อย่าทำบาปอีกเลย (ยอห์น 8:1-11)
ศาสนาในโลกนี้ล้วนแต่สอนมนุษย์ให้เป็นคนดี และห้ามไม่ให้ทำบาปเพื่อชีวิตในโลกนี้จะไม่ต้องมีกรรมและตายไปก็ไม่ต้องไปตกนรก
เมื่อเราเป็นคริสเตียนความคิดแบบศาสนานี้ ก็อยู่ในเราทุก ๆ คน พอเราเชื่อและไปโบสถ์ผู้นำคริสตจักรจะสอนว่า เราเป็นคริสเตียนแล้ว ห้ามทำบาปอีกพระเจ้าจะไม่อวยพร แถมยังจะลงโทษในชีวิตนี้ และตายไปก็จะไม่รอดโดยอ้างพระคัมภีร์ยอห์นบทที่ 8 นี่เอง
เนื่องจากว่าพวกเขาไม่เข้าใจว่า
1. พระเจ้าไม่รับการทำดีของตัวเก่าของเราแต่พระองค์ต้องการให้พระคริสต์พระบุตรของพระองค์ เป็นคนทำดีแทนเรา ในเราที่เป็นตัวใหม่
2. เราเลิกทำบาปเองไม่ได้และยากมาก และกว่าจะเลิกได้ต้องได้รับการเปิดเผยความจริงจากพระเจ้าเรื่องการดำเนินชีวิต และรับใช้ตามน้ำพระทัย แต่ก็ต้องใช้เวลานานหลายปี การที่เราไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และหลักการแห่งความรอดในแต่ละยุคจะทำให้เราหลงทาง และดำเนินชีวิตความเชื่อนี้ยากมากเพราะต้องแบกภาระหนักมาก เรื่องความรอดนั้นเรารอดโดยพระคุณทางความเชื่อ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเลิกทำบาปของเราเลย เพื่อที่จะไม่มีใครอวดได้ ความรอดเป็นของขัวญ (Gift) ที่พระเจ้าประทานให้เราฟรี ๆ อฟ 2:8-9 ส่วนเรื่องการเลิกทำบาป คือเพื่อให้ได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ และร่วมครอบครองกับพระเยซูไปจนชั่วนิรันดร์ แต่ไม่ใช่เราเองที่เป็นคนเลิกทำบาปเอง แต่เราอาศัยการกระทำดีของพระคริสต์ในเรา ทำแทนเรา กท 2:20 / ฟป 1:21 / คส 1:27 ถึงแม้ว่าหลักการแห่งความรอดไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความรอดก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เราทำบาปก็ต้องมีผลตอบแทนเหมือนดั่งที่ทุกครั้งที่เราเชื่อฟังก็ย่อมจะมีบำเหน็จ เนื่องจากว่าค่าจ้างของความบาปก็คือการลงโทษ/ตีสอนจากพระเจ้า แต่ถ้าหากเราสารภาพและเสียใจทั้งขอการชำระเพื่อไม่ให้กลับมาทำบาปเดิมซ้ำ ๆ โทษของเราจะเบาและอีกไม่นานการชำระก็จะมาถึง
..........
หนังสือยอห์นเขียนเพื่อยืนยันว่าพระเยซู คือคำตอบของปัญหา 9 ประการในชีวิตของมนุษย์
ปัญหาที่:
(บทที่ 3 จนถึงบทที่ 7)
1. การได้บังเกิดใหม่เพื่อรับชีวิตพระเจ้า
2. การได้รับชีวิตที่ครบ และพอใจในชีวิตนั้น ที่เราไม่ต้องการแสวงหาอะไรอีกแล้ว
3. การรักษาโรคของพระเยซูต่อผู้ที่เชื่อในพระองค์
4. การทำให้ชุ่มชื่น ชื่นชมยินดี มีสันติสุขอย่างเต็มล้นในผู้เชื่อ
5. การได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณเพื่อบรรเทาอาการหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ
6. การได้ดื่มอย่างเต็มอิ่ม
(บทที่ 8 จนถึงบทที่ 11)
7. ปัญหาเรื่องบาป
8. ปัญหาเรื่องตาบอด (เดินในความมืด)
9. ปัญหาเรื่องความตาย (ของจิตใจ วิญญาณ และร่างกาย)
..........
