พระบัญญัติฆ่าชีวิต แต่พระคุณให้ชีวิต
พระบัญญัติเราทำเพื่อพระเจ้า แต่พระคุณพระเจ้าทำเพื่อเรา
พระบัญญัติมาเพื่อกักขังเรา แต่พระคุณมาเพื่อปลดปล่อยเรา
พระบัญญัติเปิดเผยความบาปเรา แต่พระคุณปกปิดความบาปเรา
พระบัญญัติเป็นแค่ตัวอักษร แต่พระคุณเป็นชีวิตและเป็นพระเยซู
(ยอห์น 1:17 "เพราะว่าได้ทรงประทานพระราชบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์ ")
.......
1. ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ คือเชื่อเท่านั้นก็ได้รอด
2. ข่าวประเสริฐอื่น หรือการสอนผิดว่า เชื่อเท่านั้นไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติ เชื่อฟัง ทำดี จึงได้รอด
3. ใครที่สอนว่า การได้รอดนั้นจะต้องเชื่อฟังจะถูกสาปแช่ง
4. เปาโลยืนยันว่า พระเจ้าแต่งตั้งท่าน และคำสอนของท่านมาจากพระวิญญาณจริงๆ เนื่องจากว่าคริสเตียนหลายคนกล่าวหาท่านว่าท่านไม่ได้มาจากพระเจ้า เหมือนผู้เชื่อมากมายที่ทุกวันนี้ไม่ยอมรับคำสอนในจดหมายฝากของเปาโล
.......
หนังสือกาลาเทีย เป้าหมายคือ เพื่อให้พี่น้องในแคว้นนี้ ได้เข้าใจถึงเรื่อง ..
1. พระคริสต์ กับ พระบัญญัติเดิม
2. พระคริสต์ กับ ศาสนาและประเพณีของโลก
3. รอดโดยการเชื่อเข้าในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยการรักษาพระบัญญัติ หรือเชื่อฟัง
* การเชื่อฟัง คือผลที่บ่งบอกว่าเราเชื่อจริงและบังเกิดใหม่แล้วจริงๆ
(แต่การเชื่อฟังเหล่านี้ไม่ได้ใช้เพื่อช่วยเราให้รอด ไม่ใช่หลักการแห่งความรอด เพราะหลักการแห่งความรอดคือ รอดด้วยเชื่อเท่านั้น)
* ถ้าโดยทางความเชื่อ ก็ไม่ใช่โดยการรักษาพระบัญญัติ จะขัดแย้งกัน เพราะว่าพระคุณก็จะไม่เรียกว่าพระคุณ
(โรม 11:6 “แต่ถ้าเป็นทางพระคุณก็หาได้เป็นเพราะทางการกระทำไม่ ฉะนั้นแล้ว พระคุณก็ไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป แต่ถ้าเป็นทางการกระทำก็หาได้เป็นเพราะทางพระคุณไม่ ฉะนั้นแล้ว การกระทำก็ไม่เป็นการกระทำอีกต่อไป”)
เปาโล ย้ำอีกว่า ...
