พระเยซูถูกการสวมมงกุฎหนาม
19:1 ขณะนั้นปีลาตจึงให้เอาพระเยซูไปโบยตี
19:2 และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระองค์ และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง
19:3 แล้วทูลว่า "ท่านกษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ" และเขาก็ตบพระองค์ด้วยฝ่ามือ
ปีลาตนำเสนอพระเยซูต่อฝูงชน
19:4 ปีลาตจึงออกไปอีกและกล่าวแก่คนทั้งหลายว่า "ดูเถิด เราพาคนนี้ออกมาให้ท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านรู้ว่า เราไม่เห็นว่าเขามีความผิดสิ่งใดเลย"
19:5 พระเยซูจึงเสด็จออกมาทรงมงกุฎทำด้วยหนามและทรงเสื้อสีม่วง และปีลาตกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "ดูคนนี้ซิ"
19:6 ฉะนั้นเมื่อพวกปุโรหิตใหญ่และพวกเจ้าหน้าที่ได้เห็นพระองค์ เขาทั้งหลายร้องอึงว่า "ตรึงเขาเสีย ตรึงเขาเสีย" ปีลาตกล่าวแก่เขาว่า "พวกท่านเอาเขาไปตรึงเองเถิด เพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย"
19:7 พวกยิวตอบท่านว่า “พวกเรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาควรจะตาย เพราะเขาได้ตั้งตัวเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
** "พวกเรามีกฎหมาย" คือพระบัญญัติเดิมใน เลวีนิติ 24:16 และผู้ใดที่หมิ่นประมาทพระนามของพระเยโฮวาห์ ผู้นั้นจะต้องถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอน และชุมนุมชนทั้งหมดต้องเอาหินขว้างเขาให้ตายอย่างแน่นอน
** ยิวสามารถจับตัวผู้ร้ายมาสอบสวนและลงโทษอะไรก็ได้ แต่การประหารชีวิตจะต้องผ่านการตัดสินของเจ้าเมืองหรือข้าราชการโรมันเสียก่อนจึงประหารชีวิตนักโทษได้ ด้วยการเอาหินขว้าง หรือมอบนักโทษที่มีความผิดทางการเมืองนั้นให้เจ้าหน้าที่และทหารโรมันเอาไปตรึงที่กางเขน การตรึงที่กางเขนอยู่นอกนครเยรูซาเล็มเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่โรมัน
19:8 ครั้นปีลาตจึงได้ยินดังนั้น ท่านก็ตกใจกลัวมากขึ้น
19:9 ท่านเข้าไปในศาลปรีโทเรียมอีกและทูลพระเยซูว่า "ท่านมาจากไหน" แต่พระเยซูมิได้ตรัสตอบประการใด
19:10 ปีลาตจึงทูลพระองค์ว่า "ท่านจะไม่พูดกับเราหรือ ท่านไม่รู้หรือว่าเรามีอำนาจที่จะตรึงท่านที่กางเขน และมีอำนาจที่จะปล่อยท่านได้"
** "ถ้าเราทำผิดท่านก็เป็นพยานได้ แต่ถ้าเราทำถูกท่านตบเราทำไม" คือคำถามที่เราถามคนที่ใส่ร้ายทำร้ายกล่าวหาเราเมื่อเราทำในสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว เราต่ำถ่อมยอมเสียเปรียบแต่ทำด้วยสติปัญญาไม่ใช่ปล่อยให้เขาทำร้ายเราแล้วนั่ง ยืนให้เขาทำแบบไม่ถามถึงเหตุผลและไม่พูดคุยกันเลย
** ในสมัยนั้น ปีลาตชาวโรมันได้รับอำนาจจากอาณาจักรโรมันให้เป็นเจ้าเมืองปกครองในอิสราเอล ขณะที่เฮโรดได้รับอำนาจจากอาณาจักรโรมันให้เป็นกษัตริย์ปกครองชนชาติอิสราเอล ปีลาตเกลียดชังชาวยิวและศาสนายิว
** ทหารยิวของผู้นำศาสนาได้จับพระเยซูนำมามัดไว้ที่บ้านของอันนาสพ่อตาของคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตในเวลานั้น อันนาสถามพระเยซูว่าท่านสอนอะไรบ้าง พระเยซูตรัสตอบว่าท่านถามคนเหล่านั้นที่ได้ยินได้ฟังสิว่าเราพูดอะไรกับพวกเขา เจ้าหน้าที่บางคนตบพระองค์และพูดว่าไม่ควรพูดแบบนั้นต่อหน้าปุโรหิต