เข้าสู่ยอห์นบทที่ 8 >>>
** ยอห์นบทที่ 8 เป็นเรื่องของบาปที่ไม่มีใครในโลกนี้ช่วยมนุษย์ได้ นอกจากพระเยซูเท่านั้น
** พระเยซูไม่มีบาป
** พระเยซูจึงได้รับสิทธิอำนาจที่จะลงโทษตัวบาปในมนุษย์ได้
** พระเยซูได้รับสทธิอำนาจที่จะยกโทษความผิดบาปแก่มนุษย์ได้
** พระเยซูได้รับสิทธิอำนาจที่ปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นจากตัวบาปได้
** พระเยซูได้รับสิทธิอำนาจเป็นพระวิญญาณที่จะเข้ามาอยู่ในเรา เป็นชีวิต เป็นความสว่างของเรา และปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากความมืดและตัวบาป
** ในบทนี้ เราจะพบว่า พระบัญญัติไม่อาจช่วยเราให้พ้นจากตัวบาปและความตาย ซ้ำยังลงโทษเราเมื่อเราทำบาป แต่พระเยซูคือทางออกสำหรับเราที่จะหลุดพ้นจากสองสิ่งนี้ และ เป็นคำตอบของปัญหาทั้ง 9 ประการได้
..........
สรุป.
** ยอห์นบทที่ 8 เป็นเรื่องพวกผู้นำศาสนานำหญิงคนหนึ่งมาเพื่อทดสอบพระเยซู หญิงคนนี้ล่วงประเวณีคือเล่นชู้กับผัวชาวบ้าน ต้องได้รับโทษคือถูกขว้างด้วยหินให้ตาย แต่พระเยซูสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาเองก็แอบทำบาปและเล่นชู้อยู่เหมือนกัน ซึ่งไม่ได้ต่างไปจากหญิงคนนี้ และสมควรตาย หญิงคนนี้ทำผิด และถูกจับได้ขณะที่เธอเล่นชู้ แต่พวกผู้นำเหล่านี้ทำผิด และไม่มีใครรู้เห็นหรือจับได้ มีแต่พระเจ้าและพระเยซูเท่านั้นที่เห็น พวกเขาจึงกลัวมากและปล่อยหญิงคนนี้ไป
** การยกโทษบาปได้มาถึงมนุษย์แล้วผ่านทางพระเยซูที่ตายเพื่อไถ่บาปเรา พระบิดาทรงรัก และเมตตามนุษย์ จึงให้พระสัญญาเรื่องรอดโดยทางความเชื่อมาถึงพวกเราโดยพระคุณของพระองค์
** คำว่า อย่าทำบาปอีกเลย ไม่ใช่บาปทั้งหมดทั้งมวลของหญิงคนนี้ แต่เป็นการกระทำผิดที่เป็นเหตุให้เธอต้องถูกผู้นำศาสนาจับและประหารชีวิต พระเยซูจึงเตือนเธอให้หยุดทำเพราะว่ายิวจ้องจับผิดเธออยู่
** เรื่องการดำเนินชีวิตที่บาป ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า แต่พระเจ้าจะเป็นคนก่อเราขึ้นในชิวิตและนิสัยของพระเยซูในเรา และต้องใช้เวลานานหลายปี
** เมื่อพี่น้องทำผิดเราจะไม่ประจานหรือเปิดโปงเขาต่อหน้าพี่น้องหรือชาวโลก แต่เราปกปิด-แก้ปัญหาอย่างสงบเพื่อความชอบธรรม และอธิษฐานเผื่อเขาซึ่งบางครั้งอาจต้องตัดออกชั่วคราวเพื่อรอการกลับใจใหม่
8:1 แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ
8:2 ในตอนเช้าตรู่พระองค์เสด็จเข้าในพระวิหารอีก และคนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็ประทับนั่งและสั่งสอนเขา
8:3 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพระองค์ หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเมื่อเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
8:4 เขาทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่
8:5 ในพระราชบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้"
8:6 เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน เหมือนดั่งว่าพระองค์ไม่ได้ยินพวกเขาเลย
8:7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามพระองค์อยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นและตรัสกับเขาว่า "ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีบาป ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน"
** หญิงคนนี้เชื่อกันว่าเป็นนางมารีย์น้องสาวของนางมารธาพี่สาวของลาซารัสที่ตายไปสี่วันแล้วฟื้น (แต่ไม่มีหลักฐานบ่งบอกชัดเจน)
** เธอโดนจับได้ข้อหาเล่นชู้ (กับสามีชาวบ้าน)
** โทษ คือต้องถูกขว้างหินใส่จนตาย
8:8 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงและเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก
