ต่อไปนี้คือมัทธิวบทที่ 8 มัทธิวบทที่ 8:1-4
เมื่อพระองค์เสด็จลงมาจากภูเขาแล้วคนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป ดูเถิดมีคนโรคเรื้อนมานมัสการพระองค์แล้วทูลว่า พระองค์เจ้าข้าเพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์สะอาดได้ พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องเขา แล้วตรัสว่า เราพอใจแล้ว จงสะอาดเถิด ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย ฝ่ายพระเยซูตรัสสั่งเขาว่าอย่าบอกเล่าให้ผู้ใดฟังเลย แต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลาย
ในประเทศอิสราเอลถ้าหากว่าใครเป็นโรคเรื้อน จะต้องถูกขับไล่ออกจากบ้าน ไปอยู่ในดินแดนในแถบบริเวณที่ไม่มีคนอยู่ ไม่มีใครเดินผ่านไปมา (ลนต 13:2, 44:46 / กดว 12:10, 14:15 / 2 พศด 26:21)
หรือถ้าหากว่าบังเอิญมีคนที่เดินผ่านมา แล้วคนโรคเรื้อนทั้งหลายที่เห็นมีใครเดินเข้ามาใกล้เขา เขาจะร้องบอกว่าไม่สะอาด ไม่สะอาด ไม่สะอาด จนกว่าผู้คนจะเดินผ่านไปแล้วเขาจึงหยุดพูดได้ นี่คือกฎหมายกฎบัญญัติสำหรับคนที่เป็นโรคเรื้อน ก็คือถูกขับไล่ออกจากบ้านและออกไปอยู่ข้างนอก อยู่ทะเลทราย อยู่ป่าทุรกันดาร อยู่แถบบริเวณที่ไม่มีใครอยู่
และสำหรับชนชาติอิสราเอลถ้าหากใครเป็นโรคเรื้อนมีความเชื่อกันว่าสาเหตุมาจากการทำบาปของเขา เมื่อผู้ชายคนนี้นะครับที่เป็นโรคเรื้อนมาขอร้องการช่วยเหลือจากพระเยซูซึ่งเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล กษัตริย์องค์นี้มีความรักและเมตตา
ปกติแล้วกฎหมายบัญญัติของยิว ก็คือห้ามแตะต้องคนที่เป็นโรคเรื้อนห้ามเข้าไปใกล้ และเมื่อใครเข้าไปใกล้ ก็เหมือนเดิม เขาจะพูดบอกว่าไม่สะอาด ไม่สะอาด ไม่สะอาด เพื่อเตือนว่าเขาเป็นโรคเรื้อน และคนที่เดินผ่านมาก็จะรีบเดินหนีไป แต่ปรากฏว่าพระเยซูรักษาเขาแตะต้องเขา นี่เป็นการกระทำที่ผิดต่อพระบัญญัติเดิม แต่ด้วยความรักและเมตตาของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ กษัตริย์ที่มีความรักมากมายให้แก่มนุษย์ ผู้ชายคนนี้จึงถูกรักษาและก็หายดี
พระเยซูจึงตรัสว่าอย่าบอกใครเลย แต่จงไปแจ้งต่อปุโรหิต ก็คือไปที่พระวิหาร เพราะว่าถ้าหากผู้ใดหายดีจากโรคเรื้อน แล้วก็จะไปที่พระวิหารเพื่อแจ้งต่อมหาปุโรหิตและทำพิธีถวายเครื่องบูชา หลังจากนั้นก็จะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้
ทุกคนเป็นโรคเรื้อน (ทางใจ) (ยรม 17:9 / โรม 5:12-13,7:14-24)
สำหรับพระเจ้า สำหรับพระเจ้ามนุษย์ทุกคนเป็นโรคเรื้อน เป็นคนที่ไม่สะอาด จิตใจของมนุษย์ป่วยแล้ว และจิตใจของมนุษย์มีตัวบาปเกาะห้อยอยู่ ซึ่งตัวบาปตัวนี้มีคุณสมบัติ 4 ประการ ก็คือ 1. ความโกรธ 2. หยิ่งผยองพองตัว 3. ความรักในสิ่งของในโลกนี้ตัณหาของเนื้อหนัง 4. ความรักแบบความใคร่คือตัณหาของร่างกาย (เยเรมีย์ 17:9 บอกชัดเจนมากว่า จิตใจของมนุษย์ป่วยแล้ว)
เราเองเหมือนดูว่าจะเป็นคนดี มีหลายคนดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรมและบริสุทธิ์รักในความดี แต่สำหรับพระเจ้ามอง เราทุกคนเป็นโรคเรื้อน เป็นโรคเรื้อนที่ไม่สะอาด จิตใจของเราป่วยมากๆ และสมองของเราทำงานได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อาจจะ ห้า-สิบ- สิบห้าเปอร์เซ็นต์ หรือยี่สิบเปอร์เซ็นต์ อย่างมากก็ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ คนที่ฉลาดที่สุด แต่ก็มีน้อยครับในโลกนี้
แต่ถึงยังไงก็ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระเยซูมาในฐานะของกษัตริย์ เป็นพระเจ้าที่ลงมาบังเกิดอยู่ในโลกนี้ มาเพื่อแตะต้อง มาเพื่ออยู่ใกล้ มาเพื่อช่วยเหลือ มาไถ่พวกเราทั้งหมด ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เราจึงมีโอกาสได้รับการรักษาให้หายจากโรคเรื้อน เรื้อนทางใจ เพราะฉะนั้นแล้วการรักษาบำบัดของพระเจ้า คือให้พระโลหิตของพระองค์ชำระเราให้กลายเป็นคนชอบธรรม และยังไม่พอ การช่วยเหลือของพระเจ้าในขั้นตอนต่อมา มนุษย์ไม่รู้ คริสเตียนมากมายไม่เข้าใจ คือการฆ่าใจเก่าประหารใจเก่าของเราบนไม้กางเขนเมื่อสองพันปีก่อน (อสค 36:26-27 / 2 คร 5:14 / โรม 6:2-14 / กท 2:20)
และการที่เราจะได้รับจิตใจใหม่หัวใจใหม่ และจิตใจเก่าหัวใจที่ป่วยแล้วไม่ต้องไปบำบัดรักษามัน เพียงแต่เราเชื่อว่ามันตายแล้ว เพราะว่าสองพันปีก่อนพระเยซูจัดการกับหัวใจของเรา ตัวเก่าของเรา มนุษย์คนเดิมของเรา มนุษย์อาดัมนี้อยู่บนกางเขน เราตายแล้ว คนที่เป็นโรคเรื้อนนี้ จิตใจที่ป่วยนี้ ชีวิตที่เสื่อมทรามนี้มันตายไปแล้ว
แต่เนื่องจากว่าเมื่อเราไม่เข้าใจ เราก็ยังใช้ชีวิตเก่าถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราก็ยังนำใช้ชีวิตอาดัมคนนี้ ที่ก็คิดว่าก็ยังพอจะมีบางจุดบางส่วนที่ดีอยู่ก็ถวายให้แด่พระเจ้าเพื่อดำเนินชีวิต และรับใช้พระเจ้าด้วยตัวเก่าตัวนี้บุคคลผู้นี้ แต่ปัญหาก็คือพระเจ้ารับไม่ได้ ผลงานทั้งหลายที่รับจากฤทธิ์อำนาจ หรือของประทานแห่งพระวิญญาณ การเทศนา สอนพระคัมภีร์ นำคนมาเชื่อ ไล่ผี รักษาโรค ต่างๆ เป็นผลงานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำผ่านเรา แต่ถ้าหากเราไม่มีจิตใจใหม่ คือจิตใจของเรา ไม่ต้องรักษามัน แต่เราเชื่อว่าได้พบจิตใจใหม่แล้ว จิตใจนี้เป็นจิตใจดวงใหม่ที่พระเจ้าประทานให้เรา และพระคริสต์ก็อยู่ในเราเพื่อช่วยเราในการดำเนินชีวิตแต่ละวันให้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้
โรม 6:13 พระเจ้าต้องการให้เราถวายตัวใหม่ บุคคลผู้ใหม่ ผู้ที่เป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่ใช่รักษาเยียวยาบำบัดหัวใจเก่าหัวใจที่มันเสื่อมแล้ว และเอามาถวายให้พระเจ้า หรือว่าขอกำลังเสริมจากพระเจ้าให้เราทำดีได้เชื่อฟังได้ อันนั้นเป็นการกระทำดีได้เพียงแค่ชั่วคราว การรักอากาเปได้ชั่วคราว การกระตือรือร้นร้อนรนได้ชั่วคราว แต่เมื่อออกจากการฟื้นฟูออกจากการบำบัด อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเราก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ถ้าพี่น้องยังอยู่ในระบบนี้ และเป็นมาตลอด ก็เราก็รู้แล้วใช่ไหมว่ามันไม่เคยนำเราเข้าสู่จิตใจใหม่ชีวิตใหม่ ดำเนินชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ ชีวิตของเราก็จะขึ้นลงๆ ไปจนตาย
ผมเคยอยู่ในกลุ่มนี้เคยอยู่ในสายนี้ ก็เคยชอบเหมือนกัน แต่พอถูกเปิดตาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่วิธีการของพระเจ้า วิธีการมนุษย์คือพยายามทำดี พยายาม พยายามเชื่อฟัง พยายามรักษาหัวใจนี้ให้มันดีขึ้นเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงมัน ซ่อมมัน แต่พระเจ้าไม่ซ่อม พระเจ้าทิ้งมันไป (เอเสเคียล 36:26-27) เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า เราจะให้วิญญาณใหม่แก่เจ้า เราจะให้ทุกสิ่งนี้ใหม่แก่เจ้า ไม่ใช่เราจะซ่อมเจ้า พระเยซูไม่เคยสัญญาพระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะซ่อมเรานะครับ และงานของพระองค์ไม่ใช่มาเพื่อบำบัดหัวใจรักษาหัวใจของเราซ่อมหัวใจของเรา ไม่ครับผม
พระเจ้าต้องการประทานหัวใจใหม่ และถ้าหากเราอยากเห็นหัวใจใหม่นี้ สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือยอมทิ้งหัวใจเก่า ไม่ใช่บำบัดไม่ใช่รักษาอีกแล้วไม่ใช่ซ่อมแซม ก็คือยอมเชื่อความจริงของพระเจ้าที่พระองค์ทรงกระทำแล้วบนไม้กางเขนสองพันปีก่อน มนุษย์คนเก่าเราตายแล้ว จิตใจที่มันป่วยถูกทำลายไปแล้ว ตัวบาปที่มันเกาะอยู่ในหัวใจเก่าหัวใจป่วยมันก็ถูกทำลายไปแล้ว (โรม 6:6)
เพราะฉะนั้นทุกวันเราเชื่อว่าเราเป็นคนใหม่ เราเชื่อว่าเราตายต่อตัวเก่าทุกวัน เราจะเห็นผลของพระวิญญาณ เราจะเห็นชีวิตที่มีแต่สันติสุขและภาระของเราก็เบา กางเขนก็เบา ไม่มีอะไรหนักหนาอีกแล้วเหมือนเมื่อก่อน เราขอบพระคุณพระเจ้าที่โรคเรื้อนฝ่ายวิญญาณ โรคเรื้อนฝ่ายจิตใจของเราถูกรักษาแล้ว และไม่เพียงแต่เท่านั้น พระองค์ได้ทิ้งจิตใจเก่าที่มันมีโรคเรื้อนอยู่และประทานจิตใจใหม่ให้แก่เรา เราขอบพระคุณพระเจ้า ให้เราดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู ซึ่งดำเนินไปด้วยคนใหม่ และดำเนินอยู่ในพระคริสต์ ร่วมกับพระคริสต์ และเพื่อพระคริสต์ ซึ่งเราจะเป็นคนเก็บเกี่ยว พระเยซูเป็นคนทำ และสง่าราศีเป็นของพระเจ้า มนุษย์ชื่นชมยกย่องสรรเสริญพระเจ้า มนุษย์เห็นพระเจ้าผ่านเรา และเราก็ได้รับบำเหน็จรางวัล
ข้อที่ 5 เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม มีนายร้อยคนหนึ่งมาอ้อนวอนพระองค์
6 ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพระองค์เป็นอัมพาตอยู่ที่บ้าน ทนทุกข์เวทนามาก”
7 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย”
8 นายร้อยผู้นั้นทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่สมควรที่จะรับเสด็จพระองค์เข้าใต้ชายคาของข้าพระองค์ ขอพระองค์ตรัสเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายโรค
9 เพราะเหตุว่าข้าพระองค์เป็นคนอยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะบอกแก่คนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา บอกผู้รับใช้ของข้าพระองค์ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”
10 ครั้นพระเยซูทรงได้ยินดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนัก ตรัสกับบรรดาคนที่ตามพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่เคยพบความเชื่อที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล
11 เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาเอนกายลงกันกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์
12 แต่บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
13 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า “ไปเถิด ท่านได้เชื่ออย่างไร ก็ให้เป็นแก่ท่านอย่างนั้น” และในเวลานั้นเอง ผู้รับใช้ของเขาก็หายเป็นปกติ
ในพระคัมภีร์ข้อนี้เป็นเรื่องราวของนายร้อยคนหนึ่งซึ่งมีผู้รับใช้ที่เป็นอัมพาต โดยความเชื่อของเขา ทำให้พระเยซูพูดสองคำออกมา คำแรกก็คือในข้อที่ 10 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราไม่เคยพบความเชื่อที่ไหนมากเท่านี้แม้ในอิสราเอล และคนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจะมาเอนกายลงกันกับอับราฮัมและอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์ หมายความว่ายังไง
อาณาจักรแห่งสวรรค์ ก็คืออาณาจักรที่พระเยซูจะครอบครองเป็นกษัตริย์ พระเจ้าสัญญาในพระคัมภีร์เดิม ว่าพระเมสิยาห์หรือพระคริสต์ซึ่งจะมาเป็นกษัตริย์ครอบครองชนชาติอิสราเอล และลูกของอาณาจักร ก็คือชนชาติอิสราเอลนี่เอง แต่ปัญหาก็คือชนชาติอิสราเอลไม่รับกษัตริย์ของเขา และยังจะฆ่าพระเจ้าของเขา จะฆ่ากษัตริย์องค์นี้
ซึ่งในข้อที่ 11 และข้อที่ 12 เป็นคำทำนายของพระเยซู ซึ่งเราจะเห็นว่า คนเป็นอันมากมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ก็คือชาวต่างชาติก็มาเอนกายลงกันกับอับราฮัมและอิสอัค และยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์ ก็คือการได้เข้าไป คนเหล่านี้มีโอกาสได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ และได้นั่งเอนกายรับประทานอาหารร่วมกับอับราฮัม อิสอัค ยาโคบโมเสส ทั้งหลาย
และข้อที่ 12 กล่าวว่า แต่บรรดาลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
บรรดาลูกของอาณาจักร ก็คือชนชาติอิสราเอลจะถูกขับไล่ไสส่งออกไปที่มืดภายนอก ก็คือเขาไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะได้เข้าไปในอาณาจักร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนยิวทุกคน ชนชาติอิสราเอลทุกคนจะต้องถูกขับไล่ไปทั้งหมด ไม่ใช่ ความหมายในที่นี้ ก็คือชนชาติอิสราเอลซึ่งเป็นตัวแทนในฝ่ายที่ไม่ต้อนรับกษัตริย์ ไม่ยอมรับพระเจ้า และผู้คนเหล่านี้ร่วมทั้งผู้นำจะถูกขับไล่ไสส่งออกไปข้างนอกนั่น ก็คือฟาริสี ธรรมาจารย์ ปุโรหิต สะดูสี คนยิวทั้งหลายที่ไม่ต้อนรับพระเยซู ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นกษัตริย์ คนเหล่านี้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปข้างในอาณาจักร และสูญเสียอาณาจักรของเขาในที่สุด