อันนาสส่งพระเยซูไปให้คายาฟาส จากนั้นก็นำพระเยซูไปหาปีลาตผู้เป็นเจ้าเมือง ปีลาตเห็นว่าพระเยซูไม่มีความผิดและอยากปล่อยพระองค์แต่ผู้นำศาสนายิวไม่ยอมและอ้างว่าพระเยซูทำตนเสมอเหมือนพระเจ้าหรือพระบุตรพระเจ้า ซึ่งผิดต่อพระบัญญัติและสมควรตาย พวกยิวทั้งยังพูดว่าขอให้เลือดของเขาตกสู่พวกเราและลูกหลาน (มธ 27:25) ปีลาตจึงล้างมือไม่ขอรับผิดชอบในการประหารพระเยซูครั้งนี้แต่ท่านก็ยอมให้ยิวลงโทษพระเยซูให้ถึงตายที่กางเขนเพื่อเอาใจพวกเขา
19:11 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านจะมีอำนาจเหนือเราไม่ได้ นอกจากจะประทานจากเบื้องบนให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้นผู้ที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีความผิดบาปมากกว่าท่าน”
** พระเจ้าทรงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือผู้ทรงยอมให้พระเยซูถูกประหารชีวิต และเพื่อไถ่บาปโลก พระเจ้าทรงใช้โลกและทุกคน แม้กระทั่งซาตานเพื่องานของพระเจ้าจะสำเร็จ หลายครั้งที่มารซาตานและมนุษย์ถูกพระเจ้าใช้เพื่อแผนการของพระองค์ แต่พวกเขาไม่รู้ตัว
“เหตุฉะนั้น ผู้ที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีความผิดบาปมากกว่าท่าน”
** ผู้ที่มอบ ในที่นี้ คือชาวยิว ความบาปของพวกเขาจะตกไปอยู่ที่ชั่วลูกชั่วหลานเหลนอีกด้วย (มธ 27:25)
19:12 ตั้งแต่นั้นไปปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยพระองค์ แต่พวกยิวร้องอึงว่า "ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็พูดต่อสู้ซีซาร์"
19:13 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้น ท่านจึงพาพระเยซูออกมา แล้วนั่งบัลลังก์พิพากษา ณ ที่เรียกว่า ลานปูศิลา ภาษาฮีบรูเรียกว่า กับบาธา
ชาวยิวไม่ยอมรับพระคริสต์เป็นกษัตริย์
19:14 วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา เวลาประมาณเที่ยง ท่านพูดกับพวกยิวว่า "ดูเถิด นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย"
19:15 แต่เขาทั้งหลายร้องอึงว่า "เอาเขาไปเสีย เอาเขาไปเสีย ตรึงเขาเสียที่กางเขน" ปีลาตพูดกับเขาว่า "ท่านจะให้เราตรึงกษัตริย์ของท่านทั้งหลายที่กางเขนหรือ" พวกปุโรหิตใหญ่ตอบว่า "เว้นแต่ซีซาร์แล้ว เราไม่มีกษัตริย์"
การถูกตรึงที่ไม้กางเขน
19:16 แล้วปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาพาไปตรึงที่กางเขน และเขาพาพระเยซูไป
19:17 และพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา
19:18 ณ ที่นั้น เขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้างและพระเยซูทรงอยู่กลาง
** นักโทษประหารในสมัยนั้น ชาวโรมันจะนำไปตรึงไว้ที่กางเขนโดยให้เปลือยกาย เพื่อรับความอับอาย หลังจากที่ทหารได้เฆี่ยนตีอย่างทนทุกข์ทรมาน
19:19 ปีลาตให้เขียนคำประจานติดไว้บนกางเขน และคำประจานนั้นว่า "เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของพวกยิว"
** นักโทษทุกคนจะมีป้ายเขียนชื่อและความผิดที่เขาได้กระทำ // "เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของพวกยิว" "ชื่อเยซู มาจากเมืองนาซาเร็ธ ความผิดของเขาคืออ้างตนเป็นกษัตริย์ของพวกยิว"
19:20 พวกยิวเป็นอันมากจึงได้อ่านคำประจานนี้ เพราะที่ซึ่งเขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และคำนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษากรีก และภาษาลาติน