1. การเชื่อเท่านั้น ทำให้เราได้รับความรอด
2. การเชื่อเท่านั้น ทำให้เราได้รับพระวิญญาณ
3. การเชื่อ...ทำให้เราได้กลายเป็นบุตรพระเจ้า
4. การเชื่อ...ทำให้เราได้รับการก่อร่างขึ้นของพระคริสต์ในเรา เพื่อเราจะมีจิตใจใหม่ และทำได้ทุกสิ่ง (มีผลของพระวิญญาณ)
จากประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนของผู้เชื่อส่วนมากเมื่อต้อนรับพระเยซูก็จะคิดว่านี่คือศาสนาใหม่ของฉัน และพอได้อ่านหนังสือมัทธิวและไปโบสถ์ พี่น้องที่โบสถ์และผู้นำก็สอนว่าต้องเลิกทำบาปเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย ให้สมกับการมาเป็นคริสเตียนและเพื่อให้ได้รอดจากนรกบึงไฟ เราจึงเริ่มพยายามเปลี่ยนแปลงการกระทำทั้งหลายแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ผู้นำก็บอกว่าเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ มานมัสการพระเจ้า อธิษฐาน อ่าน พระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงและเสริมกำลังเราให้เลิกทำบาปได้ พอหลายปีผ่านไป กลับเป็นว่าเรายิ่งทำบาปมากกว่าเดิมแต่ซ่อนเร้นความบาปชั่วเอาไว้ และสร้างตัวละครหนึ่งขึ้นมาเพื่อหลอกเราเอง และหลอกพี่น้องที่โบสถ์ว่าเราเป็นคริสเตียนที่ดี เข้มแข็ง รักพระเจ้า มีความสุขมาก คุณเคยเป็นหรือไม่
หลายคนพอมีประสบการณ์มามากพอจึงเข้าใจเล็กน้อยเรื่อง พระเจ้าไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นเรื่องความสัมพันระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แต่เขาไม่เข้าใจว่าผูกพันแบบไหน บอกรักอย่างไร ต้องทำตัวอย่างไร การดำเนินชีวิตคริสเตียนในรูปแนวชีวิต มันคืออะไรกันแน่ หนังสือกาลาเทียมีมากมายหลายสิ่งที่พระวิญญาณตรัสผ่านเปาโลให้เขียนขึ้นเพื่อเปิดตาเราเรื่องความแตกต่างระหว่างพระเยซูกับศาสนา เมื่อพระวิญญาณเปิดเผยเราจะพบว่า รูปแนวชีวิตคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการไม่ใช่รูปแนวศาสนาที่ศาสนาคริสต์กระทำกันในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัว กับพระเจ้า พี่น้อง คนในครอบครับ และคนที่ไม่เชื่อ การมองบวก การไม่ตัดสินแต่สงสาร การรักมากกว่าการมองไปที่ถูกผิดของตนและของผู้อื่น
ตั้งแต่สมัยสาวกในหนังสือกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ ผู้เชื่อถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายที่เชื่อไม่เหมือนกันและขัดแย้งถกเถียงกันเรื่อง เชื่อเท่านั้นก็รอด และเชื่อเท่านั้นไม่พอต้องเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติถวายสิบลดรับบัพติศมาจึงจะรอด ต่างฝ่ายต่างก็อ้างพระคัมภีร์หลายข้อเพื่อสนับสนุนความเชื่อของตน สมัยแรก สาวกทั้งหลายของพระเยซู และเปโตร ก็ยังลังเลและไม่เข้าใจเรื่องหลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณ พวกเขายังไม่รู้ว่าพระคุณแท้ที่จริงคืออะไร บวกกับการที่เคยอยู่ในศาสนายิวมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเข้าใจคำว่า พระคุณของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ เมื่อเปาโลกลับใจ ท่านก็ประกาศข่าวประเสริฐทำให้มีผู้เชื่อมากมายทั่วแผ่นดิน และคริสเตียนในแค้วนกาลาเทียก็ต้อนรับพระเยซู เนื่องมาจากการเดินทางมาประกาศกับพวกเขา แต่ไม่นานต่อมา