** คือการแสดงการถ่อมใจ และไม่เดือดร้อนของพระเยซูต่อเหตุการณ์นั้นๆ
** ไม่มีใครทราบว่าทรงเขียนอะไร แต่น่าจะเป็นไปได้คือจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องความผิดบาปของพวกที่จะเอาหินขว้างหญิงผู้ล่วงประเวณี เขาจึงกลัวและเดินหนีไปทีละคน)
8:9 และเมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น จึงรู้สำนึกโดยใจวินิจฉัยผิดชอบ เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่จนหมด เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงที่ยังยืนอยู่ที่นั้น
** เมื่อยิวยอมรับว่าทุกคนมีปัญหาเรื่องบาปกันทั้งนั้น จึงเดินหนีไป
8:10 เมื่อพระเยซูทรงลุกขึ้นแล้ว และมิได้ทอดพระเนตรเห็นผู้ใด เห็นแต่หญิงผู้นั้น พระองค์ตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย พวกเขาที่ฟ้องเจ้าไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ"
8:11 นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสกับนางว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีก"
** “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีก” คือบาปที่นางเล่นชู้ เพราะว่าเจ้าหน้าที่ยิวจับตาเพื่อจะเอาเรื่องเธออยู่ พระเยซูไม่ได้พูดถึงอย่าทำบาปทั้งหมด เพราะแน่นอนที่สุดนางจะต้องทำบาปอื่นไม่มากก็น้อยเหมือนผู้เชื่อที่ต้องเข้าสู่กระบวนการการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เชื่อแล้วจะเลิกทำบาปได้ทันที
บทความเพิ่มเติม : อย่าทำบาปอีกเลย
8:12 อีกครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต"
** "ความสว่าง" ในที่นี้ คือความจริงของพระเจ้าในฝ่ายวิญญาณที่เริ่มเข้ามาในโลก เพื่อเข้ามาแทนที่ความไม่จริงของอาดัม หรือฝ่ายเนื้อหนัง
** "ผู้ที่ตามเรามา" ไม่ใช่เชื่อเฉยๆ แต่เดินตาม ติดตามแบบสาวกสิบสองคนที่เดินตามไปอย่างกระชั้นชิด
** "แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต" คือเชื่อถูก ตีความหมายพระคำถูก เดินถูก เชื่อฟังดำเนินชีวิตและรับใช้ถูก
8:13 พวกฟาริสีจึงกล่าวกับพระองค์ว่า "ท่านเป็นพยานให้แก่ตัวเอง คำพยานของท่านไม่เป็นความจริง"
8:14 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "แม้เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน
8:15 ท่านทั้งหลายย่อมพิพากษาตามเนื้อหนัง เรามิได้พิพากษาผู้ใด
** เป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด มนุษย์จะตัดสินหรือ มองกันที่ตาเห็น หรือภายนอก
** "เราไม่ได้พิพากษาผู้ใด" คือหนังสือยอห์นจะเน้นที่พระเยซูเป็นคำตอบของปัญหาทั้งด้านบวกและด้านลบ
8:16 แต่ถึงแม้ว่าเราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
** การพิพากษาของพระเยซูต่อคนที่ไม่เชื่อไม่รับความหวังดีของพระเจ้าที่มีต่อเขาซึ่งเป็นการสำแดงพระคุณต่อมนุษย์โลก จะถูกพิพากษา
8:17 ในพระราชบัญญัติของท่านก็มีคำเขียนไว้ว่า `คำพยานของสองคนก็เป็นความจริง'
8:18 เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเองและพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้แก่เรา"
8:19 เหตุฉะนั้นเขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน" พระเยซูตรัสตอบว่า "ตัวเราก็ดี พระบิดาของเราก็ดี ท่านทั้งหลายไม่รู้จัก ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย"
8:20 พระเยซูตรัสคำเหล่านี้ที่คลังเงิน เมื่อกำลังทรงสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร แต่ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์