** ภาษาฮีบรู เพื่อให้ชาวยิวได้อ่านและเข้าใจว่าพระเยซูมีพระนามว่าอะไร และทำอะไรผิด ส่วนภาษากรีกและลาตินเพื่อให้ชาวต่างชาติได้รู้ว่าพระองค์เป็นใครและทำผิดอะไร
19:21 ฉะนั้นพวกปุโรหิตใหญ่ของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า "ขออย่าเขียนว่า `กษัตริย์ของพวกยิว' แต่ขอเขียนว่า `คนนี้บอกว่า เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว'"
** พวกผู้นำยิวไม่พอใจที่ปีลาตเขียนไม่ถูก เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ยอมรับว่าพระเยซูเป็นกษัตริย์ของพวกเขา
19:22 ปีลาตตอบว่า "สิ่งใดที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป"
19:23 ครั้นพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว เขาทั้งหลายก็เอาฉลองพระองค์แบ่งออกเป็นสี่ส่วนให้ทหารทุกคนคนละส่วน และเอาฉลองพระองค์ชั้นในด้วย ฉลองพระองค์ชั้นในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอตั้งแต่บนตลอดล่าง
** สมัยนั้นผู้ชายชาวยิวนิยมใส่ ผ้าโพกศีรษะ headdress / เสื้อคลุมด้านนอก the outer garment ที่ยาวตั้งแต่ไหล่จนเกือบถึงเท้า / เสื้อใน the chiton / ชุดชั้นใน the girdle / และรองเท้า the shoes สำหรับชาวยิวที่ยากจนจะสวมใส่เสื้อชั้นนอก the outer garment และรองเท้า the shoes เท่านั้น – พระเยซูสวมใส่เสื้อชั้นนอกและเสื้อใน แต่พวกเขาจะถอดฉลองพระองค์ทั้งหมดที่กางเขนเพื่อให้ได้รับความอับอาย
19:24 เหตุฉะนั้นเขาจึงพูดกันว่า "เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับสลากกันจะได้รู้ว่าใครจะได้" ทั้งนี้เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่ว่า `เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งปันกัน ส่วนเสื้อของข้าพระองค์นั้น เขาก็จับสลากกัน' พวกทหารจึงได้กระทำดังนี้
19:25 ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา
19:26 ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้ พระองค์ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด”
** หญิงเอ๋ย ภาษากรีกคือ γυνή, αικός, ἡ คุณผู้หญิง ท่านหญิง สุภาพสตรี ภรรยา lady
** สาวกที่ทรงรักคนนี้ คือยอห์น
** ท่านมัทธิวเขียนหนังสือมัทธิว ท่านจะไม่ชอบเอ่ยชื่อท่านเอง เปาโลและยอห์นก็ไม่ค่อยจะเอ่ยว่าเป็นตัวท่านในเรื่องที่เขียนเช่นกัน เพื่อความถ่อมใจ และถ้าจำเป็นจริงๆ เปาโลก็ต้องบอกว่าเป็นท่านเองที่เขียน
19:27 แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า "จงดูมารดาของท่านเถิด" และตั้งแต่เวลานั้นมา สาวกคนนั้นก็รับนางมาอยู่ในบ้านของตน
** เชื่อกันว่าโยเซพผู้เป็นบิดาฝ่ายร่างกายของพระเยซูน่าจะเสียชีวิตและนางมารีย์ใช้ชีวิตอยู่กับลูก ๆ คือพระเยซูเป็นลูกชายคนโตและน้อง ๆ ของพระองค์ ซึ่งพระเยซูทำหน้าที่การงานเพื่อเลี้ยงดูมารดาและน้อง ๆ จนถึงทรงมีพระชนมพรรษา 30 พรรษา พระเยซูจึงละมารดาเพื่อออกไปประกาศข่าวประเสริฐโดยมีน้อง ๆ ของพระองค์เป็นคนดูแลต่อไป พอพระเยซูถูกจับและถูกตรึงพระเยซูจึงมอบหน้าที่ให้ท่านยอห์นเป็นผู้ดูแลนางมารีย์ต่อไป
19:28 หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่า ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จจึงตรัสว่า "เรากระหายน้ำ"