คริสเตียนชาวยิวที่ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และข่าวประเสริฐเรื่องพระคุณของพระเจ้าคือเชื่อเท่านั้นก็รอด พวกเขาจึงเดินทางไปทั่วเพื่อสั่งสอนให้คริสเตียนรักษาพระบัญญัติถวายสิบลดขณะที่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา และเมื่อเปาโลทราบจึงเขียนจดหมายไปถึงแค้วนกาลาเทียเพื่อตำหนิและเตือนไม่ให้พวกเขาเชื่อคำสอนของคริสเตียนชาวยิว เปาโลเรียกคำสอนของคริสเตียนยิวนี้ว่า ข่าวประเสริฐอื่น คือเชื่อเท่านั้นไม่พอต้องเชื่อฟังจึงจะรอด ส่วนข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ก็คือเชื่อเท่านั้นก็ได้รอด
1:1 เปาโล ผู้เป็นอัครสาวก (มิใช่มนุษย์แต่งตั้ง หรือมนุษย์เป็นตัวแทนแต่งตั้ง แต่พระเยซูคริสต์และพระเจ้าพระบิดา ผู้ได้ทรงโปรดให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายได้ทรงแต่งตั้ง)
** ผู้เชื่อทุกคน คือสาวกของพระเยซู แต่คนที่จะเป็นอัครสาวกได้ คือผู้ที่ได้เห็น อยู่กินไปมากับพระเยซูขณะที่พระเยซูทรงประกาศข่าวประเสริฐอยู่ในโลกนี้
** เปาโล ไม่มีโอกาสได้เห็น และอยู่กินไปมากับพระเยซู แต่ท่านได้เห็นพระเยซูตอนที่ออกไปตามฆ่าคริสเตียน และได้ใช้เวลาอยู่กินไปมากับพระเยซูในสภาพของวิญญาณในทะเลทรายหลายปี เพื่อรับการถ่ายทอดความรู้ฝ่ายวิญญาณ ท่านจึงได้รับเลือกจากพระเจ้าให้เป็นอัครสาวกคนหนึ่ง
** อัครสาวก ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ มีทั้งหมด 25 คนด้วยกัน
1:2 และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้า เรียน คริสตจักรทั้งหลายแห่งแคว้นกาลาเทีย
** ในแคว้นกาลาเทีย มีคริสตจักรหลายแห่งด้วยกัน ซึ่งเรารู้กันดีว่า คือการรวมตัวกันของผู้เชื่อเพื่อประชุมหรือนมัสการพระเจ้า ไม่ใช่ตึกอาคารสถานที่
** คำว่า คริสตจักรทั้งหลาย the churches ในที่นี้ ภาษากรีกคือ ἐκκλησία, ας, ἡ (เอ-เกล-ซี-อา) ผู้ที่ออกมา หรือถูกเรียกให้ออกมา (ออกมาจากโลก หรือจากกลุ่มคนที่ไม่มีพระเจ้า)
1:3 ขอให้พระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
** "พระคุณ" คือพระเจ้าที่มาทางพระคริสต์ที่เป็นความสงบสุข หรือความชื่นชมยินดี เมื่อเรามีพระคริสต์ เราก็มีความสงบสุขหรือความชื่นชมยินดีในพระเจ้า (ยอห์น 1:17; 1 คร 15:10)
** "สันติสุข" ในที่นี้คือ จิตใจของเราอยู่ในความสงบสุขกับพระเจ้าซึ่งได้มาจากการรับพระคุณของพระเจ้า
** "ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" คือการทำงานของพระเจ้าผ่านการเปิดตาให้ได้รู้ เพื่อการรับสุขและชื่นชมยินดีจะมีอยู่ในชีวิตพวกเขา
1:4 พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะความบาปของเราทั้งหลาย เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้ายตามน้ำพระทัยพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเรา
** "ยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย" คือยุคนี้ (ซึ่งเป็นยุคที่สาม หรือยุคพระคุณ หรือยุคคริสตจักร)
** พระเจ้าทรงประทานพระคุณมาสู่มนุษย์ แต่ความชั่วร้ายของมนุษย์ก็มีมากยิ่งขึ้นเนื่องจากว่ามนุษย์เสื่อมทรามตกต่ำจนถึงที่สุดและจะทวีคูณไปจนถึงชั่วร้ายที่สุด
1:5 ขอให้พระองค์ทรงมีสง่าราศีตลอดไปเป็นนิตย์ เอเมน