8:21 พระเยซูจึงตรัสกับเขาอีกว่า "เราจะจากไป และท่านทั้งหลายจะแสวงหาเรา และจะตายในการบาปของท่าน ที่ซึ่งเราจะไปนั้นท่านทั้งหลายจะไปไม่ได้"
** “จะตายในการบาปของท่าน” คือไม่มีโอกาสได้รอด เพราะไม่ได้รับชีวิตพระเจ้า ไม่ไดับังเกิดใหม่
8:22 พวกยิวจึงพูดกันว่า "เขาจะฆ่าตัวตายหรือ เพราะเขาพูดว่า `ที่ซึ่งเราจะไปนั้นท่านทั้งหลายจะไปไม่ได้'"
8:23 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ท่านทั้งหลายมาจากเบื้องล่าง เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้
8:24 เราจึงบอกท่านทั้งหลายว่า ท่านจะตายในการบาปของท่าน เพราะว่าถ้าท่านมิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น ท่านจะต้องตายในการบาปของตัว"
8:25 เขาจึงถามพระองค์ว่า "ท่านคือใครเล่า" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นดังที่เราได้บอกท่านทั้งหลายแต่แรกนั้น
8:26 เราก็ยังมีเรื่องอีกมากที่จะพูดและพิพากษาท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงเป็นสัตย์จริง และสิ่งที่เราได้ยินจากพระองค์ เรากล่าวแก่โลก"
8:27 เขาทั้งหลายไม่เข้าใจว่าพระองค์ตรัสกับเขาถึงเรื่องพระบิดา
8:28 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยกบุตรมนุษย์ขึ้นไว้แล้ว เมื่อนั้นท่านก็จะรู้ว่าเราคือผู้นั้น และรู้ว่าเรามิได้ทำสิ่งใดตามใจชอบ แต่พระบิดาได้ทรงสอนเราอย่างไร เราจึงกล่าวอย่างนั้น
8:29 และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็ทรงสถิตอยู่กับเรา พระบิดามิได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ"
** พระบิดาพระวิญญาณทรงสถิตอยู่กับพระเยซูทุกวันเวลาไม่เคยพรากจากไปไหนเลย
** "เราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ" คือพระนิสัยของพระเยซูหรือชีวิตพระเจ้าอยู่แล้ว จะทำบาปก็ไม่ได้ เพราะในพระเจ้าไม่มีกฏแห่งบาปอยู่ภายใน
8:30 เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ก็มีคนเป็นอันมากเชื่อในพระองค์
8:31 พระเยซูจึงตรัสกับพวกยิวที่เชื่อในพระองค์แล้วว่า "ถ้าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในคำของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง
8:32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักความจริง และความจริงนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท"
** นี่คือข้อที่บ่งบอกถึง การเชื่อถูก แปลถูก ตีความหมายถูก นำมาซึ่งการดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัย เข้าใจพระเจ้า เชื่อฟังและรับใช้ถูก
8:33 เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์ว่า "เราสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมและไม่เคยเป็นทาสใครเลย เหตุไฉนท่านจึงกล่าวว่า `ท่านทั้งหลายจะเป็นไท'"
** ชาวยิวถามในฝ่ายเนื้อหนังร่างกาย ขณะที่พระเยซูทรงตอบในฝ่ายวิญญาณ
8:34 พระเยซูตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป
8:35 ทาสนั้นมิได้อยู่ในครัวเรือนตลอดไป พระบุตรต่างหากอยู่ตลอดไป
** อยู่ในครัวเรือน ยุคเดิมคือเดินไปกับพระเจ้าในแต่ละวันด้วยการอธิษฐาน-พูดคุยสนทนากับพระเจ้าไม่ปักใจไปที่สิ่งอื่นใดและรักษาพระบัญญัติพยายามไม่ทำบาป และในยุคนี้คือสนิทบอกรักพระเยซูและเดินในวิญญาณอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา นี่คือการฝิกเดินเพื่อเราจะรับการชำระให้เลิกทำบาปได้ในแต่ละวันเพื่อเราจะไม่ได้เป็นทาสของตัวบาปอีกต่อไป
8:36 เหตุฉะนั้นถ้าพระบุตรจะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท ท่านก็จะเป็นไทจริงๆ