19:29 มีภาชนะใส่น้ำองุ่นเปรี้ยววางอยู่ที่นั่น เขาจึงเอาฟองน้ำ ชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์
19:30 เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงปล่อยพระวิญญาณออกไป
** "สำเร็จแล้ว" และพระวิญญาณก็ออกไปจากพระเยซู (ความตายก็เข้ามา) คือสำเร็จการทำลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อาดัม และทุกสิ่งที่เป็นด้านลบเพราะการบาป
** เมื่อพระเยซูถูกจับ ถูกเฆี่ยนตีทนทุกข์ทรมาน และถูกตรึงบนกางเขน พระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกไปจากพระองค์ เพื่อให้พระบุตรรับเอาความผิดบาปเพียงผู้เดียว และเมื่อพระองค์รับแบกความผิดบาปและรับฐานะเป็นคนบาปและถูกปรับโทษ วิญญาณของพระองค์ก็ออกไปจากร่างของพระองค์ เพื่อไปยังแดนคนตายเพื่อประกาศข่าวประเสริฐแก่คนตาย สามวันต่อมาพระองค์กลับเข้าร่างที่เปลี่ยนใหม่เป็นกายวิญญาณและไปหาสาวกบางคนจากนั้นก็เสด็จขึ้นไปยังพระบิดา และกลับมาหาสาวกเพื่อประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเขาสิ้นทุกคน
** ส่วนภาระกิจอื่นอีกมากมายของพระเยซูยังไม่สำเร็จ คือ..
1. ต้องฟื้นขึ้นมาเพื่อนำพระโลหิตไปถวายพระเจ้าเป็นค่าจ่ายหนี้บาป (ฮบ 9:12)
2. ต้องได้รับเกียรติจากพระบิดา และสามารถแบ่งชีวิตพระเจ้าได้ (ยน 7:39 / 1 คร 15:45-47)
3. ต้องกลับมาอยู่กับผู้เชื่อทุกคนเพื่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน (กท 2:20 / คส 1:27 / ฟป 1:21)
4. ต้องกลับมาเพื่อเปิดราชอาณาจักรสวรรค์ในโลกนี้ (วว 11:15)
5. ต้องทำลายซาตานและลูกน้องของมัน และพิพากษาคนที่ไม่เชื่อด้วย (วว 20:11-15)
6. ต้องคืนราชอาณาจักรให้พระบิดา และครอบครองอาณาจักรของพระเจ้าร่วมกันในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ (วว บทที่ 21-22)
** มัทธิว และ มาระโก เน้นเรื่องพระเยซูมารับแบกบาปของทุกคน ทรงยอมกลายเป็นคนบาปเอง (ทำไมทรงละทิ้งข้าพระองค์เสีย) (มธ 27:46 / มก 15:34)
** แต่ยอห์น เขียนเพื่อเน้นเรื่อง พระเยซูจะนำพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา และต้องประหารชีวิตเก่าของเราก่อน ยอห์นจึงเป็นเล่มเดียวที่เขียนว่า สำเร็จแล้ว คือสำเร็จในการนำพระบิดาเข้ามาอยู่ในเรา
พระอัฐิของพระองค์ไม่ถูกหักเลย
19:31 เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก และให้เอาศพไปเสีย เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่)
19:32 ดังนั้นพวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่หนึ่ง และขาของอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์
19:33 แต่เมื่อเขามาถึงพระเยซูและเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว เขาจึงมิได้ทุบขาของพระองค์
19:34 แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที
** "พระโลหิตของพระเยซู" เพื่อการไถ่บาป การจัดการกับความบาปทั้งหมด และเพื่อซื้อผู้เชื่อทุกคนคือคริสตจักรของพระองค์ (ยน 1:29 / ฮบ 9:22 / กจ 20:28 / 1 คร 6:19-20)
** "น้ำ" คือการบังเกิดใหม่ รับชีวิตใหม่ และรับพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เพื่อการก่อตัวและขยายตัวของพระกายของพระคริสต์ทั้งผู้เชื่อและคริสตจักรด้วย (ยน 12:24 / 3:14-15 / อฟ 5:29-30)
- ในกิตติคุณอีกสามเล่ม (มธ, มก, ลก) ได้บรรยายถึง เรื่องการไถ่ด้วยการตายของพระเยซูเท่านั้น แต่หนังสือยอห์น ไม่เพียงได้บรรยายถึง ด้านการไถ่เท่านั้น แต่ยังบรรยายถึง ด้านการประทานชีวิตอีกด้วยใน (มธ 27:45, 51 / มก 15:33 และ ลก 23:44-45) ได้มีความมืด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ของความบาปปรากฏออกมา และม่านในพระวิหาร ซึ่งได้กั้นระหว่างมนุษย์ กับพระเจ้านั้น ได้ขาดจากกัน สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องหมายเล็งถึง ด้านการไถ่แห่งการตายของพระเยซู
- ใน ลก 23:34 องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ตรัสบนกางเขนว่า "พระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดยกโทษให้พวกเขา", และใน มธ 27:46 องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า "พระเจ้าของข้าพเจ้าๆ เหตุไฉนพระองค์ ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเสีย?" (เพราะในขณะนั้น พระองค์ทรงแบกรับ ความบาปของเรา) ถ้อยคำเหล่านี้ ก็ได้บรรยายถึง ด้านการไถ่แห่งการตายของ พระองค์เช่นกัน แต่น้ำที่ไหลออกมา และกระดูกที่ไม่ได้ถูกทำให้หัก ซึ่งยอห์นได้กล่าวไว้ ในข้อ 34, 36 นั้นเป็นเครื่องหมายเล็งถึง ด้านการแจกจ่ายชีวิต ผ่านการตายของพระองค์ การตายแห่งการแจกจ่ายชีวิตนี้ ได้ปลดปล่อยชีวิตของพระเจ้า (โซเอ้) ออกมาจากภายในพระองค์ เพื่อก่อกำเนิดคริสตจักร ซึ่งประกอบขึ้นจาก บรรดาผู้เชื่อของพระองค์ ที่ได้รับการแจกจ่ายชีวิตพระเจ้าเข้าสู่ภายในเขา
19:35 คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ
19:36 เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อข้อพระคัมภีร์จะสำเร็จซึ่งว่า `พระอัฐิของพระองค์จะไม่หักสักซี่เดียว'
19:37 และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า `เขาทั้งหลายจะมองดูพระองค์ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง'
พระเยซูทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟ
19:38 หลังจากนี้โยเซฟชาวบ้านอาริมาเธีย ซึ่งเป็นสาวกลับๆ ของพระเยซูเพราะกลัวพวกยิว ก็ได้ขอพระศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็ยอมให้ โยเซฟจึงมาอัญเชิญพระศพพระเยซูไป
19:39 ฝ่ายนิโคเดมัส ซึ่งตอนแรกไปหาพระเยซูในเวลากลางคืนนั้นก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมผสม คือมดยอบกับอาโลเอหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย
19:40 พวกเขาอัญเชิญพระศพพระเยซู และเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว
19:41 ในสถานที่พระองค์ถูกตรึงที่กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพผู้ใดเลย
19:42 เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิว และเพราะอุโมงค์นั้นอยู่ใกล้ เขาจึงบรรจุพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น