** คำอธิษฐานในข้อนี้และใน มธ 6:9 จะสำเร็จในยุคหน้า (มธ 6:9 “เหตุฉะนั้นท่านจงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า ข้าแด่พระบิดาของข้าพระองค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ”)
หลักความเชื่อเรื่องเชื่อเท่านั้นก็รอด และเชื่อเท่านั้นไม่พอ ต้องเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติ ถวายสิบลด รับบัพติศมา และอีกมากมายจึงจะได้รอด เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่สมัยสาวกและก่อให้เกิดการแบ่งแยกของคริสตจักร ทุกวันนี้ครึ่งต่อครึ่งของผู้เชื่อทั่วโลกที่อยู่ภายใต้ 2 หลักคำสอนดังกล่าว แต่ถ้าหากผู้เชื่อได้รับการเปิดตาก็จะเข้าใจถึงเรื่องรอดโดยพระคุณความเชื่อและรอดด้วยการเชื่อฟังนั้นไม่เหมือนกัน ผู้เชื่อมากมายไม่รู้ว่ารอดมีสองรอดและการพิพากษามีสองครั้ง และถ้าหากเราเข้าใจ เราจะไม่พบข้อขัดแย้งในพระคำพระเจ้าเลย ขอบพระคุณพระเยซูผู้ที่ได้เห็นและได้ยินก็เป็นสุข
เปาโลกล่าวว่าถ้าจะเชื่อฟัง รักษาพระบัญญัติให้ได้ ก็ต้องเรียนรู้ กาลาเทีย 2:20 คือเราตาย และพระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตในเรา (คนใหม่)
1:6 ข้าพเจ้าประหลาดใจนักที่ท่านทั้งหลายได้แยกออกจากพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านให้เข้าในพระคุณของพระคริสต์ และได้ไปหาข่าวประเสริฐอื่น
** แยกออกจากพระองค์ ในที่นี้ ไม่ใช่เลิกเชื่อในพระเยซูเหมือนผู้เชื่อหลายคนเข้าใจ แต่คือการออกไปจากหนทางชีวิตที่อยู่ใต้ร่มพระคุณของพระเยซู ซึ่งก็คือการพึ่งพาพระคุณของพระเยซูคริสต์เพื่อให้ได้รอด ไม่ใช่พึ่งการกระทำ รักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้รอด
** คำว่า เรียกให้เข้าในพระคุณของพระเยซูคริสต์ คือการอยู่ภายใต้การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่เป็นเนื้อหนัง จากนั้นก็เข้าสู่การเลี้ยงดู ดูแลช่วยเหลือ และก่อขึ้นโดยพระคริสต์เยซูที่อยู่ในเรา
** พี่น้องคริสเตียนมากมายในแคว้นกาลาเทียหลงเชื่อข่าวประเสริฐอื่น ซึ่งคริสเตียนชาวยิวนำมาประกาศ คือเชื่อพระเยซูไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติเดิมด้วยจึงจะได้กลายเป็นคนชอบธรรมและรอดได้
** ข่าวประเสริฐอื่น คือข่าวประเสริฐของคริสเตียนชาวยิวที่ประกาศไปทั่วทุกแห่งหน (เชื่อไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติเดิม เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรม)
** ข่าวประเสริฐของเปาโล คือข่าวประเสริฐเรื่อง พระเยซูคริสต์ พระคุณ กางเขน ความรอด สันติสุข ราชอาณาจักร ฯลฯ
** หลักการแห่งความรอดถูกเปลี่ยนแล้ว คือรอดโดยทางความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการรักษาพระบัญญัติ หรือเชื่อฟัง เพื่อให้ได้มาซึ่งความรอด (อฟ 2:8-9; โรม 11:6 ฯลฯ)
(อฟ 2:8 ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่ตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
อฟ 2:9 ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้
โรม 11:6 แต่ถ้าเป็นทางพระคุณก็หาได้เป็นเพราะทางการกระทำไม่ ฉะนั้นแล้ว พระคุณก็ไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป แต่ถ้าเป็นทางการกระทำก็หาได้เป็นเพราะทางพระคุณไม่ ฉะนั้นแล้ว การกระทำก็ไม่เป็นการกระทำอีกต่อไป)
1:7 ซึ่งมิใช่อย่างอื่นหรอก แต่ว่ามีบางคนที่ทำให้ท่านยุ่งยาก และปรารถนาที่จะบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์
