่ได้ เราก็รอดหลุดรอดไม่ได้ ออกมาไม่ได้ เราสรรเสริญพระเจ้าและเราอธิษฐานเผื่อเขา เอเมน
คือพี่น้องทุกคนเขาก็ คือมันเป็นความคิดแบบคล้ายๆ ศาสนา ทุกคนก็คิดว่าเขารักพระเจ้า เขาก็ปกป้อง เขาก็อยากจะช่วยเรา เขาคิดว่าเรากับของที่ไปเรียนรู้ความรู้จากแหล่งอื่นที่อื่น เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยิน ความกลัวก็เกิดขึ้น แล้วเขาก็ปกป้องลูกๆ ของเขาก็คือสมาชิกโบสถ์ จริงๆ ก็ไม่อยากจะโทษเขา เขาไม่ได้ตั้งใจ พูดง่ายๆ ก็คือเขาไม่ได้ตั้งใจ เขาปกป้อง คือจะว่ายังไงคือการปกป้องที่มันไม่ถูกวิธีใช่ไหม เราไม่รู้ว่าเราผิด แล้วเราก็ไปปกป้องผู้อื่นให้หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ถูก สิ่งที่ดี ก็เลยทำให้ทุกคนก็คือล้ม ล้มทั้งคริสตจักรเลย อันนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เราอธิษฐานเผื่อเขา
ทุกคนก็รักพระเจ้า ทุกคนก็หวังดี ทุกคนก็อยากจะทำดี ทุกคนก็อยากจะมีชีวิตที่เชื่อฟังพระเจ้าให้ถึงผู้ชนะให้ได้ แต่มันเป็นการกลายพันธุ์ของคริสตจักร เป็นการทำงานของซาตานที่ชนะได้ แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์นำเราออกมาสู่ชีวิตผู้ชนะได้จริงๆ แล้ว สรรเสริญพระเจ้ารักพระเยซู
และสำหรับเรื่องการนำพาของพระวิญญาณจะทำให้เราไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ซึ่งมาจากอาการภายใน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปโตรและยอห์นที่กล้าที่จะยืนอยู่ต่อหน้า ถ้าจะเรียกว่าก็คือเป็นแหล่งเป็นถิ่นของเขาเลย ซึ่งมีปุโรหิต มีสะดูสี มีธรรมจารย์ มีพวกผู้ใหญ่ที่อยู่ในนั้น เปโตรและยอห์นกล้าเข้าไปพระวิหารแล้วก็พูดต่อหน้าพวกเขา แต่เป็นการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
แล้วก็ต่อมาเรื่องต่อมาก็คือ การไล่ผี การรักษาโรค เป็นสิ่งที่ช่วย การช่วยเหลือผู้อื่นที่ขัดสน ทำให้ผู้คนเห็นความรักและฤทธิ์เดชของพระเจ้า แต่อย่าให้เรื่องนี้เป็นสิ่งหลักเป็นเรื่องหลัก เรื่องหลักก็คือข่าวประเสริฐ และเรื่องหลักก็คือตัวตนของพระเยซู เอเมน
เพราะว่าหลายคริสตจักรล้มเหลวที่จะใช้ฤทธิ์เดช ใช้การช่วยเหลือ ใช้เรื่องต่างๆ ในการประกาศข่าวประเสริฐ แต่อย่าลืมเรื่องหลัก (เราเข้ามาคริสตจักรก็คือให้เขาเห็นพระเยซู ให้เขาได้ยินข่าวประเสริฐ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด) ซึ่งการรักษาโรค การไล่ผี หรืออะไรต่างๆ ก็คือเมื่อพระเจ้าเรียก เมื่อพระเจ้านำพาเราก็ไปทำ
แล้วข้อสุดท้าย สรุปข้อสุดท้ายก็คือ คนที่มีซาตานครอบครองชีวิตจะเห็นการอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้ามากมายแค่ไหน เขาก็จะไม่กลับใจ จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทุกตีเขาอย่างหนัก เขาถึงจะกลับใจ อันนี้หลายคนก็เห็นประสบการณ์แล้วใช่ไหม ซึ่งมีบางคนที่ต่อต้านมานาฯ แต่สุดท้ายพระเจ้าทุบตีก็เลยกลับใจ แล้วก็รับมานาฯ แล้วก็รักมานาฯ มาก เราขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับหนังสือกิจการ