9:1 และเซาโลซึ่งยังกล่าวการข่มขู่และการสังหารต่อต้านพวกสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ได้ไปหามหาปุโรหิต
9:2 และขอจดหมายหลายฉบับจากท่านเพื่อไปยังบรรดาธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าเขาพบผู้ใดแห่งทางนี้ ไม่ว่าพวกเขาเป็นชายหรือหญิง เขาจะได้มัดพวกเขาไว้พามายังกรุงเยรูซาเล็ม
9:3 และขณะที่เขาเดินทางไป เขาเข้ามาใกล้เมืองดามัสกัส และในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
** เมื่อเซาโลเดินทางไปมาเพื่อฆ่าข่มเหงคริสเตียน มาถึงบทที่เก้า เขาจึงขอจดหมายจากมหาปุโรหิตเพื่อยินยอมให้เขาจับทุกคนที่เป็นคริสเตียนและนำพวกเขามาที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะที่เขาและอีกหลายคนกำลังเดินทางไปเมืองดามัสกัส พระเยซูก็เสด็จมาหาเขา มีแสงสว่างมาจากฟ้าส่องมาที่ตัวเขา
9:4 และเขาล้มลงถึงพื้นดิน และได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
** เจ้าข่มเหงเราทำไม คำว่า “เรา - I” ความหมายก็คือ 1. พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อทุกคน 2. ผู้เชื่อทุกคนคือพระกายของพระองค์ เมื่อใครทำอะไรทั้งดีและร้ายต่อผู้เชื่อเขาก็ได้กระทำสิ่งนั้นกับพระคริสต์และพระกายด้วยเช่นกัน (มธ 25:35-46) เพราะฉะนั้นอย่าห่วงและอย่ากลัวเลย เมื่อใครทำสิ่งใดกับเราเขาก็ได้กระทำสิ่งนั้นต่อพระเยซูหรือพระกายของพระองค์
9:5 และเขากล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ใด พระองค์เจ้าข้า” และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ผู้ซึ่งเจ้าข่มเหงนั้น เป็นการยากที่เจ้าจะถีบประตัก”
** “เป็นการยากที่เจ้าจะถีบประตัก” การข่มเหง ขัดขวาง ต่อสู้พระเยซู พระกาย และการงานทั้งหลายของพระองค์ก็ไม่ต่างไปจากการทำร้ายทำลายตัวเขาเอง พระเยซูจึงตรัสกับเซาโลว่ามันไม่ง่ายที่เจ้าจะทำร้ายทำลายเราและพระกายของเราเพราะมันเหมือนการทำร้ายทำลายตัวเจ้าเอง
9:6 และเซาโลก็ตัวสั่นและประหลาดใจจึงกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “จงลุกขึ้น และเข้าไปในเมือง และจะบอกให้ทราบว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
** พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร คือคำถามที่เซาโลถามพระเยซูเมื่อท่านกลับใจแล้ว เป็นคำถามที่ผู้เชื่อทุกคนควรจะถาม เพราะว่านับตั้งแต่วันที่เชื่อ พระคริสต์เข้ามาอยู่ในเราและเป็นสติปัญญาของเรา พระองค์จะเป็นคนสั่งและนำพาเราในการดำเนินชีวิต การทำงาน และการรับใช้พระองค์ เป็นแอก ภาระที่เบามาก
9:7 และคนทั้งหลายซึ่งเดินทางไปด้วยกันกับเขาก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก โดยได้ยินพระสุรเสียงนั้น แต่ไม่เห็นผู้ใด
9:8 และเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน และเมื่อลืมตาของเขาแล้ว เขาก็ไม่เห็นผู้ใด แต่คนเหล่านั้นได้จูงมือของเขา และพาเขาเข้ามาในเมืองดามัสกัส
9:9 และเขามองอะไรไม่เห็นอยู่สามวัน และมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
** เซาโลตาบอดเนื่องมาจากตาที่เป็นอวัยวะของอาดัมที่ตกต่ำแล้ว มนุษย์คนเก่าจึงไม่อาจได้ยิน ได้เห็น และรับสิ่งเป็นมาจากพระเจ้าได้ และเขาได้รับพระวิญญาณ พลัง และสันติสุข ทั้งตื่นเต้นที่ได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงไม่รู้สึกหิวเลยเป็นเวลาสามวัน
9:10 และมีสาวกคนหนึ่งอยู่ที่เมืองดามัสกัส ชื่ออานาเนีย และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาในนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” และอานาเนียทูลว่า “ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ พระองค์เจ้าข้า”
** อานาเนียเป็นชาวยิวที่เคร่งพระบัญญัติและท่านได้กลับใจเชื่อ แต่ยังไม่เข้าใจเรื่องพระบัญญัติใหม่ ท่านจึงยังไปพระวิหารเหมือนสาวกและยิวอีกหลายคน (กจ 21:12)
9:11 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น และไปที่ถนนซึ่งเรียกว่าถนนตรง และในบ้านของยูดาสให้ถามหาชายคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า เซาโล ชาวเมืองทาร์ซัส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่
9:12 และได้เห็นในนิมิตว่าชายคนหนึ่งชื่อ อานาเนีย กำลังเข้ามา และวางมือของเขาบนเขา เพื่อเขาจะได้รับการมองเห็นของเขา”
9:13 แล้วอานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินจากหลายคนเรื่องชายผู้นี้ว่า เขาได้กระทำความชั่วร้ายมากเพียงใดต่อพวกวิสุทธิชนของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็ม
9:14 และที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกปุโรหิตใหญ่ ให้ผูกมัดบรรดาคนที่ร้องออกพระนามของพระองค์”
** เนื่องจากว่าอานาเนียยังไม่ได้ถูกเปิดตา เมื่อได้ยินพระเยซูสั่ง เขาจึงใช้ความคิดของอาดัมคือด้วยเหตุและผลของมนุษย์ เขาจึงตอบพระเยซูว่า ดูสิ ชายคนนี้เป็นคนชั่วร้าย เป็นคนฆ่า ข่มเหงพี่น้องผู้เชื่ออย่างมากมาย
9:15 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงไปตามทางของเจ้าเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วสำหรับเรา เพื่อจะนำนามของเราไปต่อหน้าพวกคนต่างชาติ และบรรดากษัตริย์ และลูกหลานของอิสราเอล
9:16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะเห็นแก่นามของเรา”
** ตอนแรกเปโตร ยอห์น และสาวกหลายคนประกาศกับชาวยิว จากนั้นฟีลิปและอีกหลายคนประกาศกับลูกผสมระหว่างยิวกับคนต่างชาติในแคว้นสะมาเรีย ต่อมาก็คือคนต่างชาติ แต่เซาโลถูกเลือกให้เป็นคนประกาศกับคนต่างชาติมากมาย ท่านถูกเลือกให้ได้ผ่านชีวิตที่ทนทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตและการเดินทางเพื่องานรับใช้ ท่านถูกข่มเหงและสุดท้ายก็ถูกประหารเพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ
9:17 และอานาเนียก็ไปตามทางของเขา และเข้าไปในบ้านนั้น และวางมือของเขาบนเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยซู ผู้ซึ่งได้ทรงปรากฏแก่ท่านในทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงส่งข้าพเจ้ามา เพื่อท่านจะได้รับการมองเห็นของท่าน และเพื่อจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
** ขณะที่เซาโลเห็นพระผู้เป็นเจ้าและทันทีที่เซาโลกลับใจ ท่านก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในท่าน ท่านจึงได้บังเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว ส่วนในข้อนี้ ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้านนอกเพื่อการเข้าส่วนในพระกาย ย้ายเข้าไปในพระคริสต์และอาณาจักรของพระเจ้า เพื่อการรับใช้ เพื่อฤทธิ์เดช ของประทาน และในข้อต่อมาพระเจ้าจึงให้ท่านรับบัพติศมาในน้ำเพื่อให้ทุกสิ่งสำเร็จ
9:18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล และท่านได้รับการมองเห็นในทันที และได้ลุกขึ้น และรับบัพติศมา
9:19 และเมื่อท่านได้รับประทานอาหารแล้ว ท่านก็มีกำลังขึ้น แล้วเซาโลอยู่กับพวกสาวกในเมืองดามัสกัสหลายวัน
9:20 และในทันทีท่านได้ประกาศพระคริสต์ในธรรมศาลาทั้งหลายว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
** คำว่า พระบุตรของพระเจ้า the Son of God ความเชื่อของยิวก็คือเป็นพระเจ้าที่มีความเท่าเทียมกับพระบิดาและมาจากพระบิดา (ยอห์น 5:18)
9:21 แต่บรรดาคนที่ได้ยินท่านก็ประหลาดใจ และกล่าวว่า “คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนเหล่านั้นที่ร้องออกพระนามนี้ในกรุงเยรูซาเล็ม และมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์นั้น เพื่อเขาจะได้ผูกมัดคนเหล่านั้นพาไปยังพวกปุโรหิตใหญ่”
** คำว่า ร้องออกพระนาม ไม่ใช่ต้องร้องว่า โอ้พระเยซูๆๆๆ ทั้งวันเหมือนบางกลุ่มที่เชื่อและทำกัน แต่คือการมีชีวิตและเดินในพระคริสต์เยซู กระทำทุกสิ่งในพระนามพระเยซู ตัวอย่างเช่น เราพูดว่า เอเมนพระเยซู ขอบพระคุณพระเยซู ข้ารักพระเยซู ฯลฯ
1. เจ้าข่มเหง เรา ทำไม การกระทำทุกสิ่งทั้งดีและไม่ดีต่อพระกาย ก็คือได้กระทำต่อพระเยซูเหมือนกัน เรา (me) ในที่นี้ คือ พระเยซู และผู้เชื่อทุกคนที่เป็นพระกายของพระองค์ (มธ 25:35-46)
2. เมื่อผู้ใดข่มเหงหรือทำสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้เชื่อ ที่ไม่ชอบธรรมเที่ยงธรรม จะไม่ได้รับผลตอบแทนก็หามิได้ (กจ 9:5)
3. ผู้เชื่อที่แท้จริง จะเรียนรู้ที่จะรับฟังการนำพาของพระวิญญาณในทุกเรื่องในแต่ละวัน
4. อานาเนียเป็นคริสเตียนยิวที่ยังรักษาพระบัญญัติและไปนมัสการที่พระวิหารเนื่องจากว่าเขายังไม่เข้าใจ เขาใช้ความคิดปัญญาและเหตุผลของอาดัม แต่คริสเตียนควรให้พระคริสต์เป็นความคิดปัญญาของเรา (กจ 9:10)
5. เปโตรและยอห์นและสาวกบางคนประกาศกับคนยิว ฟีลิปประกาศกับลูกผสมยิวและต่างชาติ เปาโลถูกเลือกให้ประกาศกับชาวต่างชาติ
6. คำว่า "พระเจ้าพระบุตร" หรือ "พระบุตรพระเจ้า" ยิวรู้ดีว่าเป็นพระเจ้าที่มาจากพระเจ้า และเท่าเทียมกับพระเจ้า
7. การร้องออกพระนาม ไม่ใช่ร้องว่า โอ้พระเยซูๆๆ ทั้งวัน แต่คือการกินนอนไปมามีชีวิตในพระวิญญาณ เดินในพระวิญญาณ และกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซู ตัวอย่างเช่น เราตอนนี้ร่วมกันสามัคคีธรรมในพระนามพระเยซูและร้องออกพระนามพระเยซูเป็นระยะๆ