** บางคน / บิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ คือพี่น้องคริสเตียนยิวนี่เองที่เอาการรักษาพระบัญญัติเข้ามาเสริมเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมเหมือนยุคเก่า
** ทำให้ท่าน (ทั้งหลาย) ยุ่งยาก คือการถูกนำเข้าสู่หลักการแห่งความรอดที่ผิด คือการแบ่งแยกแตกแยก ไม่มีความรักและเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนต่างก็รับใช้ เพราะว่าเมื่อผู้เชื่อรับข่าวประเสริฐอื่น ปัญหาที่ตามมาก็คือการแตกแยกและการแบกภาระหนักคือพยายามเชื่อฟังรักษาพระบัญญัติเลิกทำบาปให้ได้ด้วยกำลังของตนเอง
1:8 แต่แม้ว่าเราเองหรือทูตสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วก็ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง
** ใครก็ตามที่ประกาศ และสอนว่า เชื่อไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติหรือเชื่อฟังจึงจะรอด เปาโลเรียกคำสอนนี้ว่าข่าวประเสริฐอื่น เขาจะถูกสาปแช่งแน่นอน และทุกวันนี้มีพี่น้องผู้เชื่อครึ่งต่อครึ่งที่สอนว่าต้องรักษาพระบัญญัติเดิม และเชื่อฟังด้วยจึงจะรอด เชื่อพระเยซูเท่านั้นไม่พอ สิ่งที่พี่น้องเหล่านั้นจะได้รับก็คือต้องอยู่นอกอาณาจักรในยุคหน้าเพื่อรับการตีสอนจนครบพันปี
1:9 ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าพูดอีกว่า ถ้าผู้ใดประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่านที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งท่านได้รับไว้แล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกสาปแช่ง
** ข่าวประเสริฐเรื่องพระคุณ ความรอด พระเยซูคริสต์ กางเขน ล้วนแต่อยู่ภายใต้หลักการแห่งความรอดในยุคพระคุณ คือเชื่อเท่านั้น
** ยกเว้นข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักร ซึ่งจะต้องดำเนินชีวิตที่มีพระคริสต์ทำแทน จึงจะรอดเข้าในอาณาจักรในยุคหน้าได้
1:10 บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังพูดเอาใจมนุษย์หรือ หรือให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประจบประแจงมนุษย์หรือ เพราะถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์
** การพูดแทนพระเจ้า หรือของประทานผู้เผยพระวจนะแบบที่หนึ่ง (พูดตามการเปิดเผยจากพระวิญญาณ) คือของประทานที่เปาโลมี และสมัยนี้หายากมาก
** เราพูดตามที่พระเจ้าให้พูด ผลก็คือผู้ที่ถ่อมใจและเปิดใจจะได้รับของดี แต่คนที่ไม่ถ่อมก็จะรับไม่ได้ และคิดแง่ลบต่อสิ่งที่เราพูด
1:11 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไปแล้วนั้นไม่ใช่ของมนุษย์
1:12 เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับข่าวประเสริฐนั้นจากมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนใดสอนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้รับข่าวประเสริฐนั้นโดยพระเยซูคริสต์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า
** พระคริสต์เยซูทรงสำแดงความรู้ และข้อล้ำลึกทั้งหลาย ทั้งข่าวประเสริฐของพระองค์ด้วย เพื่อท่านจะประกาศไปทั่วโลกทั้งยิวและต่างชาติ
** ทรงสำแดง ในที่นี้ ภาษากรีกคือ ἀποκάλυψις, εως, ἡ - Revelation – uncovering – unveiling – reveal เปิดเผย (วว 1:1)
1:13 เพราะท่านก็ได้ยินถึงชีวิตในหนหลังของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในลัทธิยิวแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างร้ายแรงเหลือเกิน และพยายามที่จะทำลายเสีย