แต่ชาวยิวคนอิสราเอลมีโอกาสได้รอดโดยทางความเชื่อ เปาโลก็เป็นคนยิว มัทธิว ยอห์น ยากอบ หลายๆ คนเป็นคนยิว ซึ่งคนเหล่านี้มีโอกาสได้เข้าไปในราชอาณาจักร เพราะว่าเขาเชื่อและเขาเริ่มเข้าสู่ระบบใหม่ ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายใหม่ของพระเยซู โดยการทำแทนของพระวิญญาณในเขา
สำหรับพี่น้องคริสเตียนมากมายเข้าใจผิดคิดว่าพระเจ้ายังโปรดปรานชนชาติอิสราเอล พระเจ้ายังรักเขามาก พระเจ้ายังมองเขาสูงกว่าใครในโลกนี้ และมีหลายๆ กลุ่ม หลายๆ คณะ และหลายนิกาย ซึ่งเป็นพี่น้องคริสเตียนพวกเราก็จะแบบว่า ยกเขาขึ้นหรือว่าให้เกียรติเขาหรือว่าอธิษฐานเผื่อเขาหรือว่ารักเขามากรักประเทศอิสราเอลด้วย แต่แท้ที่จริงแล้วประเทศอิสราเอลตกตำแหน่งแล้ว คนยิวตกอันดับตกตำแหน่ง ตกจากการเป็นยิวแท้ ทุกวันนี้ยิวแท้ ก็คือคริสเตียน และทุกวันนี้ธรรมศาลาของคนยิวเป็นที่อยู่ของซาตาน (วิวรณ์ 2:9)
และเราจะเห็นว่าในข้อที่ 12 นี้ ก็คือลูกของอาณาจักรจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปข้างนอก ไม่มีโอกาสได้เป็นลูกของอาณาจักรที่จะเข้าไปข้างในแล้ว เขาสูญเสียตำแหน่ง เขาสูญเสียความเป็นยิว เขาสูญเสียอาณาจักรที่พระเจ้าสัญญาจะให้เขา
ทุกวันนี้อาณาจักรถูกยกให้คนต่างชาติทั่วโลก จากตะวันออก ตะวันตก ทั่วโลกเลยมีโอกาส เชื่อพระเยซูมีโอกาสแข่งขันกันแย่งชิงกันเข้าไปในอาณาจักร เพื่อจะนั่งเฉลิมฉลองรับประทานอาหารร่วมกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และโมเสส และผู้เผยพระวจนะ ผู้รับใช้ทั้งหลายในสมัยก่อน และได้นั่งร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย
แต่ถึงยังไงก็ดี พระเจ้าก็ยังมีเมตตาต่อคนยิว ในอนาคตพระเจ้ายังจะไถ่เขา พระเจ้าก็ให้โอกาสเขา (โรม 2:28-29 / วว 2:9, 13, 3:9) และเราจะเห็นว่าในช่วง 7 ปีแห่งความทุกข์ทรมานมีชาวยิว 144,000 คนที่เป็นผู้ชนะ เนื่องจากเขาดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังพระเจ้า และเขามีโอกาสได้ถูกรับขึ้น และคนยิวอีกมากมายที่เชื่อพระเยซูก็ได้รับความรอดเหมือนกัน
แต่สิ่งที่ผมต้องการเน้น คือเราเข้าใจผิดคริสเตียนเราทุกวันนี้เข้าใจผิดว่า ยิวยังเป็นบุตรพระเจ้ายิวยังอยู่ในการโปรดปรานของพระเจ้าอยู่ในความรักการดูแลของพระเจ้า เราจะเห็นว่าเขาฆ่ากษัตริย์ เขาฆ่าพระเจ้าของเขา เขาประหารชีวิตพระเยซู เพราะฉะนั้นสำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกวันนี้ยิวแท้ ก็คือคริสเตียน คริสเตียนคือยิวแท้ เราเป็นลูกหลานฝ่ายวิญญาณของอับราฮัม เราได้รับมรดกที่พระเจ้าสัญญาจะประทานให้ชนชาติอิสราเอล แต่เนื่องจากว่าเขาตกตำแหน่ง พระเจ้าไม่อยู่กับเขาแล้ว ผ้าม่านในพระวิหารถูกฉีกขาดแล้ว พระเจ้าออกจากเขา พระเจ้าไม่อยู่ พระเจ้ามาอยู่กับเราทุกคนและเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ โดยทางพระเยซูคริสต์ทุกสิ่งเป็นไปได้โดยทางพระเยซู