** เมื่อเราเชื่อถูก ตีความหมายถูก พระคริสต์เยซู จะมาหาเราและทำให้เราเปลี่ยนใหม่ เป็นอิสระ ไม่ใช่เราเป็นเอง ในโลกนี้ไม่มีใครที่จะช่วยเราให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสของตัวบาปได้ นอกจากพระคริสต์ (พระบุตร) เมื่อเชื่อและถ่อมใจแสวงหาการเลิกทำบาปจริง ๆ พระองค์จะเลือกเราออกมาจากคริสเตียนศาสนา จากนั้นก็เปิดตา และชำระด้วยพระคำ และชำระด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด
8:37 เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านก็หาโอกาสที่จะฆ่าเราเสีย เพราะคำของเราไม่มีโอกาสเข้าสู่ใจของท่าน
** "เพราะคำของเราไม่มีโอกาสเข้าสู่ใจของท่าน" เปรียบได้กับคริสเตียนมากมายทุกวันนี้
** ยอห์นบทที่ 8 จะเน้นสองสิ่งคือ
1. ปัญหาเรื่องบาป (เลิกทำบาปไม่ได้) เนื่องจากว่าตัวบาปได้ครอบงำครอบครองมนุษย์ตั้งแต่อาดัมทำบาปแล้ว
2. ปัญหาเรื่องตาบอดฝ่ายวิญญาณ (ไม่รู้น้ำพระทัยเรื่องสติปัญญา และเรื่องฝ่ายวิญญาณ)
** เนื่องจากว่า การเอาชนะบาปหรือเลิกทำบาปเพื่อให้ชีวิตชอบธรรมจำเพราะพระพักตร์พระเจ้า คือปัญหาใหญ่มากสำหรับคริสเตียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คริสเตียนพยายามแสวงหาวิธีการเอาชนะบาปด้วยมากมายหลายวิธี แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว ถึงแม้ว่าเปาโลจะเขียนไว้ในโรม 6:6-7 ว่าการตายคือการได้เป็นอิสระ และยอห์น 15:5 พระเยซูตรัสว่า สนิทในเรา และเราสนิทในเจ้าแล้วเจ้าจะเกิดผล (แห่งความชอบธรรม) ได้อย่างมากมาย
- ถ้าหากพระวิญญาณเปิดตา เราจะเข้าใจความจริงและฝึกเดินอย่างถูกวิธี และเราจะพบว่าพระวิญญาณจะเริ่มทำกิจในเราในแต่ละวัน
8:38 เราพูดสิ่งที่เราได้เห็นจากพระบิดาของเรา และท่านทำสิ่งที่ท่านได้เห็นจากพ่อของท่าน"
** โลกนี้มีพ่อสองคน คือพระเจ้าและมารซาตานที่ถูกนับว่าเป็นพ่อของคนที่มาจากเชื้อสายอาดัม และทุกคนที่เชื่อก็มาจากเชื่อสายของพระเจ้าพระบิดา
8:39 เขาทั้งหลายจึงทูลตอบพระองค์ว่า "อับราฮัมเป็นบิดาของเรา" พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "ถ้าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของอับราฮัมแล้ว ท่านก็จะทำสิ่งที่อับราฮัมได้กระทำ
8:40 แต่บัดนี้ท่านทั้งหลายหาโอกาสที่จะฆ่าเรา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้บอกท่านถึงความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมมิได้กระทำอย่างนี้
8:41 ท่านทั้งหลายย่อมทำสิ่งที่พ่อของท่านทำ" เขาจึงทูลพระองค์ว่า "เรามิได้เกิดจากการล่วงประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า"
8:42 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว เรามิได้มาตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์นั้นทรงใช้เรามา
8:43 เหตุไฉนท่านจึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด นั่นเป็นเพราะท่านทนฟังคำของเราไม่ได้
8:44 ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่เดิมมา และมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน เมื่อมันพูดมุสามันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา
** ทุกคนที่เกิดมาจากอาดัม มีพ่อเป็นมารทั้งนั้น
8:45 แต่ท่านทั้งหลายมิได้เชื่อเรา เพราะเราพูดความจริง
** ท่านทั้งหลาย ในที่นี้คือยิวที่ไม่ได้ถูกเลือกตั้งแต่ก่อนสร้างโลก จึงไม่รู้จักความจริงของพระเจ้าและรับไม่ได้
8:46 มีผู้ใดในพวกท่านหรือที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำบาป และถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา
** ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา เป็นคำถามที่พระเยซูตอบพวกเขาแล้วในข้อที่ 37-44 คือเป็นเพราะว่า..