1:14 และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลัทธิยิวนั้น ข้าพเจ้าได้ก้าวหน้าเกินกว่าเพื่อนหลายคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และที่เป็นชนชาติเดียวกัน เพราะเหตุที่ข้าพเจ้ามีใจร้อนรนมากกว่าเขาในเรื่องขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า
** เปาโลเคร่งศาสนามากกว่าใคร ท่ามกลางเพื่อนพี่น้องชาวยิวที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับท่าน
** แต่ท่านได้เปิดเผยว่า ท่านยังต้องต่อสู้กับตัวบาปซึ่งไม่มีวันจบสิ้น และพ่ายแพ้มาตลอด (โรม 7)
- โรมบทที่เจ็ด คือสิ่งที่บ่งบอกว่าไม่มีใครสามารถรักษาพระบัญญัติด้วยชีวิตอาดัมได้ ต้องพึ่งพระเยซูในเราจึงจะได้
1:15 แต่เมื่อเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ผู้ได้ทรงแยกข้าพเจ้าไว้แต่ครรภ์มารดาของข้าพเจ้า และได้ทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์
1:16 ที่จะทรงสำแดงพระบุตรของพระองค์ในตัวข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรแก่ชนต่างชาตินั้น ในทันทีนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปรึกษากับเนื้อหนังและเลือดเลย
** "สำแดง" ในที่นี้ คือเปิดเผยให้เห็น ไม่ใช่สอน
** "สำแดงพระบุตรของพระองค์ในตัวข้าพเจ้า" คือการปรากฏ หรือดำเนินชีวิตของพระคริสต์ในเรา ผ่านเรา
** "เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตร" คือประกาศพระบุตรที่เป็นบุคคลในเรา ในรูปแบบของข่าวประเสริฐ
1:17 และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อพบกับผู้ที่เป็นอัครสาวกก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้ออกไปยังประเทศอาระเบีย แล้วก็กลับมายังเมืองดามัสกัสอีก
** เมื่ออาจารย์เปาโลกลับใจ ท่านได้เดินทางไปประเทศอาระเบีย เพื่อแยกออกจากคริสเตียน และเรียนรู้ รับการเปิดเผยจากพระเยซูคริสต์ เรื่องข่าวประเสริฐที่ครบถ้วน ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าท่านอยู่ประเทศอาระเบียนานเท่าไหร่
** ในหนังสือกิจการกล่าวว่าท่านไปประกาศแก่ชาวยิวที่ธรรมศาลาทันทีเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรพระเจ้า แต่หนังสือกาลาเทียกล่าวว่าท่านไปประเทศอาระเบีย เพื่อรับการเปิดเผยจากพระวิญญาณก่อน และไม่ได้พบอัครสาวก หรือผู้เชื่ออื่นๆ เลย แสดงว่าเหตุการณ์ในกาลาเทียเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ในหนังสือกิจการ แต่เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่แน่นอน เราจึงสรุปไม่ได้ว่าเหตุการณ์ไหนมาก่อน
1:18 แล้วสามปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปหาเปโตรที่กรุงเยรูซาเล็ม และพักอยู่กับท่านสิบห้าวัน
** นี่คือสิ่งที่ผู้เชื่อมากมายใช้เพื่ออ้างว่า เปาโลอยู่ที่อาระเบีย คือสามปีหรือสามปีกว่า เพื่อรับการเปิดเผยจากพระวิญญาณ
1:19 แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครสาวกคนอื่นเลย นอกจากยากอบน้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1:20 แต่เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้ ดูเถิด ต่อพระพักตร์พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่มุสาเลย