เรากลายเป็นบุตรพระเจ้า เรากลายเป็นยิวฝ่ายวิญญาณ เรากลายเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นเรือนที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ ไม่ใช่พระวิหารในเยรูซาเล็มอีกแล้ว ซึ่งเราไม่จำเป็นที่จะต้องยกย่องคนยิว เราไม่จำเป็นที่จะต้องแบบว่ารักประเทศอิสราเอล ไม่... สำหรับพระเจ้า พระเจ้ามองทุกคนเท่ากันแล้ว และคริสเตียนคือบุตรพระเจ้าที่แท้จริง คริสเตียนคือบุตรที่รักของพระเจ้า พระเจ้าทะนุถนอม และพระเจ้าทำงานกับคริสเตียนมากกว่ายิว มากกว่าใครในโลกนี้
และสำหรับพระบัญญัติเดิม พันธสัญญาเดิมแท้ที่จริงแล้ว สำหรับพระเจ้าก็ถูกทำลายแล้ว ไม่ได้หมายความว่าพระบัญญัติเดิมจะถูกทิ้งไปลบล้างไป ไม่ใช่ ความหมายในพระคัมภีร์โรม 10:4 พระเยซูเป็นจุดจบของพระบัญญัติ ก็หมายความว่า เราที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เรามีพระคริสต์ทำแทนเรา เราดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณ การทำแทนของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา ซึ่งการดำเนินชีวิตของเราอยู่เหนือพระบัญญัติเดิม
และทุกวันนี้พระบัญญัติเดิม พระเยซูนำมาและเรียกว่าพระบัญญัติใหม่ พระองค์ทรงยกมาตรฐานขึ้นจากมาตรฐานมนุษย์ สู่มาตรฐานของพระเจ้า พระบัญญัติก็ไม่ได้ถูกลบล้าง แต่ถูกนำมา เพิ่ม เติม เสริม ยกขึ้น ให้ยากขึ้น ให้หนักขึ้น ให้มนุษย์ทำไม่ได้ เพื่อเราจะยอมแพ้ และพึ่งพระเจ้า
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าพระเยซูลบล้างพระบัญญัติ ไม่ใช่ แต่เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพระบัญญัติอีกแล้ว เราตายจากพระบัญญัติแล้ว (โรม 7:4) และเราเองไม่ได้อยู่ใต้พระบัญญัติอีกแล้ว เราอยู่ใต้พระคุณ (โรม 6:14 )
และเราจะเห็นพระคัมภีร์หลายข้อหลายตอนที่กล่าวถึงพระบัญญัติอ่อนแอ พระบัญญัติมาเพื่อทำลายล้างเรา พระบัญญัติมาเพื่อประหารชีวิตเรา พระบัญญัติมาเพียงแต่ชั่วคราวเพื่อกักขังคนยิวเท่านั้น และเมื่อพระเยซูคริสต์มา หน้าที่ของพระบัญญัติก็หมดก็จบ พระบัญญัติ 10 ประการหรือพระบัญญัติอีกหลายๆ ข้อ พระเยซูนำมาและยกขึ้น ทำให้หนัก ให้ยากขึ้น พระเยซูไม่ได้ลบล้างพระบัญญัติ แต่พระเยซูกระทำสำเร็จครบแล้วทุกประการ
และทุกวันนี้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยที่ไม่ต้องกระทำตามพระบัญญัติรักษาพระบัญญัติ แต่เราเชื่อพระเยซูผู้ที่รักษาพระบัญญัติได้ครบ (โรม 4:22-25, 5:1 เราก็ได้เครดิตของพระองค์ เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมโดยทางความเชื่อ)