- 1. พวกเขาไม่มีถ้อยคำ logos ที่เป็นตัวตนของพระเจ้าอยู่ในพวกเขา
- 2. พวกเขาไม่ได้เป็นของพระเจ้าตั้งแต่ก่อนสร้างโลกจึงรับถ้อยคำ rhema ของพระเยซูไม่ได้
- 3. พวกเขามีพ่อเป็นมาร และไม่มีพระเจ้าเป็นบิดาของพวกเขา
8:47 ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังถ้อยคำ (Rhema) ของพระเจ้า เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ฟัง เพราะท่านทั้งหลายมิได้มาจากพระเจ้า"
** ผู้ที่มาจากพระเจ้า หรือเป็นของพระเจ้า คือผู้ที่ถูกเลือกเอาไว้ก่อนที่จะสร้างโลก เนื่องจากว่าพระเจ้าทรงมองเห็นและทราบดีว่าพวกเขาจะเลือกที่จะต้อนรับพระเยซูเมื่อเขาเกิดมา และคนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าก็คือไม่ได้ถูกเลือกเอาไว้จะไม่ได้ยินและไม่รับเอาถ้อยคำที่มีพระวิญญาณและชีวิตเนื่องจากว่าพวกเขารับไม่ได้
** ย่อมฟังถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำในที่นี้คือ เรมาร์ คือคำพูด คำสั่งสอน ที่มาจากพระเจ้าซึ่งมีพระวิญญาณและมีชีวิตในถ้อยคำนั้น ๆ ขณะที่ โลโกส logos ในยอห์นบทที่ 1:1 คือตัวตนของพระเจ้าและเป็นพระเจ้า (logos คือตัวตนของพระเจ้าผู้ที่พูด – Rhema คือคำพูดของพระเจ้าที่พูดออกมา)
8:48 พวกยิวจึงทูลตอบพระองค์ว่า "ที่เราพูดว่า ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้น ไม่จริงหรือ"
** ท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้น ไม่จริงหรือ คำนี้เป็นคำกล่าวหาของชาวยิวที่ไม่ชอบพระเยซูพูดกัน
8:49 พระเยซูตรัสตอบว่า "เราไม่มีผีสิง แต่ว่าเราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา และท่านลบหลู่เกียรติเรา
8:50 เรามิได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้หาให้ และพระองค์นั้นจะทรงเป็นผู้ตัดสิน
** คือพระบิดาจะเป็นผู้ประทานเกียรติและเป็นผู้ตัดสินเองว่าพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยหรือไม่
8:51 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเรา ผู้นั้นจะไม่ประสบความตายเลย"
** การรักษาถ้อยคำ คือตั้งอยู่ในความเชื่อและการให้พระคริสต์ที่เป็นชีวิตในเรานำเราในการเกิดผลแห่งพระวิญญาณทุกสิ่งใน (กท 5:22-23)
** การไม่รักษาถ้อยคำไม่ใช่ไม่เชื่อฟังหรือไม่รักษาพระบัญญัติ แต่เป็นการดำเนินชีวิตที่เราพึ่งชีวิตพระเจ้าในเรา ไม่ใช่พึ่งการดีของเราในอาดัม
** การรักษาถ้อยคำ คือการเดินในทางของต้นไม้แห่งชีวิต ไม่ใช่เดินในทางแห่งต้นไม้แห่งความรู้ดีชั่ว
** ต้นไม้สองต้นที่อยู่กลางสวน คือวิธีการดำเนินชีวิตสองทางหรือสองแบบ
1. "ทางแห่งต้นไม้แห่งชีวิต" คือเรา (มนุษย์) เป็นภรรยา เราอาศัยพระเจ้า (สามี) นำเรา ทำให้เรา ทำแทนเรา ทำเพื่อเรา เราเป็นเหมือนภาชนะที่บรรจุพระเจ้า เราเป็นเหมือนรถที่มีพระเจ้าเป็นคนขับ เป็นทางแห่งการพึ่งพาพระเจ้าในทุกเรื่อง (we depend on God)
2. "ทางแห่งต้นไม้รู้ดีรู้ชั่ว" คือทางที่เราเป็นสามีเอง เราอาศัยเราทำเอง รักษาพระบัญญัติเอง เลือกทางแห่งการดำเนินชีวิตตามใจเราเองว่าจะไปทางไหน ดีหรือชั่ว แต่ทางการดำเนินชีวิตนี้ ถึงแม้ว่าเราจะทำดีแค่ไหนก็คือบาป เพราะไม่ได้พึ่งทางแห่งต้นไม้ สำหรับพระเจ้า ทางนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า (independence)