1:21 หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้าไปในเขตแดนซีเรีย และซีลีเซีย
1:22 และคริสตจักรทั้งหลายในแคว้นยูเดีย ซึ่งอยู่ในพระคริสต์ ก็ยังไม่รู้จักหน้าข้าพเจ้าเลย
1:23 เขาเพียงแต่ได้ยินว่า "ผู้ที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเรา บัดนี้ได้ประกาศความเชื่อซึ่งเขาได้เคยพยายามทำลาย"
1:24 พวกเขาได้สรรเสริญพระเจ้าก็เพราะข้าพเจ้าเป็นเหตุ
** เปาโลต้องการยืนยันว่าท่านไม่ได้รับความรู้จากมนุษย์หรือสาวกทั้งหลาย แต่ท่านรับจากพระคริสต์โดยตรง
** ถึงแม้ว่าผู้เชื่อในแคว้นกาลาเทียจะกลับใจเชื่อเพราะเปาโลมาประกาศ แต่เนื่องจากเปาโลไม่มีโอกาสได้เล่าเรื่องราวการได้รับความรู้ล้ำลึกจากพระเจ้า ท่านจึงฉวยโอกาสเล่าในจดหมายฉบับนี้ ว่าท่านรับการถ่ายทอดจากพระเจ้าที่ประเทศอาระเบีย
1. ข่าวประเสริฐที่เปาโลได้รับไม่ได้มาจากมนุษย์แต่มาจากการเปิดเผยพระเยซูเอง พระองค์อยู่กับท่านที่ประเทศอาราเบียนานถึงสามปีกว่าเพื่อเปิดเผยความจริงแห่งข่าวประเสริฐแก่ท่าน (กท 1:11-12)
- เราพบว่าผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์มีสี่แบบ แบบที่หนึ่งคือรับคำสั่งสอนมาจากพระเจ้าแล้วนำไปเปิดเผยต่อมนุษย์ เรียกว่าพูดแทนพระเจ้า โมเสส ผู้เผยพระวจนะหลายคน รวมถึงเปาโลที่เป็นผู้เผยพระวจนะแบบที่หนึ่งนั่นเอง
- ความจริงแห่งข่าวประเสริฐที่สำคัญที่สุด คือเชื่อเท่านั้นก็ได้รอด โดยพระคุณพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่ เราได้รับพระวิญญาณ เราได้กลายเป็นคนชอบธธรม และเราได้รอดแล้ว ไม่ใช่โดยการรักษาพระบัญญัติเชื่อฟังเลิกทำบาป
2. เรื่องราวชีวิตของเปาโล ในสมัยที่เป็นฟาริสีที่เคร่งศาสนาคนหนึ่ง และได้ข่มเห็งคริสเตียน (กท 1:13-14)
- บิดาและมารดาของเปาโลเป็นคนเชื้อชาติยิว บิดาของเปาโลน่าจะมีผลงานในการรับใช้อาณาจักรโรมัน ท่านจึงได้รับสัญชาติโรมันทำให้เปาโลถือสองสัญชาติเหมือนบิดาของท่าน (กจ 22:28) ท่านเป็นฟาริสีที่เคร่งในเรื่องขนบธรรมเนียมของยิว ท่านเคยตามล่าและฆ่าคริสเตียนมากมายก่อนที่จะกลับใจเป็นคริสเตียน
3. พระเจ้าทรงเลือกเปาโลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเพื่อให้สำแดงชีวิต และนิสัยของพระคริสต์ ซึ่งก็คือการประกาศข่าวประเสริฐด้วยการดำเนินชีวิตนั่นเอง และท่านก็ไม่ได้เรียนรู้จากใครเลยนอกจากพระเยซู (กท 1:15-16)
- คำว่า ถูกเลือกตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา / ถูกเลือกโดยพระคุณพระเจ้า และ เพื่อให้สำแดงพระบุตร
4. เมื่อเปาโลกลับใจท่านเดินทางไปที่ประเทศอาราเบียเพื่อแยกจากคริสเตียน และรับการเปิดเผยข่าวประเสริฐจากพระเยซูผู้เดียวเท่านั้น และเชื่อว่าท่านอยู่ที่นั่นสามปี จากนั้นท่านก็เดินทางขึ้นไปพบเปโตรที่เยรูซาเล็ม (กท 1:17-18)
- ในพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าสำแดงต่อโมเสสจากนั้นท่านก็นำไปเปิดเผยต่อชนชาติอิสราเอล ในพระคัมภีร์ใหม่พระเยซูทรงสำแดงต่อเปาโล จากนั้นท่านก็นำไปเปิดเผยต่อคริสเตียนทั้งหลาย
a. เปาโลกล่าวว่า "คริสเตียนยิวที่สอนและเชื่อว่า เชื่อไม่พอต้องรักษาพระบัญญัติเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมและได้รอด ถ้าไม่รักษาพระบัญญัติและเชื่อฟังไปจนตายจะไม่รอด" คือ...
- พวกที่รับข่าวประเสริฐอื่น
- บิดเบือนข่าวประเสริฐของพระเยซู
- พี่น้องจอมปลอม
- แยกออกจากพระเจ้า และหล่นจากพระคุณ (ไม่ได้อยู่ภายใต้การทำงานของพระวิญญาณในเรา)
- ผู้สอนและเชื่อคำสอนนี้จะถูกสาปแช่ง (ไม่ได้รับการเปิดตาฝ่ายวิญญาณในชีวิตนี้ และถูกตีสอนเป็นเวลาพันปี)
b. เปาโล รับคำสอนมาจากพระเยซูโดยตรงที่ถิ่นทุรกันดาร ที่ประเทศอาระเบีย สามปีกว่า ท่านไม่ได้เรียนรู้จากใครเลย
c. เปาโลก่อนเชื่อ ท่านเป็นฟาริสีที่เคร่งศาสนามาก
d. พระเจ้าทรงเลือกท่านเป็นอัครสาวก เพื่อประกาศความจริง ต่อต้านข่าวประเสริฐอื่น
e. ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ข่าวประเสริฐอื่นถูกสอนในทุกคริสตจักรโดยผู้นำที่ไม่ได้ถูกเปิดตา
- ขอบพระคุณพระเจ้าที่เราได้พบข่าวประเสริฐที่ประเสริฐล้ำเลิศจริง ๆ คือพระคุณพระเจ้าช่วยให้เราได้กลายเป็นคนชอบธรรม ประทานพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเรา เรามีพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตของเรา เราจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เพียงแต่เรา เชื่อเท่านั้น เอเมน
- พี่น้องคริสเตียนในแค้วนกาลาเทียหลงเชื่อคำสอนของคริสเตียนยิว ที่สอนว่า เชื่อเท่านั้นยังไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติ ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งศาสนาใหม่และไม่ทิ้งอันเก่าคือพระบัญญัติเดิม และนี่คือที่มาของหลักคำสอนที่แพร่หลายในคริสจักรทั่วโลกจนทุกวันนี้
- เชื่อเท่านั้นไม่พอ ต้องรักษาพระบัญญัติทั้งเดิมและใหม่เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธธรม เพื่อรับพระวิญญาณ เพื่อพระวิญญาณจะสถิตในเรา เพื่อให้ได้รอด เปาโลเตือนและเรียกข่าวประเสริฐนี้ว่าข่าวประเสริฐอื่น และเรียกพี่น้องคริสเตียนยิวว่า พี่น้องจอมปลอม และเรียกพี่น้องที่หลงเชื่อว่า พวกที่แยกออกจากพระเจ้าและหล่นจากพระคุณ
- พระคุณ คือการอยู่ภายใต้การช่วยเหลือ การกระทำของพระเจ้าเพียงฝ่ายเดียวเพื่อช่วยไถ่เราตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้าย ส่วนพระบัญญัติ ก็คือต้องทำเองเพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมและเพื่อให้ได้รอด ออกห่างหรือหล่นจากพระคุณ ก็คือออกจากการช่วยเหลือการทำงานของพระคริสต์ในเราซึ่งชีวิตเนื้อหนังนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับพระเจ้า มันคือการก่อขึ้นด้วยไม้ฟางและหญ้าแห้ง ผู้เชื่อจึงต้องอยู่ในพระคริสต์และให้พระคริสต์เกิดผลในเราเพื่อก่อชีวิตด้วยทองคำเงินและเพชรพลอย สรุปก็คือการพยายามรักษาพระบัญญัติเชื่อฟังเลิกทำบาปเข้ามามีส่วนในความเชื่อ เราก็ไม่ได้อยู่ใต้พระคุณอีกต่อไป และไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิตของเขา
- การพยายามเลิกทำบาปหรือพยายามรักษาพระบัญญัติให้ครบ เพื่อให้ได้กลายเป็นคนชอบธรรมนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากว่ามนุษย์ตกต่ำถูกสาปแช่งแล้ว เนื้อหนังไม่มีอะไรดีเลย เราได้กลายเป็นคนชอบธรรมนั้นเนื่องมาจากความเชื่อเท่านั้น และไม่มีทางอื่น
- การใช้ตัวเก่าเพื่อทำดีเชื่อฟังพระเจ้า เพื่อให้ได้กลายเป็นคนดีรอบครอบ การเข้าสุหนัต เหมือนยิว ก็ไม่ได้ช่วยอะไรคริสเตียนในยุคพระคุณได้เลย
- พระเจ้าต้องการช่วยเหลือผู้เชื่อไม่ให้หลงไปจากพระคำแห่งความจริง พระองค์จึงใช้เปาโลเพื่อเตือนผู้เชื่อ เพื่อไม่ให้พวกเขาตกอยู่ในกับดักที่เรียกว่า ยุคแห่งศาสนาที่ชั่วร้ายทั้งหลาย และเข้าสู่รูปแนวชีวิตในพระคริสต์