** ผู้นั้นจะไม่ประสบความตายเลย" หรือลิ้มรสของความตายอีกเลยจนถึงสิ้นยุค - คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซู ให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และเชื่อ/รักษาถ้อยคำของพระเยซู ดำเนินชีวิตตามถ้อยคำของพระองค์ พระเจ้าจะเปลี่ยนจากความตายของเราให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยการให้เราบังเกิดใหม่ เมื่อเราบังเกิดใหม่ เราจะตายอีกไม่ได้เลย คือเกิดแล้วก็เกิดเลย และความรอดที่เราได้รับก็คือรอดแล้วรอดเลยเมื่อถึงฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพียงแต่ว่าเมื่อเราทำบาปเราก็ได้รับผลตอบแทนในชีวิตนี้และในยุคพันปีเท่านั้น
8:52 พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า "เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าท่านมีผีสิง อับราฮัมและพวกศาสดาพยากรณ์ก็ตายแล้ว และท่านพูดว่า `ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเรา ผู้นั้นจะไม่ชิมความตายเลย'
** คือการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ ซึ่งรักษาเราจากการดำเนินชีวิตที่ตายแล้วในแต่ละวันของคนที่ไม่เชื่อ และจะต้องตายนิรันดร์ในวันสุดท้าย
8:53 ท่านเป็นใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือ พวกศาสดาพยากรณ์นั้นก็ตายไปแล้วด้วย ท่านอวดอ้างว่าท่านเป็นผู้ใดเล่า"
8:54 พระเยซูตรัสตอบว่า "ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย พระองค์ผู้ทรงให้เกียรติแก่เรานั้นคือพระบิดาของเรา ผู้ซึ่งพวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของพวกท่าน
8:55 ท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ และถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จักพระองค์ เราก็เป็นคนมุสาเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จักพระองค์ และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์
** ท่านไม่รู้จักพระองค์ คือรู้จักที่มาจากภายใน ไม่ใช่รู้จักที่รู้จักแค่ภายนอกเท่านั้น
8:56 อับราฮัมบิดาของท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็ได้เห็นแล้วและมีความยินดี"
** พระเจ้าทรงสัญญาจะอวยพรท่านและลูกหลานใน ปฐก บทที่ 12 และเมื่อพระเยซูเสด็จมา พระสัญญานั้นก็สำเร็จ ถึงแม้ว่าท่านอับราฮัมตายไปแต่วิญญาณของท่านได้เห็นจากเมืองบรมสุขเกษมและตื่นเต้นดีใจมาก และอีกไม่นานท่านก็จะได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ในยุคพันปีและฟ้าสวรรค์ใหม่แผ่นดินโลกใหม่
8:57 พวกยิวก็ทูลพระองค์ว่า "ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี และท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ"
8:58 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนอับราฮัมบังเกิดมานั้นเราเป็น"
** คำว่า "เราเป็น" I AM หรือ "เราเป็นอยู่" คือคำที่พระเจ้าเท่านั้นที่ตรัส ท่ามกลางชาวยิวไม่มีใครกล้าพูดคำนี้โดยเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นการยกตัวเองให้เท่าเทียมพระเจ้า
** พระเจ้าพระภาคที่สองอยู่ก่อนอับราฮัม และทรงเป็นอยู่ในกาลก่อนเมื่อเริ่มต้นร่วมกับพระบิดาและพระวิญญาณ
8:59 คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบและเสด็จออกไปจากพระวิหาร เสด็จผ่านท่ามกลางเขาเหล่านั้น